Group Blog
All Blog
### ภารกิจทางศาสนา ###













“ภารกิจทางศาสนา”

การขวนขวายดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่อยากได้มานี้

ก็เป็นความทุกข์แล้ว แต่ไม่รู้กัน คิดว่าเป็นความสุข

แล้วก็เวลาที่ไม่สามารถดิ้นรนต่อสู้แสวงหาสิ่งที่ต้องการได้

 เวลานั้นถึงจะเห็นความทุกข์ เช่นเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย

 ร่างกายพิกลพิการไม่สามารถที่จะทำตามความอยากได้

เวลานั้นก็จะมีแต่ความทุกข์ทรมานใจ

 แต่ถ้าเอาเวลามาให้กับการเจริญมรรคเจริญผล

 ก็คือทำทาน รักษาศีล ภาวนา

ใจก็จะมีความสงบเพิ่มมากขึ้นมีความทุกข์น้อยลงไป

 เพราะความอยากจะน้อยลงไปตามลำดับ

 เพราะการทำทานนี้เป็นการสกัดความอยาก

การรักษาศีลเป็นการสกัดความอยาก

การภาวนาเป็นการสกัดความอยาก หยุดความอยาก

การเจริญปัญญาเป็นการถอดถอนความอยากให้หมดไปจากใจ

 ใจที่ไม่มีความอยากนี้จะเป็นใจที่แสนจะสุขแสนจะสบาย

 ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อนกับสิ่งต่างๆที่ใจมาสัมผัสรับรู้

 ไม่วุ่นวายกับการเจริญหรือการเสื่อมของลาภยศสรรเสริญ

 กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ กับร่างกายของตน

ไม่ว่าร่างกายจะแก่จะเจ็บจะตายหรือไม่

 ก็จะไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด

จะอยู่อย่างสบายไปจนนาทีสุดท้าย ลมหายใจสุดท้าย

จะไม่มีวันทุกข์กับเรื่องใดทั้งสิ้น

 แล้วเมื่อหมดร่างกายนี้แล้ว

 ก็จะไม่ไปหาร่างกายใหม่มาแบกอีก

ไม่ต้องกลับมาแก่มาเจ็บมาตาย

ไม่ต้องกลับมาดิ้นรนหาสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกนี้อีก

