Group Blog
All Blog
### การประคองดวงจิตก่อนตาย ###










" การประคองดวงจิตก่อนตาย "
( โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี )

ถาม : การที่จะประคองดวงจิตก่อนที่จะดับสิ้น

อัสสาสะ ปัสสาสะ 

หรือพ้นจากโลกนี้ไป จะมีวิธีทำอย่างไร

จึงจะเป็นทางให้ไปสู่สุคติ และไม่มีทุกขเวทนาบีบคั้น

ตอบ : การที่จะมีทุกขเวทนาบีบคั้นหรือไม่

อยู่ที่ความตั้งใจแน่วแน่ เมื่อก่อนที่ดวงจิตจะดับ

 ก่อนที่อัสสาสะปัสสาสะจะสิ้น

 ต้องตั้งดวงจิตให้มั่นในทางกุศลที่ได้อบรมไว้

 อุทิศกรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย เจ้าก็จักเข้าสู่ความสงบ

 เมื่อเจ้าพ้นจากโลกนี้ไปแล้ว

 เจ้าจะต้องยึดมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ให้เป็นเครื่องช่วยชุบชูวิญญาณของเจ้าไปสู่สุคติ

ในสัมปรายิกภพโน้นโดยเร็ว

หลังจากที่เจ้าได้ใช้กรรมในภพโน้นสิ้นแล้ว

 สิ่งใดไม่วิเศษยิ่งไปกว่าพระรัตนตรัย

ก่อนดวงจิตจะดับ เจ้าจะต้องตั้งสติให้มั่นอย่าประมาท

อย่าลืมตัว เมื่อจิตเจ้าแน่แน่วและยึดไว้ดีแล้ว

 ไม่มีอะไรจะมาบีบคั้นเจ้า

ถ้าจิตเจ้าไม่มั่น อาจนึกถึงแต่สิ่งชั่วร้าย

อันเป็นกิเลส พอกพูนดวงจิต

ความโลภ ความโกรธ ความหลง

 มีอุปาทานยึดมั่นในร่างกาย

ในดวงจิต มีอวิชชาคลุมจิตใจไม่ให้ผ่องใสเสียแล้ว

เมื่อนั้นแหละ กรรมจะบีบคั้นดวงจิตเจ้าให้หลุดพ้นจากร่างนี้ไป

ฟังอย่างนี้แล้วพึงตั้งใจให้มั่นอยู่เสมอว่า

 เจ้าต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา จะประมาทขาดสติมิได้

มีความยึดมั่นในองค์สมเด็จ

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

 และคุณพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง

 ยึดมั่นในกุศลผลบุญที่เจ้าได้สร้างเป็นอหิงสา

 คือไม่เป็นผู้ดิ้นรน ดับกิเลส

คือความอาฆาตมาดร้ายสิ้นแล้ว จิตเจ้าจะสงบ

บางคนจุดธูปไหว้พระงึมงำ แต่ใจไปอยู่ในครัว

ไปอยู่ที่อื่น เช่นนี้
ไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย รังแต่จะเป็นราคีมัวหมอง

แก่การประพฤติปฏิบัติในการกุศล

หาเป็นประโยชน์อันใดไม่

ไม่ได้จุดธูปเทียนแต่พนมด้วยมือสิบนิ้ว

 กับดวงใจถือเป็นประดุจดอกบัวบูชาแก่คุณพระรัตนตรัย

 สวดมนต์ในใจไม่ดังด้วยความตั้งใจมั่น

ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ที่จะสร้างบุญกุศลอันแท้จริงแล้ว

หูไม่ฟังเรื่องร้าย ไม่เอาตาไปดูสิ่งที่ไม่ควรดู

ย่อมยิ่งกว่าจุดธูปเทียนบูชาต่อหน้าคนนับพัน

ถ้าเจ้าตั้งใจมั่นแล้วดีเสมอ คาถาที่ข้าจะให้วันนี้ก็คือ

 "อย่าประมาทขาดสติ"







ขอบคุณที่มา fb. พุทธธรรมนำใจ
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 25 กรกฎาคม 2559
Last Update : 25 กรกฎาคม 2559 12:14:29 น.
Counter : 886 Pageviews.

