Group Blog
All Blog
### ให้เฝ้าดูที่ใจ ###













“ให้เฝ้าดูที่ใจ”

จะรักษาความสงบที่ถาวรก็ต้องรักษาด้วยปัญญา

 ต้องสอนใจให้หยุดความอยาก เวลาเกิดความอยากขึ้นมา

 ต้องสอนให้เห็นโทษของความอยาก ให้ดูที่ใจ

ถ้าสังเกตดูจะเห็น เวลาเกิดความอยาก

 ใจที่เคยสงบนี้จะกระเพื่อมขึ้นมาทันที

นี่คือประโยชน์ของการมีสมาธิ

จะทำให้เห็นทุกข์เวลาเกิดความอยากขึ้นมา

 ถ้าไม่มีสมาธินี้จะมองไม่เห็น เวลาเกิดความอยากนี้

จะไม่เห็นว่าใจกำลังทุกข์ เพราะใจไม่เคยมีความสงบ

ไม่เคยมีความสุข ใจทุกข์อยู่ตลอดเวลา

ใจกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา

 จึงไม่เห็นความแตกต่างกันเมื่อเกิดความอยากขึ้นมา

แต่เวลาที่จิตสงบนี้ความอยากสงบตัวลงไป

ใจก็นิ่งเหมือนน้ำที่นิ่ง

พอเวลาเกิดความอยาก

ก็เหมือนกับเวลาที่มีปลาผุดขึ้นมา

โผล่ขึ้นมา ก็จะทำให้น้ำกระเพื่อม

ความอยากนี้ก็เป็นเหมือนปลาในน้ำที่ผุดขึ้นมา

 ทำให้เกิดคลื่นในน้ำขึ้นมา

 ถ้าใจสงบแล้วถ้ามีสติเฝ้าดูที่ใจ

 จะเห็นความรู้สึกที่แตกต่างกันทันที

 เวลาเกิดความอยากแล้วใจจะกระเพื่อมขึ้นมา

ใจจะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ทีนี้ก็จะรู้แล้วว่า

 สิ่งที่จะต้องแก้ก็คือที่ความอยากนี้เอง หยุดความอยาก

การจะหยุดความอยากนี้ได้ ก็ต้องสอนใจให้เห็นว่า

สิ่งที่ไปอยากได้นั้น

ก็ไม่สามารถให้ความสุขได้อย่างแท้จริง

 ให้ความสุขได้เพียงชั่วคราว

 แล้วก็จะทำให้เกิดความอยากเพิ่มมากขึ้นไป

 หรือสิ่งที่ได้มาเมื่อสูญเสียไป

 ก็จะทำให้เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

 เช่นอยากจะมีคู่รักมีสามีมีภรรยา อยากมีลูก

พอได้มาแล้วทีนี้เวลาที่เขาจากเราไป

เวลานั้นก็จะเสียอกเสียใจ

 นี่ต้องสอนใจให้เห็นความไม่เที่ยง ของสิ่งที่อยากได้

หรือลาภยศสรรเสริญก็เหมือนกัน

 อยากได้ลาภได้มาแล้วมันก็หมดไปได้

ได้ยศแล้วมันก็หมดไปได้

ได้สรรเสริญแล้วมันก็หมดไปได้

เวลามันหมดไปนั่นนะเป็นเวลาที่จะทุกข์ทรมานใจ

จะไม่มีวันที่จะดับความทุกข์ได้ เพราะว่าพอหายทุกข์แล้ว

มันก็ยังไม่เข็ดไม่หลาบ มันก็ลืมไปเลย

ก็ไปหาลาภยศสรรเสริญใหม่ หาคู่ครองคนใหม่

เสียคู่ครองคนนี้ไป พอหายจากทุกข์แล้ว

เดี๋ยวก็อยากจะได้คู่ครองคนใหม่

ลูกคนนี้ตายไป พอลืมไป หายจากทุกข์แล้ว

ก็อยากจะมีลูกคนใหม่ ความอยากมันไม่หมดไป

 ถึงแม้จะทุกข์แสนทุกข์ขนาดไหนก็ไม่เข็ดไม่หลาบ

 พอเกิดความอยากขึ้นมาแล้วมันสู้ความอยากไม่ได้

 ต้องไหลไปตามความอยากทันที

ชีวิตมันจึงไหลไปอยู่กับความทุกข์อยู่ตลอดเวลา

ทุกข์เป็นพักๆทุกข์เป็นยกๆทุกข์เป็นรอบๆไป

รอบนี้ก็มาทุกข์กับการเกิดแก่เจ็บตาย

 ทุกข์กับการสูญเสีย

 ทุกข์กับการพลัดพรากจากสิ่งต่างๆไป

พอตายไปแล้วก็ลืมความทุกข์เหล่านี้

