Group Blog
All Blog
### เลือกทางของนักบวช ###









“เลือกทางของนักบวช”

พวกเราก็ต้องตัดสินใจแบบเดียวกับพระพุทธเจ้า

ว่าเราจะเอาทางไหนกัน เราจะเอาทางโลก

 ทางลาภยศ สรรเสริญ สุข

หรือเราจะเอาทางธรรมทางแห่งทาน ศีล ภาวนา

เวลาที่จะต้องเลือกนี่แหละ เป็นเวลาที่ทรมานใจที่สุด

 แล้วก็เป็นเวลาที่สุขที่ได้สุดเวลาที่ได้ตัดสินใจแล้ว

 พอตอนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจนี้ เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น

 แต่พอได้ตัดสินใจแล้วก็เหมือนยกนรกออกจากอกไป

 ความทุกข์ความสับสนที่มีอยู่ในใจนี้หายไปหมด

 พอได้ตัดสินใจจะเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง

 โดยเฉพาะถ้าได้เลือกทางที่ถูก

 ถ้าเลือกทางที่ไม่ถูกมันจะระงับได้เพียงไม่หมด

เช่นถ้าเลือกไปทางโลกนี้ มันยังจะมีอะไรค้างคาใจอยู่

มันยังจะไม่รู้สึกโล่งเหมือนกับการเลือกไปในทางธรรม

 เพราะการเลือกไป ในทางธรรมนี้

มันเป็นการเลือกไปในทางที่จะปลดเปลื้องความทุกข์

ความวุ่นวายใจต่างๆ ทั้งหลายให้หมด ไปจากใจ

 แต่การเลือกไปทางโลกนี้

มันเพียงระงับการสับสนความไม่แน่ใจ

 ว่าจะไปทางไหนเท่านั้น

แต่พอเลือกไปทางโลก

มันก็จะต้องไปเผชิญกับความวุ่นวายต่างๆ

ที่จะต้องตามมาต่อไป

นี่คือเรื่องของพวกเรากับพระพุทธศาสนา

 เราได้เดินทางมาถึงขีดหรือมาถึงจุดที่เราจะต้องเลือก

 ทางใดทางหนึ่งแล้ว เราจะเอาทางไหน

ก็ควรจะเอามันสักทางหนึ่ง

มันจะได้ทำอะไรได้เป็นกอบเป็นกำ

 ได้ผลอย่างเต็มที่ดีกว่าเอาแบบรักพี่เสียดายน้อง

 พี่ก็เอาน้องก็เอา ปลาก็อยากจะได้ทั้ง ๒ ตัว

 ทำไปทำมาไม่ได้เลยสักตัวหนึ่ง

ทำไปทำมาพี่ก็ไม่ได้ น้องก็ไม่ได้

เพราะพอพี่รู้เข้าว่ายังรักน้องอยู่ พี่ก็ไม่เอาแล้ว

พอน้องรู้ว่ายังรักพี่อยู่เขาก็ไม่เอา

 ทำไปทำมาทั้งพี่ทั้งน้องก็ทิ้งเราไปหมด ไม่ได้อะไรเลย

 นี่ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรายังรักความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกายอยู่ ยังอยากมีลาภยศ สรรเสริญอยู่

 แต่ก็อยากจะทำทาน อยากจะรักษาศีล

 อยากจะภาวนาด้วย ทำไปทำมาไม่ได้อะไรสักอย่าง

 ทางโลกก็ไม่เจริญไม่ร่ำไม่รวย ไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโต

 เพราะไม่ได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับมันอย่างเต็มที่

ทางธรรมก็ไม่ได้อะไร

 เพราะว่าไม่ได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับมันเช่นเดียวกัน