0 comment
### เรื่องของบุญ และ ทาน ###










เดี๋ยวนี้เราเข้าใจคำว่า ‘บุญ’ และ ‘ทาน’ แคบลง

หรือเข้าใจคลาดเคลื่อน

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า

การทำบุญ คือ การถวายของให้พระหรือวัดเท่านั้น

 ความคิดนี้ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว

 เนื่องจากการถวายของแก่พระสงฆ์นั้น

 ก็ถือว่าเป็น ‘ทาน’ อย่างหนึ่ง

‘ทาน’ ในพระพุทธศาสนานั้น หมายถึง

 การสละสิ่งของจะให้ใครก็ตาม

 ไม่ว่าจะเป็นพระ หรือฆราวาส ก็เรียกว่า ‘ทาน’ ทั้งสิ้น

 อย่างทานที่ถวายพระสงฆ์ก็ เรียกว่า ‘สังฆทาน’

แต่คนมักจะเข้าใจผิดว่า การให้ของแก่ฆราวาส เรียกว่า ‘ทาน’

แต่การให้ของแก่พระ เรียกว่า ‘บุญ’ อันนี้ไม่ใช่

‘บุญ’ ในพระพุทธศาสนานั้นมี 10 อย่าง

โดยมี ‘ทาน’ เป็นหนึ่งในบุญเหล่านั้น

 นอกจากนี้ ก็จะมีการทำบุญอีก 9 วิธี

ที่เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลย เช่น การรักษาศีล

การบำเพ็ญภาวนา การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม

 หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘เวยยาวัจจมัย’

คือ บุญที่เกิดจากการทำเพื่อส่วนรวม

ซึ่งใกล้เคียงกับคำว่า ‘จิตอาสา’

แต่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ‘บุญ’ เกิดจาก

การถวายของให้พระ ทำให้คนส่วนใหญ่มุ่งแต่จะถวายสิ่งของ

 ถวายเงินให้พระอย่างเดียว ไม่สนใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น

 ปฏิเสธที่จะเป็นจิตอาสารักษาสิ่งแวดล้อม

 มองข้ามการทำงานช่วยเหลือสังคม ฯลฯ

เหตุผลเพราะ ประการที่หนึ่ง เราไปเน้นการให้ด้วยเงิน

 ทั้ง ๆ ที่สามารถให้อย่างอื่นได้ด้วย

เช่น ให้เวลา ให้แรงงาน หรีอให้ความรู้

ประการที่สอง เรามักไปเน้น

 ‘ผู้รับ’ ที่เป็น ‘พระ’ มากกว่าคนทั่วไป

คนในอดีตจะเข้าใจคำว่า ‘บุญ’ กว้างกว่าคนในปัจจุบัน

 ยกตัวอย่างง่ายๆ คนเมืองเพชร

แต่ก่อนเวลาเขาจะปลูกต้นไม้สักต้น

เขาจะมีคาถาเรียกว่า “คาถากลบดิน”คือ

‘พุทธัง ผลาผล นกเกาะได้บุญ คนกินเป็นทาน
ธัมมัง ผลาผล นกเกาะได้บุญ คนกินเป็นทาน
สังฆัง ผลาผล นกเกาะได้บุญ คนกินเป็นทาน’

จะเห็นได้ว่า การปลูกต้นไม้นั้นก็ถือเป็นการทำบุญ

เป็นการให้ทานที่ไม่ต้องใช้เงินเลย

 แต่เกิดจากจิตที่เมตตาทั้งกับคนและสัตว์.

พระไพศาล วิสาโล






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 24 กรกฎาคม 2559
Last Update : 24 กรกฎาคม 2559 11:12:57 น.
Counter : 680 Pageviews.

1 comment
### วันอาสาฬหบูชา วันแห่งการดับทุกข์ ###










วันนี้เมื่อ ๒,๖๐๐ กว่าปีก่อน

พระพุทธองค์ได้เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับทุกข์

ที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ

โดยไม่เพียงแจกแจงทั้งความทุกข์ทางกาย

และความทุกข์ทางใจเท่านั้น

หากยังชี้ให้เห็นถึงรากเหง้าของมัน

 ทุกข์กายนั้น ไม่มีใครหนีพ้น

 เช่นเดียวกับความพรัดพรากสูญเสีย

 เพราะทุกสิ่งล้วนมีความพร่อง

มีความขัดแย้งอยู่ภายใน

 จึงต้องเสื่อมและสลายไปในที่สุด (ทุกขัง)

