Group Blog
All Blog
### การเวียนว่ายตายเกิดคือเปลี่ยนร่างกาย ###









“การเวียนว่ายตายเกิดคือเปลี่ยนร่างกาย”


การเวียนว่ายตายเกิดคือเปลี่ยนร่างกายไปเรื่อยๆ

 เพราะร่างกายของทุกคนนี้ก็อยู่ได้แค่ไม่เกิน ๑๐๐ ปี

ไม่ว่าจะเป็นของใครก็ตามก็เลยต้องกลับมาเกิด

แล้วก็กลับมาแก่ มาเจ็บ มาตาย แล้วก็ทุกข์กับมัน ทุกที

 เวลาที่เข้าโรงพยาบาลสุขหรือทุกข์กัน

 มีพระพุทธเจ้านี้ท่านบอกไม่อยากจะกลับมาเกิด

มาเเก่ มาเจ็บ มาตาย ท่านก็เลยไปหาวิธีไปศึกษา ไปบวช

 เพราะว่าคนที่จะเข้าถึงจิตได้นี้จะต้องเข้าสมาธิ

 ต้องมีศีลถึงจะเข้าสมาธิได้ ต้องอยู่คนเดียว

 อยู่ในป่าเงียบๆ นั่งทำใจให้สงบ

พอใจสงบก็จะเข้าไปถึงตัวจิต ตัวเรานี่แหละ

พวกเราไม่เคยมองเห็นตัวเราหรอก

ถ้าอยากจะเห็นตัวเรานี้ต้องนั่งสมาธิ

พอทำใจให้สงบแล้วเราก็จะเห็นตัวเรา

 แล้วเราก็จะเห็นว่าตัวที่ทำให้เราต้องมาเกิดอยู่เรื่อยๆ

 ก็คือความอยากของเรานี่แหละ ความอยากต่างๆ

อยากดู อยากฟัง ก็ต้องมีร่างกายใช่ไหม

 ถ้าไม่มีร่างกายดูได้ไหม ฟังได้ไหม

 สมมุติว่าร่างกายนี้ตายไป คุณยังอยากฟังอยู่

 อยากดูอยู่ คุณจะทำอย่างไร คุณก็ไปหาร่างกายอันใหม่

 ก็ไปเกิดใหม่ ทีนี้ไปเกิดใหม่

ก็ไม่มีร่างกายอันไหนที่เกิดมาแล้วไม่ตาย

 ได้ร่างกายมากี่ร่าง เกิดมาแล้ว

เดี๋ยวก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายแล้ว

 ก็มาทุกข์กับมัน เพราะเวลาได้ร่างกายมาทีไร

ก็ไปคิดว่าเป็นตัวเราของเรา ใช่ไหม

ร่างกายนี้เป็นของเราหรือเปล่า

 ความจริงร่างกายนี้ก่อนที่มันจะโผล่ขึ้นมาได้นี้มันอยู่ที่ไหน

 เคยคิดบ้างหรือเปล่า มันมาจากใครล่ะ

แล้วเวลาที่พ่อแม่ยังไม่ได้เจอกันมันอยู่ที่ไหน

แล้วเราอยู่ตรงไหนละ เดี๋ยวร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเราแล้ว