อันนี้เป็นหน้าที่ของเราเป็นงานของเรา ภารกิจทางศาสนา

 ที่เราต้องทำเอง ต้องทำให้มาก ต้องทำให้บ่อย

 อย่าท้อแท้อย่าเบื่อหน่าย ต่อการทำทาน

 ต่อการรักษาศีล ต่อการภาวนา ต่อการฟังเทศน์ฟังธรรม

 พยายามสร้างฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสาให้เกิดขึ้น

 ด้วยการนึกถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการปฏิบัติ

 ให้เรานึกถึงพระพุทธเจ้า

และพระอรหันตสาวกทั้งหลายเป็นตัวอย่าง

ให้ดูผลที่ท่านได้รับจากการได้ปฏิบัติ

แล้วจะทำให้เราเกิดมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

 ฉันทะก็คือมีความพอใจ

มีความยินดีที่จะศึกษาที่จะปฏิบัติ ทานศีลภาวนา

 วิริยะก็คือจะมีความอุตสาหะพยายาม

 ความพากเพียรปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

จิตตะก็จะมีใจที่จดจ่ออยู่กับ

การศึกษาปฏิบัติทานศีลภาวนา

จะไม่สนใจกับการแสวงหาลาภยศสรรเสริญ

 หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

วิมังสาความใคร่ครวญพิจารณา

 ก็จะใคร่ครวญพิจารณาแต่เรื่องของการทำทาน

 เรื่องของการรักษาศีล เรื่องของการภาวนา

 จะไม่ไปใคร่ครวญคิดถึงการหาลาภยศสรรเสริญ

หารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะชนิดต่างๆ

ถ้ามีอิทธิบาท ๔ นี้แล้วใจจะมีพลังจะมีกำลัง

 ที่จะพลิกอินทรีย์ ๕ ให้กลายเป็นพละ ๕ ขึ้นมา

ที่จะพลิกศรัทธาที่ยังล้มลุกคลุกคลาน

 ให้เป็นศรัทธาที่แน่วแน่มั่นคง

ให้พลิกวิริยะที่เป็นแบบเช้าชามเย็นชาม

ให้กลายเป็นวิริยะที่หมุนไปเองโดยอัตโนมัติไม่ต้องผลักดัน

 พอตื่นขึ้นมาปั๊บก็จะเพียรทันที เช่นตื่นขึ้นมาก็จะตั้งสติทันที

 จะควบคุมจิตใจทันที ควบคุมความคิดทันที

จะไม่ปล่อยให้คิดเรื่อยเปื่อย

 จะกำหนดอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง

 สิ่งใดสิ่งหนึ่ง กำหนดพุทโธ ก็บริกรรมพุทโธไป

กำหนดดูร่างกายก็ดูร่างกาย

ก็เฝ้าดูการเคลื่อนไหวการกระทำของร่างกายไป

ในทุกอิริยาบถในทุกการเคลื่อนไหว

 ไม่ปล่อยให้ใจไปคิดถึงเรื่องอื่น

 ให้คิดอยู่กับเรื่องของร่างกาย

 จะคิดว่าตอนนี้ร่างกายกำลังทำอะไรอยู่ก็ได้ เฝ้าดูไป

 กำลังอาบน้ำ กำลังแต่งเนื้อแต่งตัว กำลังรับประทานอาหาร

หรือจะดูธรรมชาติของร่างกายก็ได้

ว่าร่างกายนี้ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเป็นธรรมดา

ร่างกายนี้ก็เป็นส่วนประกอบของอาการ ๓๒ นี้เอง

 ประกอบด้วย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก

 เยื่อในกระดูก ม้าน หัวใจ ตับ ผังพืด ไต ปอด

ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า

เยื่อในสมองศีรษะ น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง

 น้ำเลือด น้ำเหงื่อ น้ำมันข้น น้ำตา น้ำมันเหลว

 น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำมูตร

นี่คือส่วนประกอบของร่างกาย ไม่มีตัวตนในสิ่งเหล่านี้

ไม่มีตัวตนในผม ในขน ในเล็บ ในฟัน ในหนัง ในเนื้อ ฯลฯ

ลองชำแหละร่างกายดู

เหมือนกับคนที่เขาชำแหละสุกรขายในตลาด

เขาก็แยกแยะชิ้นส่วนต่างๆออกมาขาย

เนื้อเขาก็ขายไป หนังเขาก็เอามาขาย

อวัยวะต่างๆเขาก็แยกเอามาขาย

 อวัยวะเหล่านี้ไม่มีตัวตนไม่มีเจ้าของ

ร่างกายนี้ก็เหมือนกันไม่มีตัวตนไม่มีเจ้าของ

 เพียงแต่มีใจมาครอบครองไว้ชั่วคราว

มาอาศัยร่างกายเป็นเครื่องมือ

ทำตามความอยากของใจเท่านั้นเอง

พิจารณาที่มาที่ไปของอาการ ๓๒ ว่ามาจากอะไร

ก็มาจากอาหาร มาจากน้ำที่ดื่มเข้าไป

 มาจากอากาศที่มาผสมกัน น้ำผสมกับอาหารผสมกับอากาศ

 ก็ทำให้มีการเจริญเติบโตของอาการ ๓๒

 ผมยาวขึ้นมาก็เพราะมีการเติมธาตุเข้าไป

เติมดินน้ำลมไฟเข้าไป อาการ ๓๒ นี้ก็เป็นธาตุดีๆนี่เอง

 ผมก็เป็นธาตุดิน ตัดผมทิ้งไปในดิน

ต่อไปมันก็กลายเป็นดินไป เล็บตัดทิ้งไปในดิน

มันก็จะกลายเป็นดินไป

ส่วนน้ำที่เราถ่ายปัสสาวะออกมามันก็กลับคืนสู่น้ำไป

 ลมก็เข้ามาแล้วก็ออกไป เป็นการเข้าออกของดินน้ำลมไฟ

 แล้วพอการเข้าออกของดินน้ำลมไฟยุติลง

 ก็จะเป็นการแยกสลายของดินน้ำลมไฟออกจากกันไป

ธาตุน้ำก็แยกออกไป ธาตุลมก็แยกออกไป

 ธาตุไฟก็แยกออกไป เหลืออยู่แต่ธาตุดิน

นี่ก็คือร่างกาย ไม่มีตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

 เป็นของดินน้ำลมไฟ พิจารณาอย่างนี้แล้วใจก็จะสงบ

ใจก็จะสว่างใจก็จะฉลาด ก็จะไม่ยึดติด

กับสิ่งที่จะต้องเสื่อมสลายกลับคืนสู่สภาพเดิมไป

 ก็พร้อมที่จะรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

พร้อมที่จะรับกับการแยกสลายของธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

พร้อมที่จะรับกับความแก่ความชราของร่างกาย

 พร้อมที่จะรับกับความเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกาย

พร้อมที่จะรับกับความตายของร่างกาย

นี่คือการเพียร ตื่นขึ้นมาทำแต่เรื่องอย่างนี้

 ถ้าทำภารกิจการงานก็มีสติจดจ่ออยู่กับภารกิจการงาน

อย่าปล่อยให้ใจหนีไปคิดถึงเรื่องต่างๆ

ที่จะทำให้เกิดความอยากขึ้นมา

พอเผลอปล่อยให้ไปคิดถึงเรื่องต่างๆ เกิดความอยากขึ้นมา

 ก็จะถูกความอยากฉุดลากไปทันที ก็จะไม่ได้เพียรภาวนา

 ก็จะไม่ได้สติ ไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้เจริญปัญญา

 พอเกิดความอยากแล้ว อยากได้ลาภยศสรรเสริญ

 อยากได้รูปเสียงกลิ่นรส ก็จะถูกดูดออกไปทางนั้นทันที

ฉะนั้นการเจริญสตินี้จึงเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างมาก

