Group Blog
All Blog
### วิธีทดแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า ###














“วิธีทดแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า”

การปฏิบัติสร้างที่พึ่งทางใจ เพื่อให้ใจปลอดภัย

จากความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกาย

 คือเกิดความแก่ เกิดความเจ็บ เกิดความตาย

ดังนั้นการปฏิบัติจึงต้องเริ่มที่การเจริญสติ

เมื่อเรามีศีลแล้ว เราอยู่ในสถานที่สงบสงัดวิเวกแล้ว

งานหลักของเราที่เราจะต้องทำก็คือ การเจริญสติ

คือการดึงใจให้ออกจากความคิดปรุงเเต่งต่างๆ

 ไม่ให้คิดถึงเรื่องนั้นคิดถึงเรื่องนี้ ให้รู้อยู่เฉยๆ

 ให้รู้อยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ก็ได้ หรือถ้าไม่อยู่กับสิ่งที่ทำอยู่

ก็ต้องอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นอยู่กับการบริกรรมพุทโธๆไป

 เพื่อที่จะได้ไม่ให้ใจไปคิดเรื่องราวต่างๆนั่นเอง

ถ้าปล่อยให้ใจคิดเรื่องราวต่างๆ

เวลานั่งสมาธิจะไม่มีวันที่จะสงบได้

เป้าหมายของการเจริญสติก็เพื่อที่จะได้ทำใจ

ให้เข้าสู่ความสงบนั่นเอง

สตินี้เป็นเหตุที่จะทำให้จิตรวม เป็น “เอกัคคตารมณ์”

 รวมเป็นหนึ่งเป็นอุเบกขา สักแต่ว่ารู้

จิตที่รวมเป็นหนึ่งสักแต่ว่ารู้นี้ เป็นจิตที่ปราศจากความทุกข์ต่างๆ

 เป็นที่หลบภัยได้ แต่เป็นที่หลบภัยเพียงชั่วคราว

ชั่วขณะที่อยู่ในสมาธินั้น เวลาอยู่ในสมาธินั้น

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายหรือเกิดขึ้นกับใครก็ตาม

 ใจจะไม่รับรู้เลย ใจจะปล่อยวางหมด

เรื่องราวของร่างกายก็ปล่อยวาง

เรื่องราวของคนอื่นก็ปล่อยวาง

เรื่องราวของบ้านของเมืองของอะไรต่างๆ ปล่อยหมด

 ไม่รับรู้ไม่สนใจ รู้อยู่อย่างเดียวก็คือความว่าง

 สักแต่ว่ารู้ อยู่กับอุเบกขา ใจเป็นกลาง

 ไม่รัก ไม่ชัง ไม่กลัว ไม่หลง

แต่จะอยู่ได้ไม่นานแล้วก็ต้องออกมารับรู้ต่อไป

ถ้าอยากจะรักษาใจให้ตั้งอยู่ในอุเบกขาต่อไป

ถึงแม้จะรับรู้แต่ไม่มีปฏิกิริยาคือไม่มีความรัก

 ความชัง ความกลัว ความหลงกับสิ่งที่รับรู้

ตอนนั้นก็ต้องใช้ปัญญาเป็นผู้กำกับดูแลใจ

 สอนใจให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง

จะไปอยากให้เขาเที่ยงไม่ได้

อยากให้เขาเป็นดังใจของเราไม่ได้ เพราะเขาเป็นอนัตตา

เขาไม่ได้เป็นของเรา เขาไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของเรา

 เหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ร่างกายของเราออกไปนี้

ตั้งแต่เวทนาความรู้สึก ของร่างกายมันเป็นสิ่งที่เราสั่งไม่ได้

ห้ามไม่ได้ เวทนาจะสุขหรือจะทุกข์หรือจะไม่สุขหรือไม่ทุกข์

ถึงเวลาเขาเกิดเขาก็ต้องเกิด เราจะไปห้ามไม่ให้เขาเกิดไม่ได้

 เวลาเขาเกิดแล้วเราจะไปสั่งให้เขาหายไปก็ไม่ได้

ถ้าไปอยากให้เขาหายอยากไม่ให้เขาเกิด

 เราก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมาที่รุนแรงกว่า

ทุกขเวทนาของทางร่างกาย

แต่ถ้าเรามีปัญญาเห็นความจริงอันนี้

เราก็จะไม่ไปยุ่งกับทุกขเวทนา จะไม่ไปยุ่งกับร่างกาย

 จะไม่ไปยุ่งกับเหตุการณ์ต่างๆ ภายนอกทางร่างกาย

 ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองในขณะนี้

 หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับเรื่องลาภยศ สรรเสริญ

เราจะไม่ไปอยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 เราจะปล่อยวาง เขาเป็นอย่างไร เรารับได้ทุกรูปแบบ

