Group Blog
All Blog
### กล้าประจานตัวเราเอง ###










“กล้าประจานตัวเราเอง”

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราหัดพูด

ให้มีความกล้าหาญที่จะประจานตัวเราเอง

 ไม่ต้องอับอายขายหน้า

 เช่นบอกเขาไปเลยว่าผมเป็นคนขี้เกียจ

 ผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี

 ผมก็จะพยายามปรับปรุงแก้ไขตัวผมเอง

 ขอให้ท่านทั้งหลายได้มีความกรุณา

เมตตาสงสารให้อภัยผม

และช่วยเตือนสติผมอยู่เรื่อยๆ

 เวลาที่ผมทำอะไรที่ไม่ดีไม่ชอบ

ขอให้ได้กรุณาเตือนผมด้วย

เพราะผมถือว่า การชี้ความผิด

เป็นเหมือนกับการชี้ขุมทรัพย์

เพราะว่าโดยธรรมชาติ

เราจะไม่เห็นความผิดของตัวเรา

เราจะเข้าข้างตัวเราเองเสมอ

 ไม่ว่าเราจะทำอะไร จะผิดขนาดไหน

 เราก็มักจะคิดว่าไม่ผิด

 หรือผิดเพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเองไม่เป็นไร

 ถ้าเรามีความคิดอย่างนี้อยู่

 เราก็จะไม่สามารถพัฒนาตัวเราเองได้

 แก้ไขตัวเราเองได้ เราต้องกล้าเผชิญ

กับความไม่ดีของตัวเรา

 อย่าไปอายเรื่องเหล่านี้

มันไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าอับอายอะไร

เพราะพวกเราทุกคนยังเป็นปุถุชน

ยังมีกิเลสอยู่ ดังที่มีสุภาษิตที่พูดไว้ว่า

 "สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง"

 แล้วปุถุชนอย่างเราอย่างท่าน

จะไม่ผิดพลาดไปเลยหรือ

ดังนั้นเราอย่าไปอับอายขายหน้า

เวลาทำอะไรผิด

หรือเวลามีคนเขาชี้ความผิดของเรา

 ต้องยกมือไหว้ขอบอกขอบใจเขา

ที่เขาช่วยชี้ขุมทรัพย์ให้กับเรา

เพราะเมื่อเรารู้ว่าเราทำอะไรไม่ดี

เราจะได้แก้ไข

 ไม่ทำต่อไป แล้วต่อไปเราก็จะทำแต่สิ่งที่ดี

 พอเราทำแต่สิ่งที่ดีแล้ว

 ถึงแม้จะมีคนชมหรือไม่ชม

 ให้รางวัลหรือไม่ให้รางวัล

 ยกย่องสรรเสริญหรือไม่

 เราจะไม่รู้สึกอะไรเพราะความดีนั้น

มีผลอยู่ในตัวของมันแล้ว

มันมีรางวัลอยู่ในตัวของมันแล้ว

คือมันทำให้เรามีความสุขใจ

 มีความภูมิใจ มีความอิ่มเอิบใจ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

ธรรมะในศาลา วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๐

“คิดดี พูดดี ทำดี”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 26 ธันวาคม 2559
Last Update : 26 ธันวาคม 2559 10:00:26 น.
Counter : 751 Pageviews.

0 comment
### กรรมเก่า ###











กรรมเก่า

“เหมือนกับการที่ใครคนหนึ่งเดินขึ้นตึก ๓ ชั้น

 ถึงชั้นที่สามแล้ว ก็แน่นอนว่า

 การขึ้นมาถึงที่นั่นของเขา ต้องอาศัยการกระทำ

คือการเดินที่ผ่านมาแล้วนั้น จะปฏิเสธมิได้

 และเมื่อขึ้นมาถึงที่นั่นแล้ว

 การที่เขาจะเหยียดมือไปแตะพื้นดินข้างล่างตึก

 หรือจะนั่งรถเก๋งวิ่งไปมาบนตึกชั้นสามเล็กๆ

 เหมือนอย่างบนถนนหลวง ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

 และข้อนี้ก็เป็นเพราะ

การที่เขาขึ้นมาบนตึกเหมือนกัน ปฏิเสธมิได้

หรือเมื่อเขาขึ้นมาแล้ว

 จะเมื่อยหมดแรง เดินต่อ ขึ้นหรือลงไม่ไหว

 นั่นก็ต้องเกี่ยวกับการที่ได้เดินขึ้นมาแล้ว

ด้วยเหมือนกัน ปฏิเสธมิได้

จะเห็นว่าการมาถึงที่นั่นก็ดี

 การทำอะไรๆ ได้ในวิสัยของที่นั่นก็ดี

 การที่อาจจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไร

ต่ออะไรในที่นั้นอีก

 ในฐานะที่ขึ้นมาอยู่กับเขา ณ ที่นั้นด้วยก็ดี

ย่อมสืบเนื่องมาจากกรรมเก่า

 คือการที่ได้เดินมานั้นด้วยแน่นอน

แต่การที่เขาจะทำอะไรบ้าง

 ทำสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้องที่นั่นแค่ไหนเพียงไร

 ตลอดจนว่าจะพักเสียก่อนแล้วเดินต่อ

 หรือเดินกลับลงเสียจากตึกนั้น

ย่อมเป็นเรื่องที่เขาจะคิดตกลงทำเอาใหม่

 ทำได้ และได้ผลตามเรื่องนั้นๆ

แม้ว่าการเดินมาเดิม

ยังอาจมีส่วนให้ผลต่อเขาอยู่

 เช่น แรงเขาอาจจะน้อยไป

ทำอะไรใหม่ได้ไม่เต็มที่เพราะเมื่อยเสียแล้ว

 ดังนี้เป็นต้น ถึงอย่างนั้น

 ก็เป็นเรื่องของเขาอีกทีว่า จะยอมแพ้

แก่ความเมื่อย หรือว่าจะคิดแก้ไขอย่างไร

 ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเรื่องของกระบวนการ

แห่งเหตุปัจจัยทั้งนั้น

 โดยนัยดังที่ได้กล่าวมา

จึงควรเข้าใจเรื่องกรรมเก่าเพียงเท่าที่

มันเป็นตามกระบวนการของมัน”

......................

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

 (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม






ขอบคุณที่มา fb. วัดป่า
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 24 ธันวาคม 2559
Last Update : 24 ธันวาคม 2559 10:36:33 น.
Counter : 805 Pageviews.

