Group Blog
All Blog
### อดทนพากเพียรเจริญสติ ###









“อดทนพากเพียรเจริญสติ”

หน้าที่ของศีล ๘ ที่จะเสริมสร้างความเพียรให้กับพวกเรา

 เพื่อที่เราจะได้มีเวลามาสร้างเหตุ

ที่จะทำให้ใจเราได้ผลจากการบำเพ็ญสมถภาวนา

 เหตุที่เราต้องมีก็คือ สตินี่เอง

เราต้องเจริญสติ ซึ่งเป็นการกระทำที่ยากมาก

สำหรับพวกเรา สำหรับใจของพวกเรา

ที่ไม่เคยถูกควบคุมบังคับ ที่เคยถูกปล่อย

ให้ไหลไปตามกระแสของอารมณ์ความคิดปรุงเเต่งต่างๆ

 พอถูกบังคับให้อยู่กับอารมณ์เดียว เรื่องเดียว

 เช่นการบริกรรมพุทโธๆหรือการเฝ้าดูการเคลื่อนไหว

การกระทำของร่างกายในทุกอิริยาบถ

ก็จะเกิดความรู้สึกอึดอัด เราก็ต้องมีคุณธรรมข้อที่ ๔

ก็คือความอดทน มันจะยากจะลำบากก็ต้องทนทำมันไป

 ฝืนทำมันไปเหมือนกับการกระทำ

สิ่งที่เราไม่เคยกระทำมาก่อน มันจะยากกว่า

การกระทำที่เราเคยทำมาแล้ว

เช่นถ้าเราถนัดมือขวา การใช้มือขวานี้จะรู้สึกง่ายสบาย

แต่พอต้องมาใช้มือซ้ายบังคับให้ใช้มือซ้ายนี้

มันจะไม่ถนัดและมันจะรู้สึกยากลำบาก

 แต่มันเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องทำ

เพราะการปล่อยให้ใจไหลไป ตามกระแส

ของความรู้สึกนึกคิดนี้จะไม่ทำให้ใจสงบ

 จะไม่ทำให้ใจเป็นหนึ่ง จะไม่ทำให้ใจเป็นสุข

ที่จะมาใช้ต่อสู้กับความอยากต่างๆ ได้

ดังนั้นเวลาที่เราต้องเจริญสติ

เราต้องใช้ความขันติ อดทน ใช้วิริยะอุตสาหะ

 ความพากเพียร ใช้อธิษฐานสัจจะ คอยควบคุม

ให้เจริญสติให้ได้อย่างต่อเนื่อง จนเป็นสัมปชัญญะ

คือมีสติตลอดเวลา ไม่เผลอไปคิดปรุงเเต่ง

 กับเรื่องนั้นเรื่องนี้จะอยู่กับพุทโธๆไป

หรือจะอยู่กับการเฝ้าดูการเคลื่อนไหว

การกระทำของร่างกาย ในทุกอริยาบถ

 ถ้าเราสามารถควบคุมใจให้อยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้

เช่นอยู่กับพุทโธได้ อยู่กับการเฝ้าดู

การเคลื่อนไหวของร่างกายได้ ใจก็จะเป็นหนึ่ง

 ใจก็จะนิ่งใจจะสงบ แล้วใจก็จะรวมเข้าสู่อุเบกขา

 เข้าสู่ความว่าง เข้าสู่ความสุข

ที่เต็มไปด้วยความอิ่มความพอ

พอเรามีความสุขอย่างนี้แล้ว เราก็จะมีกำลังที่จะต้าน

ความอยากต่างๆได้

เพราะความอยากนี้มันเป็นความหิวปลอม

มันเป็นความรู้สึกที่หลอกเรา ว่าเราหิว

เราต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้

แต่พอเรามีความอิ่มที่เกิดจากสมาธิ

ที่เป็นความอิ่มจริง เป็นความพอจริง

ถึงแม้ว่าจะเป็นความอิ่มความพอชั่วคราว

มันก็พอที่จะใช้สู้กับความอยากที่เป็นความหิวปลอมนี้ได้

ทำไมถึงเรียกว่าหิวปลอม

 เพราะว่าถ้าเราไม่ทำตามความอยาก

เราก็จะไม่รู้สึกว่าเราอดยากขาดแคลนแต่อย่างใด

 ถ้าใจเรามีความสงบ

ที่เรารู้สึกว่าเราหิวอดยากขาดแคลนก็เพราะว่า

ใจเราไม่สงบนั่นเอง

ใจเราไม่มีอาหาร คือความสงบ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ

จึงทำให้เราเกิดความรู้สึกหิวอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา

 จนติดเป็นนิสัยไป หลังจากที่ได้สมาธิได้ความอิ่มแล้ว

 นิสัยความหิวความอยากนี้มันก็ยังไม่ตายไป

 มันก็จะโผล่ออกมาเรื่อยๆ หลังจากที่เราออกจากสมาธิมาแล้ว

 แต่ถ้าเรามีความสงบแล้วและเราได้ปัญญา

จากพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนว่า อย่าไปทำตามความอยาก

 เพราะการทำตามความอยากนี้

ไม่ใช่เป็นการให้ความสุขที่แท้จริง

แต่กลับเป็นการ สร้างความทุกข์ที่จะตามมาอย่างต่อเนื่อง

เพราะความสุขนี้มันจะไม่มีวันหมดไป

 ต่อให้เราทำตามความอยากได้ มากน้อยเพียงไร

มันจะไม่ได้ทำให้ใจของเราอิ่ม ทำให้ใจของเราพอ

 แต่จะกลับทำให้ใจของเราหิวทำให้ใจของเราวุ่นวายไปอยู่เรื่อยๆ

วิธีที่จะทำให้ใจของเราสงบและอิ่มอย่างถาวร

 ก็คือเราต้องไม่ทำตามความอยากเท่านั้น

 ให้เราดูสิ่งที่เราอยากได้ ว่าเวลาได้มาแล้ว

 มันมีผลอะไรกับจิตใจเรามันให้ความสุขเรานานสักเพียงไร

 บางทีมันให้เราเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง

แล้วมันก็จางหายไปแล้วมันก็จะเกิดความอยากที่จะได้ใหม่

ส่วนของที่ไม่จางหายไปของที่ได้มาแล้วยังมีอยู่

 มันก็กลับสร้างความวุ่นวายใจให้กับเรา

 เพราะเราได้ของอะไรมาเราก็มักจะรักจะหวงจะห่วง

เพราะเราอยาก จะให้ของที่เราได้มา

หรือบุคคลที่เราได้มานั้นอยู่กับเราไปเรื่อยๆ ไม่จากเราไป

แต่พอเราคิดขึ้นมาว่าเขาอาจจะ ต้องจากเราไปวันใดวันหนึ่ง

หรือเขาจากเราไปจริงๆ

เวลานั้นแทนที่เราจะมีความสุขกับสิ่งที่เราได้มา

 สิ่งที่เราได้มานั้นกลับกลายเป็นเหตุ

ที่สร้างความทุกข์ใจให้กับเรา

 การสูญเสียสิ่งที่เรารักไปนี้

มักจะทำให้เรา ร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจกัน

 แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งที่เราได้มา

เราจะมาเศร้าโศกเสียใจร้องห่มร้องไห้กับอะไร

อันนี้ให้ใช้ปัญญาพิจารณา

ดูตามพระพุทธเจ้าได้ทรงพิจารณาและได้ทรงปฏิบัติมา

 พระองค์ทรงฝืน ความอยากทุกชนิด

ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ที่เรียกว่ากามตัณหา พระองค์ก็ทรงฝืนไม่ทำตาม

ภวตัณหา คือความอยากมี อยากเป็น

พระองค์ก็ทรงฝืนไม่กระทำ

วิภวตัณหา ก็ทรงฝืนไม่กระทำตามความอยาก

 พอไม่กระทำไปเรื่อยๆ

ความอยากก็จะอ่อนกำลังลงไปตามลำดับ

แล้วก็จะหมดไปในที่สุด

นี่แหละคือวิธีที่เราจะสร้างมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

 ให้เป็นไปอย่างถาวร ต้องสร้างด้วยวิปัสสนาภาวนา

 คือหลังจากที่เราได้สมถภาวนาคือความสงบแล้ว

เราก็เอาความสงบนี้มาต่อสู้กับความหิวความอยากต่างๆ

มาสนับสนุนปัญญา

ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพิจารณา

 ให้พิจารณาว่าทุกอย่างไม่เที่ยงดีขนาดไหนก็ไม่เที่ยง

 ถึงเวลามันก็ต้องจากเราไป

ถ้าเรารักมันเราก็จะทุกข์

ของไม่ดีถ้าเราเจอมันเราก็จะทุกข์

ถ้าเราอยากจะให้มันหายไป มันก็หายไม่ได้

 เพราะมันเป็นอนัตตา มันไม่ได้เป็นของเรา

มันไม่ได้เป็นตัวเรา มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราจะสั่ง

มันหายไปได้ เช่นเวลาความแก่โผล่มา

เราจะสั่งให้มันหายไปไม่ได้

เราจะกลับไปเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่ได้

เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยเราจะสั่งให้มันหายไปไม่ได้

