http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
All Blogs
 
About Love – เรื่องรักโลกาภิวัตน์

โดย merveillesxx



(บทความนี้มีการเล่าถึงเนื้อเรื่องในภาพยนตร์)

เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหนังเรื่อง The Truth About Love (ที่นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ ‘เลิฟ’ ฮิววิตต์) เพิ่งเข้ามาฉายในบ้านเรา หนังเรื่อง ‘ความจริงเกี่ยวกับความรัก’ เล่าถึงหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเผชิญกับ ‘ความจริง’ ที่ว่าแฟนหนุ่มของเธอกำลังคิดจะนอกใจเธอ และอีกนัยหนึ่งมันก็คือข้อเท็จจริงของชีวิตคู่ว่า ‘การนอกใจ’ นั้นบางทีก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้

เรามีหนังมากมายสารพัดที่บอกเล่าถึงความรักในแง่มุมต่างๆ หนังฟีลกู๊ดอย่าง Love Actually บอกกับเราว่าในโลกที่ผู้คนใช้ชีวิตด้วยความเกลียดชังและความเห็นแก่ตัว แท้จริงแล้วความรักก็ยังคงอยู่รายรอบตัวเราเสมอ (love actually is all around) ส่วนหนังฝรั่งเศสจิตแตกอย่าง Love Me If You Dare ก็บอกกับเราถึงความรักสุดพิสดารของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า “ถ้าเธอจะรักฉัน เธอต้องกล้าด้วย” ซึ่งคำว่า ‘กล้า’ ในที่นี้ก็คือ การกล้าที่จะเล่นเกมของแต่ละฝ่ายไปพร้อมๆ กัน

แล้วหนังสามสัญชาติอย่าง About Love นั้นบอกเล่าอะไรกับเรา? ชื่อของหนังบอกอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า ‘เรื่องนี้เกี่ยวกับความรัก’ หากแต่ว่าความรักนั้นมีแง่มุมมากมายหลากหลายเหลือเกินสำหรับมนุษย์อย่างเราๆ มันมีทั้งมุมที่เห็นได้ชัดเจน มุมที่สว่างสดใส มุมที่มืดมิด ไปจนถึงมุมลี้ลับที่ใครบางคน ไม่มีวันเข้าไปถึง

แง่มุมที่ผมได้รับจากหนังเรื่องนี้ นอกจากจะเป็นการพูดถึงความรักในแง่ โลกาภิวัตน์ (globalization) ที่หยิบยกประเด็นความหลากหลายทางเชื้อชาติและภาษามาชูเป็นจุดขายของหนังแล้ว (อ้อ แล้วก็มีดาราหล่อๆ สวยๆ มาเป็น ‘จุดแข็ง’ ของหนังด้วย) ผมคิดว่า About Love ยังเป็นหนังที่ทำการ ‘สำรวจพื้นผิวความสัมพันธ์ของความรัก’ ด้วย ถ้าหากสังเกตให้ดีแล้วเราจะพบว่าในแต่ละตอนของหนังที่ดำเนินไป เรื่องราวในตอนนั้นๆ ก็จะลงลึกไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้น โดยแบ่งเป็น ‘การพบเจอ’ , ‘การทำความรู้จัก’ และ ‘การใช้เวลาร่วมกัน’ ได้ดังนี้




ตอนที่ 1 โตเกียว : พบเจอ

เป็นที่แน่นอนว่าช่วงท้ายของหนังในตอนนี้ ทำให้คนดูในโรงต่างลุ้นจนตัวโก่งไปพร้อมๆ กัน สิ่งที่ทุกคนส่งแรงใจเชียร์ร่วมกันก็คือ การให้ เหยา (เฉินป๋อหลิน) และมิจิโกะ (มิซากิ อิโตะ) ได้ ‘เจอกัน’ และภาพสุดท้ายของหนังก็เป็นความสมปรารถนาอย่างสุดแสนของผู้ชม สารภาพเลยว่าตอนจบของหนังตอนนี้ทำให้ผมมีความสุขมาก

เราจะเห็นได้ว่าพระนางในตอนนี้ไม่ได้ไปถึงขั้นพูดคุย หรือทำความรู้จักอะไรมากมายเลย ทั้งสองได้เผชิญหน้ากันตรงๆ ก็ตอนวินาทีสุดท้ายของหนังแล้ว สิ่งที่ทั้งคู่เอ่ยแก่กันก็แค่คำทักทายธรรมดาในภาษาของตัวเอง ซึ่งในรูปแบบของความสัมพันธ์แล้ว เราถือว่าสองคนนี้อยู่ในขั้นพื้นผิวชั้นแรกสุดก็คือ ‘การได้พบเจอกัน’ (ครั้งแรก อย่างเป็นทางการ) นั่นก็หมายความว่า หลังจากนี้ไปแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองคงจะถูกพัฒนาต่อไปอย่างแน่นอน (ซึ่งส่วนต่อจากนี้ก็คงเป็นจินตนาการเสริมต่อของผู้ชมแต่ละคน)

นอกจากการสำรวจถึงชั้นแรกของความสัมพันธ์อย่างที่ว่าไปแล้ว ผมคิดว่าอีกประเด็นที่หนังตอนนี้ต้องการจะสำรวจถึงก็คือ ‘สภาพของผู้คนในโลกยุคปัจจุบัน’ โดยมีหลักฐานที่ปรากฏในหนัง เช่น

1. ภาพของสี่แยกใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน ที่ถูกใส่มาบ่อยครั้งเหลือเกิน : ดูเหมือนว่าผู้คนบนถนนเส้นนี้จะต่างใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่ได้ใส่ใจสภาพแวดล้อมรอบข้างนัก สิ่งที่พวกเขาทำคือรีบเดินตัดผ่านเส้นทางให้เร็วที่สุด เพื่อไปสู่ที่หมายถึงตัวเอง พวกเขาอยู่ความเร่งรีบจนไม่มีเวลาใส่ใจกับสิ่งใดทั้งสิ้น แม้แต่กับมิจิโกะที่ทำของตกเกลื่อนไปทั่วทั้งถนน ก็ไม่มีใครมาช่วยเธอเลยสักคน

2. ภาพถ่ายของยูโกะ (เพื่อนของเหยา) ที่ว่าด้วย “การสวนทางของผู้คน” : ผู้คนทุกวันนี้ต้องอยู่สภาพนั้นอย่างแท้จริง ผู้คนที่เบียดเสียดแออัดมากมายในเมืองใหญ่ กลับห่างเหินกันจากจิตใจ เราเดินบนเส้นทางเดียวกัน เราเดินสวนกัน แต่เราก็ไม่เคยคิดจะพูดคุยกันอีกต่อไปแล้ว (โดยก่อนหน้านี้ผู้กำกับที่พูดถึงประเด็นนี้อย่างชัดแจ้งก็คือ หว่องกาไว ในหนังเรื่อง Chungking Express และ Fallen Angels)

3. โลกส่วนตัวอันเงียบงันของหนุ่มสาว : เหยาเป็นชายหนุ่มที่มาจากเมืองจีน ด้วยปัญหาทางภาษาจึงไม่น่าแปลกใจนักที่เขาจะไม่ค่อยมีเพื่อน (เช่น ในคลาสเรียนการ์ตูนดิจิตอล) แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ แม้แต่คลาสเรียนภาษาญี่ปุ่น ที่นักเรียนเป็นคนจีนด้วยกัน เขาก็กลับดูแปลกแยกจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนทางด้าน มิจิโกะ เธอก็ยึดอาชีพเป็นศิลปินวาดรูป ซึ่งเป็นงานที่ไม่ต้องติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนมากนัก …สิ่งเหล่านี้บอกถึงลักษณะอะไรบางอย่างของผู้คนหรือเปล่า?

4. เทคโนโลยีล้ำยุค : คลาสเรียนการ์ตูนของเหยาทำการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้ผมสงสัยเหลือเกินว่าเดี๋ยวนี้เขาไม่ว่าการ์ตูนกันด้วยมือแล้วหรือ? ส่วนด้านมิจิโกะ เจ้าเทคโลโลยีที่เธอต้องเผชิญก็คือ โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ที่ทำให้ผู้คนบอกเลิกความสัมพันธ์ได้ภายใน 4 วินาที และขอฟื้นฟูความสัมพันธ์ได้ใน 5 วินาที (หนังที่หยิบประเด็นมือถือมาวิพากษ์วิจารณ์เมื่อเร็วๆนี้ ก็คือ One Missed Call ของทาคาชิ มิอิเกะ)

จากสิ่งที่ปรากฏในหนังทั้ง 4 ข้อที่ยกมานั้น ทำให้เราเห็นชัดว่าเหตุที่หนังในตอนนี้ใช้เทคนิคทางด้านภาพอยู่บ่อยครั้ง ทั้งการเร่งภาพ การใช้ภาพสโลว์โมชั่น ภาพบิดภาพ (distortion) จนหวิดจะทำให้หนังกลายเป็นมิวสิกวิดีโอขนาดยาวอยู่แล้ว ก็เพื่อแสดง ‘ผล’ ที่ได้จากการสำรวจผู้คนในยุคปัจจุบัน ซึ่งก็คือ ‘ความแปลกแยก’ ท่ามกลาง ‘เทคโนโลยีล้ำยุค’

แต่แม้ว่าทั้ง 4 ข้อที่ว่ามาจะดูเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับเรา แต่หนังก็ยังนำเสนอด้านกลับกันของมันด้วย เช่น

1. แม้ทุกวันนี้เราจะห่างเหินกันขนาดไหนก็ตาม แต่คนอย่างเหยา ก็ยังเป็นห่วงเป็นใย เฝ้าติดตาม และให้กำลังใจมิจิโกะ (ทั้งที่เขาสามารถขี่จักรยานผ่านสตูดิโอของเธอไปโดยไม่ต้องหวนกลับมาอีกเลยก็ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำแบบนั้น)

2. ในโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างเร่งรีบ และเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว แต่ ณ ที่มุมเล็กๆ ของโลก ก็ยังแต่ภาพที่น่ามอง และน่าจดจำ สำหรับเหยาก็คือ ภาพของมิจิโกะขณะวาดรูป ส่วนสำหรับมิจิโกะก็คือ ภาพที่เหยาเล่นหยอกเย้ากับลูกแมว

3. และแม้เราจะตกอยู่ในภาวะ ความล้มเหลวทางการสื่อสารขนาดไหน แต่ก็ยังมีคนบางคนที่ยังพยายามสื่อสาร สื่อความในใจถึงกัน โดยไม่ต้องพึ่งพาภาษา นั่นคือก็ ภาพที่เหยาและมิจิโกะวาดให้แก่กันและกัน ภาพของเหยาคือ ใบหน้าของมิจิโกะที่เขาอยากจะเห็น (เขาอยากให้เธอยิ้ม) และที่น่าสังเกตก็คือ เหยาล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกับการ์ตูนดิจิตอล แต่เขาวาดรูปมิจิโกะสำเร็จ ‘ด้วยมือ’ (งานนี้เทคโนโลยีแพ้ครับ! สะใจคนโลวเทคอย่างผมเป็นอย่างยิ่ง–ฮา)

ส่วนภาพของมิจิโกะมีสองภาพ ภาพแรกคือ ภาพเส้นทางอันยาวไกล ที่แสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกของเธอ (ตอนที่เธอเศร้า เธอก็ลงสีท้องฟ้าให้มืดหม่นทันที) แต่ในที่สุดแล้วด้วยเหยาและภาพที่เขาวาดให้ เธอก็ตัดสินใจให้ภาพของเธอมีสีที่สดใส พร้อมกับจิตใจของเธอที่พร้อมจะลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง และเธอก็วาดภาพให้เหยาเป็นการตอบแทน นั่นคือภาพของเขาที่เธอประทับใจและตั้งใจจะเก็บไว้

คนสองคนนี้ไม่ได้สื่อสารกันด้วย ‘ภาษา’ แต่เขาและเธอสื่อสารกันด้วย ‘ภาพ’
เขาและเธอ วาดภาพให้แก่กันและกัน
เขาและเธอ วาดภาพซึ่งกันและกัน

ดังนั้นแง่งามที่ปรากฏในหนังตอนนี้ก็คือ ในโลกที่แสนจะสับสนวุ่นวายนี้ ยังมีคนที่พร้อมที่จะทำ ‘ความรู้จัก’ กันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม…




ตอนที่ 2 ไทเป : ทำความรู้จัก

ไม่รู้ว่าหนังตั้งใจหรือเปล่า แต่หลังจากตอนแรกของหนังจบด้วยภาพด้วยคนสองคนที่ได้พบเจอกัน และคงจะทำความรู้จักกันต่อไป ตอนต่อมาของหนังก็หันมาเล่าถึงเรื่องของการ ‘ทำความรู้จัก’ ต่อทันที …เหมือนกับว่าทั้งสองตอนมีเส้นเชื่อมอยู่บางๆ เหมือนกับความสัมพันธ์ที่ถูกสานต่อโดยคนสองคนที่อยู่ต่างสถานที่กับคนคู่แรก

เท็ตจัง (เรียว คาเสะ) และ อาซื่อ (เมวิส ฟาน) มีปฏิสัมพันธ์ที่ก้าวหน้าไปกว่าคู่ของ เหยา และ มิจิโกะ แม้ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นกว่า (น่าจะประมาณ 2 วัน) แต่ทั้งสองก็ได้พูดคุยกันมากกว่า (แม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องนักก็เถอะ)

มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในสองคู่นี้ก็คือ ฝ่ายชายเป็นผู้เยียวยาความเจ็บปวดให้ฝ่ายหญิง แต่คู่ของตอนไทเปมีสิ่งที่ตอนของโตเกียวไม่มีก็คือ การปะทะปะทังกันทางอารมณ์ ในฉากลองเทคที่อาซื่อถามความจากเท็ตจังว่าแฟนเก่าของเธอพูดอะไรบ้าง ซึ่งถือเป็นฉากที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ (และต้องขอยกความดีให้กับผู้แปลซับไตเติ้ลไทยด้วย…คุณเก่งมาก)

ผู้กำกับอี๋จี้เหยิน (เจ้าของ Blue Gate Crossing ที่หลายคนหลงรัก) ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเองได้ดี (ในความคิดของผมแล้ว ตอนที่ 2 เป็นตอนที่มีคุณภาพเหนือกว่าตอนอื่นอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็เป็นตอนที่ผมชอบที่สุดครับ) จุดเด่นของเขายังคงอยู่ นั่นก็คือ การใช้องค์ประกอบทางภาพ / บรรยากาศ ในหนัง บอกเล่าอารมณ์ความรู้สึกกับผู้ชม (ทั้งนี้สามารถอ่านประเด็นด้านภาพของ Blue Gate Crossing ได้ใน BIOSCOPE ฉบับที่ 31 หน้าปก ‘สัตว์ประหลาด!’ นะครับ)

ฉากในหนังตอนนี้คงแบ่งได้ใหญ่ๆ 2 ฉาก ฉากแรกคือ ห้องของอาซื่อที่มีลักษณะปิดทึบและตกแต่งด้วยแสงไฟสลัว หลังจากที่เธอร้องไห้ออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้กำลัง ‘ขังตัวเอง’ อยู่กับความเศร้า …ส่วนหนังในครึ่งหลังเป็นฉากพื้นที่เปิด บริเวณทะเล-ชายหาด ภาพที่ใช้มักจะเป็นภาพที่ดูเวิ้งว้างเสมอ ทั้งถนนเส้นยาว, ชายหาดกว้าง และชัดเจนที่สุดก็คือ โขดหินกลางที่โล่งในฉากลองเทคที่ว่าไป ซึ่งภาพเหล่านี้ก็แสดงถึงสภาวะจิตใจของอาซื่อ หญิงสาวอยู่บนสภาวะความไม่แน่นอน (ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าช่วง ‘หลังถูกแฟนทิ้ง’) สิ่งที่เธออยากได้ที่สุดในตอนนั้นก็คือ คำตอบจากปากของแฟนหนุ่ม แต่สิ่งที่เธอได้ก็คือ อะไรสักอย่างที่ไม่ชัดเจน และสุดท้ายก็เป็นความว่างเปล่า

ที่จริงแล้ว ผมคิดว่าอาซื่อรู้ดีอยู่แล้วกับคำตอบของแฟนหนุ่ม รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเขามันจบไปแล้ว ซึ่งหนังก็บอกใบ้กับเราถึงชีวิตและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างของหญิงสาวคนนี้อยู่เหมือนกัน แฟนเก่าของเธอเล่นเซิร์ฟ ส่วนเท็ตจังก็ขี่มอเตอร์ไซค์ ลักษณะเหล่านี้ของฝ่ายชายล้วนแสดงถึงสัมพันธภาพที่ไม่แน่นอน และเธอก็จะต้องเป็นฝ่ายเกาะเกี่ยวเขาไว้

แต่การเล่นเซิร์ฟกับการขี่มอเตอร์ไซค์ที่ข้อต่างกันอยู่ การเล่นเซิร์ฟนั้นต้องปะทะกับคลื่นลมทะเลจนตัวเปียกปอนอยู่เสมอ แต่มอเตอร์ไซค์นั้นต่างออกไป เวลาที่ฝนเทสาดลงมา เรายังพอหาที่ร่มหลบฝนนั้นได้

