Group Blog
All Blog
### เห็นอริยสัจ ๔ ในใจตลอดเวลา ###















“เห็นอริยสัจ ๔ ในใจตลอดเวลา”

การพูดถึงตัณหาความอยากนี้ก็พูดเป็นภาพรวมๆเท่านั้นเอง

 ตัณหาความอยากก็มีหลายรูปแบบ หลายอย่างด้วยกัน

 จึงมีการแบ่งชั้นของการบรรลุธรรมไว้ ๔ ชั้น

ชั้นโสดาบันก็กำจัดความอยากได้ในส่วนหนึ่ง

 ชั้นสกิทาคามีก็ได้อีกส่วนหนึ่ง

 ชั้นอนาคามีก็ได้อีกส่วนหนึ่ง

 แล้วชั้นอรหันต์ก็ได้อีกส่วนหนึ่ง

ได้ครบถ้วน ก็ต้องถึงขั้นที่ ๔ พระอรหันต์

ถึงจะสามารถกำจัดความอยากต่างๆ ให้หมดไปจากใจได้

รายละเอียดนี้ ก็ต้องไปปฏิบัติแล้วไปเจอ

 ผู้ที่มองจิตอยู่ตลอดเวลา ถ้าสมาธิแล้วจะเข้าถึงดูจิต

 จะเห็นการทำงานของอริยสัจ ๔ ว่าเป็นการทำงานของ ๒ ฝ่าย

ฝ่ายผูกมัดให้ติดอยู่ในกองทุกข์

 กับฝ่ายที่ปลดเปลื้องให้หลุดออกจากกองทุกข์

 ฝ่ายที่ผูกมัดให้อยู่กับกองทุกข์ก็คือ “สมุทัย”

สมุทัยกับความทุกข์ เวลามีความอยากก็จะมีความทุกข์

แล้วความอยากนี้ที่เกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าฝ่ายของมรรค

ฝ่ายที่ปลดเปลื้องใจออกจากกองทุกข์นี้มีกำลังน้อยกว่า

 เหมือนกับการชักเย่อกันของ ๒ ฝ่าย

ฝ่ายไหนมีกำลังมากกว่าฝ่ายนั้นก็จะดึงไปทางของฝ่ายนั้น

 เช่นถ้าธรรมะมีกำลังน้อยกว่า

 เช่นสติ สมาธิ ปัญญามีกำลังน้อยกว่าตัณหาความอยาก

ก็สู้ตัณหาความอยากไม่ได้ ใจก็จะวุ่นวายขึ้นมา

ใจก็จะมีความทุกข์ต่างๆ ขึ้นมา

 ถ้ามรรคคือสติ สมาธิ ปัญญา มีกำลังมากกว่าตัณหา

 ความทุกข์ก็จะสงบไป ความทุกข์ก็จะหายไป

ความอยากก็จะหายไป ใจก็จะสงบ ใจก็จะมีความสุข

ดังนั้นสิ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องสร้างให้มากก็คือมรรคนี่เอง