เขาจะเจริญเราก็รับได้ เขาจะเสื่อมเราก็รับได้

เวทนาจะสุขก็รับได้ จะทุกข์ก็รับได้ จะไม่สุขไม่ทุกข์ก็รับได้

 ถ้ามีปัญญาคอยสอนใจ ใจก็จะไม่ออกไปอยาก

ให้เวทนาก็ดี ร่างกายก็ดีเหตุการณ์ต่างๆก็ดี

 ลาภยศ สรรเสริญสุขก็ดี ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้

 เพราะเห็นว่าเขาเป็นอนัตตา เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะไปสั่ง

ให้เขาเป็นไปตามความต้องการของเราได้

 เพราะเขาเป็นอนิจจัง เขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

 เขามีขึ้นมีลงมีมามีไปมีเกิดมีดับ

 นี่คือปัญญาที่จะต้องคอยสอนใจ

 ไม่ให้ใจสร้างความอยากขึ้นมา

เช่นเวลาแก่ก็อย่าไปอยากให้ไม่แก่

เวลาเจ็บก็อย่าไปอยากให้ไม่เจ็บ

เวลาตายก็อย่าไปอยากให้ไม่ตาย ให้ใจเป็นอุเบกขาวางเฉย

 แก่ก็แก่ไป เจ็บก็เจ็บไป ตายก็ตายไป

 สิ่งที่แก่ สิ่งที่เจ็บ สิ่งที่ตายก็ไม่ใช่ตัวเราอยู่ดี

เป็นการรวมตัวของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

แล้วก็มีธาตุรู้คือใจมาเป็นผู้กำกับดูแล เท่านั้นเอง

 แต่ใจผู้ที่มากำกับดูแลนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของของธาตุ ๔

ดินน้ำลมไฟ ไม่สามารถที่จะสั่งให้ธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

ที่มารวมกันอยู่นี้รวมกันไปอย่างถาวรได้ ไม่ช้าก็เร็ว

การรวมตัวของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟก็จะอ่อนกำลังลงไป

แล้วการแยกตัวของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ก็จะมีกำลังมากขึ้น

 นี่แหละคือเป็นเหตุ ของความฉลาดของเจ็บไข้ได้ป่วย

ของความตาย ก็คือกำลังของการแยกออกของธาตุ ๔

ดินน้ำลมไฟ มีมากกว่ากำลังของการรวมตัวของดินน้ำลมไฟ

เวลาเกิดนี้กำลังรวมตัวของดินน้ำลมไฟนี้

มีกำลังมากกว่าการแยกของธาตุ ๔

ธาตุถึงรวมตัวกันเจริญเติบโตขึ้นมาได้

 เป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาได้อย่างเต็มที่

แต่พอกำลังที่รวมธาตุ ๔ เริ่มอ่อนกว่ากำลังที่จะแยกธาตุ ๔

ร่างกายก็เลยเกิดการเสื่อม เกิดการชราตามลำดับ

 เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยตามลำดับ และในที่สุดก็เกิดความตาย

 พอตายแล้วธาตุทั้ง ๔ ก็จะแยกออกจากกัน อย่างถาวร

ธาตุลมก็จะออกไป ธาตุไฟก็จะออกไป ธาตุน้ำก็จะออกไป

 เหลืออยู่แต่ธาตุดิน ธาตุดินก็ในที่สุด ก็จะเปื่อยจะผุ

จะกลายเป็นดินไป อวัยวะต่างๆ เช่นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ

เอ็น กระดูก พอไม่มีธาตุน้ำเหลืออยู่แล้วก็จะแห้งกรอบ

แล้วก็จะเปื่อยจะผุแล้วในที่สุดก็กลายเป็นดินไป

นี่คือธรรมชาติของร่างกาย

 เป็นการรวมตัวของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

 แล้วก็เป็นการแยกสลายของดินน้ำลมไฟ ตามวาระของเขา

ตามกฎของอนิจจัง ก็คือไม่เที่ยงแท้แน่นอนไม่ถาวร

มีการรวมตัวแล้วก็มีการแยกตัวกัน

 อันนี้เป็นเรื่องปกติของดินน้ำลมไฟ

เขาแยกออกไปแล้ว เดี๋ยวเขาก็ไปรวมตัวกันใหม่

เอาขี้เถ้าไปโรยไว้ใต้โคนต้นไม้

เดี๋ยวมันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ไป เป็นปุ๋ยเป็นอะไรไป