นี่คือสารที่หนังในช่วงท้ายส่งออกมา ฉากขี่มอเตอร์ไซค์คือฉากที่น่าจดจำที่สุดของหนัง อาซื่อรู้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้นที่เท็ตจังจะพาเธอเข้าอุโมงค์เพื่อหลบฝนได้ ต่อจากนี้ไปอีกไม่กี่วินาที มอเตอร์ไซค์คันนั้นก็จะลอดพ้นอุโมงค์ไป แล้วเธอก็จะต้องเปียกปอนอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าเธอกับเท็ตจังจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร เขาอาจจะเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาในชีวิตเพียงชั่วแวบหนึ่งก็ได้

แต่เธอก็อยากจะจดจำห้วงเวลานั้นไว้ แสงสีเหลืองนวลตาจากอุโมงค์ และไออุ่นจากแผ่นหลังของเท็ตจัง…

ฉากอุโมงค์ของตอนไทเปนี้ทำให้ผมนึกไปถึงตอนจบในเรื่อง Fallen Angels (1995) ของหว่องกาไว ฉากจากหนังทั้งสองให้อารมณ์คล้ายคลึงกันมาก (และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมชอบตอนที่ 2 มากที่สุดก็ได้) หากยังจำกันได้ใน Fallen Angels หนุ่มใบ้ (ทาเคชิ คาเนชิโร่) กับสาวคู่หูนักฆ่า (หลี่เจียซิน) นั่งมอเตอร์ไซค์ลอดใต้อุโมงค์ไปด้วยกัน (ที่เหมือนกับ About Love ตอนไทเปอีกอย่างหนึ่งก็คือ สองคนนี้เป็นคนที่เพิ่งจะ ‘รู้จัก’ กัน) และหลังจากรถวิ่งพ้นอุโมงค์ไปแล้ว กล้องก็เงยขึ้นไปจับภาพ ‘ท้องฟ้า’ ดั่งจะบอกกับเราถึง ‘ที่’ ที่เหล่าตัวละครจากมา เพราะเขาและเธอเหล่านั้นคือ ‘เทวดาตกสวรรค์’ แต่การขับขี่มอเตอไซค์ของพระนางทั้งสองก็บอกกับเราว่า พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ ‘บนดิน’ ต่อไป

เช่นเดียวกับ About Love ก็แฝงนัยไว้ในฉากอุโมงค์เช่นกัน ภาพสุดท้ายในฉากนี้คือ ภาพของมอเตอร์ไซค์โดยถ่ายจากด้านหลัง รถกำลังวิ่งมุ่งตรงไปข้างหน้า ก็เหมือนกับชีวิตที่ต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง ต้องต่อสู้กับเม็ดฝนที่ตกลงมา …สิ่งที่ทิ้งไว้เบื้องหลังก็คืออดีตอันเจ็บปวด อาซื่อได้บอกลากับสิ่งเหล่านั้นแล้ว นั่นก็คือ ฉากที่เธอยกมือขึ้นโบกมือลา เธอกำลังบอกลากับสิ่งที่ ‘อยู่ข้างหลัง’ ชายหนุ่มนักเล่นเซิร์ฟ นั่นเอง

แล้วกับคนข้างหน้าเธอล่ะ?

ไม่มีใครรู้ว่าอาซื่อคิดจะลาจากกับเท็ตจังด้วยหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าเท็ตจังจะไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะหากจำกันได้ ฉากสุดท้ายของตอนนี้ เท็ตจังกำลังหัดพูด ‘ภาษาจีน’

เราได้แต่หวังว่าทั้งสองจะพูดจากันรู้เรื่องเสียที (ไม่แน่อาซื่ออาจจะแอบไปเรียน ‘ภาษาญี่ปุ่น’ ด้วยก็ได้) และคำแรกที่เราอยากได้ยินเท็ตจังพูดกับอาซื่อก็คือ …. “หว่ออ้ายหนี่” (ฉันรักเธอ)




ตอนที่ 3 เซี่ยงไฮ้ : ใช้เวลาร่วมกัน

ในแง่ความสัมพันธ์แล้วคู่ของ ชูเฮ (ทาคาชิ ทสึกาโมโต้) กับหยู (ลีเซี่ยวลู – นางเอกสุดรันทดใน Xiu Xiu หายหน้าไปถึง 6 ปีเต็ม) มีโอกาสที่จะทักถอความสัมพันธ์กันมากที่สุด เพราะเขาและเธอมีเวลาที่จะใช้ร่วมกันนานที่สุด และทั้งสองก็สื่อสารกันได้รู้เรื่องที่สุดในบรรดา 3 คู่ในหนัง

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับออกมาตรงข้ามกัน หนุ่มสาวคู่นี้กลับสื่อสารถึงกันได้น้อยที่สุด โดยเฉพาะ ‘ความในใจ’ จากฝ่ายหญิงไปถึงฝ่ายชาย ด้วยเหตุเพราะในขณะนั้นใจของชูเฮก็ยังครุ่นคิดถึงอดีต นั่นก็คือ แฟนเก่าที่เขียนจดหมายมาเลิกรา และอาจจะด้วยลักษณะของชูเฮที่แฟนเก่าของเขาบอกไว้ “ชูเฮเธอเป็นคนมีความฝัน แต่ฉันไม่อาจร่วมก้าวเดินตามทางฝันของเธอได้อีกต่อไปแล้ว” …หยูจึงเข้าไม่ถึงโลกของชูเฮไปโดยปริยาย

นั่นก็หมายความว่าในรูปแบบของความสัมพันธ์ที่ลงลึกมากขึ้นนั้น ก็ไม่ได้แปลว่าความสัมพันธ์จะต้องลึกซึ้งขึ้นตามไปด้วย

หากกล่าวถึงคุณภาพของตัวหนังแล้ว ผมคิดว่าตอนที่ 3 มีความอ่อนด้อยมากที่สุด ทั้งในแง่การเล่าเรื่องที่กระท่อนกระแท่น (โดยเฉพาะช่วงแรก) อารมณ์สะดุดเป็นพักๆ ฉากบางฉากที่ดูไม่ค่อยจะเข้าท่านัก (ผมรับไม่ได้อย่างรุนแรงกับแก้ว / ท่าถือแก้วของชูเฮ) ส่วนการแสดงของพระเอกสุดหล่อ ก็ทำให้ผมตระหนักว่าหนังเรื่องนี้ ความหล่อของพระเอกกับความสามารถทางการแสดงแปรผกผันกัน (ฮา) สรุปว่างานนี้เท็ตจังชนะไปเต็มๆ

แต่สิ่งที่ทำให้หนังตอนเซี่ยงไฮ้ และรวมถึงหนัง About Love รอดตัวไปอย่างฉลุยก็คือ ‘ตอนจบ’ ของตอนนี้นั่นเอง เพราะมันทำให้อารมณ์ของผู้ชมพุ่งขึ้นไปจนถึงจุดขีดสุด (แต่ที่จริงแล้วตอนจบก็ยังมีข้อน่าตำหนิในการเน้นย้ำอารมณ์จนเกินควร)

ไม่มีใครคาดคิดว่าหนังจะเลือกจบตัวเองด้วยความไม่สมหวัง ประกอบกับการที่สองตอนก่อนหน้าที่เป็นการจบในแบบที่ ‘สมใจ’ คนดู ยิ่งทำให้ตอนจบของตอนเซี่ยงไฮ้ยิ่งน่าเศร้าเป็นเท่าทวีคูณ

หากคิดในแง่หนึ่งแล้ว การเลือกจบแบบนี้ก็เป็นผลดีต่อตัวหนัง เพราะ About Love ได้กีดกั้นตัวเองให้หลุดพ้นจากการเป็น ‘หนังรักวัยรุ่น’ ธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ความรักของทุกผู้ทุกคนไม่จำเป็นต้องสมหวังเสมอไป ไม่เว้นแต่วัยหนุ่มสาว (ที่สวยหล่อขนาดไหนก็ตาม)

แต่คิดแล้วก็น่าเศร้าในขณะที่หยูบอกความในใจว่าออกไปว่า “ฉันรักเธอ” แต่ชูเฮกลับเลือกใช้คำนั้นในความหมายที่ว่า “ลาก่อน” แต่สิ่งที่หยูได้ยินขณะที่รถของชูเฮวิ่งไกลออกไปไม่ใช่การร่ำลา แต่เป็นคำว่า “…ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ…”

ภาพสุดท้ายที่ชูเฮไปหาหยูที่บ้านแล้วก็พบว่าเธอจากไปแล้ว และบ้านของเธอก็เหลือเพียงแต่ซาก สิ่งที่เขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางนั้นก็คือ ซากปรักหักพังของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรเขาจะบูรณะมันขึ้นมาใหม่ได้

ผมโยงใยฉากนี้กับฉากจบของ In The Mood For Love (2000) ของหว่องกาไว (อีกแล้ว) หนังทั้งสองเรื่องจบด้วย ‘ซากปรักหักพัง’ เหมือนกัน ใน In The Mood For Love ก็คือนครวัต ซึ่งอาจจะแสดงถึงความสัมพันธ์ที่จบสิ้นไปแล้วเช่นกัน แต่อย่างแน่นอนมันบอกถึง ‘หัวใจอันร้าวราน’ ของโจวมู่หวัน (เหลียงเฉาเหว่ย) และภาพที่เขากระซิบอะไรบางอย่างกับรูต้นไม้ ก็คือการระลึกถึงความหลังของเขากับเธอ เขาถ่ายทอดมันเพื่อเก็บซ่อนไว้ใน ‘รูแห่งความลับ’ นั้น เพื่อจะลาจากมัน (ซึ่งเราทุกคนก็รู้แล้วว่า สุดท้ายเขาก็ทำไม่ได้)

ใน About Love ภาพสุดท้ายคือ ชูเฮกำลังทำท่าขว้างปาลูกเบสบอลในอากาศ เขาก็คงกำลังระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเช่นเดียวกับโจวมู่หวัน แต่ทว่ามันเป็นเพียงการโหยหากับความว่างเปล่า เพราะสิ่งนั้นได้หลุดลอยไปแล้ว

สิ่งที่ทำให้หนังเรื่อง About Love ยิ่งน่าเศร้าไปอีกก็คือ หนังเริ่มต้นด้วย ‘การพบเจอ’ ‘ความทำความรู้จัก’ และ ‘การใช้เวลาร่วมกัน’

แต่ ณ จุดปลายที่หนังเลือกที่จะจบตัวเองก็คือ ‘การพลัดพราก’




เรื่องรักโลกาภิวัตน์

อย่างที่กล่าวไปในตอนต้นแล้วว่า About Love มีลักษณะความเป็นโลกาภิวัตน์ในด้านความหลากหลายทางเชื้อชาติและภาษาของตัวละคร แต่นอกจากนั้นแล้วในแง่ ‘ความสัมพันธ์’ และ ‘ความเชื่อมโยง’ ของตัวละครก็ยังเป็นไปลักษณะที่ว่าด้วย (ดูรูปประกอบ / คลิกที่รูปเพื่อดูรูปขนาดเต็ม)



จากรูปนั้น เส้นทึบหมายถึง ความสัมพันธ์ที่เกิดปฏิสัมพันธ์อย่างชัดเจนในหนัง ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พระนางในแต่ละตอน (มิจิโกะ-เหยา, เท็ตจัง-อาซื่อ และ ชูเฮ-หยู) ส่วนความสัมพันธ์เส้นทึบอื่นๆ ได้แก่

1. มิจิโกะ กับ เท็ตจัง : สองคนนี้เป็นเพื่อนกัน (ทั้งคู่คุยโทรศัพท์กันในตอน โตเกียว และไทเป)

2. เหยา กับ ชูเฮ : ชูเฮเป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นของเหยา (ที่จริงแล้วหนังควรให้สองคนนี้ได้กันนะคะเนี่ย โฮะ โฮะ โฮะ)

3. เหยา กับ เพื่อนเหยา : เพื่อนเหยาในที่นี้ผมหมายถึง เพื่อนสาวชาวจีนที่มาจากเซี่ยงไฮ้นะครับ (ทั้งคู่รู้จักกันผ่านยูโกะอีกที)

ส่วนความสัมพันธ์เส้นประ หมายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้นชัดเจนในหนัง หรือความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ ได้แก่

1. ชูเฮ กับ มิจิโกะ : เป็นคนญี่ปุ่น (โตเกียว) เหมือนกัน

2. เหยา กับ อาซื่อ และแฟนอาซื่อ : ทั้งสามคนนี้เป็นคนไต้หวัน (ไทเป) เหมือนกัน

3. หยู กับ เพื่อนของเหยา : สองคนนี้เป็นคนจีน (เซี่ยงไฮ้) เหมือนกัน

จากความสัมพันธ์เส้นประใน ข้อ 1-3 คือการมีจุดร่วมทางด้านเชื้อชาติ หากแต่เราแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเขาเหล่านี้จะไม่รู้จักกัน

4. แฟนมิจิโกะ กับ แฟนชูเฮ : ข้อนี้เป็นความสัมพันธ์ที่คลุมเครือที่สุด และก็น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด นั่นก็คือ สองคนนี้มาได้กันเอง เพราะทั้งคู่ไปที่สเปนเหมือนกัน

จากภาพนี้เราจึงเห็นได้ว่า ตัวละครทุกตัวล้วนมีเส้นสายที่สามารถจะเชื่อมถึงกันได้หมด นี่จึงถือเป็น ‘ความสัมพันธ์เชิงโลกาภิวัตน์’

และในคำว่าโลกาภิวัตน์ที่ว่าด้วยการเชื่อมโยงกันนั้น ย่อมต้องมีอะไรบางอย่างเป็น ‘จุดร่วม’ กัน นั่นก็คือ

1. ในทั้ง 3 ตอนของหนัง ไม่มีใครเอ่ยคำว่า ‘รัก’ ขึ้นมาเลย : ไม่ว่าจะหนังรัก หนังตลก หนังบู๊ หรือกระทั่งหนังผี จะต้องมีอย่างน้อยครั้งหนึ่งที่ตัวละครพูดว่า “ฉันรักคุณ” หรือประโยคอะไรก็ตามที่มีคำว่า ‘รัก’ เจืออยู่ด้วย แต่ทว่า About Love กลับไม่มีคำนี้หลุดออกมาเลย (ยกเว้นตอนสุดท้ายที่หยูพูดกับชูเฮ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ) นั่นทำให้ชัดเจนขึ้นไปอีกว่า About Love ไม่ใช่ ‘หนังรัก’ แต่มันเป็นหนัง ‘เกี่ยวกับความรัก’ ที่ว่า “กว่าคนเราจะจะพูดคำว่ารักให้แก่กันได้นั้น พวกเขาจะต้องผ่านอะไรมาบ้าง”

2. ทั้งสามตอนต้องมีฝ่ายหนึ่งที่ถูก ‘แฟนทิ้ง’ : ก็เพราะว่าการถูกแฟนทิ้ง การเลิกรากัน ก็เป็น ‘แง่มุมหนึ่งของความรัก’ เช่นกัน และหากมองในด้านหนึ่งแล้ว เวลาที่คนเราถูกคนรักตัดสิ้นซึ่งความสัมพันธ์ นั่นจะเป็นเวลาที่จิตใจของเราจะเอนอ่อนไปตามสภาวะแวดล้อมได้มากที่สุด และก็เป็นช่วงที่ ‘ความสัมพันธ์ใหม่ๆ’ เกิดขึ้นได้มากที่สุด (แต่ก็สิทธิ์ที่จะล่มสลายได้มากเช่นกัน)

หากแต่ในอีกด้านหนึ่งแล้ว การเลิกรา ก็เป็นการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และบางทีสิ่งที่ดีหรือคนที่ดีอาจจะรอเราอยู่ข้างหน้าก็เป็นได้ ดังนั้นแท้จริงแล้ว About Love ไม่ได้เลือกจบตัวเองด้วย ‘ความไม่สมหวัง’ แต่มันเป็นหนังที่เริ่มต้นด้วยสิ่งนั้นต่างหาก นั่นก็คือ ‘การเลิกรา’ ‘การจากลา’ และ ‘การพลัดพราก’

เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่ About Love บอกกับเราเป็นอย่างสุดท้ายก็คือ ‘วงจรความสัมพันธ์’ ของมนุษย์ นั่นก็คือ

การจากลา --> การพบเจอคนใหม่ --> การทำความรู้จัก --> การใช้เวลาร่วมกัน --> การจากลา --> …

จากวงจรที่ว่านี้ทำให้ผมคิดว่า ‘การจากลา’ ของมิจิโกะและอาซื่อกับแฟนเก่าของเธอทั้งสอง จึงไม่ใช่การจบสิ้นของทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เพราะการจากลานั่นเอง ที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ระหว่างมิจิโกะกับเหยา และอาซื่อกับเท็ตจัง

เพราะฉะนั้นในคู่ของ ชูเฮ กับ หยู ก็เช่นกัน ชีวิตของเขาและเธอไม่ได้สิ้นสุดอยู่แค่นั้น ชีวิตจะต้องก้าวต่อไป พวกเขาก็ต้องพบเจอกับผู้คนอีกมากมาย ความสัมพันธ์มากมายจะต้องก่อเกิดขึ้น และในหลายความสัมพันธ์นั้นก็คงต้องมีที่ล่มสลายไป

แต่ด้วยความสัมพันธ์เชิงโลกาภิวัตน์ที่ว่าไปแล้วนั้น ก็อดคิดไม่ได้ว่าชูเฮ กับ หยู อาจจะกลับมาเจอกันอีกครั้ง...

