Group Blog
All Blog
### ปัญญากับตัวรู้ ###
















“ปัญญากับตัวรู้”

ปัญญาเป็นตัวที่ชี้บอกว่าอะไรผิดอะไรถูกอะไรดีอะไรชั่ว

อะไรทำให้สุข อะไรทำให้ทุกข์ เรียกว่าปัญญา

 ตัวรู้ก็รู้เฉยๆ เป็นคนรับรู้เฉยๆ ถ้าไม่มีตัวรู้ก็เหมือนต้นไม้

พูดกับมันมันก็ไม่รู้เรื่อง ต้นไม้เสานี้มันไม่มีตัวรู้

ร่างกายนี้มีตัวรู้ เพราะว่าตัวรู้มันมาอาศัยร่างกายนี้อยู่

เวลาพูดกับคนเป็น จึงไม่เหมือนพูดกับคนตาย ใช่ไหม

พูดกับคนตายนี้ด่ามันยังไงมันก็ไม่เดือดร้อน

ชมมันอย่างไรมันก็ไม่ดีใจ เพราะตัวรู้ไม่มี

 แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่นี้มีตัวรู้ เวลาชมมันก็ดีใจ เสียใจก็ได้

 หรือเฉยๆก็ได้ อยู่ที่ปัญญา

ถ้าไม่มีปัญญาเวลาชมก็จะดีใจ เวลาด่าก็จะเสียใจ

แต่ถ้ามีปัญญามันก็จะเฉยๆ เพราะมันรู้ว่าเขาจะชม

หรือเขาด่ามันก็เป็นเพียงลมปากของเขา

 เราไปบ้ากับลมปากเขาทำไม

 เราไม่ได้ดีหรือไม่ดีกับคำชม หรือคำด่าของเขา

แต่ถ้าคนไม่มีปัญญาจะหลงไหลกับคำชม

 จะเกลียดกับคำด่า พอใครชมแล้วก็จะดีใจ

 พอใครด่าก็จะเสียใจ แต่คนที่มีปัญญาจะแยกแยะว่า

 คนเขาพูดอย่างไรนี้มันไม่เกี่ยวกับเรา

 เราก็ยังเป็นเราอยู่นะ

เขาว่าเราเป็นควายเราก็ยังเป็นคนอยู่

 แต่พอเขาบอกว่าเราเป็นควายเราก็ไปโกรธเขา

ก็แสดงว่าเราโง่แล้ว ไม่มีปัญญา

คนที่มีปัญญาเขาก็บอกว่า เรื่องของเขา ปากของเขา

เขาจะพูดอะไรถูกหรือผิดมันเรื่องของเขา

 เราดูที่ตัวเราว่าเราผิดหรือถูกอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า

 ถ้าเขาว่าเราผิดแล้วเราผิดจริงเราก็ควรจะแก้ไข

ถ้าเขาว่าเราผิดแต่เราไม่ผิด

เราก็ไม่ต้องไปสนใจ ก็เท่านั้นเอง

 ถ้าเขามาชมเราว่าเราดีอย่างนั้นดีอย่างนี้

แต่เราไม่ดีจริงเราไปดีใจทำไม เราก็ควรที่จะแก้ไข

 แล้วเรายังไม่ได้ดีอย่างที่เขาพูด

นี่คือการมีปัญญากับไม่มีปัญญา

ถ้าไม่มีปัญญามันจะไปกับความหลง

ความหลงนี้มันจะชอบของดีชอบคำชมเชย

ชอบให้คนให้ของเรา

ชอบได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ อันนี้เป็นความหลง

 แต่มันไม่รู้ว่าการชอบเหล่านี้

มันจะทำให้นำไปสู่ความเสียใจต่อไป

 เวลาไม่ได้ เข้าใจไหม เวลาเขาไม่ชมเรา เราก็จะเสียใจ

 เวลาเขาไม่ให้อะไรเรา เราก็จะเสียใจ

แต่ถ้าคนฉลาดจะรู้ว่าไม่ควรยินดีกับสิ่งที่เขาให้เรามา

 เพราะว่าถ้าเรายินดีเดี๋ยวเขาไม่ให้เรา เราก็จะเสียใจ

 หรือของที่เราได้มาด้วยความยินดี

 ถ้ามันหายไปเราก็จะเสียใจอีกแหละ

คนฉลาดเขามีปัญญาเขาจะรู้ว่า

ของต่างๆ เป็นของไม่เที่ยง

ได้มาแทนที่จะมีความสุขจะมีความทุกข์มากกว่า

 เพราะได้มาแล้วจะต้องมาวิตกกังวล มารักมาหวง

แล้วมาเสียใจเวลาต้องเสียเขาไป นี่คือคนมีปัญญา

จะคิดต่างจากคนไม่มีปัญญา

คนไม่มีปัญญาจะดีอกดีใจ

ใครให้อะไรมานี้ โอ๊ย..ดีใจ

 แต่พอวันไหนเขาไม่ให้นี้ก็เสียใจ

 แต่ถ้าคนไม่ยินดี เขาไม่ให้ก็ไม่เสียใจ

 ให้ก็ได้ ไม่ให้ก็ได้

 ให้ก็รับไว้ตามมารยาทเท่านั้นเอง

 แต่ไม่เคยอยากได้อะไรจากใคร นี่คือคนฉลาด

 เพราะคนฉลาดเห็นว่าของที่ได้มาจะต้องเสียไป

ของในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ มันเป็นของชั่วคราวเท่านั้น