1 comment
### การตั้งเป้าหมายของชีวิต ###











“การตั้งเป้าหมายของชีวิต”

เป็นเวลาที่ดีที่พวกเราทั้งหลาย

จะมาตั้งต้นกันใหม่คือชีวิตของเรา

ในอดีตมันก็ผ่านไปหมดแล้ว

ที่จะเหลืออยู่ก็มีแต่อนาคตที่จะตามมา

และอนาคตที่จะตามมานั้นจะดีหรือไม่ดีอย่างไร

ก็ขึ้นกับปัจจุบันของเราว่าเราจะทำอย่างไร

เพราะความสุขและความเจริญ

หรือความทุกข์และความเสื่อมนั้น

เป็นผลที่จะตามมาจากการปฏิบัติของเรา

ในปัจจุบันถ้าทำในสิ่งที่ดี

ละเว้นการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีแล้ว

เราย่อมได้รับผลดี

คือความสุขและความเจริญ

ส่วนผลไม่ดีคือความทุกข์ความหายนะ

ก็จะไม่ปรากฏขึ้นมา

เราจึงควรตั้งเป้าหมายชีวิตของเรา

ว่าในระยะเวลา ๓๖๕ วันต่อไปนี้

เราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไร

เป็นการตั้งเป้าหมายของชีวิตเรา

ถ้าเราปรารถนาความสุขความเจริญ

ไม่ปรารถนาความทุกข์ความหายนะ

เราก็จะต้องสร้างเหตุที่ดี

และละเว้นเหตุที่ไม่ดีเท่านั้นเอง

การที่เราจะสามารถดำเนินการ

ไปตามเป้าหมายได้นั้น

เราจะต้องตั้งจิตอธิษฐาน

คือจะต้องมีความตั้งใจบอกกับตัวเอง

ว่าต่อไปนี้เราจะกระทำอะไรบ้าง

และจะไม่กระทำอะไรบ้าง

ทางภาษาบาลีภาษาพระ

ท่านเรียกว่า “อธิษฐาน”

การอธิษฐานเป็นการตั้งใจว่า

จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในระยะเวลาเท่าไร

สุดแท้แต่ที่เราจะกำหนด

อธิษฐานไม่ได้หมายความว่า

ขอสิ่งนั้นสิ่งนี้จากบุคคลหนึ่งบุคคลใด

หรือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

เพราะว่าสิ่งที่เราปรารถนานั้น

ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะมีใครมาหยิบยื่นให้กับเราได้

แต่เป็นสิ่งที่เราจะต้องสร้างขึ้นมา

ด้วยความประพฤติของเรา

ทางกายทางวาจาและทางจิตใจ

ในการที่จะทำให้ความตั้งใจของเรา

เป็นไปสมกับความปรารถนา

เราจะต้องมีสัจจะเป็นเครื่องควบคุม

ความตั้งใจของเรา

ด้วยสัจจะคือความจริงใจ

เมื่อเราตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง

หรือหลายอย่างก็ตาม

เราจะต้องมีความจริงใจ

ว่าจะต้องทำในสิ่งนั้นๆให้ได้ด้วย

ไม่ใช่สักแต่ว่าตั้งจิตอธิษฐาน

ว่าจะทำอย่างนั้นทำอย่างนี้

พอกระทำไปได้เพียงครั้งสองครั้ง

ก็ไม่ทำอีกต่อไปถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว

ความตั้งใจที่ดีของเรา

ก็จะไม่บรรลุผลที่ดีงาม

ตามที่เราปรารถนากัน

ถ้าต้องการผลที่ดีที่งาม

เราจึงต้องมีสัจจะคือความจริงใจ

ความแน่วแน่ต่อความตั้งใจของเรา

จึงเรียก ๒ สิ่งนี้รวมกันว่า“สัจจอธิษฐาน”