หยูอาจจะรู้จักกับเพื่อนของเหยาที่เป็นคนเซี่ยงไฮ้เหมือนกัน
หยูอาจจะมาเที่ยวที่โตเกียวตามคำชวนของเพื่อน (ถ้าเธอผ่าด่านอรหันต์ของแม่จอมโหดให้ได้ก่อนนะ)
เพื่อนของเหยาแนะนำหยูให้เหยารู้จัก
ชูเฮกลับมาที่โตเกียว
ชูเฮได้เจอกับเหยา
เหยาแนะนำหยูให้ชูเฮรู้จัก
ชูเฮ ‘พบเจอ’ กับหยูอีกครั้ง
ทั้งคู่เริ่ม ‘ทำความรู้จัก’ และ ’ใช้เวลาร่วมกัน’ อีกครั้ง
และ…

ความรักที่เราพบเจอส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ มักจะเป็น ‘เรื่องรักโลกาวินาศ’ นั่นก็คือ ปัญหาหัวใจ เรื่องรักๆใคร่ๆ ยังคงเป็น ‘ปัญหาโลกแตก’ ของมนุษย์สืบต่อไป ทั้งเรื่อง ‘ฉันรักเธอ แต่เธอไม่รักฉัน’ ‘เขาชอบฉัน แต่ฉันไม่ได้ชอบเขา’ ‘ฉันชอบเขาแต่เขากลับไปชอบเพื่อนฉัน’ ‘เพื่อนของเขาชอบฉันแต่ฉันกลับชอบเขา’ ฯลฯ

ส่วนคำว่า ‘โลกาภิวัตน์’ ในสายตาของผู้คนในปัจจุบันล้วนส่อไปในทางลบทั้งสิ้น โดยเฉพาะการควบคู่มากับเทคโนโลยีล้ำสมัย ที่เร่งภาวะล้มเหลวทางการสื่อสาร และลดทอนจิตวิญญาณของมนุษยชาติ

แต่บางทียุคโลกาภิวัตน์ก็อาจจะเป็นผลดีก็ได้ ถ้าโลกถูกย่อให้เล็กลง โลกที่ผู้คนล้วนเชื่อมโยงถึงกัน มันอาจจะทำให้ ‘คนสองคน’ ได้พบเจอกันอีกครั้ง และเกิดเรื่องประสา ‘เรื่องรักโลกาภิวัตน์’ บทใหม่ขึ้นมา

นี่คงจะเป็นไม่กี่ครั้ง ที่ผมเห็นแง่งามของคำคำนี้




แถมรูปคนหล่อค่ะ ถึงแม้จะยังเล่นหนังไม่ค่อยเก่งก็เถอะ


Takashi Tsukamoto

ข้อควรระวัง
เวลาที่ search หาข้อมูลของเขา โปรดระวังชื่อบุคคล เหล่านี้

1. Takashi Miike
เจ้าพ่อหนังเพี้ยนอย่าง Audition (ยังจำฉากเลื่อยขากันได้ใช่มั้ย?), Visitor Q (ครอบครัววิปริต), Ichi The Killer (นักฆ่าที่ปากฉีกถึงหู) ล่าสุดเพิ่งมี One Missed Call มมาแผลงฤทธิ์ในบ้านเรา

2. Shinya Tsukamoto
ผู้กำกับคัลต์สุดฉาวอีกราย เพิ่งมี A Snake of June มาฉายในบ้านเรา

หากต้องการูปคนหล่อ หลีกเลี่ยงสองชื่อนี้เสีย เพราะเมื่อท่านคลิกเข้าไป จะเจอกับสิ่งที่ไม่ได้ต้องการ (ฮา)

อย่างไรก็ตาม 2 ผู้กำกับที่ว่า เป็นผู้กำกับที่ผมชอบมากครับ



Create Date : 28 สิงหาคม 2548
Last Update : 28 สิงหาคม 2548 21:39:11 น. 61 comments
Counter : 6477 Pageviews.

 
ง่า..วันนี้ดูได้เรื่องเดียวก็เลยไปดูคุโระค่ะ


ชอบนะคะ..แต่ไม่ถึงกับรัก

ชอบช็อตเรื่องการสื่อด้วยภาพในบางช็อตด้วย

แต่เราว่าเขาละเลยรายละเอียดบางอย่างน่ะค่ะ

เพลงตอนจบเพราะอย่างคุณว่าจริงๆ แหละค่ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 28 สิงหาคม 2548 เวลา:22:36:53 น.  

 
คุณจขบ.คะ

ไม่รู้บล็อกคุณเป็นอะไรค่ะ
กดลิงค์เข้ามามันจะอยู่ได้แป๊บเดียว
แล้วก็จะโดนดูดไปเว็บของ tarad แทนเลยน่ะค่ะ

แถม back กลับมาที่บล็อกคุณก็ไม่ได้

นี่เราต้องมาพิมพ์ที่อื่นแล้วก็อปไว้ก่อนมาโพสต์ในคอมเม้นท์ค่ะ ไม่งั้นไม่ทันง่ะ

เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:0:28:26 น.  

 
ขอบคุณ คุณสาวไกด์ใจซื่อ ที่บอกครับ

ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไอ้พวกนี้มันใช้ลูกเล่นยังไง แต่พอลบคอมเมนท์ของ tarad ไปมันก็หายครับ

ไอ้พวกนี้มันสารเลว ชาติชั่วจริงๆ

ขอร้องนะครับ พวกที่เข้ามาโฆษณาแฝง น่ะ เลิกสักทีนะ รำคาญมากๆ


โดย: merveillesxx วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:2:47:56 น.  

 
ข้อความต่อไปนี้ มาจาก //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=21057

------------------------------

ลิงค์ที่น่าสนใจจากคุณแมดเดอลีน ว่าด้วยการเอาหนังตะวันออก VS. หนังตะวันตก มาตบกัน

2.1 MULHOLLAND MALADY
(Mulholland Drive ปะทะ Tropical Malady-สัตว์ประหลาด)
//www.reverseshot.com/summer05/tropicalmull.html

2.2 MYSTERIOUS SLACKERS AT NOON
(Mysterious Object at Noon-ดอกฟ้าในมือมาร ปะทะ Slacker)
//www.reverseshot.com/summer05/mysteriousslacker.html

2.3 LAST LOVE IN THE PUNCH-DRUNK UNIVERSE
(Last Life in the Universe ปะทะ Punch-Drunk Love)
//www.reverseshot.com/summer05/lastpunch.html

2.4 SUNRISE CAFE
(Cafe Lumiere ปะทะ Sunrise)
//www.reverseshot.com/summer05/cafesunrise.html

2.5 TURNING GARDEN GATE
(Turning Gate ปะทะ Garden State)
//www.reverseshot.com/summer05/turninggarden.html

2.6 ALL ABOUT LILY CALLAR
(All About Lily Chou-Chou ปะทะ Movern Callar)
//www.reverseshot.com/summer05/lilymorvern.html

2.7 เกิด ชรา
(Shara ปะทะ Birth)
//www.reverseshot.com/summer05/sharabirth.html


โดย: merveillesxx วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:3:56:47 น.  

 
-- ขอบคุณพี่แมดเดอลีนสำหรับ link ที่น่าสนใจครับ

-- ชอบ All About Lily Callar มากเลยครับ แต่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง Movern Callar เสียที เข้าใจว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเข้าทางตัวเองมาก

-- เรื่องแบบสอบถามระบุเพศมากกว่าสองนี่ สมัยที่ผมเรียนพวกวิชาสถิติแล้วต้องทำพวกแบบสอบถามเยอะๆ ก็เคยทำเหมือนกันครับ อาจารย์บางคนก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าอาจารย์ประมาณคุณป้าแก่ๆ หัวฟูๆ ก็ไม่ได้ครับ สรุปแล้วถ้าเป็นอะไรที่เป็นทางการ มีคะแนน ก็ต้องใส่สองเพศครับ ส่วนทำถ้าแบบเล่นๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไร ถึงจะใส่มากกว่าสองได้

------------------------------

RADIO TAKES MY HEART AWAY

คืนวันเสาร์-อาทิตย์ ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นค่ำคืนที่มีความสุขจากการฟังวิทยุมากๆ เลยครับ

1. เวลา 21.00-24.00 รายการ J-POP ทาง U-FM 100.25

-- ตอนนี้ทางรายการเปลี่ยนเวลาเริ่มรายการ จาก 20.30 เป็น 21.00 แล้วนะครับ

-- เท่าที่คุยกับเพื่อนๆ หรืออ่านตามเวบบอร์ด หลายคนเลยล่ะครับที่ฟังคลื่นนี้ไม่ได้ (โดยเวลาเปิดฟัง จะดันได้ฟัง จส.100 แทน) อาจจะเพราะบ้านผมวิทยุมันเป็นแบบดิจิตอลพอดี ถ้าใครใช้แบบหมุนๆ ก็คงต้องเล็งกันดีๆ ล่ะมั้งเนี่ย

-- ทราบมาว่าสถานีตั้งอยู่แถวลาดพร้าวครับ ใครอยากฟังก็ลองหันเสาไปทางนั้นนะครับ (พอดีบ้านผมอยู่ตรงนั้นพอดี โชคดีไป)

-- เพลงที่เปิดแล้วชอบมากๆ

1.1 Utada Hikaru : FIRST LOVE (1999)
-- ซิงเกิ้ลดังโคตรถล่มของ Hikki ต่อจาก Automatic จำได้ว่าตอนปี 1999 เพลงนี้ดังไปทั่วฟ้าเมืองไทย ขนาดคลื่นเรดิโอโหวตแซทเทลไลต์ (ที่ตอนนี้กลายเป็น EFM ไปแล้ว) ยังต้องไปหาเพลงนี้มาเปิด

-- มีเรื่องสะใจอยู่อย่างนึงคือ สมัยก่อนที่ชอบฟัง J-POP / J-ROCK มักจะถูกเพื่อนๆที่โรงเรียนดูถูกดูแคลนอยู่เสมอ ด้วยประโยคเสียดแทงจิตใจต่างๆนานา แต่พอเพลง FIRST LOVE ดังเป็นพลุแตกขึ้นมา หนึ่งในเพื่อนประเภทที่ว่า ก็เดินเข้ามาถามประมาณว่าเพลงมันของใคร อยู่ชุดไหน มีขายหรือเปล่า แต่ถ้าจำไม่ผิดสิ่งที่ตัวเองทำคือ ไม่ตอบคำถาม แต่กลับบอกไปว่า “เชิญหล่อน นอนน้ำลายยืด กอดหมอนข้างรูปเจอาร์-วอย ต่อไปเถอะ!!!”

-- จะว่าไปแล้วสงครามระหว่างแฟนเพลงนี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวเอาการเหมือนกัน เช่น ห้อง J-MUSIC ที่ PANTIP.COM ที่ปกติเงียบอย่างกับป่าช้า ก็เคยมีคนจะฆ่ากันตาย (!) เพราะกระทู้ทะเลาะกันเรื่อง Utada Hikaru VS. Ayumi Hamasaki ที่ฮามากคือ ประเด็นที่หยิบมาโจมตีกันได้แก่ “อูทาดะอ้วน” และ “อายูมิทำศัลยกรรม”

-- สิ่งที่น่าเสียดายอย่างมากก็คือ ปกซิงเกิ้ล FIRST LOVE นั้นสุดแสนจะอุบาทว์เป็นที่สุด คิดว่าตอนนั้นทางค่าย Toshiba-EMI คงไม่คิดว่าเธอจะโด่งดังสักเท่าไรนัก เลยออกแบบส่งๆมาเช่นนี้ ดูรูปได้ที่ //www.cdjapan.co.jp/(mint,simple)/detailview.html?KEY=TOCT-4150

-- ความทุเรศทุรังใน LOOK ยุคแรกๆ ของ Utada อีกอย่างหนึ่งคือ MV เพลง Automatic ซึ่งมักง่ายที่สุดในโลก คือการเอากล้องวิดีโอมาตั้ง แล้วก็ให้ยัยผู้หญิงตัวอืดๆ คนนึง (แน่นอน ไม่ใช่ ปาน ธนพร...หมายถึง Utada นั่นแหละ) ขยับไปๆมาๆ …ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังโคตรจะงงอยู่เลยว่า “เพลงนี้มันดังได้ยังไงวะ ทั้งที่เอ็มวีมันสิ้นคิดขนาดนี้!”

-- อัลบั้มโกอินเตอร์ของ Utada จะวางจำหน่ายที่อังกฤษในวันที่ 26 กันยายนนี้ หลังจากที่ขายในอเมริกาไปแล้ว โดยซิงเกิ้ลเปิดตัวคือ YOU MAKE ME WANT TO BE A MAN (เอ็มวี กำกับโดยสามีของเธอเอง) สามารถดูเอ็มวีนี้ได้ที่ //www.utada.com

-- 10 เพลงของ Utada Hikaru ที่ชอบมากที่สุด (นับเฉพาะอัลบั้มภาษาญี่ปุ่น)
1. Automatic (1)
2. Hikari (3) มิวสิกวิดีโอเพลงนี้เป็น Utada …ล้างจาน!
3. Addicted to You (2)
4. Travelling (3)
5. Wait & See (2)
6. Tokyo Night (3)
7. Can You Keep a Secret? (2)

8. Final Distance (3) Utada แต่งเพลงนี้ให้กับเด็กหญิงที่ถูกแทงตายโดยคนร้ายที่บุกเข้าไปในโรงเรียนประถม (เด็กคนนี้เป็นแฟนเพลงของเธอ) เนื้อเพลง เพลงนี้เศร้ามาก “ฉันจะไปอยู่กับเธอ แม้ว่าเราจะไม่อาจรวมเป็นหนึ่งได้ก็ตาม / สักวันระยะทางอันแสนไกล จะเป็นสิ่งที่เราสวมกอดมันได้”

9. Sakura Drops (3)
10. ASAP (3)

(1) = First Love (1999) / (2) = Distance (2001) / (3 ) = Deep River (2002)

-- อัลบั้มทั้ง 3 ชุดของ Utada ติด TOP10 อัลบั้มขายดีตลอดกาลของญี่ปุ่น

-- อัลบั้มทุกชุดมีแผ่นลิขสิทธิ์ขายจากค่าย EMI แต่ถ้าอยากซื้อแค่แผ่นเดียวก็ แนะนำชุด Utada Hikaru SINGLE COLLECTION VOL.1 (2004) ครับ

-- สองข่าวใหญ่ๆ ที่ทำให้แฟนของ Hikki ช็อค
1. ข่าวที่เธอเป็นเนื้องอกในมดลูก (แต่เข้าใจว่าผ่าตัดไปแล้วเรียบร้อย) ผมยังชอบแซวกับเพื่อนบ่อยๆ ว่า หน้าปกอัลบั้มชุด Deep River นี่เหมือนว่าเธอมาถ่ายหน้าปกหลังผ่าตัดเสร็จใหม่ๆ ดูรูปที่ //www.cdjapan.co.jp/(mint,simple)/detailview.html?KEY=TOCT-24819

2. ตอนที่เธอประกาศแต่งงานสายฟ้าแล่บกับสามีของเธอ! (ซึ่งอายุห่างกันพอสมควร)

-------------------------------------------------

1.2 Ayumi Hamasaki : fairyland (2005)
1.3 Ayumi Hamasaki : fairyland REMIX (2005)

-- ซิงเกิ้ลลำดับที่ 36 ของ Ayumi ขึ้นอันดับ 1 ไปเรียบร้อยเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ทำให้เธอมีเพลงขึ้นอันดับ 1 แล้วมากถึง 23 เพลง คิดเป็นอันดับ 3 เทียบเท่ากับวง Mr.Children

-- สิ่งที่ชอบใจมากๆ คือ ติดตามฟังรายการ J-POP (ยุครีเทิร์น) มาแล้ว 7 ครั้ง และทุกครั้งดีเจก็เปิดเพลงนี้ (เย้) จนในที่สุดก็อัดเพลงนี้ไว้ได้แล้ว ทั้ง original version และ remix version

-- มิวสิกวิดีโอเพลงนี้ไปถ่ายทำกันที่ฮาวาย ดูรูปที่นี่ //ayumi.primenova.com/news2005/050725-fairylandPVtb.jpg เข้าใจว่าหลังจากเธอไปถ่ายมิวสิกครบทุกที่ในโลกแล้ว ทางค่ายคงจะส่งเธอไปถ่ายเอ็มวีบนดวงจันทร์ / ดาวอังคาร หรืออาจจะไกลกว่านั้นก็เป็นได้

-- ล่าสุดไปอ่านเจอคนเปรียบเปรยไว้ได้ถูกใจมากๆ “ถ้าคุณมาที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วไม่เห็นป้ายโฆษณาบิลบอร์ดที่มี Ayumi Hamsaki เป็นพรีเซนเตอร์ ถือว่าคุณยังมาไม่ถึงญี่ปุ่น!!”

