Group Blog
All Blog
### มักน้อย สันโดษ ###









“มักน้อย สันโดษ”

การที่จะแก้ปัญหาของความโลภ

ของความอยากของความโกรธนั้น

ต้องแก้ที่ต้นของความโลภ ของความโกรธ ของความอยาก

ก็คือความหลง ความหลงคืออะไร คือเห็นผิดเป็นชอบ

 เห็นตรงกันข้ามกับความเป็นจริง

เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง

 เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ของเราว่าเป็นของเรา

 เห็นสิ่งที่ว่าไม่ใช่ตัวเรา ว่าเป็นตัวเรา

เห็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ใต้ควบคุมบังคับของเรา

ว่าอยู่ภายใต้การควบคุมบังคับของเรา

ก็เลยทำให้เกิดความอยากต่างๆ ขึ้นมา

อยากได้สิ่งต่างๆ ที่หลงคิดว่าจะให้ความสุขกับตน

 แต่พอได้มาแล้ว ถึงจะรู้ว่า

มันไม่ได้เป็นความสุขเพียงอย่างเดียว

 มันเป็นความทุกข์ด้วย เพราะมันไม่เที่ยง

มันไม่ถาวร มันไม่เหมือนเดิม มันมีการเปลี่ยนแปลง

มีการเสื่อม และมีการหมดไป

มันไม่อยู่ภายใต้คำสั่งคือความอยาก

ที่จะให้มันอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ให้ความสุขตลอดเวลา

นี่แหละคือสิ่งที่จะต้องมาแก้กันก็คือมาแก้ความหลง

 มาสอนให้ใจเห็นความจริงว่าสิ่งที่ใจหลง

คิดว่า เป็นความสุขนั้นเป็นความทุกข์

เพราะไม่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง

 เป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมบังคับได้

 อะไรล่ะ ที่เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ไม่เที่ยง

และไม่สามารถอยู่ภายใต้การควบคุมบังคับของใจได้

ก็คือลาภยศ สรรเสริญ ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนี่เอง

 ที่วุ่นวายกันก็วุ่นวายกับเรื่องลาภยศ สรรเสริญ

วุ่นวายกับความสุขทาง ตาหูจมูกลิ้นกาย

เเก่งเเย่งชิงดีกันทำสงครามฆ่าฟันก็เพื่อได้ลาภยศ สรรเสริญ

 ได้ความสุขทาง ตาหูจมูกลิ้นกายนี่เอง

แล้วเมื่อได้มาแล้วก็ไม่ได้มีความสุขอยู่ดี

เพราะเมื่อได้มาแล้วก็ต้องพบกับความเสื่อม

 ของลาภยศ สรรเสริญ

ของความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายอยู่ดี

 แล้วเมื่อพบความเสื่อมก็ต้องหาใหม่

หาใหม่ก็ต้องเกิดการแข่งขันกันแก่งเเย่งชิงดีกัน

 ก็เกิดความรบราฆ่าฟันกันอีกรอบ

ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ บ้านเมืองทุกยุคทุกสมัย

ตั้งแต่อดีตอันยาวนานมาจนปัจจุบันและต่อไปในอนาคต

ที่ไม่มีวันหมดไม่มีวันสิ้น

ก็จะมีความวุ่นวายอย่างนี้ไปอยู่เรื่อยๆ

 มีความวุ่นวายสลับกับความสงบ

สงบแล้วก็วุ่นวาย วุ่นวายแล้วก็สงบ

ดังนั้นการที่เราจะไปวุ่นวายกับเขา

ก็จะไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงความวุ่นวาย

เพราะว่าความวุ่นวายเขามีเหตุมีปัจจัย

ที่ทำให้เขาต้องวุ่นวายกันและเมื่อถึงขีดหนึ่ง

มันก็จะถึงขีดที่มันสงบลงไปเอง

 เหมือนกับพายุฝน เวลาพายุฝนมา

ก็จะไม่มีใครที่จะไปหยุดยั้งได้

แต่พายุฝนก็ไม่ได้พัดอยู่ตลอดเวลา

 เดี๋ยวก็อ่อนกำลังลงไปแล้วก็หมดกำลังลงไป

แล้วความสงบก็กลับคืนมาใหม่แล้วอีกไม่นาน

ก็มีพายุฝนลูกใหม่เกิดขึ้นมาใหม่ เกิดความวุ่นวายอลหม่าน

โกลาหลกันขึ้นมาใหม่ แล้วก็สงบตัวลงไปใหม่

นี่คือลักษณะของสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้ที่เรียกว่าอนิจจัง

 ก็คือไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เรื่อยๆ

 เป็นอนัตตาก็คือไม่สามารถที่จะไปควบคุม

บังคับไปสั่งให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ได้

 ไม่สามารถที่จะให้ความสุขได้ตลอดเวลา

จะต้องมีการสลับกันไป สุขบ้างทุกข์บ้างอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