 แต่คนไม่มีปัญญาจะมองไม่เห็นจะคิดว่าจะเป็นของเรา

 อยู่กับเราไปตลอด

แต่มันสักวันหนึ่งมันจะต้องจากเราไปไม่ช้าก็เร็ว

คนมีปัญญาจึงไม่อยากได้อะไรจากใคร

 จึงไม่มีความโลภ ไม่มีความอยาก

คนที่ไม่มีปัญญานี้จะอยากได้

เพราะคิดว่าได้มาแล้วจะมีความสุข

 แต่มองไม่เห็นว่า เวลาเสียไปจะเป็นอย่างไร

 คนมีปัญญาจะเห็นว่าได้มาแล้วเดี๋ยวก็ต้องเสียไป

มีเกิดแล้วก็ต้องดับ มีขึ้นแล้วก็ต้องมีลง

ก็จะไม่ได้อยากได้อะไร

พอไม่อยากได้อะไรก็จะไม่ทุกข์

 สบาย อยู่เฉยๆ ก็มีความสุข นี่คือปัญญา

ปัญญาเป็นผู้สอนตัวรู้ที่ตอนนี้ถูกตัวหลงหลอกอยู่

 หลอกให้ดีใจเสียใจไปกับเหตุการณ์ต่างๆ

แล้วตัวรู้นี้เป็นตัวที่รับความทุกข์

 พระพุทธเจ้านี้เป็นคนฉลาด

 ท่านสามารถศึกษาดูวิธีที่จะรักษาใจ

รักษาตัวรู้นี้ไม่ให้ทุกข์กับเรื่องราวต่างๆ

 ด้วยการไตรลักษณ์ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ที่ไม่มีใครในโลกนี้ มองเห็นกัน

เพราะถูกความหลงครอบงำอยู่

เหมือนคนที่มีตาแต่ถูกเอาผ้ามาปิดไว้

เลยมองอะไรไม่ให้เห็น เห็นกลับตาลปัตร

เห็นทุกข์เป็นสุข เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข

เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง

เห็นสิ่ง ที่ไม่ใช่ของเราว่าเป็นของเรา

มันก็เลยทุกข์เพราะไปยึดกับสิ่งที่ไม่เที่ยง

 เดี๋ยวมันก็หายไป ไปยึดกับของที่ไม่ใช่ของเรา

เดี๋ยวเขาก็กลับคืนไปสู่เจ้าของเดิม

 เจ้าของเดิมคืออะไรก็คือดิน น้ำ ลม ไฟ

ถ้าเราไม่มีปัญญาของพระพุทธเจ้ามา

พวกเราก็จะถูกความหลงหลอกให้เรา

ดีใจเสียใจกับสิ่งนั้นสิ่งนี้

แล้วก็กลับมาดีใจเสียใจซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่นั่นแหละ

