Group Blog
All Blog
### ครูบาอาจารย์จะให้ความสำคัญกับการสั่งสอน ###

















“ครูบาอาจารย์จะให้ความสำคัญ

กับการสั่งสอน”

การทำตามความอยากนี้ไม่ได้เป็นการดับความทุกข์

แต่กลายเป็นทำให้ความทุกข์นี้มีเพิ่มขึ้นไป

เผานานขึ้นไปอีก เป็นการเติมเชื้อไฟให้กับความทุกข์

วิธีที่จะดับความทุกข์ก็ต้องไปทางสายกลาง

อย่างที่ได้แสดงไว้คือ ทาน ศีล ภาวนา

 หรือมรรคที่มีองค์ ๘ นี่เอง

 ทางนี้มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

เป็นผู้ที่ได้ค้นพบ ก่อนหน้านั้นก็มีทางสุดโต่งมีอยู่ ๒ ทาง

 พวกหนึ่งก็หาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ

จากรูปเสียงกลิ่นรส อีกพวกหนึ่งก็ออกบวช

แล้วก็ไปทรมานตนด้วยวิธีการต่างๆ

พระพุทธเจ้าก็ทรงลองมาหมด

ทรงอดพระกระยาหารทั้ง ๔๙ วัน

ความอยากก็ยังไม่ดับไป  ความทุกข์ก็ยังไม่หมดไป

จนในที่สุดต้องใช้เหตุใช้ผลมาวิเคราะห์หาความจริง

 ก็ทรงค้นพบว่าความอยากมันอยู่ในใจ

การจะดับความอยากก็ต้องดับด้วยปัญญา

 ดับด้วยสติ ดับด้วยสมาธิ พอดับได้หมดแล้ว

ละได้หมดแล้วก็หลุดพ้นจากความทุกข์

ทีนี้ก็เอามาเผยเเผ่สั่งสอน

ให้แก่ผู้อื่นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

ผู้ที่มีธรรมรองรับอยู่แล้ว เช่นมีสติ มีสมาธิ อยู่แล้ว

 พอฟังเรื่องอริยสัจ ๔ ปั๊บ ก็บรรลุธรรมได้ทันที

หยุดความอยากได้ทันที เช่นพระอัญญาโกณฑัญญะ

พอฟังเรื่องอริยสัจ ๔ ฟังมรรค ๘ ปั๊บ

ก็เกิดมีดวงตาเห็นธรรมเห็นอนิจจัง

 เห็นว่าสิ่งใดมีการเกิดขึ้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา

 เห็นอนัตตาว่าไปห้ามเขาไม่ได้

เห็นทุกข์ว่าเกิดจากความอยากไปให้เขาไม่ดับนั่นเอง

 ชอบสิ่งที่เกิดแต่ไม่ชอบสิ่งที่ดับ

ก็เลยทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ต้องยอมรับทั้ง ๒ ส่วน

ยอมรับส่วนที่เกิดและยอมรับส่วนที่ดับ ก็จะไม่ทุกข์

ก็จะไม่มีความอยากไม่ให้ดับ เพราะรู้ว่าอยากไปก็ป่วยการ

 อยากไปก็ไปห้ามเขาไม่ให้ดับไม่ได้

อยากไม่ให้ร่างกายแก่ ไม่ให้ร่างกายเจ็บ

 ไม่ให้ร่างกายตายก็ไปยับยั้งความแก่

ความเจ็บ ความตายไม่ได้อยู่ดี แต่ถ้าไม่อยาก

ก็จะยับยั้งดับความทุกข์ใจได้

อันนี้แหละจำเป็นจะต้องมีครูบาอาจารย์เวลาปฏิบัติ

 มันต้องเห็นไตรลักษณ์ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 แล้วมันก็จะเบื่อหน่าย มันจะไม่อยากได้