 เอาอย่างละนิดอย่างละหน่อยผลก็เลยได้แบบนิดๆหน่อยๆ

 พอหอมปากหอมคอแต่ไม่พอยาไส้ ไม่อิ่มไม่พอ

นี่แหละคือปัญหาของพวกเรา

ที่ได้มาเจอกับพระพุทธศาสนา

 ความจริงถ้าไม่ได้มาเจออาจจะดีกว่า

จะได้ไม่ต้องมาลังเลใจว่าจะไปทางไหนดี

 อย่างคนที่เขาไม่รู้จัก พระพุทธศาสนา

เขาไม่เข้ามาหาพระพุทธศาสนา

 เขาจะได้ลุยเต็มที่เลย อยากจะได้เป็นใหญ่เป็นโต

ก็ลุยมันเต็มที่ไปเลย เขาจะได้สิ่งที่เขาอยากจะได้

ถึงแม้ว่าจะเป็นความทุกข์เผาหัวใจเขาก็ตามเถิด

 แต่อย่างน้อยเขาก็ได้มันเป็นกอบเป็นกำไป

แต่เขาไม่รู้ว่าเขาได้กองทุกข์กัน

 เพราะเขาถูกความหลงมันหลอก

ทำให้เห็นกลับตาลปัตรกัน

 เห็นทุกข์กลายเป็นสุขไป เห็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ

 แต่ไม่เห็นความทุกข์ที่ติดมากับความสุขเล็กๆ น้อยๆนั้น

 คือเห็นแต่น้ำตาลที่เคลือบยาขม

ไม่เห็นยาขมที่ถูกเคลือบอยู่ภายใต้น้ำตาล

 แล้วในที่สุดชีวิตของเขาก็จะล้มเหลว

 ชีวิตของเขาก็จะมีแต่ความทุกข์

ไม่ว่าจะเป็นใหญ่เป็นโตขนาดไหน

จะมีลาภยศ สรรเสริญมากน้อยขนาดไหน ก็ตาม

 ภายในใจของเขานั้นไม่มีความสุข

เวลาที่เขาจะต้องจากสิ่งเหล่านั้นไปเวลานั้น

ก็จะเป็นเวลา ที่มีแต่ความทุกข์ใจ

 นี่เรียกว่าสุขต้นแล้วทุกข์ปลายเป็นอย่างนี้

ทางแห่งลาภยศ สรรเสริญ สุข

เป็นทางที่สุขเบื้องต้นแล้วมาทุกข์บั้นปลาย

 แต่ทางแห่งทาน ศีล ภาวนานี้

จะเป็นทางที่ทุกข์ในเบื้องต้นแล้ว ก็มาสุขในบั้นปลาย

เวลาที่พระพุทธเจ้าต้องสละราชสมบัติ

เวลานั้นเป็นเวลาที่มีความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก

 หรือเวลาใครก็ตาม ที่จะต้องสละความสุขทางโลก

 สละลาภยศ สรรเสริญ สุขไป

 เวลานั้นเป็นเวลาที่ทุกข์ใจมาก

 คิดดูจากที่อยู่ในวัง แล้วต้องไปอยู่แบบขอทาน

 มันเป็นความแตกต่างขนาดไหนกัน

อาหารที่เคยเสวย แบบปราณีตแบบพิสดาร

ก็ต้องมาเสวยอาหารแบบขอทานที่ได้จากการบิณฑบาต

ไม่สามารถที่จะเลือก หรือสั่งอาหารชนิดนั้นชนิดนี้ได้

 ได้อาหารชนิดไหนมาก็ต้องเสวยมันไปตามมีตามเกิด

 ที่อยู่อาศัยที่มีห้องบรรทม มีเตียงมีฟูกหนาๆ

 มีนางสนมกำนัลมาคอยขับกล่อมร้องรำทำเพลงอะไรต่างๆให้

 พอเสด็จออกจากพระราชวัง ไปประทับอยู่ในป่า

