Group Blog
All Blog
### เมล็ดพืชของการตรัสรู้ ###

















“เมล็ดพืชของการตรัสรู้”

วันที่ท่านทั้งหลายได้มาวัด เพื่อมาปลูกฝังเมล็ดพืช

ของพระพุทธศาสนา เมล็ดพืชของการตรัสรู้

 เมล็ดพืชของมรรคผลนิพพาน ให้หยั่งลึกลงไปในใจ

 ให้เจริญเติบโต ให้ออกดอกออกผล

ให้เป็นที่พึ่งของตนได้ไปตลอด

การมาวัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปฏิบัติภารกิจ

ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงมอบให้พุทธศาสนิกชนได้กระทำกัน

 จึงเป็นการปลูกเมล็ดพืชของพระศาสนา

 เมล็ดพืชของการตรัสรู้ เมล็ดพืชของมรรคผลนิพพาน

ให้เจริญงอกงามเติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่

ในเบื้องต้นต้องอาศัยการทำนุบำรุงดูแลอย่างใกล้ชิด

 เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ในระยะแรก

ที่ต้นไม้ยังไม่สามารถพึ่งตนเองได้

 ก็ต้องอาศัยผู้อื่นคอยให้น้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย

กำจัดแมลงต่างๆ ที่จะมาทำลายต้นไม้

ไม่ให้เจริญงอกงาม พอต้นไม้สามารถอยู่ตามลำพังได้แล้ว

 ก็ไม่จำเป็นต้องไปรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยอีกต่อไป

 เพราะสามารถดูแลเลี้ยงดูตนเองได้แล้ว ฉันใด

เมล็ดพืชของพระพุทธศาสนาก็เป็นอย่างนั้น

ในเบื้องต้นต้องอาศัยการปลูกฝัง ต้องหมั่นรดน้ำ พรวนดิน

 กำจัดแมลงและวัชพืชต่างๆ ไม่ให้มาทำลายต้นไม้

ของพระพุทธศาสนา ให้หยั่งรากลงลึกในจิตใจ

 จนกลายเป็นนิสัยสันดานแล้ว

ต่อจากนั้นไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ก็ไม่จำเป็นต้องมีศาสนา

 มีใครมาสอน มาชักจูง ให้ไปในทางของพระศาสนา

 เพราะใจจะไปในทางของพระพุทธศาสนาโดยถ่ายเดียว

 การปลูกเมล็ดพันธุ์พืชของพระพุทธศาสนา

 ของการตรัสรู้ ของมรรคผลนิพพาน

จึงต้องให้ความใกล้ชิดในระยะเบื้องต้น

ต้องหมั่นดูแลรักษาใจ ให้เมล็ดพืชของพระพุทธศาสนา

หยั่งรากลึกลงไปในใจ ต้องมาวัดบ่อยๆ

ต้องปฏิบัติธรรมบ่อยๆ ต้องทำบุญให้ทานบ่อยๆ

จนติดเป็นนิสัย เมื่อเป็นนิสัยแล้ว

ก็จะรักการทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม

ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่ว่าจะไปเกิดที่ไหน ในภพใดชาติใด

จะมีพระพุทธศาสนาหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่เป็นเรื่องสำคัญอีกต่อไป

 เพราะใจมีพระพุทธศาสนาฝังลึกอยู่ในใจแล้ว

 สามารถบำเพ็ญปฏิบัติไปตามลำพัง

จนถึงมรรคผลนิพพานได้

 ในเบื้องต้นเราจึงต้องให้ความสำคัญ ต่อการทำนุบำรุง

ดูแลรักษาต้นไม้ ของพระพุทธศาสนา

 ด้วยการบำเพ็ญบารมีต่างๆ ซึ่งเปรียบเหมือนกับ

การรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย กำจัดวัชพืชและแมลงต่างๆ

 ไม่ให้มาทำลายให้ตายไป นี่คือหน้าที่ของเรา

 ถ้าปรารถนาการตรัสรู้ ปรารถนามรรคผลนิพพาน

 ปรารถนาการสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เราต้องหมั่นดูแลรักษาเมล็ดพืช