เวลาที่มันจะตายขึ้นมา เราไปสั่งให้มันไม่ตายไม่ได้

 เราก็ต้องหยุดความอยาก อย่าไปสั่งอย่าไปอยาก

ให้มันไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

เพราะมันจะทำให้เราต้องเครียด

ต้องทุกข์ทรมานใจไปเปล่าๆ

โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงแต่อย่างใด

 ความแก่ก็ยังต้องแก่ ความเจ็บก็ยังต้องเจ็บ

 ความตายก็ยังต้องตาย

 แต่ความเจ็บ ความแก่ ความตายนี้

 มันไม่ได้เป็นตัวปัญหา

มันไม่ได้เป็นตัวที่สร้างความทุกข์ใจให้กับเรา

 ตัวที่สร้างความทุกข์ใจให้กับเรา

ก็คือความอยากไม่แก่ อยากไม่เจ็บ

 อยากไม่ตายนี้ต่างหากอันนี้คือความจริงที่เรียกว่าปัญญา

 ที่เราสามารถพิจารณาและแยกแยะออกให้เห็นได้ว่า

 อะไรเป็นพิษเป็นภัยกันแน่

พวกเรากลัวความแก่ กลัวความเจ็บ กลัวความตาย

เหมือนกับกลัวเสือ แต่ความจริงมันเป็นเสือที่ไม่กัด

ตัวที่กัดเรา เรากลับไม่กลัว

เรากลับไม่รู้ว่ามันเป็นตัวที่กำลังกัดเรา

ตัวที่กำลังกัดเราก็คือตัววิภวตัณหานี้

ความอยากไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย

ไม่ใช่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย

คนที่ไม่มีความอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

เช่นพระอริยบุคคลทั้งหลายตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปนี้

 ท่านไม่ทุกข์กับความแก่ ไม่ทุกข์กับความเจ็บ

 ไม่ทุกข์กับความตาย เพราะท่านเจอเสือที่แท้จริง

และได้ฆ่ามัน ท่านรู้ว่าเสือตัวนี้ก็คือวิภวตัณหานี่เอง

 ตัวที่ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย

 เพราะมันไม่มองความจริงมองแต่ความหลง

 คิดไปตามความหลง รักอะไรแล้ว

ก็ต้องให้มันอยู่กับเราไปตลอด

รักร่างกายนี้ก็ต้องการให้มันไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

 ก็เลยสร้างเสือขึ้นมา เสือก็แท้จริงก็คือ

ความอยากไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย

พอใช้ปัญญาพิจารณาแยกแยะแล้ว

ก็เลยรู้ว่า ต้องฆ่าตัวไหน ตัวที่จะต้องฆ่าก็คือ

ตัวความอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนี่เอง

 ตัวนี้แหละที่เป็นเสือจริง เสือปลอมก็คือ

ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันไม่กัดเรา

มันไม่ทำลายจิตใจของเรา

อันนี้จะเกิดขึ้น ถ้าเรามีสมถภาวนา

ถ้าไม่มีสมถภาวนา เราจะไม่มีกำลัง

ที่จะพิจารณาความจริงอันนี้

 มันต้องพิจารณาในขณะที่ เกิดเหตุการณ์จริง

ถ้ายังไม่มีเหตุการณ์จริง อย่างตอนนี้

เราพิจารณากันมันยังไม่ได้เป็นของจริง

 มันยังดับความทุกข์ไม่ได้ มันยังฆ่าเสือไม่ได้

ต้องรอให้เสือมาจริงๆก่อน

ต้องรอให้เกิดวิภวตัณหาขึ้นมาจริงๆ

การที่จะเกิดวิภวตัณหาขึ้นมา

ก็ต้องไปเจอความแก่ ความเจ็บ ความตายอย่างจริงๆ

 แล้วดูซิว่าจะทำใจได้หรือเปล่า

ทำใจให้ไม่ทุกข์กับความแก่

ความเจ็บ ความตายได้หรือเปล่า

 ถ้าทำได้ก็แสดงว่า

เราได้ฆ่าเสือ ตัวที่มาคอยกัดกินใจของเรา

นี่คือเรื่องของวิปัสสนาที่จะต้องเอามาใช้

ในการฆ่าเสือทั้ง ๓ ตัวนี้

เสือคือกามตัณหา วิภวตัณหา ภวตัณหา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘

“อธิษฐาน สัจจะ วิริยะ ขันติ”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 20 มิถุนายน 2559
Last Update : 20 มิถุนายน 2559 10:10:27 น.
Counter : 796 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