ก็หวนกลับมาเกิดใหม่อีก มาหาความสุขแบบนี้อีก

 ถ้าใช้ปัญญา เวลาเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา

ถ้ามีสมาธินี้จะเห็นชัดเลย

ระหว่างความสบายใจกับความไม่สบายใจ

 จะเห็นเลยว่าเกิดขึ้นตอนที่มีความอยากนี่เอง

 ก็จะใช้ปัญญานี้สอนใจ

 อย่าให้ไปทำตามความอยากโดยเด็ดขาด

 เพราะไม่ได้เป็นการดับความทุกข์ที่แท้จริง

 ดับความไม่สบายใจที่แท้จริง

การดับความไม่สบายใจที่แท้จริง

ก็คือหยุดความอยาก

 พอหยุดความอยากได้ใจก็คืนสู่ความสงบทันที

จากร้อนก็กลายเป็นเย็นทันที

นี้คือการเจริญปัญญา

เพื่อถอดถอนความอยากอย่างถาวร

ถ้าใช้ปัญญาไม่เป็นก็ต้องใช้สติไปพลางๆก่อน

 เจริญสติต่อไป ควบคุมความคิดไว้ต่อไป

บริกรรมพุทโธต่อไป แต่ก็จะอยู่ในขั้นสมาธิเท่านั้น

 ถ้าตายไปก็ยังไม่ได้มีมรรคผลนิพพาน

 มาฉุดลากให้ไปสู่การสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิดได้

ตายไปก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นพรหม

 แล้วพอกำลังของสติของสมาธิเสื่อมลงก็จะเคลื่อนลงมา

 เพราะทนอำนาจของความอยาก ไม่ได้

ที่เริ่มมีกำลังมากขึ้น ก็จะฉุดให้ลงมาหาความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกายของเทวดาของโลกทิพย์ก่อน

และเมื่อความอยากมีเพิ่มมากขึ้น

ก็จะฉุดให้ลงมาหา ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ของร่างกายของมนุษย์ ของสัตว์เดรัจฉาน

แต่ถ้าสามารถกำจัดความอยากได้ด้วยอำนาจของปัญญา

 ความอยากนั้นก็จะไม่มีกำลัง

ที่จะมาฉุดลากให้ใจเสื่อมลงมา

 เสื่อมลงมาหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 ทางรูปเสียงกลิ่นรสของโลกทิพย์ก็ดี ของโลกมนุษย์ก็ดี

 ก็จะค่อยๆทำให้เบาบางลงไปเป็นขั้นๆไป

ขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ จนถึงขั้นที่ ๔

 พอถึงขั้นที่ ๔ ก็จะหมด ทำลายความอยากได้หมดสิ้นไป

 ก็จะไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

นี่เป็นงานที่จะต้องผลักดัน เป็นการเปลี่ยนนิสัย

 เป็นการเปลี่ยนมือ

เราเคยถนัดมือขวาเราก็ต้องหยุดใช้มือขวา

 แล้วหันมาหัดใช้มือซ้ายแทน

เราเคยถนัดในการหาลาภยศสรรเสริญ

หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

เราก็ต้องหยุดใช้การหาลาภยศสรรเสริญ

หารูปเสียงกลิ่นรส

 หันมาใช้การหาทานศีลภาวนาแทน

อันนี้ก็เป็นเหมือนกับการเปลี่ยนมือ

 มือขวานี้ใช้แล้วไม่ดีเป็นโทษก็หันมาใช้มือซ้าย

หาลาภยศสรรเสริญแล้วมันไม่ดับความทุกข์

 มันกลับทำให้มีความทุกข์เพิ่มมากขึ้น

 ก็ต้องหันมาหาทานศีลภาวนากัน

เริ่มต้นที่วันพระนี่แหละอย่างวันนี้

ต่อไปนี้เราตั้งจิตอธิษฐานตั้งเป้าเอาไว้

ว่าทุกวันพระนี้จะเป็นวันหาทานศีลภาวนา

แล้วก็จะเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ เหมือนกับเรียนหนังสือ