 สร้างสติ สร้างสมาธิ สร้างปัญญาให้มาก

 เหมือนกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิง

เวลาไปดับเพลิงนี้เจ้าหน้าที่ต้องมีน้ำไว้มากๆ

ถ้าน้ำมีน้อยกว่าไฟ สู้ไฟไม่ได้ ก็จะดับไฟไม่ได้

ถ้ามีน้ำมากกว่าไฟ กำลังของน้ำมีกำลังมากกว่ากำลังของไฟ

 น้ำก็จะสามารถดับไฟได้ ไฟป่าบางชนิดนี้ดับไม่ได้

หรือกว่าจะดับได้นี้ใช้เวลามาก

 ก็เพราะว่ากำลังของน้ำมีไม่พอ สู้กำลังของไฟไม่ได้ ฉันใด

ความทุกข์ใจของพวกเรา ถ้ามีตัณหาที่มีกำลัง

มากกว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า

ความทุกข์ของใจเรา ก็จะดับไม่ได้

แต่ถ้าเรามีธรรมะของพระพุทธเจ้าที่มีกำลังมากกว่าตัณหา

 เราก็จะดับความทุกข์ใจต่างๆ ให้หมดไปจากใจได้

เวลาใจสงบนี้ใจจะเข้ามาถึงจุดนี้

 ใจจะเห็นการทำงานการต่อสู้ของทั้ง ๒ ฝ่าย

ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับได้ไปดูมวยข้างเวทีเลย

เวลาดูมวยข้างเวทีกับดูมวยที่ข้างหลังเวทีนี้มันมองไม่ชัด

 อยู่ข้างหลังเวทีมันมองไกลมองไม่ชัด

เหมือนกับเวลานั่งอยู่ข้างหน้าเวที

ฝ่ายไหนชกกี่หมัดนี้เห็นเลย

กรรมการที่ตัดสินจึงต้องนั่งอยู่ข้างเวที

ไม่ได้ไปนั่งอยู่ที่ขอบของเวที

อยู่ข้างหลังเวทีจะมองไม่เห็นชัด

จิตของผู้ที่ยังไม่มีสมาธินี้จะยังมองไม่เห็น

การทำงานอย่างชัดเจนของสมุทัย กับของมรรค

 แต่ถ้าจิตได้เข้าสู่สมาธิได้ เข้าสู่อุเบกขาแล้ว

จะสามารถเห็นการทำงานได้อย่างชัดเจน

เพราะขณะที่จิตอยู่ในอุเบกขานี้ “จิตจะนิ่ง”

 แสดงว่าตอนนั้นธรรมะมีกำลังมาก

สติมีกำลังมากกว่า ตัณหาความอยาก

แต่พอสติอ่อนกำลังลง

ตัณหาก็ดันใจให้ออกมาสู่ข้างนอกมาสู่รูป เสียงกลิ่นรส

 แล้วก็เกิดตัณหาขึ้นมา พอเกิดความอยาก

ก็เกิดความกระเพื่อมของใจขึ้นมา

ผู้ปฏิบัติเวลาปฏิบัติ ถึงจุดนี้แล้ว

ไม่มองอะไรแล้วมองใจเป็นหลัก

ดูว่าใจตอนนี้กระเพื่อมหรือไม่กระเพื่อม

 อยากหรือไม่อยาก

แล้วก็แก้ตรงที่ใจนี้ไม่ไปแก้ที่ข้างนอก

ข้างนอกก็แก้ไปตามเหตุตามผล

อันไหนพอจะแก้ได้ก็แก้ไป

 แต่ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก

ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ข้างในใจ อยู่ที่ตัณหาความอยาก