 ถ้ามีสัจจอธิษฐานแล้ว

เราจะสามารถกระทำตามความตั้งใจ

ไปได้ตลอดรอดฝั่งจนบรรลุผลขึ้นมา

แต่ก่อนที่เราจะตั้งสัจจอธิษฐาน

ต้องพิจารณาดูความสามารถของเราก่อน

ว่าสิ่งที่จะกระทำนั้นอยู่ในวิสัย

ที่เราจะกระทำได้หรือเปล่า

ถ้าอยู่เหนือวิสัยของเรา

เราก็อย่าเพิ่งไปตั้งสัจจอธิษฐาน

เพราะว่าถ้าจะทำ

สิ่งที่สุดความสามารถของเราแล้ว

จะไม่สามารถทำให้สำเร็จได้

ก็จะทำให้เกิดความท้อแท้ขึ้นมา

ทำให้เราเป็นคนโลเลไม่มีสัจจะ

ไม่มีความจริงใจแต่ถ้าเราพิจารณาดูว่า

สิ่งที่เราจะกระทำต่อไปนี้

อยู่ในวิสัยของเราที่เราจะกระทำได้

สิ่งนั้นแหละเป็นสิ่งที่เราควรตั้งสัจจอธิษฐาน

แล้วเราก็จะสามารถดำเนินไปได้ตลอด

จนถึงผลที่เราต้องการ

คนเราจะประสบความสำเร็จ

ในสิ่งที่เราปรารถนา

จะต้องอาศัยสัจจอธิษฐานเป็นเหตุเบื้องต้น

ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงตั้งสัจจอธิษฐาน

ไว้ก่อนที่จะทรงตรัสรู้

ในขณะที่นั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์

พระพุทธองค์ทรงตั้งสัจจอธิษฐานว่า

ต่อไปนี้จะนั่งบำเพ็ญจิตตภาวนาอยู่ในที่นี้

โดยจะไม่ลุกขึ้นจากที่นี้ไป

จนกว่าจะได้บรรลุธรรม

ถึงแม้ว่าโลหิตในร่างกายจะเหือดแห้งไป

ถึงแม้ว่าชีวิตนี้จะหมดสิ้นไปก็ตาม

ถ้าตราบใดยังไม่ได้บรรลุผล

ที่ต้องการแล้วละก็

จะไม่ลุกจากที่นี่ไปเป็นอันขาด

นี่คือสัจจวาจาที่พระพุทธองค์ได้ทรงตั้งไว้

กับพระพุทธองค์เอง

ถ้าไม่ได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า

ก็มีแต่ตายเท่านั้น

ถ้าไม่ตายก็จะต้องบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า

เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว

พระพุทธองค์ก็ทรงตั้งจิตตั้งใจปฏิบัติในกิจ

ที่พระพุทธองค์ต้องกระทำ

และเมื่อจิตมีความแน่วแน่มั่นคงแล้ว

การกระทำอะไรก็จะมีพลัง

และเมื่อมีพลังแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง

ย่อมไม่มีทางที่จะขวาง

การปฏิบัติของเราไปได้

พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุธรรมสำเร็จ

เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาได้

ก็เพราะสัจจอธิษฐานบารมีนี้เอง

พวกเราก็เช่นกันถ้าปรารถนา

ความสุขความเจริญแล้วละก็

เราก็จะต้องตั้งสัจจอธิษฐานขึ้นมา

โดยกระทำในสิ่งที่เราเห็นว่าง่ายไปก่อน

ทำจากสิ่งง่ายไปหาสิ่งที่ยาก

เช่นในเบื้องต้น

เราอาจจะตั้งจิตสัจจอธิษฐานว่า

ต่อไปนี้เราจะละเว้นจากอบายมุขทั้งหลาย

เช่นการเสพสุรายาเมาการเล่นการพนัน

การเที่ยวเตร่การคบคนชั่วเป็นมิตร

และความเกียจคร้าน

ถ้าอยู่ในวิสัยของเรา

ก็ตั้งสัจจอธิษฐานไปเลย

หลังจากที่กระทำสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว

เราก็ขยับขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

ด้วยการตั้งสัจจอธิษฐานว่า

ต่อไปนี้เราจะเป็นผู้มีศีล

คือจะละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

ละเว้นจากการลักทรัพย์

ละเว้นจากการประพฤติผิดประเวณี

ละเว้นจากการพูดปดมดเท็จ

ซึ่งเป็นการกระทำที่นำมาซึ่งความทุกข์

และความเสื่อมเสียทั้งหลาย

ถ้าไม่ปรารถนาความทุกข์ความเสื่อมเสีย

ความหายนะแล้วเราก็จะต้องละเว้น

จากการกระทำสิ่งเหล่านี้

ถ้าได้ละเว้นจากการกระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว

เรื่องของความทุกข์ความเสื่อมเสีย

ก็จะไม่มารบกวนจิตใจของเรา

เพราะนี่เป็นเรื่องของเหตุและผล

เหตุก็คือการกระทำผลก็คือสุขทุกข์

ที่จะตามมาจากการกระทำนั้นๆ

นี่คือเรื่องของการตั้งจิตตั้งใจ

ในการละเว้นการกระทำ

ในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ส่วนสิ่งที่ดีงาม

เราก็ต้องตั้งสัจจอธิษฐานเช่นกัน

ว่าต่อไปนี้เราจะเป็นคนที่มี

ความขยันหมั่นเพียร

ขยันทำงานทำมาหากิน

ขยันศึกษาเล่าเรียนขยันทำบุญทำทาน

ขยันเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม

ขยันไหว้พระสวดมนต์ทำจิตให้สงบ

ขยันเจริญปัญญา

ให้เห็นถึงสภาพความเป็นจริง

ของสภาวธรรมทั้งหลาย

ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา

ว่ามีคุณลักษณะอย่างไร

นี่ก็คือความดีถ้าเรามีความขยันแล้ว

เราก็จะสามารถกระทำสิ่งต่างๆ

ที่เป็นเหตุที่ดีที่จะนำม

ซึ่งความสุขความเจริญได้

เช่นขยันทำมาหากิน

เพื่อที่จะได้มีเงินมีทอง

มาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

ถ้าหาเงินได้มากกว่าความจำเป็น

เงินส่วนเกินก็จะเอามาทำประโยชน์

จะไม่เอาเงินทองที่หามาได้

ด้วยความลำบากยากเย็น

มาใช้แบบสุรุ่ยสุร่ายใช้กับสิ่งที่ฟุ่มเฟือย

ไม่จำเป็นกับการดำรงชีพ

หรือกับการทำมาหากินของเรา

ถ้าไม่รู้จักใช้ทรัพย์ให้ถูกหลักแล้ว

ทรัพย์สินเงินทองที่อุตส่าห์หามา

ด้วยความลำบากยากเย็น

แทนที่จะเป็นประโยชน์กับเรา

กลับมาทำลายตัวเราสร้างความทุกข์

สร้างความเสื่อมเสียให้กับตัวเรา

เมื่อหาเงินมาได้แล้ว

สิ่งแรกที่ควรจะคำนึงถึงก็คือ

การดูแลอัตภาพร่างกายชีวิตของเรา

คือต้องมีเงินทองไว้สำหรับซื้อพวกปัจจัย ๔

 ทั้งหลายคืออาหารที่อยู่อาศัย

เครื่องนุ่งห่มยารักษาโรค

เมื่อดูแลรักษาตัวเองได้แล้ว

ขั้นต่อไปถ้ายังมีเงินทองเหลือใช้

เราก็ดูแลผู้อื่นต่อไป

ดูแลบุคคลที่มีพระคุณกับเรา

เช่นบิดามารดาปู่ย่าตายาย

ญาติสนิทมิตรสหายพระสงฆ์องค์เจ้า

สมณชีพราหมณ์ผู้ทำคุณทำประโยชน์

สั่งสอนอบรมในด้านศีลธรรม

เป็นการนำทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้

มาทำคุณทำประโยชน์

และถ้ายังมีเหลืออีกส่วนหนึ่ง

ก็เอาไปช่วยเหลือสังคม

ไม่ว่าจะในทางโลกหรือทางธรรม

เช่นช่วยบูรณะซ่อมแซม

วัดวาอารามกุฏิวิหาร

ทำนุบำรุงสิ่งต่างๆที่มีความจำเป็น

ต่อการตั้งอยู่ของวัด

ทางด้านสังคมบริจาคเงินให้แก่โรงพยาบาล

โรงเรียนช่วยบุคคลต่างๆ

ที่มีความตกทุกข์ได้ยาก

เป็นการนำเงินที่เหลือจากความจำเป็น

มาใช้ให้เกิดคุณเกิดประโยชน์

เป็นบุญเป็นกุศล ผู้ที่ได้ให้ทานแล้ว

จิตใจจะมีความสดชื่นเบิกบานมีความสุข

มีความอิ่มมีความปีติ

เพราะการให้ทานเป็นการชำระขัดเกลาจิตใจ

ชำระขัดเกลากิเลสตัณหาเครื่องเศร้าหมอง

ซึ่งเป็นต้นเหตุของความทุกข์ความเศร้าหมอง

ความไม่สดชื่นความหิวความกระหาย

ให้กับจิตใจถ้ามีมากน้อยเท่าไหร่

อยู่ภายในใจก็จะสร้างความทุกข์มากน้อย

ตามลำดับให้กับใจและจะเป็นตัวฉุดลากใจ

ให้ไปกระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลาย

ถ้าได้ทำบุญทำทานแล้วจะได้ขัดเกลา

ชำระกิเลสตัณหาเครื่องเศร้าหมอง

ให้ออกไปจากจิตจากใจได้มากน้อยแค่ไหน

ก็ขึ้นอยู่กับการทำบุญให้ทานของเรา

ทำมากๆจิตใจก็จะสะอาดขึ้นมาก

ความสุขความอิ่มความปีติก็จะมีมากขึ้น

เมื่อมีความสุขมีความอิ่มมีความปีติในใจแล้ว

ความกดดันให้ไปหาสิ่งต่างๆ

ที่ไม่ใช่เป็นความจำเป็นต่อการดำรงชีพ

ก็จะมีน้อยลงไป

สาเหตุที่คนเรายังไม่สามารถที่จะละเว้น

จากอบายมุขทั้งหลายได้เช่นการเที่ยวเตร่ก็ดี

การเสพสุรายาเมาก็ดี

ก็เป็นเพราะว่ายังมีกิเลสตัณหาอยู่ในใจมาก

ไม่ได้รับการขัดเกลานั้นเอง

เมื่อไม่ได้รับการขัดเกลาแล้ว

เวลามีทรัพย์มีเงินมีทอง

ก็อยากจะเอาเงินทองไปใช้ในทางนี้

เช่นไปแสวงหาความสุข

ทางด้านกามคุณ ๕

คือความสุขทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ดูหนังดูละครเที่ยวเตร่ยามค่ำคืน