 จะต้องคอยควบคุมความคิด อย่าให้ไปตามความอยากให้ได้

ถ้าไปก็ต้องหาวิธีหยุดมันให้ได้

ใช้ปัญญาพิจารณาว่าไปแล้วก็เท่านั้น

ไปแล้วเดี๋ยวก็เสียเวลาไปเปล่าๆ

สิ่งที่ได้มาก็ไม่ได้เป็นที่พึ่งที่แท้จริง

 นอกจากไม่เป็นที่พึ่งแล้วก็จะกลายเป็นภาระกดดันจิตใจ

ถ้ามีความยึดติดมีความอยากในสิ่งนั้น

อันนี้ต้องพยายามปฏิบัติให้ได้ พยายามทำให้ได้ตลอดเวลา

 ควบคุมความคิดให้ได้ ให้อยู่กับการภาวนา

เดินจงกรมนั่งสมาธิ พิจารณาธรรมพิจารณาร่างกาย

พิจารณาสภาพต่างๆของร่างกายที่จะเกิดขึ้น

 เวลาร่างกายตายไปแล้วเป็นอย่างไร

 ก็ไปพิจารณาดูสภาพของศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

สมัยก่อนเขาทิ้งศพไว้ในป่าช้าให้ไปดูกัน

ให้เห็นความจริงของร่างกายนี้ ว่ามันสวยงามจริงหรือไม่

 ไปหลงรักร่างกายนี้ทำไม ร่างกายนี้เดี๋ยวมันก็ขึ้นอืดแล้ว

 เดี๋ยวก็บวมเดี๋ยวก็ช้ำมีสีดำคล้ำ

 ไม่ได้สีขาวอย่างที่เราเห็นกันตอนที่มีชีวิตอยู่

นี่คือเรื่องของการเพียรพยายามสร้างอินทรีย์ ๕

 ให้กลายเป็นพละ ๕ ขึ้นมา

ถ้าเป็นพละก็หมายความว่ามันมีกำลัง มันจะไปของมันเอง

 จะมีศรัทธาต่อการศึกษาต่อการปฏิบัติ

จะมีศรัทธาที่จะเจริญสติตลอดเวลา

จะมีศรัทธาที่จะนั่งสมาธิสลับกับการเจริญปัญญา

ถ้าเป็นพละ ๕ แล้วทีนี้ก็ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญไม่ต้องบังคับกันแล้ว

 จะไหลไปของมันเอง แล้วมันก็จะพาไปสู่จุดหมายปลายทาง

ที่เราปรารถนากัน ก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานขั้นต่างๆ

 ตั้งแต่ขั้นโสดาบันขึ้นไปจนถึงขั้นพระอรหันต์

มันก็อยู่ในกรอบของความพากเพียรของเรานี่เอง

ถ้าเราพากเพียรเจริญสติเจริญสมาธิและเจริญปัญญา

 มรรคผลนิพพานก็จะเป็นผลที่เกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน

เช่นถ้าเราเจริญสติได้ควบคุมความคิดได้

เราก็จะสามารถดึงใจให้เข้าสู่ความสงบได้

เวลาใจเข้าสู่ความสงบก็จะได้สัมผัสกับรสแห่งธรรม

ที่ชนะรสทั้งปวง คือความสงบ ความเป็นอุเบกขาของใจ

 เพียงแต่ว่ามันเป็นความสงบชั่วคราว

สมาธินี้ไม่สามารถที่จะรักษาความสงบให้เป็นไปได้ตลอดเวลา

 จะสงบได้เฉพาะเวลาที่เข้าไปสู่ในสมาธิเท่านั้น

พอถอนออกจากสมาธิมา ถ้าเผลอไม่ควบคุมความคิด

 ปล่อยให้ความคิดไปคิดในทางความอยาก

ความสงบที่ได้ก็จะจางหายไป

ก็จะเกิดความไม่สงบขึ้นมาภายในใจ

ดังนั้นเวลาออกจากสมาธิมาแล้ว

จึงต้องควบคุมความคิดต่อไป ควบคุมได้ ๒ ลักษณะ

คือควบคุมด้วยสติ ก็จะกดจะดึงความคิดเอาไว้

 ไม่ให้ไปคิดในทางที่จะทำให้เกิดตัณหาความอยาก

ความสงบก็ยังจะมีอยู่ แต่ถ้าเผลอเมื่อไหร่

ปล่อยให้ไปคิดถึงทางความอยาก ความสงบก็จะหายไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................................

กัณฑ์ที่ ๔๖๒ วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖

“เร่งความเพียร"









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อ๓ิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 04 มีนาคม 2559
Last Update : 4 มีนาคม 2559 10:15:57 น.
Counter : 684 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