ตายแล้วก็กลับมาเกิดใหม่ เพราะมีความอยากที่จะมา

ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่เรื่อยๆ แต่ไม่เคยคิดว่า

ได้อะไรมาแล้วจะต้องเสียมันไป ถึงแม้ว่าจะเสียแล้วก็ลืม

 เสียแฟนไม่กี่วันเดี๋ยวก็หาแฟนใหม่แล้ว

แล้วคิดว่าเเฟนใหม่จะไม่เสียอีกหรอ มันก็เสียอีกแหละ

นี่คือเรื่องของความหลงกับปัญญาอยู่กันคนละฟากกัน

ถ้ามีปัญญาก็จะไม่มีความหลง

 ถ้าไม่มีปัญญาก็จะความหลง

 ถ้ามีความหลงก็จะมีแต่ความทุกข์

 ถ้ามีปัญญาก็จะมีแต่ความสุข

 ปัญญาเป็นเครื่องรักษาใจให้มีความสุข

 แต่ปัญญาจะเกิดได้ก็ต้องมีสมาธิก่อน

สมาธิจะมีได้ก็ต้องมีสติก่อน

 ที่เรามาปฏิบัติกันนี้ก็ กอไก่ ขอไข่ก่อน

สร้างสติขึ้นมาก่อน มีสติแล้วก็นั่งสมาธิทำใจให้สงบ

พอใจสงบแล้วทีนี้ใจก็จะสามารถมองความจริงได้

 มองเห็นความจริง พิจารณาความจริงได้

ว่ามีอะไรเที่ยงแท้ แน่นอนไหมในโลกนี้

มีอะไรที่อยู่เหมือนเดิมไปตลอดไหม ไม่มีหรอก

 แม้แต่โลกนี้สักวันหนึ่ง มันก็จะต้องหมดสภาพไป

แต่เราคิดไม่เป็นกัน เราคิดว่า

โลกนี้จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

การปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา ให้เห็นไตรลักษณ์

 เห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงเห็นทุกข์

ที่เกิดจากความอยากให้สิ่งต่างๆเที่ยง

 ถ้าไม่มีความอยากให้สิ่งต่างๆ เที่ยงก็จะไม่ทุกข์

เวลาสิ่งต่างๆ ไม่เที่ยงก็จะไม่เดือดร้อน

 ที่เดือดร้อนเพราะไปอยากให้มันเที่ยง

อยากให้มันเป็นของเราไปตลอด

แต่มันเป็นของเราชั่วคราวเท่านั้นเอง

 เดี๋ยวสักวันหนึ่งก็ต้องเป็นของคนอื่นไป ไปอยู่กับที่อื่น

 ร่างกายนี้ต่อไปมันก็กลับไปสู่ดินน้ำลมไฟ

 ไปสู่เจ้าของเดิม ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ

 ดังนั้นเราต้องพยายามมองทุกอย่างให้เห็นความไม่เที่ยง

 เห็นการดับของทุกสิ่งทุกอย่าง

เห็นการเสื่อมของทุกสิ่งทุกอย่างมันจะได้ไม่อยากได้

 เมื่อไม่อยากได้มันก็จะไม่ทุกข์

จะคิดอย่างนี้ได้ก็ต้องมีใจที่สงบ

ถ้าใจไม่สงบมันจะถูกความหลงหลอก

ให้ไปคิดทางตรงกันข้ามเสมอ

 เห็นใครก็อยากจะให้อยู่กับเราไปนานๆ

 ดีกับเราไปนานๆ เป็นของเราไปนานๆ ไปตลอด

 แต่ถ้าใจสงบแล้วมันจะมองเห็นว่ามันไม่เป็นอย่างนั้น

 เดี๋ยวก็ต้องเสื่อม เดี๋ยวก็ต้องหมด

เดี๋ยวก็ต้องตายจากกันไป ถึงต้องปฏิบัติเป็นขั้นๆ ไปก่อน

 ถ้าเรายังไม่มีสมาธิ เราก็ต้องไปฝึกสติ

ถ้าเราไม่มีสติเราก็ต้องหาเวลามาสร้างสติ

ถ้าเรามัวแต่ไปทำงานทำการหาเงินหาทอง

เราก็จะไม่มีเวลามาฝึกสติมานั่งสมาธิกัน

ท่านถึงบอกว่าให้ทำมาหากิน

พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ก็พอแล้ว

 เอาเวลาที่เหลือนี้มาปฏิบัติธรรมดีกว่า

ดีกว่าไปหาเงินเพิ่มขึ้นอีก ๑๐ เท่า ๑๐๐ เท่า

มันก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด

แต่กลับจะมีความทุกข์เพิ่มมากขึ้นไป

ทางจิตใจจะวิตกกังวลกับทรัพย์สมบัติมากขึ้นไป

หรือไปใช้เงินทองให้เสียเวลาไปเปล่าๆ

 ไปซื้อของที่เป็นเหมือนยาเสพติด

ซื้อแล้วก็ต้องซื้ออยู่เรื่อยๆ วันไหนไม่ได้ซื้อก็ทุกข์

เอาเวลามาอยู่วัดมาปฏิบัติธรรมดีกว่า

 มาเจริญสติเพื่อนั่งสมาธิให้ใจสงบ

เมื่อใจสงบแล้วจะได้ดึงใจมาพิจารณาไตรลักษณ์ได้

พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้

พอเห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ใจก็จะละความอยากได้

 ก็ปล่อยให้มันไม่เที่ยงไป ทำไงได้ห้ามมันไม่ได้

คนมันจะตายไปหยุดมันได้หรือเปล่า แต่หยุดใจได้

ใจเราอย่าไปทุกข์กับมัน มันจะตายก็ตายไป

ถ้าห้ามมันไม่ได้ แก้มันไม่ได้

ก็ต้องปล่อยมันตายไปเท่านั้นเอง

ใจก็จะไม่ทุกข์ ใจก็จะไม่เดือดร้อนกับความสูญเสีย

 กับการสิ้นสุดของสิ่งต่างๆ เพราะเป็นเรื่องธรรมดา

เรื่องของธรรมชาติ เราก็จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์กัน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙










ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 09 พฤษภาคม 2559
Last Update : 9 พฤษภาคม 2559 11:03:36 น.
Counter : 673 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