กินเหล้าเมายาเป็นต้น

เป็นการแสวงหาความสุข

ที่ไม่ใช่เป็นความสุขที่แท้จริง

เพราะเมื่อเสพไปแล้วก็ไม่ได้ทำให้

จิตใจมีความอิ่มมีความพอ

แต่กลับสร้างความอยาก

ให้มีเพิ่มมากขึ้นไปอีก

เมื่อได้ออกไปเที่ยววันนี้แล้ว

พรุ่งนี้ก็อยากจะออกไปเที่ยวอีก

เพราะเป็นธรรมชาติของกามคุณ ๕

ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะมาขัดเกลา

ลดละกิเลสตัณหาให้เบาบางลงไป

แต่เป็นการเพิ่มพูนกิเลสตัณหา

ให้มีมากยิ่งๆขึ้นไป

ถ้าเราเอาทรัพย์สินเงินทองที่หาได้มา

ด้วยความลำบากยากเย็น

มาใช้ในแบบนี้แล้วก็เท่ากับ

เป็นการเสริมสร้างกิเลสตัณหา

ให้มาเผาผลาญเรา

ให้มีความทุกข์มากขึ้นไปอีก

ในจิตใจของเราเป็นการใช้ทรัพย์ที่ไม่ถูก

ไม่ฉลาดเพราะขาดสติขาดปัญญานั่นเอง

ไม่รู้ว่าการใช้เงินทองแบบไหน

ถึงเกิดคุณและเกิดประโยชน์

การใช้เงินทองแบบไหนทำให้เกิดโทษ

เกิดความทุกข์ขึ้นมา

เราต้องรู้จักแยกแยะรู้ว่า

ถ้าใช้เงินทองไปแล้วเป็นการขัดเกลาจิตใจ

ทำให้ความโลภความโกรธ

ความหลงเบาบางลงไป

อย่างนี้ถือว่าเป็นการใช้เงินทองที่ถูกต้อง

แต่ถ้าใช้เงินทองไปแล้วทำให้

ความโลภความโกรธ

ความหลงมีเพิ่มพูนขึ้นมา

อย่างนี้แสดงว่าเป็นการใช้เงินทอง

ไปในทางที่ผิดไม่เกิดประโยชน์กับตัวเรา

ถ้าเราไม่ทราบว่าการดำเนินชีวิต

ที่ถูกต้องดีงามนั้นเป็นอย่างไร

เราก็ต้องเข้าหาผู้รู้เข้าหาพระศาสนา

ศึกษาพระธรรมคำสอนฟังเทศน์ฟังธรรม

อยู่อย่างสม่ำเสมอจากพระที่รู้จริงเห็นจริง

อย่างพระพุทธเจ้า

และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ท่านเป็นผู้ที่ได้ศึกษาและได้ปฏิบัติมาแล้ว

เกี่ยวกับเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุข

ความเจริญและเหตุที่จะนำมา

ซึ่งความทุกข์และความเสื่อมเสีย

ท่านได้ศึกษาและท่านได้ปฏิบัติ

จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริง

ตามหลักเหตุและผลแล้วว่าเป็นอย่างไร

เมื่อได้เห็นแล้วและได้สัมผัส

กับผลอันดีเลิศจากการปฏิบัติดี

ปฏิบัติชอบแล้วท่านจึงนำเอาความรู้นี้

มาสั่งสอนพวกเรา

พวกเราผู้ที่ยังด้อยปัญญา

เป็นเหมือนกับคนที่ยังหูหนวกตาบอดอยู่

เราจึงต้องอาศัยคนตาดีหูดีเป็นผู้สอนเรา

เป็นผู้นำพาเรา

ถ้าเราไม่เข้าหาบุคคลเหล่านี้แล้ว

เราก็จะเป็นคนที่ไม่รู้จักว่าอะไรดีอะไรชั่ว

แล้วการกระทำของเราก็จะทำไปแบบ

ผิดๆถูกๆดีบ้างชั่วบ้าง

แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางที่ไม่ดี

เพราะว่าในใจของเรามีความมืดบอด

คือโมหะอวิชชาเป็นตัวที่คอยจะชักจูงเรา

ไปกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ไม่ดีไม่งามนั่นเอง

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วผลที่ไม่ดีไม่งาม

ก็จะตามมาชีวิตของเราก็เลยเป็นชีวิตที่วนเวียน

อยู่กับกองทุกข์แบบไม่รู้จักหมดสิ้น

เราได้เกิดตายมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว

บนกองทุกข์นี้นั่นก็เป็นเพราะว่า

เรามีความมืดบอดเป็นตัวชักนำเราไป

พาเราไปนั่นเองเพราะเราไม่ได้มีโอกาส

ได้เข้าพบปะกับผู้รู้อย่างพระพุทธเจ้า

หรือพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

แต่ชาตินี้เราโชคดีเป็นชาติที่ดีของเรา

เพราะเราได้เกิดเป็นมนุษย์

และได้พบพระพุทธศาสนา

ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะได้เสด็จดับขันธ์

ปรินิพพานไปแล้วก็ตาม

แต่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า

ตัวพระพุทธองค์เองยังไม่ได้จากพวกเราไป

เพราะว่าตัวของพระพุทธองค์ที่แท้จริงก็คือ

พระธรรมวินัยที่ทรงตรัสไว้ชอบแล้วนั่นเอง

ธรรมวินัยที่ตรัสไว้ชอบนี่แหละ

จะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย

พวกเธอสามารถพึ่งธรรมวินัยของเราได้

ถึงแม้จะไม่ได้พบกับพระพุทธเจ้า

ในขณะที่ทรงมีชีวิตอยู่ก็ตาม

เราก็ยังได้พบพระพุทธเจ้าที่แท้จริง

คือพระธรรมคำสอนนั่นเอง

ถ้าน้อมเอาพระธรรมคำสอนเข้ามา

แล้วประพฤติปฏิบัติก็เท่ากับ

ได้อยู่ใกล้กับพระพุทธเจ้า

เพราะพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า

ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต

ผู้ใดเห็นตถาคตผู้นั้นเห็นธรรม

ถ้าต้องการจะพบกับพระพุทธเจ้า

ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า

เราจึงต้องน้อมเอาพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ

กับกายวาจาใจของเรา

ดังที่พวกเราทั้งหลาย

ได้มากระทำกันในวันนี้

เราได้มาทำบุญได้มารักษาศีล

ฟังเทศน์ฟังธรรม

และเราจะตั้งสัจจอธิษฐานว่า

ต่อไปนี้เราจะกระทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม

จะละเว้นจากการกระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม

ตามแต่กำลังสติปัญญา

ความสามารถของเราเท่าที่เราจะทำได้

ถ้าเราทำอย่างนี้แล้วเชื่อได้เลยว่า

ชีวิตของเราต่อไปในอนาคตจะดีขึ้น

ชีวิตของเราอยู่ในกำมือของเรา

ชีวิตของเราไม่มีใครมาลิขิตให้กับเรา

เราต่างหากเป็นผู้ลิขิตไม่ใช่พรหมเป็นผู้ลิขิต

แต่กรรมเป็นผู้ลิขิต 

กรรมคืออะไรกรรมก็คือ

การกระทำของเรานั่นเอง

ถ้าเราทำดีผลดีย่อมตามมา

ถ้าเราทำความชั่วผลร้ายย่อมตามมา

อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นี่เป็นสัจจธรรมความจริง

เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้

แล้วนำเอาความจริงนี้มาสั่งสอนพวกเรา

ถ้าพวกเรามีจิตศรัทธา

เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

เชื่อว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนนั้น

เป็นสวากขาตธรรมคือเป็นธรรมที่ตรัสไว้

ชอบแล้วถูกต้องตามหลักความเป็นจริง

ถูกต้องทั้งเหตุและผล

คือทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว

ถ้าเราเชื่อแล้วเราจะได้เอาไปปฏิบัติ

เพื่อพิสูจน์เพราะพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าเป็นสันทิฎฐิโก