-- Ayumi เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้ามากมายหลายชนิด แต่หลักๆ คือ PANASONIC และเครื่องสำอาง KOSE โดยด้าน PANASONIC นั้นถือรับเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับพวก MD, กล้องถ่ายรูป ส่วนด้านมือถือพรีเซนเตอร์คือ Jay Chou …อืม แบบนี้สิมันน่าใช้นัก

-- 10 เพลงของ Ayumi Hamsaki ที่ชอบที่สุด
1. Dearest (4)
2. No Way To Say (6)

3. Moment (7)
เนื้อเพลง เพลงนี้ตายคาที่สุดๆ
“หากฉันสยายปีกได้ดั่งนก
ฉันจะบินไปหาเธอ
และใช้ปีกของฉันโอบอุ้มบาดแผลนั้น

หากฉันพริ้วไหวได้ดั่งลม
ฉันจะลอยละลิ่วไปหาเธอ

หากฉันส่องแสงได้ดั่งจันทรา
ฉันจะทำให้เธอสว่างใสตลอดกาล

ฉันจะเป็นให้ทุกสิ่ง
ที่ทำให้ความกลัวของเธอจางหายไป…”

4. HANABI ~Episode II~ (6) ฮานาบิ แปลว่า ดอกไม้ไฟ…เพลงนี้อายูมิเปรียบเทียบ ความรักกับดอกไม้ไฟ เพราะมันสว่างเพียงชั่ววูบหนึ่ง แต่จากนั้นมันก็จะสลายหายไป (โห แต่งเพลงแบบนี้ เอาปืนมายิงกันให้ตายเลยดีกว่า)

5. Endless Sorrow (4)
6. And Then (2) เพลงนี้เป็นเพลงของอายูมิ ที่ไม่ค่อยมีคนใส่ใจจำนัก แต่ผมชอบมากครับ
7. M (4)
8. Boys & Girls (2)
9. STEP you (single)
10. SURREAL (3)

(1) = A Song for XX (1999) / (2) = LOVEppears (1999) / (3) = Duty (2000) / (4) = I am… (2002) / (5) = RAINBOW (2002) / (6) = Memorial Address (2003) / (7) = MY STORY (2004)
อัลบั้มทุกชุดมีขายโดยค่าย RED BEAT

------------------------------------------------------------------

1.3 B’z : May (2000)
-- จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยฟังเพลงของวงนี้เท่าไร แต่เคยฟังเพลง May สมัย ม.ปลาย (จากรายการ J-POP ในสมัยนั้นนั่นแหละ) แล้วชอบมากๆ ก็เลยดีใจมากๆ ที่ได้ฟังเพลงนี้อีกครั้ง

ซิงเกิ้ล May
//www.cdjapan.co.jp/detailview.html?KEY=BMCR-7042

-- แต่นั่นก็เลยเริ่มทำให้รู้สึกอะไรบางอย่างว่า เพลงที่ดีเจเปิดตอนนี้ กับตอนที่ผมฟังเมื่อ ม.3 …มันเหมือนกันเดี๊ยะเลยนี่หว่า! อันนี้ก็เลยสันนิษฐานได้สองข้อ 1. ดีเจอยากเปิดเพลงเก่าๆเอาบรรยากาศ / เอาใจแฟนเก่าๆ 2. ดีเจก็มีแผ่นอยู่เท่านี้แหละ (ฮา)

-- วง B’z เป็นวงร็อคที่ดังมากๆ ในญี่ปุ่น (ประมาณเบิร์ด ธงไชย ในบ้านเราได้มั้ง) แต่น่าเสียดายที่ไม่มีค่ายไหนในไทยทำออกมาขาย …วง B’z ถือครองสถิติเพลงขึ้นอับดับหนึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 1 นั่นคือ 34 เพลง (พระเจ้าช่วย!) และในสัปดาห์นี้ ซิงเกิ้ลใหม่ของ B’z ที่ชื่อ OCEAN ก็เป็นเจ้าของตำแหน่งอันดับหนึ่งอีกครั้ง (เขี่ยซิงเกิ้ล fairyland ของหนู Ayumi มาอยู่ที่สองเลย ฮือๆ) ดังนั้นเข้าใจว่าวง B’z น่าจะมีเพลงขึ้นอันดับหนึ่งเป็น 35 เพลงแล้ว

ปัจจุบันวง B’z ออกอัลบั้มมาแล้ว 14 อัลบั้ม ดูผลงานทั้งหมดที่นี่
//www.cdjapan.co.jp/list_from_code_banner.html?key=2473

เวบไซต์ทางการของ B’z
//bz-vermillion.com/

-- อัลบั้มรวมฮิตของ B’z คือ The Best Pleasure และ The Best Treasure ที่ออกมาเมื่อปี 1998 ติดอันดับ TOP10 อัลบั้มยอดขายสูงสุดตลอดกาลทั้งสองอัลบั้ม (ผมดันมีแต่แผ่นแรกแผ่นเดียว ก็เพราะดีครับ)


โดย: merveillesxx วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:3:58:17 น.  

 
1.4 Gackt : Kimi no tame ni dakiru koto (2001)
ถ้าจำไม่ผิดชื่อเพลงนี้จะมีความหมายว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำได้เพื่อเธอ” และตัวเองก็มีแผ่นอิมพอร์ตจากญี่ปุ่นของซิลเกิ้ลนี้ด้วย คิดไปแล้วก็หนักใจพอสมควรเพราะแผ่นซิงเกิ้ลของญี่ปุ่นเอาไปดูหนังได้สบายๆ 6 เรื่องทีเดียว (ตกแผ่นละ 600 บาท)

--------------------------------------------------

1.5 X-JAPAN : Say Anything (1992)
-- ไม่ว่านักฟังเพลงหูสูงในประเทศนี้ (ส่วนใหญ่สุมตัวอยู่ที่ พ.ท. ดอทคอม) จะเหยียดหยามวงนี้ขนาดไหนก็ตาม สำหรับผมแล้ว X-JAPAN คือวงร็อคที่ยิ่งใหญ่มากๆ ถ้าไม่มีวงนี้ผมก็ไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอกครับ

-- เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ ‘ความทรงอิทธิพล’ ของ YOSHIKI (มืองกลองสุดหล่อ + หัวหน้าวงของวงนี้)
1. นายก โคอิสุมิ ของญี่ปุ่นชอบเพลงของวง X-JAPAN มาก ขนาดที่ว่าเพลงประกอบโฆษณาหาเสียงของพรรคยังใช้เพลง FOREVER LOVE ของ X-JAPAN ประกอบ แล้วตอนนั้นก็มีการออกซิงเกิ้ลนี้มาขายใหม่ด้วย (โอย ตายแล้ว วงการเพลงไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองจนได้)

2. ทรงผมของนายก โคอิสุมิ เป็นทรงผมเดียวกับ YOSHIKI และสองคนนี้เคยถ่ายรูปคู่กันมาแล้ว

3. ตอน BILL GATE ไปโปรโมตเครื่องเกม X-BOX ที่ญี่ปุ่น คนที่ทางไมโครซอฟต์เลือกไปช่วยโปรโมตงานก็คือ YOSHIKI

4. เพลงธีมประจำงาน EXPO ประมาณปี 2003 หรือ 2004 แต่งโดย YOSHIKI

5. อันนี้เด็ดสุด : YOSHIKI ได้รับเลือกเป็นคนเล่นเปียโนถวายองค์จักรพรรดิของญี่ปุ่นมาแล้ว (ประมาณช่วงปี 1999-2000 ถ้าผมจำไม่ผิด) เพลงนั้นชื่อว่า ANNIVERSARY ความยาวประมาณ 11 นาที

---------------------------------------------------------

1.6 Luna Sea : I for you (1998)

1.7 Luna Sea : End of Sorrow (1996)
นี่คือ หนึ่งในเพลงที่เศร้าที่สุดในโลก

เนื้อเพลง
“Sometimes, I get scared of loving you too much
What's wrong with that?
I really can't see anything but you…”

1.8 Arashi : Arashi
ซิงเกิ้ลเปิดตัวของหนุ่มๆวงนี้ ตอนนี้โตๆกันหมดแล้ว ฟังทีไรก็ยังสนุกอยู่

1.9 hide : Hurry Go Round (1998)
ซิงเกิ้ลที่ออกมาหลังจากเจ้าตัวเสียชีวิตไปแล้ว

ฮิเดะเป็นหนึ่งในศิลปินที่แต่งเนื้อเพลงได้น่ามึนงงที่สุดในโลก เช่นเพลงนี้แกคงเปรียบเทียบ ม้าหมุน กับดอกไม้ ฤดูกาล ชีวิต สังสารวัฏ อะไรประมาณนั้น

เนื้อเพลง
“เถาวัลย์พันเลื้อย ร่างกายเน่าสลายจนเศษชิ้นส่วนแห่งความหลังหวนกลับไปสู่ผืนดิน
แล้วคงจะได้กลายเป็นดอกไม้อีก Like a Marry Go Round & Round
พบกันอีกในฤดูใบไม้ผลิ”

1.10 Southern All Stars : TSUNAMI
เพลงนี้เพิ่งถูก แดน-บีม COPY ไปเมื่อต้นปี จนกลายเป็นกระทู้หน้าหนึ่งของ PANTIP.COM

1.11 Namie Amuro : QUEEN OF HIP-POP (2005)
เพลงนี้เปรี้ยวมาก

1.12 Namie Amuro : CAN YOU CELEBRATE?
ไม่ว่าจะฟังเพลงนี้เป็นรอบที่ แปดพันสามร้อยสี่สิบสอง เพลงนี้ก็ยังเพราะอยู่ดี

1.13 SPEED : ALIVE
แหะ แหะ เพลงนี้เป็นคน SMS ไปขอดีเจเองล่ะ

1.14 Doraemon no Uta (Original Version)
เพลงไตเติ้ลของการ์ตูน โดราเอม่อน นั่นเอง ฟังทีไรก็มีความสุข

1.15 Doraemon no Uta - DANCE MIX (2005)
ไม่อยากเชื่อ ก็ต้องเชื่อ มีคนเอาเพลงนี้มาทำเป็นเวอร์ชั่นแดนซ์ด้วย!


โดย: merveillesxx วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:3:59:20 น.  

 
ไหนๆ พูดถึงเพลงญี่ปุ่นแล้ว ก็เลยเอาสถิติที่น่าสนใจของเพลงญี่ปุ่นมาฝากกันครับ

**5 อันดับ ศิลปินที่มีเพลงขึ้นอันดับ 1 มากที่สุด**
1. B'z (35 เพลง)
2. Seiko Matsuda (25 เพลง)
3. Ayumi Hamasaki / Mr.Children (23 เพลง)
5. Kinki Kids / Akina Nakamori (21 เพลง)

ตอนแรก อันดับ 4 คือ Ayumi Hamasaki ซึ่งมีเพลงขึ้นอันดับหนึ่ง 22 เพลง แต่เนื่องจากซิงเกิ้ลล่าสุดของเธอ นั่นคือ fairyland ก็ขึ้นอันดับหนึ่งไปเรียบร้อย ดังนั้นเธอจึงมีเพลงขึ้นอันดับหนึ่งหนึ่ง จำนวน 23 เพลง เขยิบตำแหน่งขึ้นมาที่อันดับ 3 ตำแหน่งอันดับ 4 จึงว่างไป

---------------------------------------------------

**10 อันดับ อัลบั้มขายดีตลอดกาลของญี่ปุ่น**

(UPDATE 14/08/2005 จากรายการ J-POP U-FM 100.25)

ตัวเลขยอดขายเป็นเลขโดยประมาณ หน่วยเป็น ล้านแผ่น

1. Utada Hikaru - First Love (1999) 7,650,000
2. B'z - B'z The Best "Pleasure" (1998) 5,120,000
3. Glay - REVIEW~BEST OF GLAY (1998) 4,870,000
4. Utada Hikaru - Distance (2001) 4,460,000
5. B'z - B'z The Best "Treasure" (1998) 4,450,000
6. Ayumi Hamasaki - A BEST (2001) 4,290,000
7. globe - globe (1996) 4,130,000
8. Utada Hikaru - Deep River (2002) 3,600,000
9. Mai Kuraki - delicious way (2000) 3,530,000
10. Every Little Thing - Time to Destination (1998) 3,520,000

อัลบั้มที่เคยฟัง จาก 10 อันดับข้างบน
Utada Hikaru : Deep River (A+)
Utada Hikaru : Distance (A)
Utada Hikaru : First Love (A)
globe : globe (A)
B'z : Best Pleasure (A)
Ayumi Hamasaki : A BEST (A)

ข้อสังเกต
1. มีอัลบั้มประเภท รวมฮิต / BEST ALBUM 4 อัลบั้ม ได้แก่อันดับที่ 2, 3, 5 และ 6 ซึ่งอันนี้สันนิษฐานได้ 3 อย่างก็คือ
1.1 แฟนเพลงบ้านเค้าเหมือนบ้านเรา คือ ชอบตามซื้องานของศิลปินตอนมันออกเป็นรวมฮิตแล้ว
1.2 แฟนเพลงที่นู่นซื่อสัตย์ต่อศิลปินมาก ไม่ว่าจะรวมฮิต รวมเศษเพลง รวมบ้าบออะไรก็ตาม ก็จะตามซื้อหมด
1.3 เป็นข้อ 1.1 + 1.2 รวมกัน (น่าจะเป็นข้อนี้มากที่สุด)

2. ศิลปินทั้ง 7 รายในทั้ง 10 อันดับ ยังไม่มีใครที่เป็นประเภท ‘ศิลปินที่ดับไปแล้ว’ ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในแถวหน้าของวงการ และมีผลงานใหม่ๆ ออกมาอย่างสม่ำเสมอ

3. ดูจากชาร์ตแล้ว Utada Hikaru ถือว่ามีศักดิ์ศรีสูงสุด เพราะออกมา 3 อัลบั้ม ก็ติดอันดับขายดี TOP10 ทุกชุด สิ่งที่จำได้ตอนสมัย ม.3 ที่อัลบั้มชุด First Love ออกมาก็คือ ยอดขายชุดนี้พุ่งขึ้น พุ่งขึ้น และพุ่งขึ้น จนน่าตกใจ คิดว่าคงอีกนานกว่าที่จะมีใครมาทำลายสถิติอันดับ 1 ได้ ประมาณเดียวกับที่คงไม่มีหนังไทยเรื่องไหนทำลายสถิติรายได้ของ ‘สุริโยไท’ ได้ (อุ๊บส์!)


โดย: merveillesxx วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:4:00:12 น.  

 
2. เวลา 22.00-02.00 รายการ CLUBKLASS ทาง 94.5 LOVE FM

-- ต้องขอกราบขอบพระคุณพี่แมดเดอลีนมากๆ เลยครับที่แนะนำรายการนี้ให้ เพราะว่าเพลงที่ดีเจสุดหล่อเปิดเนี่ย ถูกจริตผมมากๆ เลยครับ

-- ดังนั้นว่าไปแล้วก็น่าเสียดายที่รายการนี้จะเลิกแล้ว โธ่ เพิ่งฟังได้แค่สองอาทิตย์เอง ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ

-- รู้สึกว่าคุณแพทริก ชัยนาม จะเคยออกอัลบั้มเพลงมาด้วย ว่าจะซื้อ จะซื้อ หลายทีแล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อน แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ซื้อเลย แถมตอนนี้ก็ไม่ค่อยเห็นตามร้านซีดีแล้ว

-- จำได้ว่ารายการของ [V] หรือ MTV สักอันเนี่ยแหละ ไปถ่ายบ้านคุณแพทริก สิ่งที่ผมอึ้งมากๆ ก็คือ ซีดี แผ่นเสียง บ้านแกเยอะมาก (อยากรู้เหลือว่าถ้าเทียบกับคุณอาทิตย์ พรหมประสิทธิ แล้วของใครจะเยอะกว่ากัน)

เพลงที่เปิดแล้วชอบมากๆ

2.1 Pet Shop Boys : What Have I Done To Deserve This?
2.2 Pet Shop Boys : What Is Worth It?

-- PSB เป็นวงที่ผมชอบมากๆเลยครับ แล้วคอนเสิร์ตของ PSB ในบ้านเราก็เป็นอะไรที่ผมประทับใจมาก มาก มาก สาเหตุก็อาจมากจาก ได้อยู่แถวหน้าสุด ยืนเกาะรั้วเลย แล้วก็เต้นมันส์มากๆ (โดยเฉพาะตอนเพลง It’s a Sin)

-- รู้สึกว่าตัวเองจะเริ่มฟัง PSB จากชุด Nightlife (1999, A+) ตามคำแนะนำของนิตยสาร POP จากนั้นก็เลยติดตามซื้อเก็บอีกหลายๆ ชุด

-- ส่วนชุดที่ชอบที่สุดคือ Very (1993, A+++) ครับ อัลบั้มชุดนี้ติด 10 อัลบั้มเพลงสากลในดวงใจตลาดกาลของผมด้วย

-- 10 เพลงของ Pet Shop Boys ที่ชอบมากที่สุด
1. I don’t know what you want but I can’t give it anymore - ชอบชื่อเพลงนี้จังเลย
2. Go West - ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมเพลงนี้ถึงกลายเป็นเพลงประกอบข่าวกีฬาช่อง 7 ได้อยู่พักนึง
3. Liberation
4. On Denial - เพลงนี้อยู่ในชุด Nightlife โดย PSB ดูเอทกับ Kylie Minogue เนื้อหาว่าด้วยพ่อที่ปฏิเสธกับลูกสาวว่าตัวเองเป็นเกย์
5. Can you forgive her?
6. Where the streets have no name (I can’t take my eyes off you)
7. New York City Boy
8. Left to my own devices
9. Home & Dry
10. It’s alright

------------------------------------------

2.2 Duran Duran : Don’t Say A Prayer For Me (ไม่แน่ใจชื่อเพลงเท่าไร)
ไม่ค่อยได้ฟังดูแรน ดูแรน เลย แต่ชอบเพลง Come Undone กับ Ordinary World มากๆ

2.3 Saint Eitene : Who do you think you are?
เพิ่งซื้ออัลบั้มใหม่ของวงนี้มา ยังไม่ค่อยได้ฟังเท่าไรเลย

2.4 Swing Out Sister : Not Go Away

2.5 Human League : Don’t You Want Me
รู้จักเพลงนี้ครั้งแรกเพราะ Jame Iha กับ Meliisa Auf Der Marl (ผมเขียนนามสกุลเธอผิดแน่นอน) แห่งวง Smashing Pumpkins (ในตอนนั้น) เอาเพลงนี้มาเล่นในคอนเสิร์ต

2.6 Soft Cell : Tainted Love
ส่วนเพลงนี้มารู้จักตอน Marilyn Manson เอามา COVER ใหม่ (ฮา)

2.7 R.E.M : Everybody hearts

2.8 Melody Club : Baby
ว่าจะซื้อ CD ของวงนี้ตั้งนานแล้ว ลืมทุกทีเลย



โดย: merveillesxx วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:4:01:37 น.  