ได้อะไรมาต้องทุกข์เอามาทำไม แต่ไม่เห็นเอง มันตาบอด

 ได้อะไรก็คิดว่าจะได้ความสุขใช่ไหม

ได้ภรรยาก็คิดว่าจะได้ความสุข

ได้สามีก็คิดว่าจะได้ความสุข

 แต่ไม่เห็นทุกข์ที่ตามมาด้วย ชอบมองเหรียญด้านเดียว

ไม่ยอมมองอีกด้านหนึ่งกัน

 มองแต่ด้านบวก ไม่ยอมมองด้านลบ

 คนเขาก็เลยกล่าวหาว่าศาสนาพุทธนี้

เป็นศาสนาที่มองแต่ด้านลบ

อ้าว..ก็ต้องมองด้านลบบ้างซิมันจะได้เห็นความจริงครบถ้วน

พวกเรามองแต่ด้านบวกเพียงด้านเดียว

 มันก็เลยถูกความหลงหลอกทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา

 เวลาไปเจอความจริงเข้า ชีวิตของเรามันไม่ได้มีด้านเดียว

มันไม่เป็นด้านบวกด้านเดียว มีทั้งด้านบวกและด้านลบ

ถ้าเรามองเห็นทั้ง ๒ ด้านเราก็จะไม่หลง

เราก็จะได้ไม่ไปยึดไปติดกับชีวิต

ทุกวันนี้เราไปยึดไปติดกับชีวิต

 คิดว่ามีชีวิตแล้วจะมีแต่ความสุข

มีความสุขแล้วมาบ่นว่าทุกข์กันทำไม

เวลาแก่ก็ทุกข์ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ทุกข์

 เวลาตายก็ทุกข์ เวลาไม่ได้ทำอะไรตามใจอยากก็ทุกข์

 ทุกข์อยู่ตลอดเวลาแล้วยังอยากจะอยู่กัน

 ยังอยากจะกลับมาเกิดกัน เพราะไม่เห็นด้านลบนั่นเอง

พระพุทธศาสนาจึงต้องมาสอนด้านลบ

 เพราะไม่มีใครยอมมองด้านลบกัน

 คนไม่รู้ก็เลยมาว่าศาสนาพุทธนี้

เป็นศาสนาที่มองโลกในแง่ร้าย มองโลกในแง่ลบ

ความจริงไม่ได้มอง มองความจริง มองในส่วนที่ไม่มองกัน

 เพื่อใจจะได้เข้าสู่ความจริงได้อย่างเต็มที่

เห็นความจริงอย่างเต็มที่ก็จะเบื่อหน่ายขึ้นมาเอง

 ก็จะเบื่อกับการเกิด เบื่อกับการอยากได้สิ่งต่างๆ

 เบื่อแล้วหยุดความอยากได้แล้วก็ดับความทุกข์ได้

 หมดความทุกข์ไม่ต้องกลับมาเกิดได้

การไม่กลับมาเกิดก็ไม่ได้หมายความว่า เราหายไปไหน

 ใจของเราก็ยังอยู่เหมือนเดิมอยู่ที่เดิม

 ใจของเราตอนนี้อยู่ตรงไหน ตอนที่เราหยุดความอยาก

หยุดการเวียนว่ายตายเกิดก็ยังอยู่ที่เดิมอยู่

ใจนี้ไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหน ใจมีที่อยู่ของตน

 เราเรียกที่อยู่นี้ว่าโลกทิพย์เท่านั้นเอง

แต่ใจนี้มันเปลี่ยนได้เท่านั้นเอง

 เปลี่ยนจากทุกข์มากเป็นทุกข์น้อย

หรือเปลี่ยนจากไม่มีความทุกข์ได้ การเปลี่ยนไปของใจ

 เปลี่ยนกับเรื่องของความทุกข์นี้เท่านั้นเอง

 แต่เรื่องการหายไปไหนไม่มีวันหาย

มีร่างกายก็ไม่หาย ไม่มีร่างกายก็ไม่หาย

มีอยู่เหมือนเดิมเท่าเดิม แต่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์เท่านั้นเอง