คือเป็นสิ่งที่เราสามารถพิสูจน์ได้

ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ได้ว่า

สิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น

มีความถูกต้องตามหลักตามความจริง

หรือไม่อย่างไรแต่ถ้าเราเพียงแต่ฟังเฉยๆ

แล้วเชื่อเฉยๆแต่ไม่นำไปปฏิบัติกับตัวเรา

คือไม่ละเว้นจากการกระทำความชั่ว

ไม่ละเว้นจากอบายมุขทั้งหลาย

ไม่ละเว้นจากการประพฤติผิดศีลธรรม

ไม่กระทำในสิ่งที่ดีที่งาม

มีความขยันหมั่นเพียร

กระทำแต่สิ่งที่มีคุณมีประโยชน์

เราก็จะไม่รู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น

เท็จจริงอย่างไร

แต่ถ้าเรานำสิ่งต่างๆ

ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้วเราจะเห็น

จะรู้ธรรมระดับต่างๆ

จนกระทั่งถึงธรรมขั้นสูงสุด

ไม่ช้าก็เร็วตามลำดับแห่งการปฏิบัติของเรา

เราจะเห็นว่ากรรมมีจริงบุญมีจริงบาปมีจริง

นรกมีจริงสวรรค์มีจริง

การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง

ตายแล้วต้องไปเกิดอีกไม่ใช่ตายแล้วสูญ

ตายแล้วสูญนี่เป็นความเห็นของคนมืดบอด

ของคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม

เป็นคนที่เชื่อแบบลอยๆ

เหมือนคนสมัยโบราณที่เชื่อว่าโลกนี้แบน

โดยที่ไม่ได้มีการพิสูจน์เลย

เพราะเพียงแต่มองด้วยสายตา

ที่ตัวเองสามารถมองเห็นได้

มองไปทางไหนก็เห็นว่าแบนราบ

แต่ไม่รู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน

ต้องมีคนฉลาดมาพิสูจน์ให้เห็น

ว่าความจริงแล้ว

โลกนี้ไม่แบนแต่เป็นโลกกลม

ฉันใดสิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้า

ทรงนำมาสั่งสอนพวกเรา

เป็นสิ่งที่เป็นจริงทั้งนั้น

เพียงแต่ว่าพวกเรายังเป็นผู้ที่ด้อยปัญญา

ยังมีความมืดบอดคือมีอวิชชาโมหะ

ครอบงำจิตใจของเราอยู่

จึงทำให้เราไม่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ

ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นได้

เราจึงต้องเชื่อในพระพุทธเจ้า

เชื่อในพระธรรมคำสอน

เชื่อในพระอริยสงฆ์สาวกแล้วนำสิ่งต่างๆ

ที่ท่านทรงสั่งสอนมาปฏิบัติ

เพื่อพิสูจน์ให้เห็นจริงด้วยการทำความดี

ละความชั่วและชำระกิเลส

คือโลภโกรธหลงให้ออกไปจากจิตจากใจ

ด้วยการปฏิบัติธรรม

แล้วจิตใจของเราจะค่อยๆสว่างขึ้น

จะเริ่มมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นไปตามลำดับ

ของการปฏิบัติจนในที่สุด

ก็จะมีดวงตาเห็นธรรมสว่างเต็มที่

เหมือนกับดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า

และพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะมาขวางกั้นได้

เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของเหตุและผล

ถ้าเราดำเนินเหตุให้ครบบริบูรณ์แล้ว

ผลต่างๆที่ดีที่งาม

ก็จะปรากฏตามขึ้นมาอย่างแน่นอน

อย่างพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายนั้น

ในเบื้องต้นท่านก็เป็นเหมือนกับพวกเรา

ท่านก็ไม่ได้เป็น

พระอริยสงฆ์สาวกมาก่อน

ท่านก็เป็นปุถุชนธรรมดา

แต่ท่านได้พบกับพระพุทธเจ้า

และได้ยินได้ฟังธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็นำคำสอน

ของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติ

จนไม่ช้าก็เร็วท่านก็บรรลุธรรม

มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา

บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ

จนกระทั่งถึงขั้นสูงสุด

คือเป็นพระอรหันต์

สิ่งเหล่านี้ไม่อยู่เหนือวิสัย

ของปุถุชนคนธรรมดาอย่างเรา

อย่างท่านทั้งหลาย

เพราะพระอริยสงฆ์สาวกในอดีต

จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

ท่านเป็นเครื่องพิสูจน์

ให้กับเราท่านเป็นผู้รับรองให้เรา

เห็นแล้วว่าพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้า

ไม่เป็นคำสอนที่โมฆะคือไร้เหตุไร้ผล

แต่เป็นคำสอนที่เต็มเปี่ยม

ด้วยเหตุและผล

เป็นคำสอนที่เป็นความจริง

เพียงแต่ว่าผู้ที่จะนำไปปฏิบัติ

จะสามารถปฏิบัติได้

มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง

ถ้าเรามีความวิริยะอุตสาหะมีความตั้งใจ

มีสัจจะความจริงใจนำไปประพฤติปฏิบัติ

ด้วยขันติความอดทนไม่ท้อแท้

ไม่กลัวความทุกข์

ไม่กลัวความยากลำบาก

ที่จะเกิดจากการปฏิบัติแล้วละก็

รับรองได้เลยว่าไม่ช้าก็เร็ว

สิ่งต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นนั้น

เราก็จะรู้ได้สิ่งต่างๆ

ที่พระพุทธเจ้าได้บรรลุ

ถึงเราก็จะบรรลุได้

พระพุทธเจ้าท่านสิ้นทุกข์

เราก็จะสิ้นทุกข์ได้

พระพุทธเจ้าไม่ต้องกลับมา

เวียนว่ายตายเกิดอีก

เราก็ไม่ต้องกลับมา

เวียนว่ายตายเกิดอีกได้เช่นกัน

เพราะว่าสิ่งต่างๆที่ได้กล่าวมา

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า

หรือกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด

แต่ขึ้นอยู่กับตัวเราเท่านั้นเอง

ว่าเราจะปฏิบัติตามคำสอน

ของพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ได้หรือเปล่า