ที่มีกำลังน้อยกว่าธรรมะคือ สมาธิ สติ และปัญญา

ถ้ามีสติ มีสมาธิ มีปัญญามากกว่า

 ก็จะสามารถหยุดตัณหาความอยากต่างๆ ได้

 ตัณหาอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ก็ใช้ปัญญาพิจารณา

ให้เห็นว่า มันเป็นไตรลักษณ์ไป

พอเห็นว่าเป็นไตรลักษณ์ เห็นว่าเป็นทุกข์

 ก็ไม่อยากได้แล้ว เปลี่ยนใจไม่เอาดีกว่า

ใครอยากจะเอาความทุกข์กัน

ที่ทำแทบเป็นแทบตายที่อยากกันแทบเป็นแทบตาย

ก็เพราะว่าคิดว่า มันเป็นความสุขกัน

 แต่ไม่รู้เพราะว่าไม่ได้มองอยู่ที่ใจ

 ใจทุกข์แบบกินไม่ได้นอนไม่หลับ

แต่ก็ยังอยากได้ในสิ่งที่อยากได้อยู่ จนกว่าจะได้สติ

 เห็นว่าตอนนี้เรากำลังทุกข์ เรากำลังแก้ปัญหาผิดจุดผิดที่

ที่เราจะต้องแก้ต้องอยู่ที่ใจอยู่ที่ตัณหา

ถ้ามีสติ มีปัญญา มีสมาธินี้จะอยู่ใกล้ใจมาก

จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของจิตใจตลอดเวลา

แล้ว ก็จะแก้ปัญหาที่จิตใจ ด้วยสติหรือด้วยปัญญา

 ถ้ายังหาปัญญามาแก้ไม่ได้ก็ใช้สติ

ดึงจิตหยุดคิดปรุงเเต่งไปก่อน

 ระงับความคิดปรุงเเต่งไปชั่วคราวให้สักแต่ว่ารู้ไว้

แล้วความอยากก็จะหยุดไปชั่วคราว

แต่เวลาใดที่เผลอ ปล่อยให้คิด

ก็จะเกิดความอยากขึ้นมาใหม่

ถ้าจะอยากให้กำจัดความอยากอย่างถาวร

ก็ต้องเอาปัญญามาสอนใจ สอนให้เห็นว่า

ถ้าทำตามความอยากนี้แล้วจะนำไปสู่ความทุกข์

อันนี้เป็นเรื่องของการบำเพ็ญ

ถ้าบำเพ็ญถึงจุดที่เรียกว่า เข้าถึงฐานของจิตแล้ว

มันจะรู้ว่าเวทีต่อสู้นี้ไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก

เวทีที่ต่อสู้ระหว่างธรรม กับกิเลสนี้อยู่ภายในใจ

 ถ้าเรายังไม่ได้เข้าถึงฐานของจิตนี้เรายังไม่เข้าถึงเวที

 เรายังจะไม่รู้จักวิธีดับความทุกข์ใจ ต่างๆ

 เราก็จะไปดับความทุกข์ใจด้วยการไปเปลี่ยน

หรือไปแก้สิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราไม่สบายใจ

ถ้าคนนั้นไม่สบายใจ เราก็ไปแก้ที่คนนั้น

ถ้าสิ่งนั้นไม่สบายใจเราก็ไปแก้ที่สิ่งนั้น

 แก้ไปมันก็อาจจะแก้ได้ทำให้สบายใจได้

 แต่เดี๋ยวมันก็มีสิ่งใหม่โผล่ขึ้นมา

ที่จะทำให้เราไม่สบายใจอีก

 หรือจะมีคนใหม่มาทำให้เราไม่สบายใจอีก

เราก็จะต้องแก้ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น

เพราะเราไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ คือตัณหาความอยากของเรา