 ถ้ามีร่างกายก็ทุกข์ ถ้าไม่มีร่างกายก็ไม่ทุกข์

 เช่นใจของพระพุทธเจ้าตอนนี้

ของพระอรหันตสาวกทั้งหลายตอนนี้ ก็ยังอยู่ที่เดิมอยู่

เหมือนกับตอนที่มีร่างกาย

 เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่มีร่างกายต้องมาแบก

ร่างกายนี้ท่านเรียกว่าเป็น ภาราหเว

 เป็นภาระที่หนักอย่างยิ่ง

เราทุกคนในที่นี้ ครึ่งหนึ่งของชีวิต

หรือเวลามากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตเรานี้

เราหมดไปกับการแบกหามร่างกายอันนี้

ดูแลรักษาร่างกายอันนี้ คนที่ไม่มีปัญญาก็จะมองไม่เห็นกัน

 แบกกันไปอยู่เรื่อย พอไม่มีอันนี้ก็ไปหาอันใหม่มาแบกต่อ

รู้สึกว่าเวลาไม่มีแล้วมันเบาเกินไป มันไม่ทุกข์

แล้วรู้สึกว่ามันผิดแปลกไป

ต้องหาความทุกข์มาใส่หัวใจอยู่อยู่เรื่อยๆ

อยู่คนเดียวก็ต้องไปหาคู่มาแบกกัน

พอมีคู่แล้วก็หาลูกมาแบกเพิ่มอีก

แล้วก็หาสมบัติมาแบกกันอีก หายศหาอะไรมาแบกกันอีก

พอเวลาตายจากกันไปก็เศร้าโศกเสียใจ

แบกกันอีกแบบหนึ่ง แบกกันอยู่ตลอดเวลา

เวลามีก็แบก เวลาไม่มีก็แบก แบกความทุกข์อยู่เรื่อยๆ

 เวลามีก็ทุกข์เพราะความกลัวว่ามันจะหมด

 กลัวว่ามันจะหายไป เปลี่ยนไป

เวลามันหายไปเปลี่ยนไปก็ทุกข์อีก

 เวลาไม่มีทุกข์อีก ทุกข์อยากจะได้อยากจะมีกับเขา

 เห็นเขามีก็อยากจะมีก็ทุกข์อีก พอได้มาก็ทุกข์อีก

 พอเสียไปก็ทุกข์อีก ทุกข์อยู่ทุกขั้นตอน

เพราะความอยากนี้เท่านั้เอง เวลาไม่มีก็อยากจะได้

เวลามีแล้วก็อยากจะให้อยู่กับเราไปนานๆ

 เวลาหมดไปก็อยากจะให้เขากลับมา มันก็ทุกข์อยู่ตลอดเวลา

 ถ้าไม่มีความอยากแล้วก็จะไม่ทุกข์

ได้อะไรมาก็ไม่ทุกข์ ไม่มีอะไรก็ไม่ทุกข์

ดังนั้นขอให้เราศึกษาแล้วถ้าเราปฏิบัติ

 ถ้ามีครูบาอาจารย์ก็ควรที่จะเข้าหาอยู่เรื่อยๆ

 ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ด้วยกันก็ได้ ขอให้มีผู้ที่ให้คำปรึกษา

 เวลาที่เราปฏิบัติแล้วไปติดอยู่ตรงไหน

รู้สึกว่าไม่ก้าวหน้าก็ควรที่จะเข้าหา

 หรือไม่มีครูบาอาจารย์ก็ใช้การฟังเทศน์ฟังธรรมของท่านไป

 พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนว่า ควรจะฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ

กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง

การฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ เป็นมงคลอย่างยิ่ง

 เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะจะได้ยินได้ฟัง

เรื่องที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

เรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว ถ้าได้ฟังซ้ำอีก

ก็จะเกิดความเข้าใจดีขึ้นไปตามลำดับ

และก็จะกำจัดความสงสัยต่างๆได้

ทำให้มีความเห็นที่ถูกต้องและทำให้จิตใจผ่องใส

 จิตใจสงบเย็นสบาย นี่คืออานิสงส์ของการฟังเทศน์ฟังธรรม

การอยู่กับครูบาอากจารย์นี้ ท่านจะถือการสอนนี้เป็นหลัก

 ครูบาอาจารย์ที่เป็นอาจารย์จริงๆนี้

ท่านจะถือเรื่องการสั่งสอนนี้

เป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกศิษย์

ท่านจะคอยเรียกเข้ามาอบรบอยู่เรื่อยๆ ๔ - ๕ วัน

ถ้าท่านว่างไม่มีติดภารกิจก็จะเรียกประชุมอบรม

 สั่งสอนพูดธรรมแสดงธรรมให้ฟังกัน

 เพราะได้ฟังอยู่เรื่อยๆก็เหมือนกับการดูแผนที่อยู่เรื่อยๆ

 เวลาเราขับรถเดินทางไปในที่ที่เราไม่เคยไป

 ถ้เราไม่คอยเปิดเเผนที่ดูแล้วพอถึงทางแยกก็เลยไปแล้ว

 ก็จะเสียเวลาต้องย้อนกลับมาใหม่

หรือไปผิดทางกว่าจะมารู้ว่าไปผิดทาง

ก็เลยไปตั้งหลายชั่วโมง

ต้องย้อนขับรถกลับมา แต่ถ้าคอยเปิดเเผนที่อยู่เรื่อยๆ

พอถึงทางแยกตรงไหนปั๊บก็ต้องดูก่อน

ก่อนจะถึงทางแยกก็ต้องดูแล้ว ดูว่าไปถูกทางหรือเปล่า

สมัยนี้เรามีเทคโนโลยีมีวิวัฒนาการทางด้านการบอกทาง

 เดี๋ยวนี้รถยนต์มีแผนที่บอกทางโดยอัตโนมัติ

 เพียงแต่บอกจุดหมายปลายทางว่าเราจะไปตรงไหนเท่านั้น

 เขาจะเลือกทางที่สั้นที่สุด สะดวกที่สุดให้กับเรา

ยิ่งสมัยนี้ยิ่งถ้าเป็นแบบออนไลน์เขาจะบอกเลยว่า

เส้นนี้มีปัญหาหรือเปล่า รถติดหรือเปล่า

มีอุบัติเหตุหรือเปล่า ถ้ามีก็ให้หลักเลี่ยง

ก็ให้ไปใช้เส้นทางอื่นได้เลย

เทคโนโลยีนี้มันก็ดีเหมือนกัน ก็มันก็เสียตรงที่

มันทำให้เรากลายเป็นคนซื่อบื่อไป คิดเองไม่เป็น

 ต่อไปถ้าเกิดเครื่องมันเสียก็ไม่รู้จะไปอย่างไร

เพราะไปไม่ได้ ก็อย่าไปหลงกับมันมากจนเกินไป

ขอให้คิดว่ามันเป็นเครื่องมือเสริมในการเดินทางของเรา

 แต่เราก็ต้องสามารถเดินทางไปได้

 โดยที่ไม่มีถ้าเกิดเครื่องมันเสียแล้วเราไปไม่ได้เลย

แสดงว่าเราแย่มาก เราต้องมีวิธีที่สำรอง

 เราต้องกลับมาดูแบบเดิมได้

ต้องกลับมาเปิดแผนที่ที่เป็นกระดาษดูได้

การอยู่กับครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน

ก็เหมือนกับมีเครื่องไม้เครื่องมือ

ที่คอยบอกทางให้เราอยู่เป็นระยะ ๆ

แต่ถ้าไม่มีเราก็ต้องอาศัยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 พระสูตรต่างๆ หรือคำสอนของครูบาอาจารย์

ที่ได้มีการจดบันทึกเอาไว้ เป็นหนังสือก็ดี

หรือเป็นเสียงก็ดีเราก็ต้องคอยเปิด คอยฟังอยู่เรื่อยๆ

 ต้องมีแผนสำรอง แผนรองรับ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านตายไปจะทำอย่างไร

ท่านไม่อยู่กับเราไปตลอด อย่างเช่นหลวงตานี้

ท่านจากพวกเราไปแล้ว

แต่ธรรมะที่ท่านสั่งสอนให้กับพวกเรานี้

 มีอยู่มากมายก่ายกองยังทำหน้าที่แทนท่านได้อย่างเต็มที่

 แต่พวกเราไม่ยอมเข้าไปหาแผนสำรองกัน

 เคยติดอยู่กับแผนที่อยู่ใกล้ตัวท่าน

พอไม่มีท่านแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปหาที่พึ่งที่ไหน