ของพระพุทธศาสนา ปลูกฝังลงไปในดิน รดน้ำพรวนดิน

 จนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ขึ้นมา ด้วยการบำเพ็ญทานบารมี

คือการให้ ให้ในสิ่งที่เรามี ไม่จำเป็นต้องไปหา

ในสิ่งที่ไม่มีมาให้ ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องบำเพ็ญ

แต่เรามีอย่างอื่นที่เราให้ได้ นอกจากทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทอง มีวิทยาทาน มีอภัยทาน มีธรรมทาน

ที่เราให้คนอื่นได้ นอกจากวัตถุทาน

 วัตถุทานก็คือข้าวของเงินทอง เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ

 อย่างที่ญาติโยมนำเอามาถวายพระในวันนี้ เรียกว่าวัตถุทาน

 แต่นอกจากวัตถุทาน แล้วยังมีวิทยาทาน

 มีความรู้ที่แบ่งปันให้ผู้อื่นได้ สั่งสอนผู้อื่น

ให้รู้จักวิธีทำอะไรต่างๆได้ โดยไม่ไปคิดเงินคิดทอง

เรียกผลตอบแทน ก็เป็นการให้ทานเหมือนกัน

แล้วก็ยังมีอภัยทานคือการให้อภัย

เวลาไม่สบายอกไม่สบายใจกับใคร

 แทนที่จะอาฆาตพยาบาท ก็ให้อภัย

 ให้อภัยแล้วเขาก็ปลอดภัยจากเรา เราก็ปลอดภัยจากเวรกรรม

ที่จะตามมา เมื่อต่างฝ่ายต่างสงบ ต่างฝ่ายต่างนิ่ง

ปัญหาต่างๆก็หมดไป ถ้าไม่ให้อภัย ไปปองร้ายไปทำร้ายเขา

 ก็จะมีโทษตามมา ไหนจะต้องถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับ

ไปเข้าคุกเข้าตะราง ไหนจะถูกเขาจองเวรจองกรรม

 ไหนจะต้องทุกข์ทรมานรุ่มร้อนจิตใจ

 ถ้าให้อภัยทานได้เรื่องเหล่านี้ก็จะไม่มีเลย

มีแต่ความสงบเย็นสบาย นอกจากนั้นก็ให้ธรรมทานได้

เรามาวัดมาฟังเทศน์ฟังธรรม มาศึกษามาปฏิบัติ

 ก็พอจะรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูกอะไรผิด

 รู้วิธีทำใจให้สงบให้สบาย ไม่ให้รุ่มร้อน

 เวลามีเพื่อนมีคนที่รู้จักทุกข์ใจเศร้าหมอง

 ไม่สบายอกสบายใจ ถ้ามาปรับทุกข์ก็ให้ธรรมะคำสอน

ของพระพุทธเจ้าไป จะช่วยคลายความทุกข์ได้

ถ้านำเอาไปปฏิบัติ สอนให้เขาให้อภัย

ถ้าโกรธแค้นโกรธเคือง อาฆาตพยาบาท

แทนที่จะยุยงส่งเสริมให้เขาอาฆาตพยาบาทจองเวรจองกรรม

 ก็สอนให้เขาให้อภัย เพื่อจิตใจจะได้สงบเย็นสบาย

เป็นการให้ธรรมทาน จึงไม่จำเป็นต้องวุ่นวาย

กับการหาเงินหาทอง เพื่อมาบำเพ็ญทานบารมี

การให้วัตถุเงินทองนี้สำหรับผู้ที่มีเหลือกินเหลือใช้

 ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ให้เอาไปช่วยเหลือผู้อื่น

ถ้าเราไม่มีเราก็บำเพ็ญศีลบารมีต่อไปเลย คือศีล ๕