ถ้าเราปฏิบัติแล้วไม่มีอะไรในโลกนี้

จะมากีดกั้นกีดขวางสิ่งต่างๆ

ที่เราปรารถนาได้

แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติเราเพียงแต่ฟัง

อย่างเช่นวันนี้เราฟังแล้วพอเรากลับบ้านไป

เราก็ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

ที่ได้พูดมาในวันนี้เราก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ

ไม่ได้เอามาคิดว่าเราควรจะทำอย่างไร

กับตัวของเราถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว

ชีวิตของเราก็ยังจะเป็นเหมือนเดิมอยู่

เพราะว่าการดำเนินชีวิตของเรา

ก็ยังดำเนินแบบเดิมๆอยู่

เมื่อเหตุเป็นแบบเดิมๆ

ผลย่อมเป็นแบบเดิมๆอยู่เช่นกัน

แต่ถ้าเราเปลี่ยนเหตุให้เป็นเหตุที่ดีขึ้นแล้ว

ผลที่จะตามมาก็จะต้องดีตามขึ้นมา

อย่างแน่นอนเรื่องเหล่านี้หลีกเลียงไม่ได้

ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราคนเดียวเท่านั้น

ในโอกาสที่เป็นวันพระแรกของปี

ก็ขอให้เราจงพิจารณาแล้วถามตัวเราเอง

ว่าเรามีความสามารถมากน้อยแค่ไหน

ในการที่จะละการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม

และกระทำในสิ่งที่ดีงาม

ก็ขอให้เราลองตั้งสัจจอธิษฐานว่า

เราจะกระทำสิ่งนั้นๆไปเพราะว่า

ถ้าเราได้ตั้งสัจจอธิษฐานไว้แล้ว

เราจะมีเครื่องบังคับให้เราต้องกระทำสิ่งนั้นๆ

ถ้าเราไม่ตั้งสัจจอธิษฐานแล้ว

เราจะไม่มีอะไรมาผูกมัด

เราจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว

ผลที่เราปรารถนาก็จะไม่ปรากฏขึ้นมา

แต่ถ้าเราได้ผูกมัดตัวเราเองแล้ว

เราก็จะต้องบังคับตัวเราให้กระทำในสิ่งนั้นๆ

เพื่อที่เราจะได้รับผลที่ดีที่งามต่อไป

ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง

ว่าเราจะทำอย่างไรกับชีวิตของเรา

ถ้าเรามีสัจจอธิษฐาน

มีขันติมีวิริยะมีศรัทธาแล้ว

ชีวิตของเราย่อมดำเนินไปสู่ที่ดีที่งามได้

แต่ถ้าเราขาดคุณธรรมเหล่านี้แล้ว

ก็ไม่ทราบว่าเราจะหาสิ่งที่ดีงามมาจากที่ไหน

เพราะคุณธรรมเหล่านี้เป็นเหตุที่จะนำมา

ซึ่งความสุขและความเจริญนั่นเอง

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

กัณฑ์ที่ ๙๗ วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๕

(กำลังใจ ๖) “สัจจอธิษฐาน”






ขอบคุณที่มา fb., พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 20 ธันวาคม 2559
Last Update : 20 ธันวาคม 2559 11:41:44 น.
Counter : 716 Pageviews.

0 comment
### ไปพระนิพพาน ###












“ไปพระนิพพาน”

การจะไปถึงพระนิพพานได้

ต้องตัดทุกสิ่งทุกอย่าง

ที่เป็นเหมือนโซ่ล่ามดวงจิตดวงใจ

ไม่ให้ไปถึงพระนิพพานนั่นเอง

อันนี้ก็ต้องใช้ปัญญาเท่านั้น

ถึงจะตัดโซ่ที่ล่ามหัวใจให้ติดอยู่กับวัฏจักร

 แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

 ถ้ายังติดกับทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

ติดกับความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ที่ได้จากคนนั้นคนนี้ถ้าตัดไม่ได้

ก็ไปนิพพานไม่ได้

 ถ้าเห็นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็จะตัดได้

 เพราะรู้ว่าอย่างไรๆ ก็ต้องจากกันอยู่ดี

 จะจากแบบขาดทุนหรือจากแบบกำไรเท่านั้น

 จากแบบกำไรก็คือไป ถึงพระนิพพาน

ตัดแล้วก็ไปถึงพระนิพพานได้

 ตัดแบบขาดทุนก็คือต้องจำใจจากกัน

เวลาถึงเวลาที่ต้องจากกัน ถ้าจากแบบนั้น

ก็ไปไม่ถึงพระนิพพานก็จะกลับมาเกิดใหม่

เพราะใจยังมีความผูกพันอยู่

ยังอยากจะกลับมาหา

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะใหม่อีก

 จากแบบนี้ก็จากแบบขาดทุน

เพราะจากแบบไม่ได้หลุดพ้น

 จากการเวียนว่ายตายเกิด

ต้องจากแบบกำไรคือ ต้องตัดก่อน

ที่จะตายจากสิ่งเหล่านั้นไป

 เช่นทรัพย์สมบัติข้าวของ เงินทอง

ต้องสละก่อนตาย ถ้าสละหลังตายแล้วนี้

ไม่ถือว่าสละเพราะไม่ได้สละ

 สละด้วยความจำใจ ด้วยความจำยอม

 เพราะว่าไม่สามารถเอาไปกับตนได้

จึงต้องทิ้งไว้ให้คนอื่น

 ถ้าต้องการที่จะสละแบบเพื่อไป พระนิพพาน

 ก็คือต้องสละตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

เช่นพระพุทธเจ้าก็เสด็จออกจากพระราชวัง

 สละราชสมบัติไป

 ต้องสละในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

ไม่ใช่เขียนมรดกไว้ว่าเวลาตายแล้ว

ขอมอบให้คนนั้นคนนี้ อันนั้นไม่ได้สละจริง

 สละเพราะว่าหมดสิทธิ์แล้ว

ไม่ได้เป็นของตนแล้ว

นี่คือปัญญาที่เป็นบารมีที่สำคัญที่สุด

บรรดาบารมีทั้งหลาย

แต่กว่าจะมาถึงขั้นปัญญาบารมีได้นี้

ก็ต้องผ่าน ขั้นเมตตาบารมี ขั้นทานบารมี

 ขั้นศีลบารมี ขั้นเนกขัมมะบารมี

ขั้นอุเบกขาบารมีก่อน ถึงจะสามารถเข้าสู่

ขั้นของปัญญาบารมีได้

 และก่อนที่จะสร้างบารมีเหล่านี้ได้

ก็จำเป็นจะต้องมีอธิษฐานบารมีก่อน

 อธิษฐานบารมีนี้ แปลว่าความตั้งใจ

 ต้องตั้งเป้าไว้ก่อนว่า

เราจะทำอะไรกับชีวิตของเรา

 เราจะหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 เราจะเป็นมหาเศรษฐีเป็นจักรพรรดิ