 แต่มีความสุขที่ไม่มีวันเสื่อม

มีความสุขที่สามารถอยู่ภายใต้การควบคุม บังคับของใจได้

 แต่ไม่รู้กันเพราะความหลง

ไม่มีใครสอนหรือมีคนสอนก็ไม่มีคนสนใจที่จะศึกษากัน

 ถ้ามีความสนใจศึกษาเข้าหาผู้รู้ความจริง

ของความสุขที่แท้จริงของความสุขที่ไม่มีวันเสื่อม

 ไม่มีวันหมดไป ของความสุขที่สามารถควบคุมบังคับ

ให้อยู่กับใจได้ไปตลอด

 ก็คือความสุขที่เกิดจากความสงบของใจนี่เอง

 เกิดจากการระงับความโลภ ความโกรธ ความหลง

ถ้าใจปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้ว

 ใจก็จะตั้งอยู่ในความสงบ เมื่อใจสงบใจก็จะได้ความสุข

ที่ยิ่งใหญ่กว่าความสุขทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้

ที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นเพราะว่า เป็นความสุขที่ไม่เสื่อม

 เป็นความสุข ที่ไม่เปลี่ยนแปลง

 ไม่มีความทุกข์เข้ามาผสมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

 เป็นความสุขล้วนๆเป็นความสุขที่บริสุทธิ์

เหมือนทองคำที่บริสุทธิ์

แล้วก็เป็นความสุขที่สามารถรักษาไว้ได้

ให้อยู่กับตนได้ไปตลอด

 อันนี้เป็นสิ่งที่ ต้องศึกษากัน

 แล้วต้องปฏิบัติให้เข้าถึงความสุขอันนี้ให้ได้

 ถ้าเข้าถึงความสุขอันนี้ได้ทุกคนแล้ว

บ้านเมืองก็จะอยู่กันอย่างสันติสุขไปไม่มีวันสิ้นสุด

 แต่ถ้าไม่เข้าถึงความสุขอันนี้บ้านเมืองก็จะวุ่นวายไป

 ไม่มีวันสิ้นสุดไปเช่นเดียวกัน

 วุ่นวายแล้วก็สงบ สงบแล้วก็วุ่นวายใหม่

 วุ่นวายเพราะต้องต่อสู้กัน เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้ไป

ความสงบก็กลับมาชั่วคราว

พออีกฝ่ายหนึ่งมีกำลังมากขึ้นก็กลับมาต่อสู้กันใหม่

และเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดกำลังแพ้ไป

ความสงบก็กลับมาใหม่

แล้วก็พออีกฝ่ายหนึ่งมีกำลังเพิ่มมากขึ้น

ก็กลับมาต่อสู้กันใหม่ ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

ไม่มีวันที่จะจบไม่มีวันที่จะสิ้น

 ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ ถึงธรรมชาติของโลกนี้

จึงไม่ไปเดือดร้อนกับเหตุการณ์ต่างๆ

 ที่ปรากฏขึ้นอยู่ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นความเจริญก็ดี

หรือความเสื่อมก็ดี ไม่ว่าจะเป็นความสงบหรือความวุ่นวายก็ดี

มันเป็นของคู่กัน มันเป็นของที่มาด้วยกัน

ผลัดกัน แสดงเท่านั้นเอง

 ถ้าไปติดอยู่กับเหตุการณ์ต่างๆ

อาศัยเหตุการณ์ต่างๆ อาศัยสิ่งต่างๆ ในโลกนี้

ให้ความสุขกับตน เช่นอาศัยลาภ ยศ สรรเสริญ

อาศัยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไว้ให้ความสุขกับตน

ก็จะต้องพบกับความเจริญ

และพบกับความเสื่อมของสิ่งต่างๆ เหล่านี้

ก็จะต้องสัมผัสกับความสุข เวลาที่เจริญ

และสัมผัสกับความทุกข์ เวลาที่เสื่อมลงไป

ถ้าตราบใดยังมีความผูกพันอยู่กับลาภยศ สรรเสริญ

 ผูกพันกับความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายอยู่

ตราบนั้นก็ยังจะต้องพบกับความทุกข์

ที่เกิดจากการเสื่อมของลาภยศ สรรเสริญ ของความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกายอยู่เรื่อยไปไม่มีวันสิ้นสุดไม่มีวันจบ

นักปราชญ์หรือผู้ฉลาด ผู้ที่เห็นความเสื่อม

ของลาภ ยศ สรรเสริญสุข จึงไม่ไปยึดติด

กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จึงเข้าหาความสุขที่แท้จริง

ก็คือความสุขที่เกิดจากความสงบของใจ

 ที่เกิดจากการระงับความโลภ ความโกรธ ความหลง

 ความอยากต่างๆ ที่มีอยู่ภายในใจให้หมดไป

ด้วยการเจริญธรรมะที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้หรือเครื่องมือ