ความจริงนี้ หนังสือของท่าน เทปซีดี ต่างๆ นี้

เป็นที่พึ่งได้เหมือนกับตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่

เราต้องรู้จักการหาแผนที่

อย่าไปติดอยู่กับแผนที่แบบใดแบบหนึ่ง

พอแผนที่แบบนั้นเสียไป ก็ไม่รู้จะไปหาแผนที่ที่ไหนอีกแล้ว

 เช่นถ้าเครื่องในเสียก็ไม่เป็นไรเปิดแผนที่กระดาษได้

มีกระดาษพับเก็บไว้ในรถก็เอามาเปิดดูได้

 ถ้าไม่มีแผนที่ก็หยุดถามคนได้

ขับรถไปถึงสี่แยกก็ถามคนได้ว่า ทางนี้ไปทางไหนกัน

อย่าไปแบบสุมเดาไป การสุมเดานี้

ไม่ได้เป็นวิธีที่จะทำให้เราไปถึงจุดหมายปลายทาง

ดังนั้นต้องคอยศึกษาหมั่นศึกษาอยู่เรื่อยๆ

 เพราะถ้าศึกษาโดยไม่ปฏิบัติก็เหมือนกับการเดินทาง

 โดยที่ไม่มีแผนที่ไม่มีเครื่องนำทาง ต้องศึกษา

ท่านทรงสอน ๓ ขั้นตอน ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

 ปริยัติก็คือการศึกษาแผนที่ ปฏิบัติก็คือการเดินทาง

 ปฏิเวธก็คือการเดินทางถึงจุดหมายปลายทาง

 ถ้ามีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็จะเป็นผลที่ตามมา

 ถ้ามีปริยัติไม่ปฏิบัติก็ไม่มีปฏิเวธ

 ถ้ามีปฏิบัติไม่มีปริยัติก็ไม่มีปฏิเวธเหมือนกัน

 หรือมีก็อาจจะช้า เพราะว่าต้องลองผิดลองถูก

 อย่างพระพุทธเจ้านี้ไม่มีปริยัติ

 ไม่มีครูอาจารย์คอยสั่งคอยสอน

 ต้องลองผิดลองถูกเองถึงช้า

 ถ้ามีครูบาอาจารย์แล้วออกบวชนี้ ถ้าออกบวชภายใน ๗ วัน

ปัญญาของพระพุทธเจ้านี้บรรลุได้อย่างแน่นอน

 หรืออาจจะก่อน ๗ วันก็ได้ เพียงฟังธรรมจากพระอรหันต์

หรือพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็จะบรรลุได้

แต่ท่านไม่มีครูบาอาจารย์ ท่านเลยต้องค้นหาทางเอง

ลองผิดลองถูกเอง มาถึงสามแยกก็ต้องไปมันทั้งสามทาง

 เลี้ยวซ้ายลองดูก่อน ไปถึงทางดันก็กลับมา

เลี้ยวขวาก็ไปเจอทางตันอีก ไปต้องตรงไป

 แล้วก็ต้องทำอย่างนี้ไปทุกทางแยก

 จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางก็ต้องช้าอย่างแน่นอน

ไม่เหมือนกับคนที่มีแผนที่มีคนบอกทาง

 มาถึงก็ไม่ต้องลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตรงไปเลย

 ตรงไปปั๊บก็ถึงจุดหมายปลายทางเลย

ดังนั้นอย่ามองข้ามปริยัติไปเป็นอันขาด

เพียงแต่ว่าอย่าไปติดปริยัติอย่างที่เขาเป็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้