 แสดงว่าเรามีกายทิพย์ รอจังหวะที่จะได้ร่างกายอันใหม่

 เหมือนเรารอซื้อรถยนต์คันใหม่

รถเก่าพังไป เราก็ไปซื้อคันใหม่

รถยังไม่ผลิตเราก็ไปซื้อใบจองไว้ก่อน

ทีนี่พอร่างกายนี้เริ่มผลิต พอตั้งครรภ์ปั๊บเราก็ไป

ถ้าจังหวะถึงคิวเราที่จะไปได้ร่างกายใหม่เราก็ได้แล้ว

แล้วอีก ๙ เดือนก็ออกมา

เราก็ขับมันออกมาจากท้องแล้ว ใช่ไหม

แล้วเราก็อยู่กับมันมาทุกวันเราก็คิดว่าเป็นมันเลย ใช่ไหม

 แล้วเดี๋ยวถึงเวลาแยกกันมันไปแยกกันที่ไหน

 แยกกันที่โรงพยาบาล แยกกันที่เมรุใช่ไหม

ร่างกายมันก็กลับคืนสู่ดิน น้ำ ลม ไฟ

เวลาตายไปมันกลายเป็นอะไร

เวลาไปเผา ก็กลายเป็นขี้เถ้ากลายเป็นเศษกระดูกไป

 แล้วเวลามันมา มาจากอะไร

ออกจากท้องแม่ต้องทำอะไร ต้องหายใจใช่ไหม

หายใจก็เอาธาตุลมเข้าไปแล้ว

กินนมก็เอาธาตุน้ำเข้าไปแล้ว แล้วในน้ำนมก็มีธาตุดิน

 มีสารอาหารต่างๆ อันนั้นก็เป็นธาตุดินแล้ว

มันก็ทำให้เกิดธาตุไฟขึ้นมา

เวลาธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุดินมาผสมกัน

ก็ทำให้เกิดความร้อนขึ้นมาในร่างกาย

ร่างกายก็คือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ

ตอนนี้เราเอาธาตุลมเข้าไปอีกใช่ไหม

เดี๋ยวหิวน้ำก็ดื่ม เติมธาตุอยู่ตลอดเวลา

เดี๋ยวก็เติมดินใช่ไหม เวลากินข้าว ข้าวมาจากไหน

 ข้าวมาจากท้องฟ้า หรือมาจากดิน

แล้วต้องมีน้ำทำให้ข้าวโตไหม

 มันก็ต้องมีทั้งดินทั้งน้ำแล้ว ก็ต้องมีทั้งไฟ

 ต้องมีความร้อน ถ้าเป็นหิมะนี้ต้นมไม้ก็ไม่ขึ้น

 ถ้ามันหนาวมันก็ต้องมีธาตุไฟ

มีความร้อน อุณหภูมิ นี่เราก็ต้องเอาธาตุดินเข้ามา

 เราถึงโตขึ้นมาได้

 กินนมกินน้ำกินข้าวกินผักกินอะไรนี้มันก็เป็นดินน้ำลมไฟ

 แล้วพอเข้ามาในร่างกาย มันก็มาเปลี่ยนเป็นอะไร

 ผม ขน เล็บ ฟัน ผมก็ยาวขึ้น เล็บก็ยาวขึ้น

ฟันก็ยาวขึ้น หนัง เนื้อก็ใหญ่ขึ้น

 กระดูกก็ใหญ่ขึ้นก็มาจากอะไร จากอาหารที่เรากินเข้าไป

 แล้วตัวเราอยู่ตรงไหน เราอยู่ตรงไหนในร่างกายนี้

 ไม่มีส่วนเราเลย มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟทั้งนั้น

 เราเพียงแต่เป็นคนขับ คนขับร่างกายอันนี้

เราเป็นคนสั่งให้ร่างกายมาที่นี่วันนี้

ถ้าเราไม่สั่งมันไม่มาหรอก ใช่ไหม

เราคิด ใจเราเป็นผู้คิด ผู้รู้

 เรารับรู้เรื่องราวต่างๆ ที่เรารับจากตาหูจมูกลิ้นกาย

 ถ้าเราหลับตา ก็จะไม่เห็นภาพเราแล้ว

 ถ้าปิดหูก็จะไม่ได้ยินเสียงแล้ว

ผู้ที่ได้ยินเสียงที่รับภาพนี้ไม่ใช่ร่างกาย

ร่างกายเป็นเหมือนกล้อง กล้องนี้ก็ถ่ายภาพอยู่

 ตาเราก็ถ่ายภาพอยู่ แต่คนที่ดูภาพนี้

ไม่ใช่ร่างกายคือใจนี้ กายทิพย์นี่แหละเป็นตัวที่รู้

 ตัวรู้รูป รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้แล้วก็เกิดกิเสขึ้นมา