 ก็มีแต่เสียงนกเสียงกา นอนตามโคนไม้นอนตามในถ้ำบ้าง

 นอนตามเงื้อมผาบ้าง

นอนตามเรือนร้างบ้างแล้ว แต่จะหาได้

คิดดูก็แล้วกันมันทุกข์หรือมันสุขกันแน่

 แต่มันเป็นความทุกข์ที่เราสามารถที่จะอยู่กับมันได้

 ในเมื่อขอทานเขาอยู่ได้ ทำไมเราจะอยู่ไม่ได้

 เราก็เพียงแต่ต้องใช้เวลาปรับตัวเองเท่านั้นเอง

 จากการที่เคยอยู่แบบหรูหราอยู่แบบสุขแบบสบาย

 มาอยู่แบบอัตคัตขัดสน มันก็เป็นการยากลำบากในเบื้องต้น

 แต่พอเราปรับตัวเองได้แล้ว

มันก็จะไม่รู้สึกว่ามันอัตัตขัดสนแต่อย่างใด

อันนี้แหละที่เป็นอุปสรรคของผู้ที่มีความปรารถนา

ที่จะไปในทางของธรรมะคือทางแห่งทาน ศีล ภาวนา

 เพราะว่ายังติดกับความสุขแบบทางโลกอยู่

ยังติดอยู่กับการบริโภคอาหารตามใจอยากอยู่

เวลาจะรับประทานอาหารแต่ละครั้งนี้

ต้องเป็นคนคิดขึ้นมาก่อนว่าวันนี้จะรับประทานอาหารอะไรดี

 อยากจะรับประทานอาหารชนิดไหนแบบไหน

ก็ไปสรรหามารับประทานได้

แต่พอต้องไปอยู่แบบนักบวช

ก็จะไม่สามารถที่จะสรรหาได้

 ก็เลยทำให้เป็นอุปสรรค

ต่อผู้ที่อยากจะออกบำเพ็ญ

แต่ยังติดอยู่กับความสุขทางโลกอยู่

ดังนั้นถ้าเราปรารถนาความสุขแบบที่พระพุทธเจ้า

และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ได้รับเราก็ต้องตัดความสุข

ที่เราเคยมีอยู่ไป อย่าไปเสียดายมัน

 เพราะว่ามันเป็นความสุขแค่ปลายลิ้น

สุขแค่ในขณะที่เราได้รับประทาน

พอรับประทานเสร็จแล้วความสุขนั้นก็หายไปแล้ว

ก็จะมีแต่ความหิว ความอยากรับประทานขึ้นมาใหม่

แต่ถ้าเรารับประทานแบบตามมีตามเกิดมีอะไรก็รับประทาน

 รับประทานเสร็จแล้วมันก็หมดปัญหาไป

ใจเราก็จะไม่ไปคิดไปอยากที่จะรับประทานมันอีก

 เพราะอาหารที่เรารับประทาน

เราไม่ได้รับประทานด้วยความอยากรับประทาน

เรารับประทานด้วยความจำเป็น

 เหมือนกับที่เรารับประทานยา

เวลาเรารับประทานยาแต่ละครั้งนี้

เราไม่ได้รับประทานด้วยความอยาก

 งั้นพอรับประทานเข้าไปแล้ว

เราไม่เคยคิดอยากจะรับประทานยาอีกเลย

 แต่เรายังต้องรับประทานต่อไป ถ้าโรคภัยไข้เจ็บยังไม่หาย

นี่แหละคือการรับประทานแบบนักบวช

รับประทานกันแบบนี้ รับประทานแบบรับประทานยา

 รับประทานเพื่อ ที่จะรักษาร่างกายให้อยู่ได้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