ได้แก่การละเว้นจากการฆ่าสัตว์

ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี

 พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา ต้องพยายามรักษาให้ได้

 รักษาได้มากเท่าไหร่ก็จะได้บารมีมากขึ้นเท่านั้น

 ต้นไม้ของพระพุทธศาสนาก็จะหยั่งรากลึกลงไปในใจ

 มากขึ้นเท่านั้น จะเจริญเติบโตเร็วขึ้น นี่คือศีลบารมี

นอกจากนั้นก็ต้องบำเพ็ญเนกขัมบารมี

คือการออกจากกามสุข ไม่หาความสุขจากตาหูจมูกลิ้นกาย

 จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ดูหนังฟังเพลง

ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ จะหาความสุขจากการ

ทำจิตใจให้สงบ ถือศีล ๘ ละเว้นจากการเสพกาม

 ละเว้นจากการรับประทานหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว

 ละเว้นจากการนอนบนที่นอนอันสูงใหญ่ บนฟูกหนาๆ

นอนแบบเรียบง่าย นอนกับพื้นไม้ ปูเสื่อปูผ้านอน

ไม่ต้องการหาความสุขจากการหลับนอน

 อาศัยการหลับนอนเพื่อพักผ่อนร่างกายให้มีกำลัง

 เพื่อจะได้ตื่นขึ้นมาบำเพ็ญสมถภาวนา ทำจิตใจให้สงบ

 ด้วยการไหว้พระสวดมนต์ นั่งทำสมาธิ จนจิตสงบตัวลง

 แล้วจะพบกับความสุขที่เหนือกว่าความสุขอื่นๆ

 เป็นความสุขที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายได้เสพ

 ได้มาเป็นสมบัติ นี่คือเนกขัมบารมี คือรักษาศีล ๕

ข้อแล้วก็เพิ่มอีก ๓ ข้อ เป็น ๘ ข้อด้วยกัน เรียกว่าศีลบวช

 เป็นเนกขัมบารมี แล้วก็บำเพ็ญเมตตาบารมี

 ด้วยการแผ่ความรู้สึกที่ดี ความปรารถนาดีแก่ผู้อื่น

 ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ให้ปราศจากความทุกข์

 ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่จองเวรจองกรรมกัน

 ไม่เบียดเบียนกัน นี่คือการแผ่เมตตา

 คือตัวเราต้องไม่เบียดเบียน ไม่จองเวรจองกรรมผู้อื่น

 มองผู้อื่นเป็นเหมือนญาติมิตร เป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อน

 ปรารถนาให้เขามีแต่ความสุขความเจริญ

 อย่างนี้เรียกว่าเป็นการเจริญเมตตาบารมี

แล้วก็เจริญอุเบกขาบารมี ทำจิตใจให้วางเฉย

ปราศจากอารมณ์ต่างๆ เช่นยินดียินร้าย โลภโกรธหลง

 เพราะจะทำให้จิตใจไปทำในสิ่งที่เสื่อมเสียต่อไป

 ให้ทุกข์วุ่นวายใจ อยู่ไม่เป็นสุข

ถ้ารู้จักทำใจให้เป็นอุเบกขาวางเฉยได้แล้ว

 จะอยู่อย่างสุขสบาย ไม่เดือดร้อนกับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น