 มันก็ไปรวมตัวอีกอย่างหนึ่งไป

 จากร่างกายมันก็ไปรวมตัวเป็นต้นไม้

แล้วต้นไม้พอสัตว์มากินเข้าไป

มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสัตว์ไป

พอคนมากินสัตว์มันก็ไปเป็นอีกส่วนหนึ่งของคนไป

มันก็ไหลกันไปเปลี่ยนกันไป จากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่ง

 จากร่างกายไปสู่ดิน จากดินไปสู่ต้นไม้

 จากต้นไม้ใบหญ้าไปสู่สัตว์ จากสัตว์ไปสู่สมนุษย์

มันก็วนกันไปเวียนกันมาอยู่อย่างนี้ นี่เป็นเรื่องของธาตุ ๔

ส่วนใจคือธาตุรู้ก็เป็นผู้ที่มาครอบครองธาตุ ๔ คือร่างกายนี้

 ในขณะที่อยู่ในครรภ์ของแม่ ของมารดาแล้ว

 พอออกจากครรภ์ก็เป็นผู้สั่งกำกับให้ร่างกายทำอะไรต่างๆ

 ตามความอยากตามความหลงของตน

 แล้วก็ไปทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตายของร่างกายอีก

 จนกว่าจะได้มากับพระพุทธเจ้าที่รู้ความจริงว่า

 ความทุกข์ของพวกเราเกิดจากความหลง

ที่ไปอยากให้ร่างกายที่ไม่ใช่เป็นของเรา

เป็นของเราไปอย่างถาวร เป็นของเราเพียงชั่วคราว

 แต่เราอยากจะให้เป็นของเราอย่างถาวร

พอเขาจะต้องจากเราไป เราก็เกิดความทุกข์ทรมานใจขึ้นมา

 แต่ถ้าเรารู้ว่าเขาเป็นสมบัติชั่วคราว

 เขาจะต้องจากเราไปในวันหนึ่งข้างหน้า

 แล้วเราเตรียมตัวเตรียมใจสอนใจว่าอย่าไปยึดอย่าไปติด

 อย่าไปหวงอย่าไปห่วง ถึงเวลาเขาจะไป ก็ต้องปล่อยให้เขาไป

 เวลาไปเราก็จะไม่ทุกข์ เพราะความทุกข์ไม่ได้เกิดจาก

การไปหรือการอยู่ของร่างกาย

ความทุกข์เกิดจากความอยากของใจ

อยากไม่ให้เขาไปก็จะทุกข์ อยากให้เขาอยู่ก็จะทุกข์

นี่คือความจริงที่พวกเราได้รับจากพระพุทธเจ้า

 พระคุณของพระพุทธเจ้าจึงเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ยิ่งใหญ่กว่าพระคุณของบิดามารดา

บิดามารดาให้เราเพียงแต่ร่างกายกับทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองเท่านั้น แต่บิดามารดาไม่สามารถให้ธรรมะ

ให้ที่พึ่งทางใจแก่เราได้ ให้แสงสว่างแห่งธรรมกับเราได้

นอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นผู้เดียวที่จะให้ธรรมะ

แก่สัตว์โลกได้ พระอรหันตสาวกก็เป็นผู้ที่รับธรรมะ

จากพระพุทธเจ้ามาให้กันอีกทอดหนึ่ง

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าก็จะไม่มีพระอรหันตสาวก

มาเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าจนถึงปัจจุบันนี้ได้

ดังนั้นพระคุณทั้งหมดนี้ต้องตรงไปที่พระพุทธเจ้า

เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว

ก็จะไม่มีพระธรรมคำสอนจะไม่มีพระอรหันตสาวก

มาเอาพระธรรมคำสอนมาเผยแผ่ให้เป็นที่พึ่งของพวกเรากัน

 พวกเราจึงเป็นหนี้บุญคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก

 และวิธีที่เราจะทดแทนหนี้บุญคุณของพระพุทธเจ้า

 พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า ให้ปฏิบัติบูชา

 “ผู้ใดก็ตามที่ปฏิบัติบูชาผู้นั้นแลคือผู้บูชาเราตถาคต”