ไม่หิวโหย เท่านั้นเอง

 เป็นการเยียวยารักษาร่างกาย

ไม่ได้เป็นการสร้างความสุขให้กับใจ

 อย่างที่พวกที่ไม่ได้บวชทำกัน

เวลารับประทานอาหารนี้

จะรับประทาน ด้วยจุดประสงค์ ๒ ประการด้วยกัน

 จุดประสงค์ทางร่างกายคือให้ร่างกายได้มีอาหารล่อเลี้ยง

เพื่อ ที่จะได้ไม่หิวโหยไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

และจุดประสงค์หนึ่งก็รับประทานเพื่อความสุขใจ

ความสุขใจก็คือต้องเลือก อาหารชนิดนั้นชนิดนี้

วันนี้อยากจะรับประทานอาหารแบบนี้

 พรุ่งนี้อยากจะรับประทานอาหารแบบนั้น

 ถ้าเลือกแบบนี้เรียกว่าเป็นการหาความสุขให้กับใจ

 แต่เป็นการหาความสุขแบบหายาเสพติดคือ

 จะต้องหาไปเรื่อยๆ เวลาที่ไม่ได้ดังใจ

เวลานั้นก็จะไม่มีความสุข

เวลาต้องไปรับประทานอาหารตามมีตามเกิด

 ตามแบบที่เลือกไม่ได้ อย่างแบบของนักบวช

ก็จะไม่มีความสุขจึงไม่อยากไปอยู่แบบนักบวชกัน

นี่คือปัญหา เช่นเดียวกับที่อยู่อาศัย

 เครื่องนุ่งห่มเป็นแบบเดียวกันทั้งนั้น

ความจริงปัจจัย ๔ นี้มีหน้าที่ไว้ดูแลรักษาร่างกาย

แต่ใจนี้ถูกกิเลสเข้ามาขอมีส่วนแบ่งด้วย

 ขอมีความสุขกับการ สรรหาปัจจัย ๔ ด้วย

อาหารก็ต้องถูกปากถูกใจ ที่อยู่ก็ต้องถูกอกถูกใจ

เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ก็ต้องถูกอกถูกใจ

แต่ถ้าใช้แบบนักบวชก็ไม่สนใจเรื่องความถูกอกถูกใจ

 สนใจที่เหตุผลว่ามีไว้ทำไม รับประทานเพื่ออะไร

 รับประทานเพื่อรักษาร่างกายให้อยู่ได้

ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่หิวโหย ไม่อดยากขาดแคลน

 เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ก็มีไว้ปกปิดรักษาร่างกาย

ไม่ให้ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย ไม่ให้ถูกอากาศที่หนาวเย็น

 ทำให้เกิดความเจ็บไข้ ได้ป่วยขึ้นมา

ปกปิดอวัยวะต่างๆ เพื่อให้ดูไม่น่ารังเกียจ

 นี่คือจุดประสงค์ของการ ใช้เครื่องนุ่งห่ม

 ที่อยู่อาศัยก็ไว้สำหรับหลบแดดหลบฝนไว้ป้องกันภัยต่างๆ

 ที่อาจจะมาทำลายร่างกายได้

 ยารักษาโรค ก็รักษาโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้น

 จะเป็นราคาแพงหรือไม่แพงก็ไม่สำคัญ

ขอให้ใช้รักษาโรคได้ก็แล้วกัน

ยาชนิดเดียวกันมีหลายราคาสมัยนี้

แต่ความจริงแล้วก็รักษาโรคได้เหมือนกัน

นี่คือการอยู่แบบนักบวช ต้องอยู่แบบเหตุแบบผล

 การบริโภคปัจจัย ๔ นี้ต้องทำด้วยเหตุด้วยผล

อย่าทำด้วยอารมณ์ความอยากต่างๆ

 เพราะถ้าทำด้วยอารมณ์ความอยากนี้

มันจะวุ่นวายมันจะเรื่องมาก และมันจะทำให้ติดพันธ์

 จะทำให้อยู่แบบนักบวชไม่ได้

ก็เลยจะไม่สามารถที่จะเลือกทางของนักบวชได้

 ทางของทาน ศีล ภาวนาได้

 ก็เลยจะเสียโอกาสอันดีที่ได้เกิดมาพบทางอันประเสริฐ

ของพระอริยเจ้าทั้งหลาย

แต่ตนเองไม่สามารถที่จะเดิน ตามรอยทาง

ของพระอริยะทั้งหลายได้

 เพราะติดอยู่กับความสุขเล็กๆน้อยๆ

 ที่ได้จากการบริโภคปัจจัย ๔ เท่านั้นเอง

ไม่ได้มีอะไรเลยที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นการดำเนินชีวิต

 ตามรอยพระอริยเจ้าทั้งหลาย

 ถ้าเราอยู่ง่าย กินง่ายรับรองได้ว่าการออกบวช

หรือการอยู่แบบนักบวชนี้ จะเป็นสิ่งที่ไม่ยากเย็นอะไรเลย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

“กระจกส่องใจ”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 05 กรกฎาคม 2559
Last Update : 5 กรกฎาคม 2559 10:28:49 น.
Counter : 711 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