 ที่จะทำลายความโลภ ความโกรธ ความหลง

ความอยากต่างๆ ให้หมดสิ้นไป

ธรรมะพื้นฐานที่ควรจะมีคือ ความมักน้อย สันโดษ

ถ้ามีความมักน้อย สันโดษแล้ว

จะสามารถควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลง

 ความอยากต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่ไม่ไปสร้างความวุ่นวาย

 สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นได้

แต่ยังต้องอาศัยธรรมะอย่างอื่นเข้ามาช่วยมาเสริม

มาเพื่อที่จะได้ทำลายความโลภ ความโกรธ ความหลง

 ความอยากต่างๆ ให้หมดไปจากใจ

แต่ในขณะที่ปฏิบัตินี้จำเป็นจะต้องถือหลักมักน้อยสันโดษไว้

 เป็นพื้นฐาน แล้วจะทำให้การปฏิบัติเพื่อกำจัด

ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ นี้

เป็นไปได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

ดังนั้นผู้ที่ปรารถนาความสงบ ความสุขอันยิ่งใหญ่ของใจ

จึงเป็นจะต้องยึดหลักมักน้อย สันโดษ

คำว่ามักน้อย ก็คือไม่ต้องการมากจนเกินไป

ต้องการเพียงแต่เท่าที่จำเป็น

ต่อการดำรงชีพของร่างกายเท่านั้นปัจจัย ๔ ก็พอให้อยู่ได้

 พอให้ไม่ตาย ไม่ต้องมีมากจนเกินไป

ไม่ต้องวิเศษหรูหราแบบที่ไม่มีเหตุไม่มีผล

นี่คือความมักน้อย ความสันโดษ

ก็แปลว่า ยินดีตามมีตามเกิด

ถ้าไม่สามารถได้ตามความต้องการ

ตามความจำเป็นของร่างกาย

ได้น้อยกว่าที่ควรจะได้ก็ขอให้ทำใจให้พอใจ

กับสถานภาพนั้นไป ก็จะสามารถควบคุมใจ

ไม่ให้ไป ก่อเรื่องวุ่นวายต่างๆให้ผู้อื่นเดือดร้อนได้

 ที่ออกมาวุ่นวายกัน ออกมาสร้างความวุ่นวาย

สร้างความเดือดร้อน ให้แก่ผู้อื่น

ก็เพราะความไม่มีความมักน้อย สันโดษนั่นเอง

 มีแต่ความอยากได้มากๆ มีความอยาก

ไม่ว่า จะได้เท่าไหร่ ก็ไม่มีคำว่า “พอ”