 ส่วนความทุกข์ใจนั้นเกิดจาก

ความยึดติดถือมั่นในสิ่งเหล่านี้

ดังนั้นเมื่อสิ่งเหล่านี้เสื่อมสลายไป

ความโศกเศร้า ร่ำไรรำพัน อาลัยอาวรณ์

 และความคับแค้นใจจึงเกิดขึ้น

ผ่านไปกว่า ๑๐๐ ชั่วอายุคนแล้ว

แม้ผู้คนทุกวันนี้มีความสุขสบายกายกว่าคนรุ่นก่อน

มากมายหลายเท่าตัว แต่ก็ยังมีความทุกข์ใจอยู่นั่นเอง

 อาจจะทุกข์กว่าคนในอดีตด้วยซ้ำไป

แต่ถึงอย่างไรเราก็ยังสามารถอยู่อย่างไร้ทุกข์ได้

แม้ยังต้องเจอกับความทุกข์กาย

และความพลัดพรากสูญเสีย

 แต่ก็สามารถยกจิตให้อยู่เหนือปรากฏการณ์เหล่านั้นได้

 หากตระหนักถึงความจริงว่าสรรพสิ่งนั้นล้วนไม่เที่ยง

 ไม่คงตัว และไม่ใช่ตน จนคลายความยึดติดถือมั่น

 ไม่หลงยึดว่ามันเป็นตัวกูของกูอีกต่อไป

หากแต่คืนมันให้แก่ธรรมชาติไป

ความจริงดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการคิดเอา

 แต่เกิดจากการเห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้ง

 แต่จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องฝึกทั้งกาย วาจา และใจ

ซึ่งพระพุทธองค์ได้แจกแจงออกมา

เป็นข้อปฏิบัติ ๘ วิธีหรือ ๘ ด้าน ซึ่งเรียกว่ามรรคมีองค์ ๘

คำแนะนำเหล่านี้มีอยู่อย่างครบถ้วน

ในปฐมเทศนาของพระองค์ คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

 อันเป็นที่มาของวันอาสาฬบูชา

ซึ่งเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งในวันนี้

นอกจากการใส่บาตรและเวียนเทียนตามประเพณีแล้ว

 เราควรระลึกถึงคำสอนของพระองค์ในวันนี้

และน้อมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตด้วย

พระไพศาล วิสาโล






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 19 กรกฎาคม 2559
Last Update : 19 กรกฎาคม 2559 14:53:42 น.
Counter : 940 Pageviews.

0 comment
### ดูแลใจให้ดี ###









ดูแลใจให้ดี

“ทุกครั้งที่เราทุกข์ใจอย่าเพิ่งโทษสิ่งภายนอกตะพึดตะพือ

 ให้กลับมาดูใจเราด้วยว่าใจเราไปเปิดทางยินยอม

หรือผสมโรงให้ความทุกข์ต่างๆ จากภายนอก

เข้ามาเล่นงานใจเราหรือเปล่า

 ถ้าจะตอบอย่างฟันธงก็คือ ใช่

ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากทุกข์ใจ

 ก็อย่ามัวเรียกร้องคนโน้นคนนี้ให้พูดดีๆ กับเรา

อย่าทำสิ่งที่ไม่ดีกับเรา

อันนั้นมันเป็นไปได้ยาก

เราควบคุมบังคับบัญชาคนอื่นไม่ได้

แต่สิ่งที่เราทำได้คือดูแลใจเราให้ดี

อย่าเปิดช่องให้ความทุกข์หรือสิ่งเลวร้าย

เข้ามาเล่นงานจิตใจเราได้

คนอื่นเขาทำได้อย่างมากก็แค่ต่อว่าด่าทอเรา

ขโมยเงินเรา โกงเงินเรา เอาทรัพย์สินของเราไป

หรือแม้กระทั่งทำร้ายร่างกายเรา

แต่ว่าเขาไม่สามารถทำให้เราทุกข์ใจได้

แต่ที่เราทุกข์ใจก็เพราะเราทำตัวเอง

หรือใจเรานั่นแหละเข้าไปปรุงแต่งผสมโรง

เงินหายก็หายแต่ของ ใจไม่เสีย เราทำได้

 หรือว่าถูกทำร้ายร่างกายแต่ใจไม่ทุกข์ เราก็ทำได้เช่นกัน

 ขอเพียงแต่ดูแลรักษาใจให้ดีเท่านั้น”

พระไพศาล วิสาโล






ขอบคุณที่มา fb. วัดป่าสุคะโตธรรมชาติที่พักใจ
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 กรกฎาคม 2559
Last Update : 15 กรกฎาคม 2559 10:49:03 น.
Counter : 653 Pageviews.