 เรียนปริยัติกันแล้วก็ไม่ปฏิบัติกัน

 เรียนจบเปรียญ ๙ ก็ได้รับเกียรติยศได้รับพัดยศได้เงินเดือน

 ก็เลยข้ามปฏิบัติไปเป็นอาจารย์สอนไปเลย

ข้ามปฏิบัติ ข้ามปฏิเวธ เพราะได้รับปริญญาแล้ว

 ได้ประกาศนียบัตรแล้วว่าได้จบเปรียญ ๙แล้ว

จบพระไตรปิฏกแล้ว แต่ก็จบแบบใบลานเปล่า

 ไม่ได้จบภารกิจในอริยสัจ ๔ ไม่ได้ศึกษาทุกข์

ไม่ได้รู้ทุกข์ ไม่ได้ละตัณหาต้นเหตุของความทุกข์

ไม่ได้ทำนิโรธความดับทุกข์ให้แจ้ง

ไม่ได้เจริญมรรคให้เต็มที่

ถ้าไม่ได้ทำภารกิจในศาสนาพุทธในอริยสัจ ๔นี้

ก็จะไม่ได้ถือว่าเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติกิจของพุทธศาสนาได้สำเร็จ

 เรียนจบเปรียญ ๙ แล้วก็ไปรับหน้าที่สั่งสอนผู้อื่นต่อไป

ก็สั่งสอนแบบใบลานเปล่า สอนได้แต่ปฏิบัติไม่ได้

 สอนอริยสัจ ๔ แต่ละตัณหาไม่ได้ เจริญมรรคไม่ได้

นี่คือปัญหาของพระพุทธศาสนาทุกวันนี้ หลงทางกัน

 ถ้าปริยัติก็ปริยัติไปอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติเลย

บางพวกปฏิบัติก็ไม่ศึกษาไม่ปริยัติเลย

 บวชได้วันเดียวก็ออกไปตั้งสำนักเป็นครูเป็นอาจารย์แล้ว

 ชอบเป็นอาจารย์กัน ไม่ชอบเป็นลูกศิษย์

ไม่ชอบเป็นนักศึกษากัน

เป็นอาจารย์มันได้ประโยชน์มากกว่า

 ได้ลาภสักการะ ได้คนกราบไหว้บูชามีชื่อมีเสียงมีหน้ามีตา

ขอให้พูดเก่งๆเท่านั้นเอง ขอให้รู้ธรรมที่ได้ยินได้ฟังมา

 แล้วเอามาพูดก็พอแล้ว คนฟังก็ติดอกติดใจกัน

 หลงกราบไหว้บูชาคิดว่าเป็นผู้วิเศษกัน

แต่พอเกิดกิเลสตัณหาขึ้นมาก็สู้มันไม่ได้

 ในที่สุดก็ต้องตายเพราะกิลเสตัณหานี้เอง

แต่ถ้าได้ศึกษาได้ปฏิบัติจนบรรลุแล้ว

 กิเลสจะไม่มีวันที่จะมาทำลายได้เลย

 เพราะท่านได้ทำลายมันหมดแล้ว ฆ่ามันหมดแล้ว

 บางทีมาศึกษามาปฏิบัติก็ลืมเป้าหมายที่แท้จริง

ว่ามาปฏิบัติละกิเลส บางทีมาศึกษามาปฏิบัติ

เพื่อที่จะสร้างกิเลสกันอยากเป็นใหญ่เป็นโตกัน

อยากครูเป็นอาจารย์ อยากจะมีลูกศิษย์ลูกหากันแล้ว

 มันก็มาแย่งลูกศิษย์ลูกหากัน

อาจารย์ของฉันดีกว่าของเธอ

 อาจารย์ของเธอสู้ของฉันไม่ได้

 กลายเป็นอย่างนั้นไปอีก เลยต้องเข้าใจว่า

เราศึกษาปฏิบัติเพื่อละความโลภ ความโกรธ ความหลง

 ดับความอยากต่างๆ เพื่อดับความทุกข์ต่างๆ ภายในใจ

นี่คือผลที่เราต้องการเท่านั้น

จะมีใครนับหน้าถือตาเราหรือไม่ จะเคารพเราหรือไม่

จะฝากตัวเป็นลูกศิษย์ลูกหาหรือไม่ไม่สำคัญ

จะถวายลาภสักการะให้หรือไม่ ไม่สำคัญ

 ของพวกนี้เป็นของจิ๊บจ๊อย

ของที่ไม่สามารถที่จะมาดับความทุกข์ภายในใจของเราได้

 สิ่งที่จะดับความทุกข์ภายในใจของเราได้ก็คือ

 มรรคที่มีองค์ ๘ นี้เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

 สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป

อันนี้แหละเป็นสิ่งที่เราต้องการ

เมื่อได้แล้วก็ต้องเอามาใช้ดับความทุกข์ละความอยาก

 บางทีได้แล้วก็ไม่เอามาใช้

เหมือนกับมีมีดแล้วก็ไม่กล้าไปฆ่ามัน