 หรือว่าเป็นพระอรหันต์

 อันนี้เราต้องตั้งเป้าไว้ก่อน

 เหมือนกับพระพุทธเจ้า ตอนที่ประสูติได้ ๗ วัน

ก็มีโหรได้ทำนายไว้ว่า พระพุทธเจ้านี้

มีทางไปอยู่ ๒ ทาง ถ้าอยู่ในทางโลก

ก็จะได้เป็น พระมหาจักรพรรดิ

ถ้าออกบวชสละราชสมบัติ

 ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า

 โหรทั้งรู้สึกว่าทำนายแบบเหมือนกันหมด

 แต่มีโหรเพียงรูปเดียวคนเดียว

ที่ทำนายต่างจากคนอื่น โหรคนนี้ว่า

มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องเป็นพระพุทธเจ้า

เพียงอย่างเดียว อันนี้เราต้องตั้งเป้าแล้วว่า

ชีวิตของเราต้องไปทางไหน

เราจะไปทางโลกหรือไปทางธรรม

เพราะถ้าเราไม่ตั้งเป้า

เราจะโลเลเหมือนคนเมาเหล้า

 เดี๋ยวก็ขับไปทางซ้าย เดี๋ยวก็ขับไปทางขวา

 ไม่มีความแน่วแน่ต่อจุดหมายปลายทางที่เราจะไป

 นี่คือคำว่าอธิษฐานบารมี ไม่ใช่ขอ

ไม่ใช่ว่าขอให้ได้สิ่งนั้นขอให้ได้สิ่งนี้

ขอไปจนวันตายก็ไม่ได้

แต่อธิษฐานนี้เป็นการตั้งเป้า

ของการเดินทางของเรา

ของการดำเนินชีวิตของเรา

ว่าเราจะดำเนินชีวิตของเรา ไปในทิศทางใด

 เราจะไปทางโลกเป็นมหาเศรษฐี

 เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดี

 เป็นมหากษัตริย์ หรือว่าเราจะไปทางธรรม

 เราจะไปเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี

 อนาคามี พระอรหันต์

 อันนี้เราต้องตั้งเป้าไว้ก่อน

 ถ้าเราตั้งเป้าจะไปทางธรรม

เราก็จะได้เจริญบารมีต่างๆ

 ถ้าเราตั้งเป้าไปทางโลกเราก็จะไม่มาเจริญบารมี

เราก็จะตั้งหน้าตั้งตามุ่งไปสู่ สิ่งที่เราต้องการ

 ถ้าจะเป็นนายกฯก็ต้องไปเลือกตั้ง

 เป็นส.ส.เป็นอะไรไป เข้าสภาไป

แล้วก็ให้เขาเลือก เป็นนายกฯขึ้นมา

 ถ้าต้องการเป็นมหาเศรษฐี

ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน เก็บเงินเก็บทอง

ได้เงินได้ทองมาก็เอาไป ลงทุนใหม่

เอาไปขยายกิจการให้กว้างใหญ่ไพศาล

อย่างพวกธนาคารเริ่มต้นด้วยธนาคารสาขาที่ ๑

 แล้วต่อมาก็ขยายเป็นสาขาที่ ๒ ที่ ๓

จนกลายเป็น ๑๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ สาขาขึ้นมา

 ก็เป็นมหาเศรษฐีได้อยู่ที่คนเราจะต้องตั้งเป้ากัน

ว่าจะดำเนินชีวิตไปในทางไหน

พอตั้งเป้าแล้วมันก็จะต้องมีสัจจะตามมา

 คือต้องจริงใจต่อการตั้งเป้า ไม่ใช่ตั้งแล้วก็

 พอเวลาทำจริงๆ ไม่ทำแล้ว เปลี่ยนใจ

 ถ้าเปลี่ยนใจก็จะไปไม่ได้

จะไปไม่ถึงดวงดาว

จะไปไม่ถึงเป้าหมายที่เราต้องการ

 พอตั้งเป้าแล้ว ต้องไม่เปลี่ยนใจ

 นอกจากเห็นว่าเป้าที่เราไปนี้

มันไม่ถูกทางก็เปลี่ยนได้

 แต่ไม่ใช่เปลี่ยนแบบซ้ำๆซากๆ

 เปลี่ยนเป้านี้อีก ๒ วันก็เปลี่ยนอีกเป้าหนึ่ง

 เปลี่ยนมันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ไม่ใช่

 อย่างนี้แสดงว่าไม่มีสัจจะ

 แต่ถ้าตอนต้นคิดว่าไปทางนี้แล้ว

 พอไปแล้วเห็นว่ามันไม่ใช่ทางที่ควรจะไป

อันนี้ก็ยังพอจะเปลี่ยนได้

 เช่นตอนต้นคิดว่าจะไปเอาดีทางโลก

พอไปทำจริงๆแล้วรู้สึกว่ามันไม่ถูกกับเรา

 เราไปทางธรรมน่าจะดีกว่า

อย่างนี้ก็เปลี่ยนได้ แต่อย่าเปลี่ยนบ่อย

เปลี่ยนแบบมีเหตุมีผล พอเราตั้งเป้าแล้ว

เราก็ต้องมีสัจจะความจริงใจ

 ที่จะดำเนินตามที่เราได้ตั้งเป้าไว้

เราก็ต้องมีวิริยะ อุตสาหะ

พยายามความพากเพียร

ที่จะผลักดันตัวเรา ให้ไปสู่เป้าหมายนั้น

ถ้าต้องการไปสู่พระนิพพาน

ก็ต้องสร้างบารมีต่างๆ สร้างเมตตา

ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี

 อุเบกขาบารมี ปัญญาบารมี

เวลาสร้างบารมีเหล่านี้มันก็ยากลำบาก

 ก็ต้องมีขันติบารมี มาสนับสนุน

 ต้องมีความอดทน เวลาต่อสู้

กับกิเลสตัณหานี้มันแสนจะบาดใจ

 แสนจะทรมานใจ

เวลาขังตัวเองอยู่ในบ้าน

ไม่ให้ดูไม่ให้ฟังไม่ให้ดื่ม

ไม่ให้รับประทานนี้

กิเลสมันจะออกมาฟาดหางฟาดงา

 มันจะมาสร้างความทุกข์ทรมานใจ

ถ้าไม่มีขันติความอดทน

จะยอมแพ้จะยกธงขาว ถอยดีกว่า

ถ้ายกธงขาวก็ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง

แต่ถ้ามีขันติมีความอดทน

จะทุกข์จะยากจะลำบากอย่างไรก็ไม่ถอย

เดินต่อไป ช้าบ้าง เร็วบ้าง

 หรืออาจจะติดอยู่กับที่บ้าง

บางครั้งบางเวลา

ก็เหมือนกับการขับรถบนท้องถนน

 ที่บางทีก็เร็วบางทีก็ช้า

 บางทีก็ติด ติดไฟดงไฟแดง

ติดรถอุบัติเหตุ แต่อย่างไรก็ตาม

ก็จะเดินทางต่อไปให้ถึง

จุดหมายปลายทางให้ได้

นี่คือบารมีทั้ง ๑๐ ประการ

ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญมา

ที่ได้ทำให้พระโพธิสัตว์คือเจ้าชายสิทธัตถะ

 ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

และก็เป็นบารมีที่ได้ทรงนำเอามาสั่งสอน

ให้แก่สัตว์โลกอย่างพวกเราทั้งหลาย

 ถ้าพวกเราสามารถเจริญบารมีเหล่านี้ได้

 เราก็จะได้รับผลเช่นเดียวกับ

ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงรับ

 ก็คือจะได้เป็นพระอรหันตสาวก

พระพุทธเจ้าเป็น

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

 ผู้ที่ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เรียกว่าพระอรหันตสาวก

 เป็นพระอรหันต์เหมือนกันคือเป็นผู้บริสุทธิ์

ปราศจากความโลภ ความโกรธ

 ความหลงเหมือนกัน

 ต่างกันตรงที่พระพุทธเจ้า

เป็นผู้พบทางด้วยพระองค์เอง

ส่วนพระอรหันตสาวกนี้ เป็นผู้รับฟัง

คำสอนของพระพุทธเจ้า

สาวกแปลว่าผู้ฟัง

อรหันตสาวกก็คือผู้ฟังที่ได้บรรลุ

เป็นพระอรหันต์

 อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่บรรลุ

 เป็นพระอรหันต์ได้ด้วยตนเอง

ต่างกันตรงนี้ ต่างตรงที่พระพุทธเจ้า

ไม่มีใครสอน แต่พระสาวกนี้

 ต้องมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้สอน

จึงจะสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้

 แต่วิธีการปฏิบัติก็เหมือนกัน

 ต้องเจริญบารมีทั้ง ๑๐ ประการนี้

ด้วยกันทุกคน

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๗

“บารมี ๑๐ ประการ”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 16 ธันวาคม 2559
Last Update : 16 ธันวาคม 2559 11:46:43 น.
Counter : 1079 Pageviews.