อันนี้แหละเป็นสิ่งที่แรกที่ ควรจะเจริญกัน

คือความมักน้อย สันโดษ พอมีพอกิน

สมมุติว่าต้องกินวันละ ๓ มื้อ ถ้าหาได้เพียง ๒ มื้อก็กิน ๒ มื้อไป

 ถ้าไม่ตายก็ถือว่าก็ใช้ได้ ถ้าตายก็คิดว่าถึงเวลา

 ที่จะต้องตายไป เพราะว่าไม่ว่าจะกิน ๓ มื้อหรือ ๕ มื้อ

 หรือ ๑๐ มื้อ ถึงวเลาที่จะต้องตายก็ตายเหมือนกัน

 กินมื้อเดียวถึงเวลาที่จะต้องตายก็ตาย

 กิน ๕ มื้อ ถึงเวลาจะต้องตายก็ตายเหมือนกัน

ดังนั้นความตายไม่ได้เป็นสิ่งที่จะต้องมาเป็นเหตุ

ที่จะทำให้เราต้องไปทำความโลภ ความโกรธ ความหลง

ทำตามความโลภ ทำตามความโกรธ ทำตามความหลง

 ไปทำผิดศีลธรรม ทำผิดกฎกติกาของบ้านเมือง

ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาต่อไป

พอเรามีความมักน้อย สันโดษแล้วเราก็จะได้ปฏิบัติ

ตาม ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนได้คือ ทำทาน

แบ่งปันทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

ที่เรามีเกินความจำเป็นไปได้

 ถ้าไม่มีความมักน้อยก็จะหวงแล้วก็อยากจะได้มากๆ

 มีพอแล้วก็ยังไม่พอ มีพอเพียงต่อการดำรงชีพแล้ว

 แต่ก็จะไม่พอ ก็อยากจะได้มากขึ้นไปอีก

เมื่อมีความอยากจะได้มากขึ้นไปอีก

ก็ต้องไปแก่งแย่งชิงดีไปแข่งขันกัน ไปมีปัญหาต่อกัน

 แต่ถ้ามีความมักน้อยสันโดษ ถ้ามีมากเกินความจำเป็น

ก็จะเอาไปแบ่งปันกัน แทนที่จะไปแก่งแย่งกัน

กลับเอาไปแบ่งให้แก่ผู้อื่น

 แทนที่จะเกิดปัญหากลับทำให้ผู้อื่นอยู่ร่มเย็นเป็นสุข

 ให้แก่ผู้ที่เขาขาดแคลนผู้ที่เขาเดือดร้อน

เมื่อผู้ที่ขาดแคลนเดือดร้อนได้รับการดูแล

ได้รับการช่วยเหลือ เขาก็จะไม่ออกมาสร้างความวุ่นวาย

ให้แก่บ้านแก่เมือง แต่ถ้าไม่มีความมักน้อย สันโดษ

ต่างคนต่างอยากจะได้มาก ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ

คนที่มีแล้วก็ออกมาสร้างความวุ่นวาย

 คนที่มีแล้วไม่พอก็ออกมาสร้างความวุ่นวาย

เพราะทุกคนมีความต้องการสิ่งเดียวกัน

ก็มีการแก่งแย่งชิงดีมีการต่อสู้กัน

 ถ้าไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพศีลธรรม

ก็จะกลายเป็นสงครามขึ้นมาเป็นสังคมของเดรัจฉานไป

 ใครมีกำลังมากกว่าก็จะมีโอกาส

ที่จะได้มากกว่าคนที่มีกำลังน้อยกว่าก็ต้องอดไป

อันนี้เป็นสิ่งที่จะตามมาต่อไป

ถ้าสังคมไม่เข้าหาธรรมะ

ไม่ปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ความโลภ ความโกรธ ความอยากต่างๆ

จะมีเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ

 เพราะความหลงไม่ได้รับการเยียวยาไม่ได้รับการแก้ไข

 ไม่ได้รับการกำจัดนั่นเอง

 คือไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงนี้ อยู่ที่ความสงบของใจ

 อยู่ที่การละความโลภ ความอยาก ความโกรธต่างๆ

ด้วยการอยู่แบบมักน้อย สันโดษ ด้วยการทำทาน

 ด้วยการรักษาศีล ด้วยการภาวนา

 ถ้าไม่ได้รับข้อมูลอันนี้ก็จะหลง

กับการไปหาลาภยศ สรรเสริญ

หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายอย่างไม่มีขอบไม่มีเขต

 เพราะความอยากนี้ไม่มีขอบไม่มีเขตนั่นเอง

 ไม่ว่าจะได้มามากน้อยเพียงไร

ภายในใจก็จะมีความรู้สึกว่าไม่พออยู่ดี

ได้ล้านหนึ่งก็ไม่พอ ได้สิบล้านก็ไม่พอ ได้ร้อยล้านก็ไม่พอ

 ได้พันล้านหมื่นล้านก็ไม่พอ จะไม่มีวันพอ

 เพราะความอยากโดยธรรมชาติของเขา เป็นอย่างนั้น

ความอยากไม่มีขอบไม่มีฝั่งไม่เหมือนกับน้ำทะเลมหาสมุทร

ถึงแม้ว่าจะกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหนก็ตาม

ก็ยังมีขอบมีฝั่งแต่ความโลภ ความอยากนี้ไม่มีขอบไม่มีฝั่ง

 ยิ่งได้ยิ่งทำให้อยากได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ

คนบางคนจึงมีเงินมากกว่าที่เขาจะสามารถใช้ได้อีก ๑๐๐ ชาติ

 ๑,๐๐๐ ชาติ แต่เขาก็ยังหยุดความอยากได้เพิ่มขึ้นไม่ได้

 เพราะอำนาจของความอยากนี้มันรุนแรง

มันครอบงำจิตใจแล้วความอยากนี่แหละ

เป็นตัวที่ผลิตความเครียดผลิตความวุ่นวายใจ

 ผลิตความกระสับกระส่ายกระวนกระวาย

ให้เกิดขึ้นอยู่ภายในใจ อยู่ตลอดเวลา

 แทนที่จะมีความสุขจากมีสมบัติ

ข้าวของเงินทองกองเท่าภูเขา

กลับมีความทุกข์กองเท่าภูเขา

กดดันจิตใจอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่รู้สึกตัว

 และไม่รู้จักวิธีแก้ ไม่รู้ว่าเหตุที่ทำให้ตนเองนั้น

มีแต่ความเครียด มีแต่ความวุ่นวายนั้น

ก็คือความอยากได้มากๆนี่เอง

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมนี้

ให้เจริญความมักน้อย สันโดษไว้เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ

 ให้ต้องการในสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพเท่านั้น.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

“มักน้อย สันโดษ”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 29 มิถุนายน 2559
Last Update : 29 มิถุนายน 2559 10:20:12 น.
Counter : 805 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