 ยังเสียดายมันอยู่ ยังรักยังหวงมันอยู่

ก็เป็นความรู้ที่ไม่มีประโยชน์อะไร มีความรู้ก็ไม่เอามาใช้

 ก็เป็นความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดอยู่ดี

ถ้ามีความรู้แล้วเห็นว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 ก็ต้องปล่อยมันซิ ต้องตัดมันเลย

 มีภรรยามีสามีก็หย่ากันเลย ต่างคนต่างอยู่กันเลย

อยู่แล้วมันทุกข์อยู่กันทำไม

มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองก็สละมันไปเลย

ออกบวชกันเลย คนสมัยนี้เขาบอกพอบรรลุแล้ว

เขากลับไปเป็นฆราวาสได้แล้ว อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้แล้ว

กลับไปหาทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทอง

กลับไปหาลาภสักการะได้แล้ว ไม่ยึดไม่ติดแล้ว

 คิดไปอย่างนั้นอีก ถูกกิเลสหลอกโดยไม่รู้สึกตัว

คนที่ไม่ยึดติดกับลาภสักการะนี้ เขาไม่หาลาภสักการะ

 มันมาก็ต้องเป็นเรื่องของมันเองเท่านั้นเอง

ไม่ได้ไปบังคับให้มันมา มันจะมาก็ไม่ได้มายึดมาติด

มันมาก็เอาไปทำประโยชน์ต่อไป

ไม่ได้เอามาใช้เพื่อเสริมความสุขให้กับตนเอง

 เพราะความสุขที่ได้มาจากลาภสักการะนี้มันจิ๊บจ๊อย

 เมื่อเทียบกับความสุขที่ได้จากการดับความทุกข์

เป็นคนละโลกกันเลย ความสุขที่ได้จากการดับความทุกข์

 ที่เกิดจากการปฏิบัตินี้ มันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า “ปรมัง สุขัง”

 ความสุขที่ได้จากลาภยศนี้มันสุขๆดิบๆ

สุขแล้วก็กลายเป็นทุกข์ไป

ดังนั้นอย่าลืมเป้าหมายของเรา

อย่าลืมเป้าหมายของการปฏิบัติของเรา

 ของการศึกษาของเรา ก็คือการละตัณหา ทั้ง ๓ นี้เท่านั้นเอง

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

 เวลาใดที่เกิดความอยากขึ้นมานี้ใน ๓ ชนิดนี้

ก็ให้รู้เถิดว่ากำลังหลงทางแล้ว

ถ้าเราทำตามความอยากของกามตัณหา ภวตัณหา

 วิภวตัณหา แสดงว่าเราหลงทางแล้วไปไม่ถูกทาง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


.............................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๖

“กิจในอริยสัจ ๔”







ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 25 มีนาคม 2559
Last Update : 25 มีนาคม 2559 11:17:01 น.
Counter : 723 Pageviews.

2 comments
  
ส่งกำลังใจไปให้คุณtangkayครับ

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
tangkay Dharma Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
โดย: **mp5** วันที่: 25 มีนาคม 2559 เวลา:22:37:03 น.
  
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
The Kop Civil Movie Blog ดู Blog
พรไม้หอม Health Blog ดู Blog
ที่เห็นและเป็นมา Music Blog ดู Blog

tangkay Dharma Blog ดู Blog
โดย: newyorknurse วันที่: 1 เมษายน 2559 เวลา:2:44:29 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