 เพราะใจสามารถแยกตนออกจากสิ่งต่างๆได้

 เช่นเราอยู่ที่นี้ เราแยกตัวเราออกจากเหตุการณ์ต่างๆ

ที่บ้านเราได้ ตอนนี้ที่บ้านจะเป็นอย่างไร

ใจของเราก็ไม่กังวลกับเหตุการณ์ที่บ้านเลย

 เพราะไม่ไปรับรู้ ไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ

เราอยู่ที่นี้ใจของเราเย็นสบายปราศจากความวุ่นวายต่างๆ

 เป็นอุเบกขา เพราะกำลังฟังเทศน์ฟังธรรม

ไม่มีโอกาสไปคิดถึงเรื่องที่จะทำให้วุ่นวายใจ

 เพราะเราไปขัดไปขวางไปห้ามไม่ให้เขาเกิดขึ้นไม่ได้

 ถ้าเขาจะเกิดจะเป็นเราก็ห้ามไม่ได้

 แต่สิ่งที่เราห้ามได้ก็คือใจของเรา

เราห้ามใจของเราไม่ให้วุ่นวาย ไม่ให้ทุกข์กับเรื่องต่างๆได้

ด้วยการแยกใจออกจากสิ่งต่างๆ

ด้วยการพากายพาใจมาอีกที่หนึ่ง

ปล่อยให้เรื่องที่บ้านเป็นไปตามเรื่องของเขา

 อะไรจะเกิดก็ไม่เป็นปัญหา ถ้าอยู่ในเหตุการณ์

ไม่สามารถแยกกายออกจากเหตุการณ์ได้

ก็ต้องแยกด้วยการทำใจให้เป็นอุเบกขา

 อย่าไปคิดถึงเรื่องที่ทำให้วุ่นวายใจ ให้คิดถึงพุทโธๆไปเรื่อยๆ

 ระลึกแต่พุทโธๆไปในใจ หลับตา ไม่ต้องไปดูไม่ต้องไปรับรู้

 เรื่องที่กำลังสร้างความวุ่นวายใจ ให้อยู่กับพุทโธๆไป

หรือจะอยู่กับบทสวดมนต์บทใดบทหนึ่งก็ได้ ให้สวดไปเรื่อยๆ

 จนกว่าจะลืมเรื่องที่สร้างความวุ่นวายใจ

เมื่อลืมแล้วใจจะสงบนิ่งเป็นสมาธิ เป็นอุเบกขา

นี่คือการบำเพ็ญอุเบกขาบารมี ด้วยการเจริญสมถภาวนา

 ทำจิตใจให้สงบ ให้เย็น ให้เป็นอุเบกขา

 ไม่รับรู้เรื่องที่สร้างความทุกข์ สร้างความวุ่นวายใจ

 เพราะไปห้ามเรื่องราวต่างๆไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้

 แต่เราสามารถห้ามใจ ไม่ให้ไปวุ่นวายกับเรื่องราวต่างๆได้

 เมื่อใจสงบแล้ว จะเห็นว่าอะไรจะเกิดก็เกิดไปเถิด

ไม่สำคัญอะไร เพราะใจของเราสุข ใจของเราสบาย

แม้ร่างกายจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือตายไป ใจก็อยู่อย่างสงบ

 ปราศจากความทุกข์วุ่นวายใจได้ เพราะมีอุเบกขา

 รู้จักทำจิตใจให้สงบ ให้นิ่ง ให้ปล่อยวาง

 นี่คือการบำเพ็ญอุเบกขาบารมี

จากนั้นก็บำเพ็ญปัญญาบารมี เพื่อกำจัดความทุกข์

ความวุ่นวายใจให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ

เพราะความวุ่นวายต่างๆเกิดจากความหลง

 รู้ไม่ทันเรื่องต่างๆที่ใจไปเกี่ยวข้องด้วย รู้ไม่ทันความไม่เที่ยง

 ความทุกข์ ความไม่มีตัวตน ถูกความหลงหลอกให้เห็นว่า

สิ่งนั้นสิ่งนี้จะอยู่ไปอย่างถาวร จะให้ความสุขกับเรา

 เป็นของเราเป็นตัวเรา เป็นความหลง

รู้ไม่ทันตามความจริงของสิ่งต่างๆในโลกนี้

 มีพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น

ที่มีปัญญารู้ทันความหลง รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่เที่ยง

 เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราไมใช่ตัวเรา

ด้วยการเจริญปัญญา พิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย

ให้เห็นว่าเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา

เป็นสิ่งที่เราสามารถเห็นกันได้ แต่เราไม่ดูกัน

 มีอะไรบ้างที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีหรอก

ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

 ร่างกายของเราก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 ออกมาจากท้องแม่ก็ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนอย่างตอนนี้

 เวลาตายไปเอาไปเผา ก็จะกลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่านไป

นี่คือความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ ร่างกายของเราก็ไม่เที่ยง

 ร่างกายของคนอื่นก็ไม่เที่ยง ถ้าได้พิจารณาอยู่เรื่อยๆแล้ว

จะไม่หวังให้อยู่ไปนานๆ เพราะเป็นไปไม่ได้

 ไม่หวังว่าจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เพราะเป็นไปไม่ได้

จะเตรียมตัวเตรียมใจรับกับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น

 ด้วยอุเบกขา คือปล่อยวาง ไม่ยินดียินร้าย

กับการเป็นการไปของสิ่งต่างๆ ของเรื่องต่างๆ

 ของบุคคลต่างๆ เมื่อเขาถึงเวลาที่จะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย

ถึงเวลาต้องตายจากเราไป ก็ปล่อยให้เป็นไป

 ดูแลกันได้ก็ดูแลกันไป ช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยเหลือกันไป

ถ้าสุดวิสัยก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามความจริง

ของอนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่มีตัวตน

ถ้าไปยึดไปติดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด

 ก็จะอยากให้สิ่งนั้นอยู่กับเราไปนานๆ

พอสิ่งนั้นจากเราไปก็ต้องทุกข์ใจ เสียอกเสียใจ

แต่ถ้าเรารู้ทัน รู้ว่ายึดติดกับอะไรไม่ได้

เพราะยึดติดแล้วจะทำให้เราทุกข์ มีใครอยากจะทุกข์บ้าง

ไม่มีใครอยากทุกข์ แต่ที่ทุกข์กันก็เพราะรู้ไม่ทัน

เพราะความหลงหลอกให้ยึดให้ติด แต่ถ้าสอนใจอยู่เสมอว่า

ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เรายึดติดได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง

ต้องเป็นไปตามสภาพของเขา ต้องมีการเกิดขึ้น

ตั้งอยู่แล้วดับไปเป็นธรรมดา ถ้าได้สอนใจอยู่เรื่อยๆแล้ว

 ต่อไปใจจะรู้ทัน จะปล่อยวาง จะไม่กล้ายึดติดกับอะไร

 การไม่ยึดติดก็ไม่ทำให้ชีวิตของเราขาดอะไรไป

เราก็ยังมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เหมือนเดิม ยังมีสามี ยังมีภรรยา

 ยังมีบุตร มีธิดา มีสมบัติข้าวของเงินทองต่างๆเหมือนกัน

 เพียงแต่เราไม่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้เท่านั้นเอง

เมื่อถึงเวลาที่เขาจะจากเราไป ก็ยินดีให้เขาไป

 ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด เขาอาจจะอยากจากเราไป

เพราะเขาเบื่อขี้หน้าเราก็ได้ เขาไปชอบคนใหม่ ก็ปล่อยเขาไป

 หรือเขาเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วตายไปก็ปล่อยเขาไป

หรือเขาต้องย้ายไปทำงานที่อื่น ไม่ได้อยู่กับเราก็ปล่อยเขาไป

 เราก็อยู่ของเราได้ เพราะมีอุเบกขาธรรม จิตมีความสงบ

 มีปัญญา ไม่หลงยึดติดกับอะไร อยู่ตามลำพังได้

 ไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอกมาให้ความสุข

เพราะรู้ว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ให้ความสุขได้อย่างแท้จริง

 ทุกสิ่งทุกอย่างมีความทุกข์ซ่อนอยู่ทั้งนั้น

ได้มาใหม่ๆก็ดีอกดีใจมีความสุข

พอสิ่งนั้นเปลี่ยนไปเสียไป

 ก็เสียอกเสียใจ มีความทุกข์ตามมา

แต่ถ้ารู้ทันก็จะไม่หลงยึดติด

 ถ้าต้องอาศัยสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็อาศัยไป ถ้าอาศัยไม่ได้

 เขาต้องจากเราไป ก็ให้เขาไป

ถ้ายังมีความจำเป็นก็หามาใหม่ หาได้ก็ดี

 หาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่สามารถหามาได้แล้วต้องตายไป