 ก็เริ่มต้นที่อนุบาลก่อน แล้วก็เพิ่มขึ้นไปเป็น ป.๑ ป.๒

การเพิ่มของทางปฏิบัติก็คือเพิ่มให้มากขึ้นนั้นเอง

 ปฏิบัติมากขึ้นก็จะขึ้นชั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

 ถ้าทำอาทิตย์ละวันก็เป็นชั้นอนุบาล

 อาทิตย์ละ ๒ วันก็เป็น ป.๑ สามวันก็เป็น ป.๒

 เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงขั้นระดับปริญญาตรีโทเอกไป

 อันนี้ต้องเกิดจากการบังคับ

 ถ้าตอนเป็นเด็กๆ พ่อแม่ไม่ได้บังคับให้ไปโรงเรียน

ก็จะไม่มีวันไปโรงเรียนกัน

ถ้าบอกให้เด็กไปด้วยความสมัครใจ เด็กจะไม่ไป

 ดูวันเปิดโรงเรียนวันแรกดูก็แล้วกัน โกลาหลขนาดไหน

 เวลาพ่อแม่พาเด็กไปโรงเรียนนี้

เวลาพ่อแม่จะกลับ ปล่อยให้เด็กอยู่กับครูนี้

โอ้ โห เหมือนกับฟ้าจะถล่มทลาย โลกจะระเบิด

ร้องห่มร้องไห้กัน

นี่แหละคือนิสัยเดิมเป็นอย่างนี้

มันไม่ชอบศึกษาไม่ชอบหาความรู้

 ไม่ชอบพัฒนาตัวเอง

 ชอบไหลไปตามกระแสของกิเลสตัณหา

ของความโลภความโกรธความหลง

ของความอยากต่างๆ

 ดังนั้นถ้าเราไม่ฝืน เราไม่บังคับมัน

 มันจะไม่มีวันที่จะไปได้

ทางของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าใครก็ตาม

 แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องบังคับพระองค์เอง

ให้ออกจากวังไป พระอรหันต์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน

ก็ต้องบังคับให้ออกจากชีวิตของการครองเรือน

ให้ไปอยู่ไปปฏิบัติไปใช้ชีวิตของนักบวช

ถึงจะได้มรรคผลนิพพานกัน

ฆราวาสผู้ครองเรือนนี้น้อยมาก

 ที่จะได้มรรคผลนิพพานกัน

 ก็ถือว่าเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น

 เป็นผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ มีพละ ๕ อยู่แล้ว

เนื่องจากมีเหตุการณ์หรืออะไรบางอย่าง

บังคับให้ไม่สามารถไปได้

ก็ยังสามารถปฏิบัติในเพศของผู้ครองเรือนได้อยู่

บรรลุมรรคผลได้เหมือนกัน

 ถ้ามีอิทธิบาท ๔ มีพละ ๕ แล้ว และไม่มีอะไรฉุดรั้งไว้แล้ว

รับรองได้ว่าจะต้องไปบวชกันทั้งนั้น

เพราะมันจะรวดเร็วกว่าจะง่ายกว่าจะสบายกว่า

 เหมือนกับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลกับการรักษาตัวที่บ้าน