 
2.9 New Order : Blue Monday
ชอบทั้งเวอร์ชันนี้ แล้วก็เวอร์ชันที่วง Orgy เอาทำใหม่แบบเมาๆ (วงนี้หายไปไหนแล้วล่ะเนี่ย?)

2.10 New Order : Bizarre Love Triangle
ยังจำกันได้หรือเปล่าว่า อัลบั้ม Z-Myx Zigma ของคุณสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ (เมื่อไรจะออกอัลบั้มใหม่ซะทีคะคุณขา หนูรอจนเหงือกยานแล้วค่ะ) มีเพลงอยู่ด้วย โดยเป็นเวอร์ชั่น นภ พรชำนิ ร้อง

-- ไม่ค่อยได้ฟัง New Order จริงจังเท่าไร แต่ก็ดันเสร่อมี BOX SET ชุด RETRO ของวงนี้ด้วย ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าซื้อเข้าไปได้ยังไง หยิบขึ้นมาดูแล้ว เห็นป้ายราคาแล้วแทบลมจับ แถมไม่ค่อยได้หยิบมาฟังเท่าไรเลย โธ่…

-- สิ่งที่จำได้แม่นก็คือ ตอนเดินไปจ่ายตังค์กับคนขาย เขาพูดว่า “พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เด็กรุ่นน้องฟัง New Order ด้วย” (ตอนที่ซื้อ BOX SET ชุดนี้ ผมอยู่ประมาณ ม.5-6 ครับ)

-- 5 เพลงของ New Order ที่ชอบที่สุด
1. Crystal – เพลงแรกที่รู้จักกัน มิวสิกวิดีโอสุดยอดมาก ดูกี่ทีก็ไม่เบื่อ
2. Here To Stay
3. Blue Monday
4. Bizarre Love Triangle
5. True Faith

-------------------------------------------

2.11 Depeche Mode : Strange Love
2.12 Depeche Mode : Question of Lust

-- Depeche Mode ก็เป็นอีกวงที่ผมชอบมากครับ แต่ว่าไปก็ตลกที่ว่าทั้งบ้านผมเนี่ยมีอัลบั้มของวงนี้แค่ชุดเดียว นั่นก็คือ The Singles 86>98 (แถมซื้อเป็นแผ่น USED จากร้าน CD WAREHOUSE อีกต่างหาก) แผ่นนี้คุ้มมากจริงๆ ฟังจนสึกเลย แหะแหะ

-- ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ซื้ออัลบั้ม REMIX ของ Depeche Mode เลย ออกมาเป็นชาติแล้ว

-- วันนั้นรายการอะไรสักอย่างของ [V] เปิดเพลง Enjoy The Silence เวอร์ชันเก่า / ใหม่ (อันใหม่คืออกมาตอนอัลบั้ม REMIX) เปรียบเทียบกัน ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกว่ามันมีอะไรเชื่อมๆ โยงๆ ถึงกัน ว่าแล้วอยากดูใหม่อีกรอบจัง

-- 5 เพลงของ Depeche Mode ที่ชอบที่สุด
1. Enjoy The Silence – ถ้าจำไม่ผิดได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกจากรายการ GET RETRO ของคุณซอนนี่
2. Everything Counts
3. Peronal Jesus – เมื่อปีที่แล้ว Marilyn Manson เอาเพลงนี้ไป COVER ด้วย (อีกแล้ว)
4. A Question of Lust
5. Strangelove

---------------------------------------------------------------

-- เมื่อคืนวันที่ 28 อุตส่าห์ตั้งใจจะฟังรายการ CLUBKLASS จนจบ เพราะอยากรู้ว่าจากนี้ไปรายการจะเป็นอย่างไรต่อไป จะย้ายไปอยู่ที่ไหนหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าพอช่วงใกล้ๆตีสอง อยู่ดีๆ คลื่นก็ล้มไปเสียอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเป็นกันหมด หรือเป็นเฉพาะบ้านผม พอเปิดมาอีกทีมันก็เปลี่ยนช่วงไปแล้ว คุณดีเจสุดหล่อก็หายไปแล้วด้วย …โธ่ สรุปก็เลยไม่รู้เลยว่าตกลงมันยังไงกันแน่ เวรกรรมจริงๆ

-- อย่างไรก็ตาม ถ้าพี่แมดเดอลีน หรือใครก็ตาม เจอคลื่นที่มีรายการที่เปิดเพลงประมาณ เพลง DANCE / BRIT-POP ยุค 80 90 อีก ก็ช่วยบอกกันด้วยนะครับ

-- จำได้ว่าสมัยก่อนต่อจะได้ฟังเพลงยุค 80 จากรายการ GET RETRO ของดีเจซอนนี่ จากคลื่น GET 102.5 แต่ตอนนั้นฟังแล้วไม่ค่อยชอบเท่าไร สงสัยคงเป็นเพราะว่าตอนนั้นยังเอ๊าะอยู่ เพลงมันก็เลยไม่ค่อยโดน (แต่รู้สึกว่ารายการ CLUBKLASS ของคุณแพทริกจะเปิดเพลงโจ๊ะกว่าเยอะเลย)

-- แต่จริงๆแล้วสมัยนั้น (น่าจะช่วงปี 2001) ก็ไม่ได้ตั้งใจจะฟังช่วง GET RETRO สักเท่าไร ความจริงแล้วเปิดคลื่นนี้เพราะฟังช่วง GET INDIE ที่จัดโดย คุณเดือนเพ็ญ สีหรัตน์ (ซึ่งไม่รู้ตกลงตอนนี้ยังจัดรายการอยู่ที่ไหนหรือเปล่า) มากกว่า แล้วพอจบ GET INDIE แล้วมันก็จะมี GET RETRO มาจัดต่อ ตัวผมที่นั่งเล่น ICQ / PIRCH ติดพันอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ (ปัจจุบันเลิกเล่นไปแล้ว) ก็ไม่มีโอกาสจะผละตัวเองไปปิดวิทยุได้ ก็เลยได้ฟังช่วง GET RETRO ไปโดยปริยาย

-- ว่าไปแล้ว ตอนนี้แทบไม่ได้เปิดวิทยุไปเยือนคลื่น GET 102.5 เลย ทั้งที่สมัย ม.4-6 ฟังคลื่นนี้จนจำได้เลยว่า ช่วงไหน ดีเจอะไรจัด

-- รายการวิทยุที่ชอบฟังมากๆ สมัยก่อนก็คือ ‘โชว์ดึก’ ของ GET102.5 ยุคแรกๆ ที่นำทีมโดยดีเจ บ็อบบี้ (ตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วไม่รู้) เป็นรายการวาไรตี้จับฉ่ายและมั่วซั่วมากๆ บางทีก็คุยเรื่องเพลง บางทีก็เปิดแต่เพลงร็อค บางทีก็เปิดแต่เพลงเก่าๆ บางทีก็เรียกสายหน้าไมค์ บางทีก้บ้าบอไปถึงขั้นเล่าเรื่องผีเลย! แต่เสียดายว่ารายการนี้อยู่ประมาณปีสองปีก็ถูกถอดโปรแกรมไป


โดย: merveillesxx วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:4:02:27 น.  

 
-- จะว่าไปแล้ว ก็ยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง Shara กับ Birth เสียที เรื่อง Birth นี่ลืมไปดูในโรงเฉยเลย (คาดว่าตอนนั้นตัวเองมัวยุ่งกับ BKKIFF) เห็น DVD ออกนานแล้ว ก็ไม่ได้ซื้อสักที

-- ตอนนี้เบื่อพวกที่ชอบมาโฆษณาแฝงในเวบบล็อกของตัวเองมากเลยครับ แรกๆนี่มา PASTE แค่คำโฆษณาไว้ในส่วนของ COMMENT นี่ก็ยังพอทนนะครับ (อย่างน้อยก็ลบทิ้งได้) แต่ล่าสุดเมื่อคืนนี้มันมาแบบพิสดารเลยครับ กล่าวคือ

1. มีคอมเมนต์แปลกๆ มาโพสต์ไว้ ไม่ลงคำตอบอะไร แต่ลงชื่อว่า tarad

2. หลังจากมีคอมเมนต์นี้แล้ว เวลาเข้าไปบล็อกของผม เมื่อผ่านไปสักพัก window หน้านั้นจะเข้าไปที่เวบ tarad.com โดยอัตโนมัติ แถมไม่สามารถกด back กลับมาที่เวบบล็อกของผมได้ด้วย

ซึ่งที่ทำให้ผมโกรธมากๆ ก็คือ มันทำให้คนที่เข้ามาในบล็อกผมไม่สามารถ

1. ไม่สามารถอ่านบทความของผมจนได้จบได้ เพราะอ่านไปไม่กี่บรรทัด มันเข้าจะเข้าไปที่ tarad.com ซะแล้ว (แล้วไอ่ผมก็เขียนอะไรสั้นๆ กับเค้าซะที่ไหนล่ะ)

2. หรือแม้กระทั่งตอบคอมเมนต์ก็ยังไม่ทัน จนผู้อ่านคนนึงต้องใช้วิธีพิมพ์คำตอบไว้ใน notepad ก่อน แล้วค่อยมาโพสต์ในบล็อกผมอย่างรวดเร้ว (ก่อนที่วินโดวหน้านั้นจะเปลี่ยนไปเป็น tarad.com)

แต่หลังจากลองลบคอมเมนต์ของ tarad ไป เวบบล็อกของผมก็หายจากอาการนั้นแล้วครับ

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าใช้ลูกไม้อะไรกันแน่ ถึงทำแบบนั้นได้ แต่ผมว่าแบบนี้มันเกินไปแล้ว ตอนนี้ผมก็แบน IP อันนั้นไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้มากขนาดไหน อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องให้ทาง staff ของ bloggang.com ช่วยด้วยอีกแรง คนโลวเทคอย่างผมไม่มีปัญญาทำอะไรได้มากกว่รนี้เลยครับ ...เฮ้อ

ว่าแล้วก็ยิ่งเซ็ง เพิ่งสรุปในตอนจบในบทความที่เขียนถึง About Love ไปว่า รู้สึกดีกับอะไรที่มีความเป้น โลกาภิวัตน์ หรืออะไรประมาณนั้น แต่มาเจอเทคโนโลยีสารเลวแบบนี้เข้าไป...

จะกลายเป็น โลกาวินาศ อีกครั้งแล้วล่ะครับ


โดย: merveillesxx วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:4:03:34 น.  

 
i'm here to thanx for yr kindness
but can't type thai

i just format my sssss........ck comp
Have a nice day!


โดย: quin toki วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:4:51:58 น.  

 
ยังไม่ได้ดูเลยค่ะ

เป็นบล๊อกที่วิจารณ์หนังได้ละเอียดมากๆตั้งแต่เห็นมา

สุดยอดมากๆเลยค่ะ

ขอบคุณนะคะ


โดย: ลำพูริมน้ำ วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:7:02:05 น.  

 
นิตยสาร FLICKS เล่มใหม่ (หน้าปก THE CAVE) มีบทวิจารณ์ที่น่าสนใจดังนี้ครับ

1. About Love โดย อ. กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน

2. Sayonara Kuro โย คุณ 'นรา'



โดย: merveillesxx วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:21:21:07 น.  

 
ถึง ผู้อ่านที่รักทุกท่าน

หลังจากบทความ About Love นี้ ผมจะหายตัวไปอีกครั้ง เนื่องจากภารกิจด้านการเรียน นั่นคือ การสอบ นั่นเอง

คงไม่ถึงกับหายไปเลยจริงๆ ผมยังคงเข้ามาแวะเวียนในโลกไซเบอร์แหละครับ เพียงแต่ว่าคงอีกสักพักกว่าจะได้เขียนอะไรอีก

หากมีข้อสงสัย อยากพูดคุยหรืออยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพยนตร์ (รวมถึงเพลง หนังสือ ชีวิต ความรัก ด่ารัฐบาล หรืออะไรก็ตาม) ก็เชิญได้ทั้งในบล็อก, อีเมล, MSN และหลังไมค์นะครับ

ช่วงเดือนกันยายน มีหนังหลายเรื่องทีน่าสนใจมากๆ เลยครับ เช่น

- Charlie and the Chocolate Factory

- The Day I Became a Woman (หนังอิหร่านสุดดังเรื่องนี้ตอนแรกจะมาฉายใน Little Big Film Project 9 ครับ แต่เกิดปัญหาส่งฟิล์มไม่ทัน เลยเอาเรื่อง Electric Shadow มาเสียบแทน)

- Dark Water (เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ เหมือนมาช่า…คือยิ่งแก่ยิ่งสวย)

- Shining Boy & Little Randy (ตอนนี้ไม่ได้อยากดูหนังเพราะน้องยูยะอีกต่อไปแล้ว แต่เพราะน้องยู อาโออิ ต่างหาก อิอิอิ)

- My Date with Drew

- Bewitched (นิโคล คิดแมน คือเหตุผลเดียว แม้หนังจะดูเอ๋อขนาดไหนก็ตาม)

- Red Eye (Wes Craven's)

- นาค รักแท้ / วิญญาณ / ความตาย (จะยอมดูก็เพราะน้องแตงโมเนี่ยแหละค่า)

- Dear Frankie

- Seoul Raiders (กรี๊ด…เหลียงเฉาเหว่ย + ซูฉี เสียดายจังที่หนังฉายแต่ระบบ D-CINE)

- Way of the Blue Sky (อยากดู มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก)

- Deuce Bigalow: European Gigolo (ภาคแรกของหนังเรื่องนี้เกือบทำให้ผมขาดใจตายคาโรงมาแล้ว)

ไม่รู้ว่าผมจะได้ดูทั้งหมดที่อยากดูหรือเปล่า

ยังไงก็ขอให้ดูหนังอย่างมีความสุขนะครับ

รักคนอ่าน
merveillesxx


โดย: merveillesxx วันที่: 29 สิงหาคม 2548 เวลา:21:23:55 น.  

 
-- ข้างบนตรงสถิติ 10 อัลบั้มขายดีตลอดกาล หน่วยเป็น 'แผ่น' นะครับ ไม่ใช่ 'ล้านแผ่น' แหะ แหะ เดี๋ยวจะตกใจกันไปใหญ่

-- ลืมแถมรูปของ Yoshiki ครับ

Yoshiki
//bb.watch.impress.co.jp/cda/static/image/2002/12/20/yoshiki.jpg

Yoshiki + นายก Koizumi (ดูสิว่าทรงผมเหมือนกันขนาดไหน)
//www.tokeidai.net/sone/diary/images/koizumi-yoshiki.jpg

---------------------------------

เพลงที่ได้ฟังในช่วงนี้

1. Kuroyume : FAKE STAR ~I'M JUST A JAPANESE FAKE ROCKER~ (1996, A)

-- ได้แผ่นนี้มาจากกอง USED CD ร้าน CD WAREHOUSE ในราคา 160 บาทครับ

-- วง J-ROCK วงนี้เป็นวงที่มีอายุสั้นเหลือเกิน แล้วก็ไม่ค่อยดังด้วย จุดเด่นของวงอยู่ที่เสียงกระชากใจสาวของนักร้องนำ และเสียงเอฟเฟกต์กีต้าร์บาดหู

-- หลังจากวง Kuroyume ล่มจมไป คิโยฮารุ (นักร้องนำ) ของวงนี้ก็ไปตั้งวงใหม่ที่ชื่อว่า SADS วงนี้ดังอยู่วูบหนึ่งในบ้านเรา (แฟนเพลงประมาณ 15 คนเห็นจะได้) เพลงดังตอนนั้นคือ Tokyo, Sandy, Strawberry และ Nightmare ...แต่ปัจจุบันนี้วง SADS ก็ล่มไปแล้วเรียบร้อย (โธ่ น่าสงสารจริงๆ)

Kuroyume
//www.cdjapan.co.jp/list_from_code_banner.html?key=208773

SADS
//www.cdjapan.co.jp/list_from_code_banner.html?key=21494


2. Hitoe : I'll Do It My Way (2002, B+)

-- ได้แผ่นนี้จากกอง USED CD เช่นกัน

-- งานเดี่ยวของ Hitoe อดีตสมาชิกวง SPEED งานของเธอเป็นแนว Hip-Hop / R&B เต็มตัว รู้จักว่างานของเธอจะมาเร็วไปหน่อย ถ้าอัลบั้มชุดนี้ออกขายในช่วงปี 2004-2005 คงจะดังกว่านี้

-- ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่า ในสมาชิกทั้ง 4 ของวง SPEED ดูเหมือนเธอจะมีแฟนๆ ชอบน้อยสุด นั่นอาจจะเพราะว่า เธอสวยน้อยที่สุดในวง (ฮา) แต่นั่นก็เป้นผลดีว่าหน้าตาเธอมีเอกลักษณ์ที่สุดในวง ...อ้อ แล้วก็จำง่ายที่สุดด้วย

SPEED (คนซ้ายคือคนโปรดของผมจ้า)
//members.fortunecity.com/dereklai2/news/YOUNGJUMP991125-02.jpg

Hitoe (SPEED)
//www2.ocn.ne.jp/~view/hitoe.jpg


3. Namie Amuro : STYLE (2003, A+)
//www.cdjapan.co.jp/(blue)/detailview.html?KEY=AVCD-17372

-- งานชุดที่ 6 ของ Namie Amuro

-- รู้สึกว่าอัลบั้มชุดนี้มีอะไรคล้ายๆ กับ Utada Hikaru ชุด Exodus (2004, A+) เหมือนกันคือ แนวเพลงที่หลากหลายจะหวิดจะกลายเป็นเพลงจับฉ่ายอยู่แล้ว มีทั้ง HIP-HOP, BALLAD, DANCE, TRANCE (อ่อนๆ) รู้สึกว่าอัลบั้มนี้ทำได้ไม่ลงตัวเท่าไร แต่ก็ชอบมาก

-- เพลงที่ชอบมากๆ ในอัลบั้มนี้ได้แก่ Put 'Em Up / SO CRAZY (เพลงนี้เป็นเพลงเนื้อหา 'บ้าผู้ชาย' ที่จังหวะมันส์มากๆ) / LOVEBITE / shine more / Come / Wishing On The Same Star (รู้สึกว่าเพลงนี้ เป็นเพลงธีมของหนังญี่ปุ่นเรื่องนึงด้วย แต่จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว)

-- ว่าแล้วก็เสียดายจังเลยที่ไม่ได้ไปงาน MTV ASIA AID เมื่อตอนต้นปี เพราะว่างานนั้น Namie Amuro ก็มาขึ้นเวทีด้วย

Namie Amuro ณ วันนี้ (ยังเฟิร์มเหมือนเดิมเลย)
//www.avexnet.or.jp/amuro/image/main_left.jpg

-----------------------

หนังสือที่เพิ่งอ่านจบไปในช่วงนี้

อัลแบร์ กามู : ความเข้าใจผิด (A+) & ผู้บริสุทธิ์ (A+)

-- ได้หนังสือเล่มนี้มาจากร้าน Kinokuniya ราคาปกแค่ 78 บาทเอง

-- รู้สึกชอบงานของกามูที่สะบัดสำนวนได้คมคาย และมีอะไรให้เราได้คิดได้อยู่ทุก 2-3 ประโยค ที่สำคัญคือ อ่านเข้าใจไม่ยาก ไม่เหมือนเมื่อครั้งที่ลองดีอ่านงานของฟรันซ์ คาฟกา (ฮา)


โดย: merveillesxx วันที่: 30 สิงหาคม 2548 เวลา:1:18:46 น.  