ก็ไม่เสียหายอะไร เพราะไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่ง

ก็ต้องตายด้วยกันทุกคน จะมีหรือไม่มีก็ตาม

ถ้าใจเป็นอุเบกขามีปัญญาแล้ว ก็จะไม่เป็นปัญหาเลย

 จะปล่อยวางได้ อายุจะสั้นจะยาวไม่สำคัญ

เพราะไม่ได้ยึดติดกับอะไรในโลกนี้แล้ว

มีสมบัติที่เลิศที่ประเสริฐอยู่ในใจแล้ว

คือความสงบที่ไม่เสื่อมคลาย

 ด้วยอำนาจของบุญบารมีต่างๆที่ได้บำเพ็ญมา

จะส่งใจให้ไปถึงขั้นตรัสรู้ ถึงขั้นมรรคผลนิพพานเลย

 นี่คือการปลูกฝังเมล็ดพืชของพระพุทธศาสนา

เมล็ดพืชแห่งการตรัสรู้ เมล็ดพืชแห่งมรรคผลนิพพาน

 ให้เจริญงอกงาม ด้วยการบำเพ็ญบารมี

ดังที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ได้บำเพ็ญกันมา ถ้าบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าตรัสรู้

ถ้าเป็นพระอรหันตสาวกก็เรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน

 แต่เป็นความหมายอันเดียวกัน ได้บำเพ็ญจนถึงพระนิพพาน

 ถึงที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ทั้งหลาย

 สิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด จะมีศาสนาหรือไม่ก็ตาม

 ถ้ารากของพระศาสนาได้หยั่งลึกลงไปในนิสัยสันดานแล้ว

 ไม่ว่าจะไปเกิดในภพใดชาติใด

 ก็จะสามารถเจริญพระพุทธศาสนาที่มีอยู่ในใจ

 ให้ถึงขั้นสูงสุด ให้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ได้เลย

 ไม่ต้องอาศัยพระพุทธศาสนาภายนอกอีกต่อไป

เพราะพระพุทธศาสนาภายนอกเป็นเหมือน

ที่รับเมล็ดพืชมาปลูกไว้ในใจของเรา

 เมื่อได้รับเมล็ดพืชมาแล้ว

คือได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนแล้ว

 ก็น้อมเอามาปฏิบัติกับกายวาจาใจ

เพื่อปลูกฝังเมล็ดพืชของพระพุทธศาสนา

ให้หยั่งรากลึกลงไปในใจ จนกลายเป็นนิสัยสันดาน

เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วไม่ว่าจะมีศาสนาหรือไม่ก็ตาม

 ก็ไม่เป็นปัญหากับเราอีกต่อไป

เพราะเรามีศาสนาอยู่ภายในใจแล้ว

ถึงแม้คนอื่นจะมาหลอกให้ไปทำบาปทำกรรม

เพื่อให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา หลอกให้ไปซื้อไปเช่าวัตถุ

สิ่งนั้นสิ่งนี้มาห้อยคอ ก็จะไม่สามารถหลอกให้เราหลงตามได้

เพราะรู้แล้วว่าอะไรเป็นเหตุที่จะนำมา ซึ่งความสุข

ความเจริญรุ่งเรืองความสิ้นสุดแห่งความทุกข์ทั้งหลาย

ก็คือบุญบารมีที่ได้แสดงไว้นี่เอง

จึงควรหมั่นบำเพ็ญบุญบารมีกันอย่างสม่ำเสมอ

 ไม่ว่าจะเป็นทานบารมีก็ดี ศีลบารมีก็ดี เนกขัมบารมีก็ดี

 เมตตาบารมีก็ดี อุเบกขาบารมีก็ดี ปัญญาบารมีก็ดี

ควรบำเพ็ญไปเรื่อยๆ เป็นการปลูกฝังดูแลรักษาต้นไม้

ของพระพุทธศาสนา ให้หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจของเรา

 ให้เจริญเติบโตงอกงาม เป็นมรรคผลนิพพานไปในที่สุด

 จึงควรมีความยินดีต่อการประพฤติปฏิบัติตาม

พระธรรมคำสอน มีความเชื่อมั่นว่าเป็นทางเดียวที่เลิศที่วิเศษ

 ที่จะพาไปสู่ความสุขและความเจริญอย่างแท้จริง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

กัณฑ์ที่ ๓๖๗ วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๐

(กำลังใจที่ ๔๑)

“เมล็ดพืชของการตรัสรู้”









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์ สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 18 พฤษภาคม 2559
Last Update : 18 พฤษภาคม 2559 10:09:02 น.
Counter : 789 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