เกิดตัณหาความอยาก พออยากแล้วก็ต้องดูอยู่เรื่อยๆ

 อยากดูภาพนี้แล้ว อยากดูภาพนั้น

 อยากได้ยินเสียงนั้นอยากได้ยินเสียงนี้

อยาก พอเกิดความอยากขึ้นมาก็เลยรักร่างกาย

 หวงร่างกายขึ้นมา เหมือนเราหวงกล้อง

ถ้าเราใช้กล้องเราก็หวงมัน ใช้มือถือนี้เราก็หวงมัน

เราไม่อยากจะให้มันเสีย ไม่อยากจะให้มันหายไป

 ทีนี้ถ้ามือถือหายไป ทำอย่างไร เดือดร้อนไหม

 ติดต่อกับใครไม่ได้ พอมือถือเสียหายไปทำอย่างไร

 รีบไปที่ร้านเลยใช่ไหม ซื้อใหม่เลย

ร่างกายก็เป็นเหมือนมือถือ ใช่ไหม

พอร่างกายนี้ตายไปทำอย่างไรก็ไปซื้อใหม่เลย

เวลาจะซื้อก็ต้องรอคิวก่อน

ช่วงรอคิวก็ไปที่สวรรค์หรือไปที่นรกก่อน

 ขึ้นอยู่กับบุญกับบาปที่เราทำไว้

นี่แหละคือเรื่องของพวกเรา เรื่องของร่างกาย

เราเป็นคนคิดใช่ไหม ร่างกายคิดไม่เป็น

 เวลาไม่มีร่างกายทิพย์

ร่างกายมันนอนแข็งทื่อ อยู่นั่นแหละ ใช่ไหม

 หรือเวลานอนหลับมันก็ไม่ทำอะไร

ตอนนั้นร่างกายทิพย์ปล่อยร่างกายไว้ชั่วคราวให้พักผ่อน

 ส่วนร่างกายทิพย์นี้ไม่ต้องไปพักผ่อนมันก็ไปเที่ยวต่อ

 ไปฝันต่อ ฝันร้ายฝันดีไปตาม อำนาจของบุญของบาป

ที่ทำเอาไว้ ถ้าเราอยากจะรู้ว่าอนาคตของเราจะไปไหน

 ก็ให้ดูที่ความฝันของเรานี้ เราฝันดีหรือฝันร้าย

ถ้าฝันร้ายอนาคตก็คือนรก

 ถ้าอยากจะแก้ได้ก็แก้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

ก็พยายาม มาทำบุญบ่อยๆ แล้วเดี๋ยวก็จะฝันดี

 อย่าไปทำบาป ถ้าไปทำบาป ไปมีเรื่องมีราว

กับคนนั้นคนนี้ดื่มสุรายาเมาแล้ว ก็ไปทะเลาะวิวาท

ไปตีหัวคนนั้นแล้วก็ไปด่าคนนี้

มันก็จะสะสมบาปไว้ในใจสะสมนรกไว้ในใจ

ถ้าเราอยากจะสะสมบุญ สะสมสวรรค์ก็นี่ทำบุญบ่อยๆ

 ทำบุญทุกวัน วันละเล็ก วันละน้อย

 ใส่บาตรบ้าง ให้เงินคนนั้นคนนี้ ช่วยคนนั้นคนนี้บ้าง

 นี่เรียกว่าเป็นการทำบุญ ทำกับใครก็ได้

ไม่ต้องทำกับพระอย่างเดียว

ทำกับมนุษย์ทำกับสัตว์เดรัจฉานทำกับคนที่เรารู้จัก

ทำกับคนที่เราไม่รู้จักเป็นการสร้างสวรรค์ให้กับเรา

 เพราะเราจะรู้สึกดีใช่ไหม เวลาเราได้ช่วยเหลือคนอื่น

 เรารู้สึกอย่างไร ทุกข์หรือสุขแล้วทำไมไม่ชอบทำกัน

 ชอบไปสร้างความทุกข์ เวลาไปด่าคนนี้ใจสุขหรือทุกข์

แต่ชอบด่าเขาเหลือเกิน

ชอบสร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง

ความสุขไม่ชอบสร้าง

 เพราะคิดว่ามันไม่มีผลตามมา

ความสุขความทุกข์ที่เราให้กับคนอื่นนี้

มันจะกลับมาหาเรา

ดังนั้นเรามาสร้างความสุขให้กับคนอื่น

 ช่วยเหลือคนอื่น แล้วเราก็จะได้รับความสุข

จากการช่วยเหลือคนอื่น

การที่เรามาช่วยเหลือพระนี้เรามีประโยชน์ ๒ เด้ง

 นอกจากได้รับความสุขจากการช่วยเหลือพระแล้ว

 เราได้คุยกับพระแล้วเราจะได้ยินได้ฟังธรรมะ

 ได้รู้จักตัวเราดีขึ้น อย่างวันนี้ถ้าไม่ได้มาที่นี่

ก็ไม่ได้ฟังเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้

เราก็ยังจะไม่รู้จักตัวเราว่า เป็นคนกันแน่

เราก็ยังคิดว่าเราเป็นร่างกายอยู่

แต่ตอนนี้เราก็รู้ว่าเราไม่ได้เป็นร่างกายแล้ว

ต่อไปเราก็ไม่กลัวแล้ว

 ร่างกายมันจะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย

เราก็ปล่อยให้มันแก่ มันเจ็บ มันตายไป

 เพราะเราห้ามมันไม่ได้

ยิ่งอยากให้มันไม่แก่ ก็ยิ่งทุกข์ทรมานใช่ไหม

แต่ถ้าเราไม่อยากเราจะไม่ทรมาน

เชื่อไหม ลองปลงดูซิ เจ็บก็เจ็บ

เจ็บก็ส่งเข้าอู่เหมือนรถนี้ ให้หมอรักษา

 หมอเป็นเหมือนกับช่างซ่อมรถ หมอก็ซ่อมไป

 ซ่อมไม่ได้เขาก็บอกว่า ซ่อมไม่ได้

ก็รอให้มันตายไป ตายไปก็ไม่เป็นไร

 เราไม่ได้ตายไปกับมัน

เราก็ไปรอที่สวรรค์ถ้าเราทำบุญเยอะๆ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๙








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 มิถุนายน 2559
Last Update : 22 มิถุนายน 2559 11:37:00 น.
Counter : 855 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