 เราไปแก้ที่ปลายเหตุเวลาของไหนเสียเราก็ไปซ่อมมัน

 พอซ่อมมันเอามาใช้ได้ ความทุกข์ใจกับของนั้นก็หายไป

 เดี๋ยวใช้ไปสักพักมันก็เสียขึ้นมาอีก ก็ต้องซ่อมอีก

ซ่อมไม่ได้ก็ไปซื้อใหม่ พอซื้อใหม่เดี๋ยวใช้ไปสักพักมันก็เสียอีก

เพราะของทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นของชั่วคราว

 มันดีชั่วคราวมันให้ความสุขเราชั่วคราว

แล้วเดี๋ยวมันก็ต้องมีอันเป็นไป ถ้าเราต้องไปแก้ภายนอก

เราก็ต้องแก้อยู่เรื่อยๆ ถ้าเราแก้ภายในมันก็จะแก้หนเดียว

 เมื่อมันเสียก็ไม่ต้องไปซ่อมมันไม่ต้องไปใช้มันก็หมดเรื่อง

เกิดมาเราก็ไม่ได้เอามันมากับเรา

 เรามีอะไรติดตัวมากับเราบ้าง เราไม่มีอะไรติดตัวมากับเรา

ทำไมเราอยู่ได้ ตอนนี้เราต้องมีอะไรเต็มบ้านไปหมด

 มีข้าวมีของมีเครื่องใช้ไม้สอยมีคนนั้นคนนี้มาคอยรับใช้เรา

 มาให้ความสุขกับเรา แล้วเวลาที่เขาไม่อยู่เราจะทำอย่างไร

เวลาที่เขาไม่สบายเวลาที่เขาเสียเราจะทำอย่างไร

 เราก็ต้องไปเปลี่ยนไปซ่อมไปรักษาอะไรวุ่นวายไปหมด

แต่ถ้าเราไม่ไปใช้เขาเสียอย่างมันก็จะหมดปัญหาไป

พระพุทธเจ้าทรงว่าอย่าไปพึ่งอะไรให้พึ่งตนเอง

อัตตาหิ อัตโน นาโถ

 พึ่งตนก็คือพึ่งธรรมของพระพุทธเจ้า นี่แหละ

ถ้าเรามีธรรมแล้วเราไม่ต้องพึ่งอะไร

แม้แต่ร่างกายนี้เราก็ไม่ต้องพึ่งมัน

 ถึงเวลาที่มันจะแก่ มันจะเจ็บ มันจะตาย

ก็ปล่อยมันแก่ มันเจ็บ มันตายไป จะไม่ทุกข์จะไม่เดือดร้อน

กับความแก่ ความเจ็บ ความตายของร่างกาย

ถ้าเรามีธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้าเรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาเป็นที่พึ่ง

มีกรหลุดพ้นเป็นที่พึ่ง จิตหลุดพ้นแล้วนี้

จะไม่ต้องพึ่งพาอาศัยต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้

สิ่งต่างๆ จะมีหรือไม่มี จะเกิดหรือจะดับนี้

จะไม่เป็นปัญหากับจิตใจอีกต่อไป

อันนี้แหละคือเป้าหมายของการปฏิบัติธรรม

เพื่อที่ให้ใจของเรานั้นหลุดพ้นจากการพึ่งพาอาศัย

สิ่งต่างๆ ทั้งหลายทีมีอยู่ในโลกนี้

ไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยมันเพราะพึ่งไม่ได้นั่นเอง

เพราะพึ่งได้เป็นครั้งเป็นคราว

 เวลาที่พึ่งไม่ได้ก็จะทุกข์จะเดือดร้อน

 แต่ถ้าไม่พึ่งแล้วจะไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน

ถ้ามีที่พึ่งที่ไม่มีวันสิ้นไม่มีวันหมด

ก็คือธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ให้พวกเราสร้างกันขึ้นมาภายในใจนี่เอง

 ถ้าเรามีสติธรรม มีสมาธิธรรม

 มีปัญญาธรรมอยู่ในใจแล้ว เราไม่ต้องพึ่งอะไร

นี่แหละเป็นธัมมัง สรณัง คัจฉามิ เป็นที่พึ่งของเรา

 เป็นอัตตาหิ อัตโนนาโถ

ตอนต้นก็ต้องพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน

เพราะเรายังไม่มีธรรมต่างๆ อยู่ในใจของเรา

เราก็ต้องพึ่งพุทธัง ธัมมัง สังฆังสะระณัง คัจฉามิ

เข้าหาพระพุทธเจ้า เข้าหาพระอรหันตสาวก

 เข้าหาครูบาอาจารย์พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

เพื่อให้ท่านสอนวิธีสร้างธรรมะขึ้นมาภายในใจ

พอเราได้สร้างธรรมะขึ้นมาภายในใจแล้ว

เราก็อยู่คนเดียวได้ไม่ต้องไปอยู่กับครูบาอาจารย์

 ไม่ต้องไปศึกษากับท่าน เพราะว่าเราเป็นที่พึ่งของเราได้แล้ว

 ที่เรายังต้องศึกษาต้องพึ่งครูบาอาจารย์

เรายังไม่มีธรรมะอยู่ภายในใจ หรือมียังไม่มากพอ

หรือยังมีไม่สมบูรณ์ถ้ายังไม่สมบูรณ์และยังไม่รู้จักวิธี

ทำให้มันสมบูรณ์ ก็ต้องพึ่งคนที่เขาได้ทำ

ให้มันสมบูรณ์แล้วนั่นเอง

 คนที่ทำให้ใจเป็นที่พึ่งของตนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