0 comment
### คนหนีทุกข์ ###








คนหนีทุกข์

ใช่หรือไม่ว่า การแสวงหาความสุขของผู้คนก็เช่นกัน

 คือ เป็นการหนีทุกข์ เพียงเพื่อจะมาเจอทุกข์อีก

 แล้วก็ต้องหนีต่อไป แม้ได้เสพอารมณ์ที่น่าพอใจ

 ได้ครอบครองวัตถุสมปรารถนา

แต่ไม่ช้าไม่นานก็จะรู้สึกเบื่อหน่ายจำเจ

เกิดแรงผลักภายในให้อยู่เฉยไม่ได้

ต้องขวนขวายไปหาอารมณ์หรือสิ่งเสพใหม่ ๆ

 เพียงเพื่อจะเจอกับความเบื่อหน่ายอีก

แล้วต้องดิ้นรนออกไปแสวงหาสิ่งใหม่ไม่รู้จบ

ชีวิตที่เอาแต่หนีทุกข์ ย่อมเป็นชีวิตที่หาความสุขได้ยาก

 เพราะนอกจากจะเหนื่อยกับการหาทางหนีทุกข์แล้ว

ยังต้องหนีทุกข์ไม่หยุดหย่อนจนกว่าจะหมดลม

 จะไม่ดีกว่าหรือหากเราหันมาเผชิญหน้ากับทุกข์

 หันมารับมือกับแรงผลักจากภายใน

ที่ทำให้เราต้องดิ้นรนไม่หยุดหย่อน

โดยเฉพาะความเบื่อ ความฟุ้งซ่าน

 ความกระสับกระส่าย รวมทั้งความอยากได้ใคร่ดีทั้งหลาย

ลองกลับมาดูใจของตน และรู้ทันอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

 เห็นมันด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่ผลักไสกดข่ม

ก็จะพบว่าอารมณ์เหล่านี้เหมือนสายลม

มาแล้วก็ผ่านเลยไป ที่สุดเราจะพบ

กับความสงบนิ่งที่กลางใจ ซึ่งสามารถนำพาความสุข

มาหล่อเลี้ยงจิตใจของเราได้

โดยไม่จำต้องไปเสาะแสวงหา

ความสุขจากสิ่งเสพใด ๆ ภายนอกตัว

จวงจื๊อ ปราชญ์จีนเมื่อ ๒,๓๐๐ ปีที่แล้ว เล่าว่า

มีชายคนหนึ่งรำคาญเงาของตัวเองมาก

อีกทั้งยังทนรอยเท้าของตัวไม่ได้

 เขาจึงพยายามวิ่งหนีจากทั้งสองสิ่งนี้

แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปไหน เงาและรอยเท้าก็ยังติดตามเขาไป

 เขาคิดว่าเขาวิ่งเร็วไม่พอ จึงเร่งฝีเท้า ไม่ยอมหยุด

 วิ่งแล้ววิ่งเล่า ในที่สุดก็หมดแรง ล้มลงและถึงแก่ความตาย

แล้วจวงจื๊อก็ตบท้ายว่า

“เขาหารู้ไม่ว่า ถ้าเพียงแต่เขาเข้าร่ม เงาก็จะหายไป

 และถ้าเขานั่งนิ่ง ๆ ก็จะไม่มีรอยเท้าเลย”

คนทุกวันนี้ไม่ต่างจากคนหนีเงา

 พยายามทำทุกอย่างเพื่อหนีทุกข์

โดยคิดว่าเป็นความสุข แต่ทุกข์ก็ยังตามมาไม่หยุด

 เขาหารู้ไม่ว่า ความทุกข์จะหมดไป

เมื่อเขาหันเข้าหาร่มแห่งธรรมและทำใจให้นิ่งสงบ

ถึงที่สุดแล้ว ใครจะมีความสุขหรือไม่

 ไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาออกไปตักตวงแสวงหา

ทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงคเกียรติยศได้สำเร็จหรือไม่

แต่อยู่ที่เขามีความสงบนิ่งได้มากน้อยเพียงใดต่างหาก.

พระไพศาล วิสาโล
................





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 กรกฎาคม 2559
Last Update : 13 กรกฎาคม 2559 9:00:55 น.
Counter : 752 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