 ถ้าเราอยากจะทดแทนบุญคุณของพระพุทธเจ้า

ขอให้เราทดแทนด้วยการปฏิบัติบูชา

การบูชาด้วยเครื่องสักการะ เช่นดอกไม้ธูปเทียนนี้

เป็นเพียงการแสดงความเคารพเท่านั้น

 แต่ยังไม่ใช่เป็นการบูชาที่แท้จริง

ถ้าอยากจะบูชาที่แท้จริงต้องปฏิบัติ

ต้องเอาธรรมของพระพุทธเจ้า เข้ามาให้เป็นสรณะ

 เป็นที่พึ่งของใจให้ได้เท่านั้น เพราะนี่คือความปรารถนา

ของพระพุทธเจ้า ตอนที่ทรงประกาศพระธรรมคำสอนนี้

พระองค์ไม่มีความปรารถนาอะไรจากใครทั้งนั้น

 เพราะพระทัยของพระองค์นี้ทรงเปี่ยมไปด้วยปรมัง สุขังแล้ว

ถ้าเป็นเงินก็เต็มบ้านเต็มช่องไม่มีที่เก็บแล้ว

 ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วจากใครทั้งนั้น

แต่การที่ทรงยอมสละชีวิตที่เหลืออยู่อีก ๔๕ ปี

 มาเผยแผ่สั่งสอน พระธรรมคำสอนนี้ให้แก่สัตว์โลก

ก็เพราะมีความกรุณาความสงสาร

ที่เห็นสัตว์โลกนี้ยังถูกความมืดบอด

ความหลงหลอกให้ไปแบกร่างกายหลอกให้ไปหลง

ไปยึดไปติดร่างกายว่า เป็นตัวเราของเรา

แล้วก็เกิดความอยากไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย

แล้วก็เกิดความทุกข์ตามมา อยู่ทุกภพทุกชาตินี้

 ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงสอนความจริงอันนี้แล้ว

 สัตว์ทั้งหลายก็ยังจะต้องเวียนว่าย

ตายเกิด ต่อไปอีกไม่มีวันสิ้นสุด

 แต่ถ้ามีพระพุทธเจ้ามาสั่งสอนแล้ว

สัตว์โลกสามารถนำเอาความจริงอันนี้ ไปสอนใจ

ไปปล่อยวางความหลง ความยึดติดความอยากในร่างกายได้

 สัตว์โลกก็จะหลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งหลายได้

หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

ดังนั้นถ้าผู้ที่มีความรักมีความเคารพพระพุทธเจ้า

 อยากจะบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้าอยากจะทดแทนพระคุณ

 ของพระพุทธเจ้าก็ขอให้ทดแทนด้วยการปฏิบัติบูชา

 จะเป็นการทดแทนบุญคุณที่พระองค์ทรงปรารถนา

 จะได้ทำให้พระองค์รู้สึกไม่เสียเวลาต่อการเผยแผ่สั่งสอน

พระธรรมคำสอนให้แก่สัตว์โลก

ดังนั้นขอให้พวกเรา คิดถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า

 คิดถึงหน้าที่ของพวกเรา คิดถึงผลประโยชน์ที่เราจะได้รับ

จากการปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เราจะได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

 แล้วเราจะได้ทดแทนบุญคุณ อันใหญ่หลวง

ของพระพุทธเจ้าไปพร้อมๆกันเลย

นี่คือเรื่องของการมาฟังเทศน์ฟังธรรม มาปฏิบัติธรรมกัน

เพื่อมาสร้างที่พึ่งทางใจเพื่อให้ใจได้หลุดพ้นจากภัยต่างๆ

ที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็คือความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย

 ความตาย ความสูญเสีย ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบ

ที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต ก็คือความแก่

ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความตาย ความสูญเสียความพลัดพราก

จากสิ่งที่รักที่ชอบ และความเผชิญกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ

 ใจจะไม่วุ่นวายจะไม่เดือดร้อนกับภัยต่างๆ

ถ้าได้สร้างธรรมะขึ้นมา เป็นที่พึ่งของใจ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

“ที่หลบภัยของใจ”









ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 21 พฤษภาคม 2559
Last Update : 21 พฤษภาคม 2559 11:03:49 น.
Counter : 822 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