ก็คือพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ดังนั้นในเบื้องต้นเราจึงต้องมี

พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิเป็นที่พึ่งไปก่อน

 จนกว่าเราจะได้ธรรมแท้ ที่อยู่ภายในใจของเรา

เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง

เมื่อเราได้ธรรมที่เราสร้างขึ้นมาด้วยการปฏิบัติ เป็นที่พึ่ง

เราก็ไม่ต้องพึ่งธรรมข้างนอก

 เราไม่ต้องพึ่งธรรมจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า

 จากคำสอนของพระอรหันตสาวก

เพราะเราได้น้อมเอาธรรมเหล่านั้นเข้ามาสู่ในใจของเราแล้ว

มาเป็นที่พึ่งของใจเราได้แล้ว เ

ราจะอยู่กับครูบาอาจารย์หรือไม่อยู่กับครูบาอาจารย์

ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เหมือนกัน

เพราะว่าเราไม่ต้องพึ่งท่านแล้ว

เรามีธรรมของท่านอยู่ในใจของเราแล้ว

อยู่ที่ไหนก็เหมือนกับได้อยู่กับท่าน

อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า

ต่อให้เธอเกาะชายผ้าเหลืองของเรา

แต่ถ้าเธอไม่มีธรรมอยู่ภายในใจของพวกเธอ

เธอก็อยู่ห่างไกลจากเราเป็นโยชน์

 แต่ถ้าเธอมีธรรมของเราอยู่ในใจของเธอแล้วนี้

 ถึงแม้เธอจะอยู่ห่างไกลจากเราเป็นโยชน์

ก็เหมือนกับอยู่ใกล้ชิดกับเรา

เหมือนกับเกาะชายผ้าเหลืองของเรา

นี่แหละเรื่องของหลักของธรรมเป็นอย่างนี้

ถ้าไม่ปฏิบัติแล้วจะไม่รู้จะไปหลงติดอยู่กับรูปธรรม

ที่ยังเป็นธรรมปลอมอยู่ไม่ใช่เป็นธรรมจริง

 เพราะยังไม่เป็นธรรมที่จะสามารถที่จะดับความทุกข์ต่างๆ

ให้หมดไปจากใจได้ ยังไม่สามารถเป็นที่พึ่งของใจได้

คนถ้าไม่ปฏิบัติแล้วจะไม่เข้าใจเรื่องของธรรมแท้

 ว่าเป็นอย่างไร ก็จะกลับคิดว่าเป็นเรื่องพิสดาร

หรือเรื่องนอกลู่นอกธรรมไปก็ได้

เช่นพวกที่ยังติดอยู่กับพิธีกรรมต่างๆ

 เวลาจะทำอะไรต้องตั้งนะโม ๓ จบ

เวลาจะฟังเทศน์จะต้องมีการอาราธนาศีล อาราธนาธรรม

 พอพระโผล่ขึ้นมาไม่ตั้งนะโม พูดธรรมะไปเลย

ก็หาว่าเป็นพระป่าเถื่อนไป

ไม่ใช่พระที่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น

 นี่คือเรื่องของผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงตัวธรรม

ยังติดอยู่ที่ตัวเปลือกของธรรม

 เปลือกของธรรมก็พิธีกรรมต่างๆ นี้เอง

 บางคนมานี่จะลาทีจะไปทีต้องตั้งนะโม

บอกไม่ต้องตั้งหรอก กราบก็กราบ ไปก็ไปเลย

 มาก็มาอย่ามาเสียเวลามาตั้งนะโม

มาขอขมาอะไรกันให้เสียเวลา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙

“ช่วงเวลาที่สำคัญ”



ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ





Create Date : 13 พฤษภาคม 2559
Last Update : 13 พฤษภาคม 2559 13:55:36 น.
Counter : 736 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