 การรักษาตัวที่บ้านนี้มันสู้การรักษาตัวที่โรงพยาบาลไม่ได้

เพราะความพร้อมมันไม่เท่ากัน

โรงพยาบาลนี้เขาสร้างไว้เพื่อรักษาพยาบาลอย่างเต็มที่

ที่บ้านนี้ไม่ได้สร้างไว้เพื่อรักษา

 รักษาก็เฉพาะโรคที่ไม่ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือมาก

 เช่นกินยา เป็นไข้หวัดปวดท้องกินยาก็หาย

 ก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาล

แต่โรคที่ต้องมีการผ่าตัดอย่างนี้ทำที่บ้านไม่ได้

ต้องไปที่โรงพยาบาล

การผ่าตัดกิเลสตัณหา เอากิเลสตัณหาออกจากใจ

ก็ต้องไปโรงพยาบาลของใจ โรงพยาบาลของใจก็คือ

การออกบวชนี้เอง ออกบวชแล้วไปอยู่ตามป่าตามเขา

 อยู่ตามสถานที่สงบสงัดวิเวก

ห่างไกลจากลาภยศสรรเสริญ

 ห่างไกลจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ถ้าอยู่ใกล้เดี๋ยวก็จะถูกลาภยศสรรเสริญ

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะฉุดกลับเข้าไป

ดังนั้นวัดหรือโรงพยาบาลของใจนี้

ต้องเป็นสถานที่สงบสงัด

 ไม่ใช่มีคำว่าวัดอยู่จะถือว่าเป็นวัดเสมอไป

ถ้าเป็นวัดที่ไม่มีความสงบสงัดก็ไม่ถือว่าเป็นวัด

ถ้าเป็นวัดที่ไม่มีที่ปฏิบัติ มีแต่แสงสีเสียง

มีแต่ลาภยศสรรเสริญ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

อย่างนั้นก็ไม่เป็นวัด

อยู่ไปก็จะยากต่อการที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน

วัดที่แท้จริงต้องเป็นวัดแบบที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่

 ในสมัยที่ทรงบำเพ็ญเพียร ประทับอยู่ในป่าในเขา

 ไม่มีที่อยู่อาศัยถาวร อยู่ตามเรือนร้างบ้าง

อยู่ตามเงื้อมผาบ้าง อยู่ตามโคนไม้บ้าง อยู่ในถ้ำบ้าง

นั่นแหละวัดของพระพุทธศาสนา วัดของพระพุทธเจ้า

วัดของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ไม่เหมือนกับวัดสมัยนี้ ที่เป็นวัดของปุถุชนคนธรรมดา

 บวชแล้วก็อยู่กับแสงสีเสียง อยู่กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 อยู่กับความวุ่นวายต่างๆ ผลจึงไม่ค่อยเกิดขึ้นมา

 เพราะเหตุมันไม่มี เหมือนกับปลูกข้าวบนเขาอย่างนี้

 ยากที่จะได้ต้นข้าว ปลูกข้าวมันต้องปลูกในที่ลุ่มที่มีน้ำ

ปลูกบนเขามีแต่หิน น้ำก็ไม่ค่อยมี

ถ้าจะได้ก็อาจจะได้ต้นสองต้น

 แต่จะได้แบบทั้งไร่อย่างนี้เป็นไปไม่ได้

ดังนั้นเราจึงต้องผลักดันตัวเราเอง

ให้ออกจากการครองเรือนให้ได้

ถ้าเราปรารถนามรรคผลนิพพานกัน

 ด้วยการเริ่มต้นที่วันพระนี้ เริ่มต้นรักษาศีล ๘

อยู่บ้านคนเดียวหรืออยู่วัด ไม่ยุ่งกับใคร

 เอาเวลามาศึกษาฟังเทศน์ฟังธรรม เอาเวลามาเจริญสติ

 เดินจงกรมนั่งสมาธิ เอาเวลามาเจริญปัญญา

มาพิจารณาร่างกาย ว่าเป็นไตรลักษณ์

 เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา

 เป็นอาการ ๓๒ เป็นดินน้ำลมไฟ

 เป็นซากศพที่จะเป็นต่อไปในอนาคต

พิจารณาลงไปไม่ต้องกลัว มันเป็นความจริง

ไปกลัวมันทำไม มีใครปฏิเสธว่าร่างกายนี้

จะไม่กลายเป็นซากศพกันบ้าง ต้องเป็นด้วยกันทุกคน

 แล้วจะมาหวงจะมาเสียดายมันทำไม

เอามันมาทำประโยชน์ให้กับใจไม่ดีกว่าหรือ

 ดีกว่าเอามันมากดดันจิตใจให้มารับใช้มัน

ด้วยการดูแลรักษาร่างกายที่ดูแลรักษาไม่ได้อยู่ดี

ในที่สุดมันก็ต้องแก่เจ็บตายไป เอามันมาภาวนา

เอามันมารักษาศีล เอามันมาปฏิบัติธรรม

เพื่อใจจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์

จะได้พบกับความสุขที่เลิศที่ประเสริฐ ที่เป็นปรมัง สุขัง

เป็นบรมสุข เป็นความสุขที่ถาวร

เป็นความสุขที่ไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันหมดไป

อันนี้อยู่แค่เอื้อมมือของพวกเรา อยู่ที่การกระทำ

 อยู่ที่การพากเพียรนี้เท่านั้น ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย

ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธเจ้าไม่ว่าจะองค์ไหนก็ตาม

 องค์ที่ผ่านไปแล้วก็ดี หรือองค์ที่จะมาต่อไปก็ดี

ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านได้เท่านี้

ท่านก็เป็นผู้ชี้ทางบอกทาง เป็นผู้ชักจูงเป็นผู้ชักชวน

ให้เรามาปฏิบัติกัน แต่ถ้าตัวเราไม่ผลักดันตัวเราให้ปฏิบัติกัน

 เราก็จะไม่มีโอกาสที่จะได้รับผลที่เลิศที่ประเสริฐนี้

ดังนั้นก็ขอให้ท่านจงพยายามบังคับตัวเอง

ให้เจริญทานศีลภาวนาให้มากๆ ให้เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ

 ทำจากน้อยไปหามาก อย่าทำจากมากไปหาน้อย

ส่วนใหญ่มักจะทำจากมากไปหาน้อย

เวลาตั้งใจนี้ตั้งใจจะปฏิบัติกันเต็มที่ ออกบวชกันเลย

 บวชไปบวชมา ๓ เดือนก็ลาสิกขากัน

อันนี้เรียกว่าเริ่มจากมากมาหาน้อย

สู้เริ่มจากน้อยไปหามากดีกว่า เอาบวชอาทิตย์ละวันก่อน

 วันพระนี้ขอบวชเป็นพระชั่วคราวก่อน

 แล้วอาทิตย์หน้าก็ขอบวชเป็น ๒ วัน

เดือนหน้าก็เป็น ๓ วัน

 เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนได้ ๗ วัน

 ต่อไปก็ได้เดือน ได้ ๒ เดือน ๓ เดือน

ต่อไปก็ได้ทั้งปี ทำไป ถ้าทำอย่างนี้แล้วรับรองได้

ผลจะต้องเกิดแน่ๆ ที่มันไม่เกิดเพราะมันไม่ทำกัน

 เคยถามตัวเราเองบ้างไหม ว่าเราเคยทำถึงขั้นนั้นหรือยัง

 ทำมันที ๗ วันเลยไหม ทำทีเดือนหนึ่งบ้างไหม

ทำทีปีหนึ่งบ้าง ถ้าปีหนึ่งทำมันวันสองวันอย่างนี้

 แล้วเมื่อไหร่มันจะได้ผล ขอให้เราต้องผลักดันตัวเราเอง

 ต้องคิดถึงความตายอยู่เรื่อยๆ

ว่าเวลาของเราน้อยลงไปเรื่อยๆ

ความสุขต่างๆที่เราได้ทางลาภยศสรรเสริญ

 ทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี้ มันก็จะต้องหมดไป

เวลาที่เราตายไปแล้ว แล้วเวลาที่เราต้องการที่พึ่ง

มันก็ไม่สามารถเป็นที่พึ่งทางใจของเราได้

ใจจะต้องทุกข์อย่างแน่นอน

 เวลาต้องพบกับความแก่ พบกับความเจ็บไข้ได้ป่วย

พบกับความตาย พบกับการสูญเสีย

พลัดพรากจากสิ่งต่างๆไป ให้คิดอยู่อย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

 แล้วจะเกิดฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาขึ้นมา

แล้วก็จะมาพลิกอินทรีย์ ๕ ให้กลายเป็นพละ ๕ ขึ้นมา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

กัณฑ์ที่ ๔๖๒ วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖

“เร่งความเพียร”














ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 04 มีนาคม 2559
Last Update : 4 มีนาคม 2559 10:50:59 น.
Counter : 393 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