0 comment
### พระอรหันต์ในบ้าน ###











“พระอรหันต์ในบ้าน”

ถาม : ถ้าเราไปหางานทำหาเงินใช้

แล้วไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ไปแสวงบุญบ้าง

 ไปทางธรรมจะถือว่าบาปไหม

ตอนนี้ไม่มีรายได้เลย

แต่พ่อแม่พอมีพอใช้ไม่ลำบาก

 แต่ไม่มีเงินพอจะเลี้ยงท่าน

พระอาจารย์ : ไม่ไปขอเงินท่านใช้

ก็ดีแล้วแหล่ะ ไม่บาปหรอก

ที่เราไปทำมาหากิน

เพื่อที่เราจะได้พึ่งตัวเราเองได้

ไม่ไปรบกวนพ่อแม่ นอกจากว่า

พ่อแม่ช่วยตัวเองไม่ได้เท่านั้นแหละ

เราจึงควรจะอยู่กับท่าน เลี้ยงดูท่าน

 แต่ถ้าท่านยังเลี้ยงดูตัวของท่านได้อยู่

 ท่านไม่เดือดร้อน

ก็การไปทำมาหากินการไปอยู่ที่อื่น

ก็ไม่เป็นความผิด แต่อย่างใด

บาปก็คือการทำผิดศีล ๕

 ถ้าเราไม่ได้ฆ่าพ่อฆ่าแม่

ไม่ได้ลักทรัพย์ของพ่อแม่

ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ให้กับพ่อแม่

 ก็ไม่ถือว่าเราทำบาปแต่อย่างใด

 แต่เราอาจจะไม่ได้ทำบุญกับท่าน

เท่านั้นเอง ยังไม่มีโอกาส ได้ตอบแทน

บุญคุณไม่ได้ทำบุญ

 แต่ถ้าต่อไปถ้าเรามีฐานะที่ดีขึ้น

เราก็ควรจะคิดถึงพ่อแม่

 อย่างครูบาอาจารย์สอน

 ว่าก่อนที่จะออกไปทำบุญ

กับพระอรหันต์นอกบ้าน

ก็ให้ทำบุญกับพระอรหันต์ในบ้านก่อน

 ในบ้านพวกเรา

ก็มีพระอรหันต์อยู่ ๒ รูปด้วยกัน

 ก็คือพ่อแม่ของเรานี้แหละ

เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่มีพระคุณ

 กับเราอย่างใหญ่หลวง

ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะมีพระคุณ

เท่ากับพ่อแม่ของเรา

 ยกเว้นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น

ที่มีพระคุณมากกว่าเนื่องจากว่า

พ่อแม่เพียงแต่ให้ร่างกายเราให้ชีวิตเรา

 แต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้

ให้พระนิพพานกับเรา

พระนิพพานนี้มีคุณค่า

ยิ่งกว่าร่างกายของเรา

หลายแสนเท่าด้วยกัน

 แต่พ่อแม่ของเราก็เป็นบุคคลที่สำคัญ

 สำหรับอย่างยิ่งสำหรับเรา

ถ้าเรามีโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณท่าน

ได้ด้วยวิธีใดก็ตาม ขอให้เราทำไปเถิด

ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่อง

ไปทำบุญนอกบ้าน

 ขอให้ทำบุญในบ้านให้พร้อมก่อน

 อย่างที่ในคำสอนของ สัพพะปาปัสะ

 อะกะระณัง กุสะสัสสูปะสัมปะทา

จงยังกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม

กุศลก็คือความดีทั้งหลาย

บุญทั้งหลาย เช่นความกตัญญูกตเวที

เลี้ยงดูพ่อแม่ อันนี้ก็เป็นบุญ

เป็นกุศลอย่างมาก

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

 ต่อให้เลี้ยงพ่อแม่ให้ดีขนาดไหน

แบกท่านไว้บนไหล่บนบ่า

ให้ท่านอุจจาระปัสาวะใส่เรา

บุญคุณของท่านมีกับเราก็ยังไม่หมด

วิธีที่จะทำให้บุญคุณของท่านหมดก็คือ

เราต้องทำให้ท่านเป็นพระโสดาบันให้ได้

ถ้าเราทำให้ท่าน เป็นพระโสดาบันได้

 ท่านก็จะหลุดพ้นจากอบาย

 แล้วท่านก็จะมีภพชาติไม่เกิน ๗ ชาติ

 ท่านก็จะเข้าถึงพระนิพพานได้

 อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำ

กับพระพุทธมารดา

หลังจากที่ทรงตรัสรู้แล้ว

ก็ทรงติดต่อกับพระพุทธมารดา

ที่ได้ไปจุติบนสวรรค์

และทรงใช้พลังจิต

สั่งสอนอยู่ ๑ พรรษาด้วยกัน

จนได้บรรลุเป็นพระโสดาบันขึ้นมา

 พระองค์ก็ถือว่า

ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว

 พระราชบิดา ก็ได้ช่วยให้บรรลุ

เป็นพระอรหันต์ ๗ วัน

ก่อนที่จะเสด็จสวรรคตไป

นี่แหละคือวิธีตอบแทนบุญคุณ

ของผู้ที่มีพระคุณทั้งหลาย

ควรจะตอบแทนทางด้านจิตใจ

 แต่ถ้าเขาไม่พร้อมที่จะรับธรรมะ

หรือวิธีการปฏิบัติ ทางด้านจิตใจ

เราก็ต้องช่วยทางด้านปัจจัย ๔ ไป

 เลี้ยงดูท่านให้ดี

อย่าให้ท่านอดยากขาดแคลน

ให้มีปัจจัย ๔ พร้อมบริบูรณ์

 เจ็บไข้ได้ป่วยก็มีหยูกยามีหมออะไรต่างๆ

ไว้คอยดูแล แล้วถึงเวลาที่ท่านตายไป

 ตายไปเราก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ไปให้

กับท่านอีกต่อหนึ่ง

นี่ก็เป็นสิ่งที่เราทำได้

เป็นสิ่งที่เราไม่ควรจะมองข้าม

 เป็นบุญเป็นกุศลเหมือนกับ

ที่เราไปทำบุญกับพระ

 ครูบาอาจารย์ต่างๆ บุญเหมือนกัน

 เพราะเกิดจากการเสียสละ จาคะ

เสียสละความสุข

เสียสละประโยชน์ของเราให้แก่ผู้อื่น.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

(วันมาฆบูชา)

“หัวใจของคำสอนของพระพุทธเจ้า”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 08 ธันวาคม 2559
Last Update : 8 ธันวาคม 2559 4:56:48 น.
Counter : 1091 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