 
ละครที่น้อง mer อยากดูสุดๆ !!!

SLOW DANCE

-- ตอนนี้ละครซีรี่ย์ญี่ปุ่นที่อยากดูสุดๆ คือเรื่อง SLOW DANCE ครับ ...ละครเรื่องนี้กำลังฉายอยู่ทางช่อง FUJI TV ได้ข่าวมาว่าเรตติ้งสูงมากทีเดียว

-- ไม่ทราบเหมือนกันว่าละครเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร เพราะว่าเวบไซต์ของหนังมีแต่ภาษาญี่ปุ่นยุ่บยั่บเต็มไปหมดเลย >_<

เวบไซต์ทางการของละครเรื่องนี้ (ถ้าคลิกตรงคำว่า CHART จะมีแผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครด้วย)
//wwwc.fujitv.co.jp/sd/index.html

-- สิ่งที่ทำให้อยากดูละครเรื่องนี้มากๆ ก็คือ นักแสดงในหนัง

(เตรียมตัวพบกับลิงค์คนหล่อ + คนสวย ข้างล่างได้เลยครับ)

1. Satoshi Tsumabuki
อีกแล้ว งานชุกเหลือเกินนะพ่อคุณ แต่รู้สึกว่าละครเรื่องนี้จะเป็นละครตลก ดังนั้นลุคของเขาในละครจึงไม่ค่อยเป็นลุค 'ขายหล่อ' เท่าไร แต่เป็นแบบเอ๋อๆ ต๊องๆ มากกว่า

Satoshi Tsumabuki
//www.jkdramas.com/jstars/img/tsumabuki01.jpg

เมื่อเรื่องตลกๆ เกี่ยวกับรูปในลิงค์ข้างบนนี้ก็คือ เมื่อช่วง 2-3 เดือนก่อน ผมใช้รูปนี้เป็น DISPLAY เวลาเล่น MSN ...ผลปรากฏว่า มีเกย์เข้ามาคุยตรึม จนจะติดเอดส์ตายคา MSN เลยครับ! (เพราะพวกเขาเหล่านั้น เข้าใจว่านั่นเป็นรูปของผมจริงๆ...โถ ผมหล่อขนาดนั้น ผมคงไม่มาเสียเวลามานั่งหง่าวใน MSN อีกต่อไปแล้วล่ะ) ผลสุดท้ายก็คือต้องเลิกใช้รูปนี้เป็น DISPLAY ไปโดยปริยาย

69 Satoshi Tsumabuki 69
//www.asiandb.com/data/title/mini/5794.jpg

ว่าไปแล้วยังไม่ได้ซื้อ DVD เรื่อง 69 มาดูซะทีเลยครับ อยากดูเรื่องนี้มากๆ เพราะนอกจากจะมีพระเอกเป็น Satoshi Tsumabuki แล้ว พระเอกอีกคนในเรื่องก็คือ Masanobu Ando เค้าเล่นเป็น 'คิริยาม่า' ตัวร้ายจอมโหดสุดเท่ ในหนังเรื่อง Battle Royale (2001, A) ครับ

Masanobu Ando
//reve.sans.fin.free.fr/BattleRoyale/interview-kiriyama.jpg

มีรูปของเขาให้ดูเป็นกระบุงที่นี่
//www.saranair.com/gallery.php?&do=showgall&gid=37

แต่แท้จริงแล้วรูปที่น่าสนใจที่สุด คือรูปนี้ต่างหากครับ
//image.excite.co.jp/jp/dazed2/people/ando_masanobu/img_mainphoto1.jpg

หากวันใดที่ตอนเช้าผมเปิดประตูบ้านออกไป แล้วเจอ Masanobu Ando ในสภาพนี้ แทนที่จะเป็นไอ่ด่างที่มาขอข้าวกินทุกวัน เช้าวันนั้นผมคงไม่ได้ไปมหาลัย...หึ หึ หึ

ข้อน่าแค้นใจของหนังเรื่อง 69 ก็คือ หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังเกย์ ...ทั้งที่มันควรจะเป็น

อ้อ ว่าแล้ว นึกถึงหนังเรื่อง About Love (A+) ว่าจริงๆ แล้วหนังควรใช้ ตัวละครของเฉินป๋อหลิน ได้กับ ทาคาชิ ทสึกาโมโต้ นะเนี่ย


2. Naohito Fujiki

-- รู้สึกว่าตัวเองจะเคยดูหนังที่เขาเล่นเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือ เรื่อง g@me. (2003, A) ที่เขาเล่นคู่กับ Yukie Nakame (สุดสวยขวัญใจผมอีกคน) แล้วก็ติดใจเขาจากเรื่องนั้นนั่นแหละครับ

-- นอกจากจะเล่นหนัง ละครแล้ว เขายังมีผลงานเพลงด้วย ดูผลงานของเขาที่ //www.cdjapan.co.jp/list_from_code_banner.html?key=242540

-- รู้สึกว่าเขาจะมีชื่อเล่นที่แฟนๆชอบเรียกกันว่า "นาโอะจัง" แล้วในบ้านเราก็มีแฟนคลับของเขาพอประมาณเลยล่ะ

Naohito Fujiki
//www.wowow.co.jp/music/fujiki/images/p_key.jpg

//www.cubeinc.co.jp/members/prf/pht/003.jpg


3. Ryoko Hirosue

-- หลังจากหนีไปคลอดลูก (เอ๊ะ คุ้นๆ เหมือนดาราบางประเทศเลยเนาะ) และไปโผล่หน้าแวบๆ ใน Hana & Alice (2004, A) เธอก็กลับมาจริงๆ เสียที

-- ชอบเธอมากๆ จากหนังเรื่อง Collage of our Life (2003, A-) รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีปัญหามากมาย แต่ความน่ารักนางเอกเรื่องนี้ก็ทำให้ปัญหาเหล่านั้นมลายหายไปสิ้น

-- เมื่อ 2-3 เดือนก่อน โปรแกรมหนังช่อง 7 ตอนเช้า เอาเรื่อง Collage of our Life มาฉายด้วย

-- ว่าไปแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง Wasabi (2002) ที่เธอเล่นคู่กับ Jean Reno เสียที

Ryoko Hirosue
//www.eve7.info/N505/ryoko0001.JPG

Ryoko Hirosue in Collage of Our Life
//www.amerifilmcasting.com/images/film/collage_pg2.jpg

-- รู้สึกว่า Ryoko Hirosue จะมาคว้าหัวใจหนุ่มๆ ไทยมากๆ ในช่วงปี 1999-2001

----------------------------------

หลังจากโพสต์ครั้งนี้ไป ผมอาจจะหายหน้าไปพักนึงนะครับ เพราะว่ามีสอบวันอาทิตย์ที่ 4 กันยา นี้ครับ (เพราะงั้น Charlie and the Chocolate Factory และ The Day I Become a Woman คงต้องยกยอดไปดูอาทิตย์หน้าเลยครับ) ขอให้พี่แมดเดอลีน และทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน ดูหนังให้สนุกนะครับ ไปดูอะไรกันมาก็เล่าสู่กันฟังนะครับ

รูปคนหล่อปิดท้าย
Bernard Butler มือกีต้าร์ ที่น้อง mer รักที่สุดในโลก
//www.rockreviews.net/albums/peoplemoveon.jpg


โดย: merveillesxx วันที่: 30 สิงหาคม 2548 เวลา:1:22:30 น.  

 
ถ้าไม่ผิดพลาด
คิดว่าจะดูวันนี้ครับ
(ถ้าไม่ผิดพลาด แปลว่าอาจผิดพลาดได้สูง ฮา!)

แล้วเดี๋ยวดูเสร็จ
จะแวะมาคุยอีกที :D


โดย: it ซียู IP: 161.200.255.161 วันที่: 30 สิงหาคม 2548 เวลา:9:10:01 น.  

 
ถึง mer ที่รัก

กามูส์เล่มละ 78 บาท จริง ๆ หรอ เห็นทีต้องรีบนั่งรถไฟฟ้าไปเอ็มโพเรียมซะแล้ว ชอบงานของกามูส์ทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น คนนอก (ชอบมาก) มนุษย์สองหน้า (ชอบ)

ส่วนรายการวิทยุเปิดเพลงยุคประมาณ 80's ผมเคยบังเอิญหมุนไปเจอคลื่น 94.5 LOVE FM ช่วงประมาณสามสี่ทุ่ม เปิดเพลงเก่า ๆ ยุคดรัมแมชชีนครองเมือง ผมจำชื่อดีเจไม่ได้ แต่เปิดเพลงเก่าได้ใจ เท่าที่จำได้มีอย่าง Roxette เป็นต้น

แต่บริทร๊อคนี้ไม่เคยผ่านหูเหมือนกัน ใครรู้จักคลื่นไหนแนะนำด้วยนะครับ

พูดถึงดีเจซอนนี่ ก็ต้องแสดงความเสียใจต่อการจากไปของรายการ Sonny Side Up รายการที่เปิดเพลงสากลได้ใจมาก ยังดีที่เหลือ The Selector ไว้ให้ฟัง

มาเรื่องหนัง ผมเขียนรีวิว The Day I became A Woman ไว้ในบล๊อก ใครจะไปดูแวะไปอ่านก่อนได้นะครับ

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=djdonk-mc43&month=08-2005&date=20&group=1&blog=1

สุดท้าย ของให้ mer เกท A เยอะ ๆ นะครับ


โดย: Thom Yorke (I will see U in the next life. ) วันที่: 30 สิงหาคม 2548 เวลา:10:09:07 น.  

 
เออ ลืมไปอย่าง คลื่น 94.5 ที่เปิดนี้เป็นช่วงวันเสาร์อาทิตย์นะครับ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 30 สิงหาคม 2548 เวลา:10:10:17 น.  

 
ทั้งสอบ
ทั้ง QUIZ
ทั้งรายงาน

สามสิ่งนี้กำลังเข้ามาประเดประดังในชีวิตผมครับ
แถมมันต้องเข้ามาในจังหวะเดียวกันด้วยนะ

เฮ้อ...เหนื่อยจัง เหนื่อยจัง เหนื่อยใจ

-----------------------------------

ตอบคุณ it ซียู
หวังว่าคุณจะได้ดูหนังเรื่องนี้ ตามที่ตั้งใจไว้นะครับแหม...อยู่ใกล้ลิโด้แค่นั้นเองนะ 2 ปีที่ผ่านมา ผมยังถ่อจาก มธ.รังสิต ไปลิโด้ได้เลย นะเอ้อ อิอิอิ

-------------------------------------------

ตอบพี่ "เจอกันชาติหน้า"

'ความเข้าใจผิดและผู้บริสุทธิ์' ผมซื้อ Kinokuniya สาขา เวิล์ดเทรด (อ้อ ตอนนี้คือ เซ็ลทรัลเวิล์ดพลาซ่า) นะครับ ไม่ใช่เอ็มโพเรียม ...ปีหนึ่งๆ ผมไปเอ็มโพเรียมแค่ปีละครั้งเท่านั้นแหละครับ นั่นก็คือช่วง BKKIFF

'ความเข้าใจผิดและผู้บริสุทธิ์' เป็นหนังสือของ สนพ.สามัญชน ครับ หน้าปกน้ำตาลๆ ดูเก่าๆ โทรมๆ ไม่น่าอ่านเท่าไร

งานของ กามู ที่ซื้อไว้นานแล้วอีกเล่มนึงก็คือ 'มนุษย์สองหน้า' ครับ เล่มนี้ซื้อจาก ร้านแพร่พิทยา สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปี ตอนนี้ก็ยังไม่ได้อ่านเลย

ส่วนเรื่อง 'คนนอก' ยังหาซื้อไม่ได้เลยครับ

ว่าแล้วอยากกลับไปเรียนวิชา มนุษย์ศาสตร์ ของ มธ. ใหม่จังเลย สมัยเรียนปี 1 เรียนแบบงงๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จำไปตอบข้อสอบอย่างเดียวว่า กามู เนี่ยคือคนแต่ง 'ซิเซฟัสเข็นหินขึ้นภูเขา' แล้วก็อยูในกลุ่ม อะไร เอ็กซ์ๆ ต๊องๆ เนี่ยแหละ (ฮา...เอ่อ หมายถึง เอ็กซิสตองเชียลลิสม์ นั่นแหละครับ)

ปรากฏว่า ข้อสอบปีนั้นไม่มีออกเกี่ยวกับ กามู สักกะนิดเดียว (แต่ก็ฟลุ้คได้ A มาแบบงงๆ)

ส่วนเรื่องรายการของ LOVE FM 94.5 ที่พี่ว่า ผมเข้าใจว่าคือรายการ CLUBKLASS ของดีเจ แพทริก ชัยนาม อันเดียวกับที่ผมเขียนถึงข้างบนแหละครับ แต่ว่ารายการนี้เลิกไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นี่เอง เศร้าหลายแต้

อ้าว...รายการ Sonny Side Up เลิกไปแล้วเหรอครับ ผมไม่รู้เรื่องเลยครับ แต่ไม่ค่อยได้ฟังเท่าไรเลย

รู้สึกว่าตอนนี้ FaT Radio 104.5 จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างชนิดรุนแรง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมคิดว่าสปอต / คำโฆษณา ของแฟตที่ว่า "กูเบื่อเด็กแนว" เป็นอะไรที่ดูถูกผู้ฟัง และเป็นการฆ่าตัวตายมากๆ

แต่ช่างเถอะ เพราะ "กู" ก็เบื่อ "มึง" มานานแล้ว (โว้ย)


โดย: merveillesxx วันที่: 30 สิงหาคม 2548 เวลา:15:31:10 น.  

 
คุณดูหนังแบบเก็บรายละเอียดมากๆ เลยนะ

อ่านแล้วได้อารมณ์คนละแบบกับที่เราเขียน blog เลยอ่ะ


โดย: หลังจอ (ไม่login) IP: 202.183.197.9 วันที่: 30 สิงหาคม 2548 เวลา:16:47:59 น.  

 
แหะๆ ไปๆ มาๆ วันนี้ก็คงไม่ได้ดูจริงๆ
ยังนั่งทำงานหน้าจอคอมพ์ไม่เสร็จเลยครับ
ปวดตามากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ป.ล. กลับมาอ่านที่คุณ merveillesxx เขียนอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วรู้สึกอยากดูมากกกกกกกกกก

เฮ่อ.. ขอตัวทำงานต่อก่อนครับ
ทำให้มันเสร็จๆ
แล้วจะได้ไปดูหนังสักที :D (มัวแต่อู้อยู่อย่างงี้ ถึงว่า นั่งมาตั้งนาน แต่งานไม่เดิน 555)


โดย: it ซียู วันที่: 30 สิงหาคม 2548 เวลา:17:05:25 น.  

 
เข้ามาอ่านบล็อกคุน mer นานพอสมควรแล้วค่า...
เม้นท์ซะช้าเชียว
ชอบเนื้อหาความคิดมากเลยอ่า
อ่านไปก็ทำให้อยากดูเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาด้วย
แต่ติดเรียนหนังสือมากมาย
ขอให้เขียนดีดีไปเรื่อยๆ นะคะ
อีกปีนึงก็จบแล้ว เก็ทเอ เยอะๆนะคะ

เราก็จาสอบเหมือนกาน(วันศุกร์นี้แล้วอ่า)
หลังไฟนอล จาไปดูโรงงานชอคโกแลตของคุนวองก้าให้ได้เรย
ขออนุญาตแอดบล๊อคนะคะ


โดย: rina IP: 202.28.180.201 วันที่: 30 สิงหาคม 2548 เวลา:21:07:52 น.  

 
เพิ่งมาติดตาม ผลงาน ยังไม่อยากอ่านเลยไว้รอดูเรื่องAbout love เสร็จจะมาอ่านอีกที นะคับ แวะมาเม้น และขออนุญาติadd Blog คุณไปนะคับ


โดย: Devil~StubBorn IP: 58.8.243.110 วันที่: 31 สิงหาคม 2548 เวลา:2:39:01 น.  

 
ไว้ไปดูแล้วค่อยกลับมาอ่านอย่างละเอียดอีกที


โดย: แบ่งกันเซ็ง IP: 58.10.48.143 วันที่: 31 สิงหาคม 2548 เวลา:11:02:11 น.  

 
(นอกเรื่อง)
ถามคุณ merveillesxx หน่อยเถอะครับ
ว่าผมจะหาหนังสารคดีของคุณ ธัญสก (เขียนถูกหรือเปล่า?) มาดูได้ที่ไหน?

ถามอีกอย่างคือ หนังของ ไฉ้หมิงเลี่ยง ที่ทำเป็นดีวีดีขายในไทยมีเรื่องไหนบ้างครับ? ผมกรี๊ดหนังของแกมาก ๆ


โดย: มอสทาร่ายักษ์ วันที่: 31 สิงหาคม 2548 เวลา:13:58:10 น.  

 
ติดต่อพี่ปุ่น (ธัญสก) โดยตรงที่เวบ //www.thaiindie.com ครับ

ไม่งั้นก็ถามในบอร์ดของไบโอฯ ก็น่าจะได้คำตอบจากเจ้าตัวเองโดยตรงครับ


โดย: Thom Yorke (I will see U in the next life. ) วันที่: 31 สิงหาคม 2548 เวลา:14:04:23 น.  

 
ตอบคุณ rina
ขอให้โชคดีในการสอบเช่นกันครับ
ของผมสอบวันอาทิตย์นี้ครับ

---------------------------

ตอบคุณ มอสทาร่า
หนังของคุณปุ่น คงไม่มีขายทั่วไปหรอกครับ ต้องอาศัยตามดูจากเทศกาล ผมก็เคยดูหนังของเขาเรื่องเดียวเองครับ นั่นก็คือ Happy Berry (A+++) อยากดูหนัง FUTON เร็วๆจัง

หนังพี่ไฉ้หมิงเลี่ยง ร้านพี่แว่นทำออกมาทุกเรื่องแล้วครับ ผมดูไปแค่สองเรื่องเองครับ คือ What Time is it There? (A+) และ Goodbye Dragon Inn (A)

ไฉ้หมิงเลี่ยงจะมาร่วมงานเทศกาลหนังในเดือนตุลาคมด้วยครับ รวมถึงจะมีหนังเรื่อง The Wayward Cloud ของเขามาฉายด้วย

รายชื่อหนังของไฉ้หมิงเลี่ยงที่หาซื้อได้แล้วในบ้านเรา
Rebels of the Neon God
Vive L'Amour
The River
The Hole
What Time Is It There?
Goodbye, Dragon Inn
The Wayward Cloud

ทั้งนี้หาลืมหา The Missing (A+) ที่กำกับโดย หลี่คังเซิง นักแสดงคู่บุญของ ไฉ้หมิงเลี่ยงมาดูด้วยนะครับ

Goddbye Dragon Inn และ The Missingเคยมาฉายในบ้านเราเมื่อเทศกาล BKKIFF ปี 2004



โดย: merveillesxx วันที่: 31 สิงหาคม 2548 เวลา:21:38:14 น.  

 
//www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=21376

The 3rd World Film Festival 2005 : โรมัน โปลันสกี้, ฌอง ปิแยร์ เฌอเน่ต์, ไฉ้หมิงเลี่ยง IN THAILAND

เทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 3

ข้อมูลเบื้องต้น (ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ)

-- งานมี 14-24 ตุลาคม 2548 จัดที่ GRAND EGV (Siam Discovery) และ Major Central World Plaza (โอย..ตาย วิ่งรอกกันเหนื่อยอีกแล้ว) บัตรราคา 100 บาท

-- 3 ผู้กำกับดังที่จะมาร่วมงานด้วย ได้แก่ โรมัน โปลันสกี้, ฌอง ปิแยร์ เณอเน่ต์, ไฉ้หมิงเลี่ยง

-- หนังเปิดเทศกาลคือ Oliver Twist ของ โปลันสกี้

-- ในงานมีฉายหนังของโปลันสกี้ เช่น Cul de Sac, Knife in the Water (A+), Repulsion (เย้ ในที่สุดฉันก็จะได้ดูหนังเรื่องนี้ซะที), The Pianist (A+)

-- และก็คงมีฉายหนังของ ฌอง ปิแยร์ เฌอเน่ต์ ด้วย เช่น Amelie, The City of Lost Children

-- มีหนังสั้น 14 เรื่อง ระลึกเหตุการณ์ TSUNAMI (ก็ที่ไบโอเคยลงข่าวไปเมื่อเร็วนี้ไงจ๊ะ) นำทีมโดย คุณเจ้ย

-- หนังบางเรื่องจะมีซับไทย (เหตุเพราะ หนังเรื่องนั้นๆ มีค่ายหนังซื้อมาเตรียมฉายโรงปกติด้วย)

-- รายชื่อหนังบางเรื่อง

The Wayward Cloud / ไฉ้หมิงเลี่ยง (กรี๊ด...ขอกรี๊ดตามประสาคนยังไม่ได้ดู)

Time To Live / ฟรองซัวส์ โอซอง (กรี๊ด...อีกที)

I Am A xxxAddict (2005, Caveh Zahedi, USA)

The Great Journey (2004, Ismael Ferrouji, France, Morocco)

Distant / Uzak (A+) หนังตุรกีเรื่องนี้เคยมาฉายในงาน BKKIFF ปี 2004 นักแสดงนำชายทั้งสองคนได้รางวัลจากคานส์ (แต่คนหนึ่งเสียชีวิตไปซะแล้ว)

Schultze Gets The Blues (2003, Michel Schorr) หนังเยอรมันเรื่องนี้เพิ่งมาฉายบ้านเราในเทศกาลหนังยุโรป เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา (แต่ผมพลาด ไม่ได้ดูครับ)

Cuban Music (2004, German Kral)

Step Forward (2004, Elia K. Schneider)

-- เทศกาลปีนี้จะมีการทดลองจัด "เรทภาพยนตร์" ด้วย คาดว่าสาเหตุมาจากเรื่อง The Wayward Cloud (ฮา)
//www.worldfilmbkk.com/about/news/view.php?newsid=18

ข้อมูลเพิ่มเติม
//www.worldfilmbkk.com/

//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3693495/A3693495.html

เจอกันเดือนตุลา จ้ะ


โดย: merveillesxx วันที่: 31 สิงหาคม 2548 เวลา:21:39:34 น.  

 
หนังที่เข้าฉายในสัปดาห์นี้ (1 ก.ย.)

** = mer's RECOMMEND

** Charlie And The Chocolate Factory (ชาร์ลีกับโรงงานช็อกโกแล็ต)

** The Day I Became a Woman (ผู้หญิงที่โลกต้องรู้จัก)
หนังเข้าฉายอยู่ที่ โรงหนังสยาม แห่งเดียวเท่านั้น

The Cave (ถ้ำอสูรสังหาร)

The Skeleton Key (เปิดประตูหลอน)



โดย: merveillesxx วันที่: 31 สิงหาคม 2548 เวลา:22:10:52 น.  

 
ส่วนหนังเรื่อง

5x2

Sayonara Kuro

About Love

ยังคงอยู่ที่ลิโด้ ไม่ควรพลาดสักเรื่องจ้า


โดย: merveillesxx วันที่: 31 สิงหาคม 2548 เวลา:22:15:30 น.  

 
อยากดูโคตร ๆ เรยอ่ะ แต่ช่วงนี้ไปถึง โรงก็รอบสุดท้ายฉายไปแล้วทุกที อยากดู ๆๆๆๆ



//thunska.diaryhub.com


โดย: ปุ่น IP: 58.8.67.85 วันที่: 1 กันยายน 2548 เวลา:3:16:47 น.  

 
เดี๋ยวสัปดาห์นี้จะต้องไปดูให้ได้แน่ๆครับ ทั้ง About Love & Farewell Kuro หนัง 2 เรื่องนี้พลาดไม่ได้แน่ๆครับ


โดย: Tempting Heart วันที่: 1 กันยายน 2548 เวลา:4:57:26 น.  

 
ขอบคุณค้าบ


โดย: มอสทาร่ายักษ์ วันที่: 1 กันยายน 2548 เวลา:10:25:11 น.  

 
ช่วงนี้อ่านหนังสือแล้วเบื่อๆ ก็เลยหยิบหนังมาดูสองเรื่อง

1. 3-Iron (2004, คิมคีด็อค, A+)

หนังสามเรื่องหลังของเฮียคิม เป็นอะไรที่โดนใจน้อง merสุดๆ

3-Iron ดูเหมือนจะเป็นหนังที่ 'ตรรกะแบบคิมๆ' จะใกล้เคียงกับ 'ตรรกะ' แบบโลกธรรมดาสามัญที่สุด แต่นั่นเป้นเพียงครึ่งแรกของหนังเท่านั้น

เพราะว่าครึ่งหลังของหนังก็กลาย โลกของคิมคีด็อค อีกครั้ง แต่สิ่งที่ไม่มีคราวนี้ก็คือ ความดิบๆ ถ่อยๆ โฉดๆ

ว่าแล้วอยากดูหนังเรื่องใหม่ของเขาจัง

----------------------------------------------

2. GOHATTO (1999, นางิสะ โอชิม่า, A+)

แม้ว่าจะดูหนังเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม แต่ก็ชอบหนังมาก ...เพราะนักแสดงชายในหนัง ดังรายนามต่อไปนี้

1. อาซาโน่ ทาดาโนบุ

2. เรียวเฮ มัตสึดะ

*3. ชินจิ ทาเคดะ
//www.imdb.com/name/nm0847487/

ผลงานของ ชินจิ ทาเคดะ ที่ประทับใจ

3.1 Tokyo Eyes (1998, A+)
//www.imdb.com/title/tt0157117/

เขาเล่นหนังเรื่องนี้คู่กับ ฮินาโนะ โยชิคาว่า (พรีเซนเตอร์ของกูลิโกะสมัยก่อนไง ตอนนั้นหายไปไหนแล้วไม่รู้) ชินจิ ทาเคดะ รับบท 'K' ชายหนุ่มเพลย์บอยที่มีฉากหลังเป็นนักฆ่าลึกลับ

ดูหนังเรื่องนี้นานมากๆๆๆๆๆๆ สมัย ม.3-4 เห็นจะได้ จำได้ว่าสิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้ก็คือ เพลงเปรี้ยวๆ ภาพเก๋ๆ แต่จำเนื้อเรื่องชัดๆ ไม่ได้

ได้ดูหนัง 2 ครั้ง จาก UBC FILM ASIA (พากย์ไทย ภาพสีเน่าๆ) และ ช่อง TV5 (ภาพสวย เสียงญี่ปุ่น แต่ซับฝรั่งเศส -__- '')

หนังเรื่องนี้กำกับโดย ผู้กำกับชาวฝรั่งเศส Jean-Pierre Limosin รู้สึกว่าเขาจะชอบ ทาเคชิ คิตาโน่ เพราะนักวิจารณ์บางคนระบุว่าหนังเรื่อง Tokyo Eyes มีบางส่วนคล้ายหนังของคิตาโน่ และ Jean-Pierre Limosin ก็เคยทำสารคดีเกี่ยวกับคิตาโน่ด้วย

3.2 Happiness of the Katakuris (2001, ทาคาชิ มิอิเกะ, A-)

ได้ยินชื่อ มิอิเกะ แล้วอย่าเพิ่งหวาดผวาไป เพราะนี่เป็น "หนังเพลง" สำหรับ "ครอบครัว" (เป็นสองคำที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับมิอิเกะได้เลย...) โดยหนังเล่าถึงครอบครับคาตาคุริที่ทำกิจการบ้านพักตากอากาศ แต่ก็ดันเกิดเหตุฆาตกรรมในบ้านพักขึ้น

อย่างไรก็ตาม หนังยังคงสไตล์ความบ้าบอคอแตกแบบมิอิเกะไว้เช่นเคย

3.3 Kairo (2001, คิโยชิ คุโรซาว่า, A++++++++++++)

ไม่รู้ยังจำกันได้หรือเปล่าว่า ชินจิ ทาเคดะ ก็เล่นในหนังเรื่องนี้ด้วยนะ

เค้าโผล่มาแวบเดียวในชุดเสื้อแดง ในฉากที่พนะเอกไปห้องสมุด เพื่อมาบอก "ความลับ" บางอย่าง ที่ไม่น่ารู้เอาเสียเลย

ฉากนั้นเป็นฉากทีทำให้ผมยังคงกลัวห้องสมุดแคบๆ มาจนถึงทุกวันนี้ (บรื๋อ...)


โดย: merveillesxx วันที่: 2 กันยายน 2548 เวลา:2:06:29 น.  

 
เมื่อวานพึ่งไปดู 5*2 มา

จบเรื่อง คนแปลซับ --------> ไกรวุฒิ จุลพงศธร

พี่เต้สุดยอดละครับ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 2 กันยายน 2548 เวลา:10:11:09 น.  

 
อยากดู the day i became a woman จังเลย

เมื่อวานดู กุญแจผี มา
ผิดหวังนิดหน่อยอ่ะ

น้องเมอร์ใกล้สอบไม่ใช่เหรอ


โดย: quin toki วันที่: 2 กันยายน 2548 เวลา:11:27:39 น.  

 
ตามเข้ามาอ่าน เพราะเป็นอีกคนที่ชอบหนังเรื่องนี้มากๆ
อยากบอกว่าไม่เคยเขียนได้ละเอียดมากๆ ชอบนะ
เก็บรายละเอียดที่เรามองข้ามไปเยอะเลย
ว่าแล้วก็ขออนุญาตก็อปเก็บไว้อ่านเป็นการส่วนตัวนะคะ
ขอบคุณค่ะ ^^


โดย: Nessa* ขี้เกียจล็อกอิน IP: 203.155.48.66 วันที่: 2 กันยายน 2548 เวลา:12:15:50 น.  

 
เพิ่งไปดู Farewell Kuro มาครับ ก็ชอบนะครับ หนังดูเรียบๆแต่อบอุ่นดีครับ กะไว้ว่าวันอาทิตย์นี้จะไปดู About Love ครับ เดี๋ยวขอไปดูมาก่อน ดูเสร็จแล้วจะเข้ามาอ่านที่คุณ merveillesxx คอมเมนท์ไว้นะครับ เขียนเกี่ยวกับหนังเอเชียแบบนี้ ชอบมากๆครับ


โดย: Tempting Heart วันที่: 3 กันยายน 2548 เวลา:8:52:09 น.  

 
ตามมาอ่านอีกรอบแล้วครับ ลึกซึ้งจริงๆ

3-Iron ดูไปพักนึงแล้ว ชอบครับแต่มันแยบยลจนยังงงๆบางอย่างอยู่ มันช่างเอ็กซิสตองเชี่ยลเหลือเกิน(แต่ยังสนุกกว่า i love huckabee)

วันจันทร์จะไปโรงงานช็อคครับ ไปดูกุญแจเคทมาละ ก็สนุกพอสมควร ข้อดีมากเกินคณานับคือการแสดงของเหล่านักแสดง และ เคทอวบๆในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย

...ฝากปะเรื่องนี้ที่เขียนไว้ด้วยเลยละกันครับ (แลกคืนบ้าง55)

About Love , เรื่องราวที่ "เกี่ยวกับ "รัก""
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=09-2005&group=1&date=01&blog=1


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 4 กันยายน 2548 เวลา:12:50:46 น.  

 
โตเกียว ก็โอเค น่ารักดี แต่มันดูเป็นละค๊อน ละคอนมากไปหน่อย (คือน้ำเน่านั่นเอง)

ไทเป สนุก ตลก ลึกซึ้ง ห่ามแต่ละเมียดละไม

ส่วนเซี่ยงไฮ้ ดูไปหลับไปเป็นพักๆ (5555)

สรุปว่าชอบไทเปที่สุดเหมือน จขบ. ค่ะ

ยังเขียนวิจารณ์ได้เยี่ยมเหมือนเดิมนะ ชื่นชมๆ


โดย: CTL IP: 61.91.142.21 วันที่: 4 กันยายน 2548 เวลา:15:11:22 น.  

 
ได้ไปดู About Love มาแล้วครับวันนี้ เลยกลับเข้ามาอ่านครับ ดูจบแล้วด้วยความอินและรู้สึกว่าโดนใจเอามากๆสำหรับหนังเรื่องนี้ครับ ชอบมากทีเดียวครับ ช่วงที่ผมชอบมากที่สุดกลับเป็นตอนที่ 3 คือเซี่ยงไฮ้ครับ รองลงมาก็คือ ตอนแรก คือโตเกียว และอันดับสุดท้าย ก็คือตอนที่ 2 คือไทเปครับ

แต่รู้สึกว่าจบแบบเศร้าจังนะครับ แต่ก็ชอบครับ จบด้วยตอนที่ 3 แบบเศร้าๆแบบนี้ เพราะคิดว่าถ้าเศร้าตั้งแต่ตอนแรก คนดูคงไม่มีกำลังใจดูต่อ เลยคงต้องเอาตอนเศร้าสุดมาไว้ตอนสุดท้าย

ส่วนตัวแล้ว ผมชอบตอนสุดท้ายมากที่สุดนะครับ ผมว่ามันสื่อและให้อารมณ์ของคนที่แอบรักข้างเดียวได้ดีจังครับ โดยเฉพาะการพยายามเรียนภาษาอย่างเดียวกับคนที่ตนเองชอบ การพยายามทำทรงผมอย่างที่คิดว่าคนที่ตนเองชอบจะชอบ เหมือนกับว่า การที่เราชอบใครก็มักจะพยายามรับเอาส่วนนึงของตัวเขามาไว้ที่เรา จนถึงตอนจบที่จบได้ซึ้งดีจริงๆ จบด้วยการบอกลาคนรักด้วยการบอกรักโดยที่คนรักไม่รู้ เอ้อ ชอบไอเดียนี้จังครับ นางเอกตอนนี้ดูเศร้าดีจังครับ ดูแล้วนึกถึง เฟย์ หว่อง ยังไงไม่รู้ครับ

ส่วนตอนที่ชอบรองลงมา ก็คือตอนแรกสุดครับ ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนคุณ merveillesxx พูดถึง คือ เหมือนความเหงาในเมืองใหญ่ นอกจากคล้ายๆหนังเรื่องที่คุณ merveillesxx พูดถึง ผมเองยังนึกถึงเรื่อง Turn Left Turn Right ที่ยังจบแบบบังเอิญได้พบปะกันพอดิบพอดีครับ

โดยรวมก็ชอบเรื่องนี้มากทีเดียวครับ


โดย: Tempting Heart วันที่: 4 กันยายน 2548 เวลา:20:24:02 น.  

 
ชอบตอนที่หนึ่งมากสุดครับ
(ดูเพ้อฝันดี ฮา)
รองลงมาคือตอนสาม
และชอบน้อยสุด คือ ไทเป!???


โดย: it ซียู IP: 161.200.255.161 วันที่: 5 กันยายน 2548 เวลา:8:42:25 น.  

 
อิอิ เออเนอะ คนดูแล้วเข้ามาบอกว่าชอบตอนไหนมากที่สุดกันบ้างก็ดีนะ ขอลองวิเคราะห์คนดูบ้าง (จากหนังตอนที่ชอบ)

โตเกียว - คนชอบตอนนี้น่าจะเป็นคนช่างจินตนาการและเชื่อในรักแรกพบ (รึป่าว?) แถมโรแมนติกอีกตะหาก

เซี่ยงไฮ้ - เป็นคนที่ยึดมั่นในความรักแท้ ประมาณว่า รักที่ไม่สมหวังแต่ก็ยังคงอยู่ในจิตใจตลอดไป อะไรประมาณนั้น

ไทเป - ตอนนี้ที่จริงอารมณ์รักแบบชัดเจนแทบไม่มีเลย (ระหว่างเท็ตจังกับอาซื่อ) แต่หนังแฝงไปด้วยความอบอุ่นของมิตรภาพ และความรักที่พร้อมเสมอที่จะเป็นผู้ให้ เข้าใจ และรอคอย

ตรงกันมั่งมั้ยเนี่ย (แต่ของเราตรงนะ อิอิ)


โดย: CTL IP: 61.91.144.201 วันที่: 5 กันยายน 2548 เวลา:12:22:13 น.  

 
ป.ล.
- แวะมาบอกว่าชอบ 3-Iron เหมือนกันครับ
เขียนไว้แล้วที่ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=unit-maxx&month=09-2005&date=02&group=7&blog=1
(เป็นเขียนส่งอ. น่ะครับ)
- ดู Farewell Kuro แล้ว ชอบเพลงตอนจบเหมือนกันเลยครับ (เสียดาย ซับฯ แปลไม่จบเพลง)


โดย: it ซียู วันที่: 5 กันยายน 2548 เวลา:16:27:53 น.  

 
แหง่บ แวะมาอ่าน อิอิ
อ่านคอมเม้นท์ของทั้งหมดไม่ไหวอ่า ไม่รู้มีใครเขียนถึงไปหรือยัง
เราแอบมีแย้งนิดหน่อยว่า เท็ตจัง กับ มิชิโกะ ไม่ใช่แค่ เพื่อน กันอ่ะ
แต่เท็ตจัง คือแฟนมิชิโกะที่ทิ้งเธอไปใน 4 วินาที คนที่เธอคุยโทรศัพท์ด้วยนั่นแหละ
เข้าใจว่างั้นนะ แต่เดาไม่ออกเหมือนกันว่า ทำไมเท็ตจังไปอยู่ไทเป

ส่วน Tsukamoto เราว่า เค้าเล่นดีกว่าเรื่องก่อนๆ เยอะ 555555555
(เป็นแม่ยก tsukamoto อยู่ )


โดย: art_destiny IP: 202.57.157.64 วันที่: 5 กันยายน 2548 เวลา:21:52:08 น.  

 
เรื่องนี้ยังไม่ได้ดูครับ
อิจฉาจัง รุ้สึกคุณมีเวลาดูหนังเยอะแฮะ

ว่าแต่ ขอยืมบทความลิลี่ ชูชู ไปให้อาจารย์โครงงานอ่านหน่อยนะครับ


โดย: jonykeano วันที่: 6 กันยายน 2548 เวลา:12:47:33 น.  

 

ไม่รู้ทำไมอยู่ดีดีถึงได้ลิงค์ไปลิงค์มาจนมาเจอบลอคนี้ได้

แต่อยาก "ขอบคุณจิงจิงคะ"

ข้อความในบลอคของคุณได้ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้

ได้ตรงจุดและตรงใจกับข้อสงสัยที่ยังติดอยู่ในความรู้สึกของชั้นได้เป็นอย่างดี

"ขอบคุณอีกครั้งที่เขียนบลอคดีดีให้คนได้เข้ามาอ่าน"

และจะเเวะเวียนมาเยี่ยมเยียนบ่อยบ่อยนะคะ -*-*-



โดย: จูน IP: 161.200.255.161 วันที่: 7 กันยายน 2548 เวลา:10:18:27 น.  

 
น้องเมอร์ยังไม่กลับมาอีกเหรอเนี่ย
ฝุ่นเกาะหมดแล้ว
มาพี่ปัดให้ค่า

ดูพี่เดปป์มาเมื่อวานค่า
ชุ่มชื่นหัวใจจริงๆ

หนังก็มีข้อด้อยนะคะ
แต่ด้วยความชื่นชอบส่วนตัว

เหมือนได้กลับเป็นเด็กอีกครั้งเลยค่ะ
ไปดูต้องพกชอคโกแลตเข้าโรงด้วยนะคะ

แต่ดันกินซะก่อนหนังฉายอีก อิๆ


โดย: quin toki วันที่: 7 กันยายน 2548 เวลา:14:05:15 น.  

 
mer คงช๊อคตายอยู่กับหนังสือสอบ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 7 กันยายน 2548 เวลา:17:22:25 น.  

 
หนังเข้าใหม่สัปดาห์นี้ (8 ก.ย. 2548)

** = mer's RECOMMEND

** My Date with Drew (30 วัน ลุ้น “ดรูว์” มาควงเดท) 90 min
หนังที่ 'ลิโด้' เท่านั้น

** Dark Water (ห้องเช่าหลอน วิญญาณโหด) 105 min

** Seven Swords (เซเว่น ซวอร์ด 7 กระบี่เทวดา) 141 min
เสียงซาวด์แทร็กจีน-บรรยายไทย มีฉายที่ โรงหนัง 'สยาม'

แหยม ยโสธร (Hello Yasothorn)

The Dukes of Hazzard (คู่บรรลัย ซิ่งเข้าเส้น) 106 min

-----------------------

ส่วน The Day I Bacame a Woman ยังฉายอยู่ที่ลิโด้ ไปดูกันนะครับ นานๆ จะมีหนังแบบนี้เข้าโรงในบ้านเรา

และดูเหมือนว่า 3-Iron ของ คิมคีดุค จะได้ฤกษ์ฉายเร็วๆนี้แล้ว เพราะเห็นโปสเตอร์แปะหน้าโรงลิโด้ / สกาล่า แล้ว


โดย: merveillesxx วันที่: 7 กันยายน 2548 เวลา:22:37:42 น.  

 
สอบผ่านไปแล้ว เมื่อวันอาทิตย์
สอบวิชา ไฟแนน 'เชียล' แมเนจเมนต์
เดินออกจากห้องสอบ พร้อมกับรู้ว่า...
คะแนนสอบของตัวเอง ได้ไหล 'เชี่ยว' ไปกับกระแสเงินสดเสียแล้ว
เฮ้อ..เศร้าจัง สงสัยจะได้ C+ ตัวที่ 3 หรือไม่ก็ C ตัวแรก ก็วิชานี้แหละมั้ง

สอบเสร็จ ฝนตกอีก กระหน่ำซ้ำเติมชีวิตตรูจริงๆ

วันอาทิตย์ตอนค่ำๆ ไปดู คอนเสิร์ต ป้า...เอ๊ย ป๋าเบิร์ด
ก็สนุกดี แต่ไม่อินแม้แต่น้อย เพราะไม่เคยฟังเพลงชุดใหม่แกเลย (แล้วแกก็ดันร้องแต่เพลงชุดใหม่)
แต่คอนเสิร์ตฮามาก ป้าแกมุกเยอะมากๆๆๆๆ
แล้วตอนที่ Five Angels จากรายการ "ผู้หญิงถึงผู้หญิง" (รายการที่ผมไม่เคยทนดูได้เกิน 2 นาที เพราะหนวกหู) ออกมาเต้นนี่ฮามาก ถือเป็นจุด PEAK ของงาน

วันอังคารมี QUIZ วิชา ECON MATH (วิชาที่ตั้งแต่เรียนมายันจะจบคอร์ส แล้วรู้สึกว่าตัวเองล่องลอยในจักรวาลอันจับต้องไม่ได้ วะฮะฮ่า) โชคดี quiz ง่าย ก็เลยได้เต็มไป (เย้)

จบสอบ จบ quiz ก็ยังมิวายยุ่งเหยิง...
มีรายงานรออยู่อีก เฮ้อๆๆๆๆๆ เหนื่อย (โว้ย)

จะสอบ FINAL แล้ว เร็วจัง...

--------------------------------------

DVD หนังเรื่อง 2046 ออกแล้ว
เคืองจังเลยกับหน้าปก DVD แผ่นนี้
เหมือนไปก็อปรูปตามเวบแล้วมาขยายไซส์ทำหน้าปก
ทำให้มันออกมาดีๆ หน่อย ไม่ได้หรือไงนะ
FEATURE ก็มีแค่ ข้อมูลเบื้องต้น / ตัวอย่างหนัง
แต่บ่นแบบนี้ ก็ซื้อมาแล้วล่ะ

เมื่อวันจันทร์ได้ DVD หนังเรื่อง Kairo มาแล้ว
หลังจากชะล่าใจไม่ซื้อเก้บไว้ตอนมันออก แล้วก็หาไม่ได้เลย
(Kairo เป็น 1 ใน 10 หนังในดวงใจของผมครับ)

-----------------------------------------

หนังโรงที่ได้ดูในช่วงนี้

1. The Day I Became a Woman (A+)

รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเข้าถึงประเด็นของหนังทั้งหมดได้ แต่ก็ชอบหนังมากๆ คิดว่าหนังเรื่องนี้หยิบยก เรื่องของพันธนาการแห่งชีวิตของสตรี มาทำเราเป็นรูปธรรมได้ดี (โดยเฉพาะตอนที่ 2)

ฉากจบของตอนที่ 2 เป็นภาพที่ทรงพลังมากๆ

ตอนดูหนังเรื่องนี้ ทั้งโรงสยามมีอยู่ 4 คน...


2. Charlie and the Chocolate Factory (A+)

ถึงแม้จะเกลียดเข้าไส้กับหนัง FEEL-GOOD ที่ชอบมาสรุปจบเรื่องราวเป็นฉากๆๆ แต่ไม่รู้สึก 'ต่อต้าน' กับฉากจบของหนังเรื่องนี้มากนัก

ฮาแตกสุดๆ กับฉากที่ล้อ 2001: A Space Odyssey (ขำจนคนอื่นเค้าหันมามอง) ส่วนที่ล้อ Psycho ก็ชอบเหมือนกัน

ข้อเสียของหนัง อาจจะเป็นที่ว่าหนังมันเรื่อยๆ ไปหน่อย ไม่มี CLIMAX อะไรที่โดดเด้งขึ้นมา

ที่ชอบที่สุดก็คือ ฉากร้องเพลงทั้งหลายของ อูมปา-ลูมบ้าส์ และ การแสดงของ จอห์นนี่ เด็ปป์

------------------------------------------

หนังแผ่นที่ได้ดูในช่วงนี้

1. The Scarlet Letter (A-)

*ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ ลีอึนจู (นางเอก Lover's Concerto) เล่น ก่อนที่เธอจะฆ่าตัวตาย (ข่าวบางกระแสระบุว่า ฉากวาบหวิวในหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เธอคิดสั้น)

หนังเรื่องนี้ล้มเหลวอย่างมากในการเป็นหนัง สืบสวน หรือหนังอีโรติกแบบมีชั้นเชิง

แต่หนังประสบความสำเร็จในการเป็นหนัง 'ปอกเปลือกมนุษย์' แต่มันก็ทำในชนิดที่สุดโต่งจนเกินไป

การแสดงของพระเอก (จำชื่อไม่ได้ แต่พระเอกคนเดียวกับเรื่อง Christmas in August และ Tell Me Something) และลีอึนจู ถือว่าเป็นการแสดงในระดับสุดยอด (โดยเฉพาะช่วงท้ายของหนัง)

ดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว คืนนั้นผมนอนไม่หลับ (จนรู้สึกอยากดูหนัง FEEL-GOOD ขึ้นมาในรอบ 2 ปี) และรู้สึกว่ามนุษย์นี่มันช่างน่าขยะแขยงสิ้นดี

อีกสาเหตุหนึ่งก็คงจะเป็น ความเสียดายที่ ลีอึนจู จากไปเร็วก่อนเวลาอันควร


2. A Moment to Remember (B+)

หนังรักเกาหลี นำแสดงโดยเจ้าแม่น้ำตากิมจิ ซอนเยจิน

หนังเรื่องนี้ไม่มีโดดเด้งจนน่าประทับใจ ถึงแม้หนังจะมีโมเมนต์ที่เกือบจะประทับใจอยู่หลายตอนก็ตาม

ส่วนซอนเยจิน ยังร้องไห้ได้ 'เก่ง' และ 'สวย' เหมือนเดิม แม้ว่าท่าร้องไห้ของเธอจะมีอยู่ประมาณ 3 ท่า 3 STEP ก็ตาม

(The Classic ที่เธอเล่นเป็นนางเอก เป็นหนึ่งในหนังเกาหลีที่ผมชอบที่สุดครับ สาเหตุหนึ่งก็คือ การรแสดงออกในการร้องไห้ของซอนเยจินที่กระทบใจผมมากๆ)


โดย: merveillesxx วันที่: 7 กันยายน 2548 เวลา:23:12:24 น.  

 
โอ อยากดูหนังเกาหลี ที่พระเอก
Chrismas in August เล่น

ตอนแรกว่าจะดู The Day I Became a Woman เหมือนกัน และคิดว่ามันคงเป็นหนังดีจริงๆ แต่เบื่อๆ หนังอิหร่านตรงที่ มันจะต้องมี Stereotype ชุดหนึ่งคือ ชีวิตรันทดและผู้หญิงจะต้องถูกกดขี่

ชีวิตจริงดิฉันรันทดพอแล้ว เลยหนีโลกไปเข้าโรงงานช็อคโกแล็ต เพื่อดูหน้าตากระแดะของเฮียเด็ปป์ในเรื่องนี้
ชอบจริงๆ เฮียแกปั้นหน้าแบบคนที่จะดีก็ไม่ใช่ จะร้ายก็ไม่เชิงได้ใจดิฉันมาก
แต่เฮียเด็ปป์เล่นอะไร ก็ถูกใจดิฉันหมดแหล่ะ ขนาดแต่งสาวออกมาหนึ่งแว่บใน Before Night Falls ดิฉันยังกรี๊ดซ้า

ถึงจะสอบชุกยังไง รายงานมากขนาดไหน
ก็ได้ดูหนังตลอดเวลา ชีวิตมีทางเลือกอยู่นา
โชคดีกับสอบ Final นะจ๊ะ

อ้อ เดือนพฤศจิกายนนี้ มีมูราคามิเวอร์ชั่นภาษาไทย
ออกมาอีกเล่มเน้อ


โดย: grappa วันที่: 8 กันยายน 2548 เวลา:2:19:07 น.  

 
The Day I Became I Woman เขียนวิเคราะห์ไว้ในบล๊อกแล้วลองไปอ่านกันดู (มีหลายตอนมาก)

ที่เขียนได้เยอะไม่ใช่อะไรหรอก ตอน ป.ตรี ทำตัวจบเป็นหนังอิหร่านน่ะ

ซึ่งอีหนังเรื่องนี้ พี่ดูประมาณ 10 รอบได้ (อ้วกกกกกกกกก)

ป.ล. mer ร้านคิโนะฯสาขาเซนทรัลเวิร์ลฯอยู่ตรงไหนอ่ะครับ ดินแดนอันกว้างใหญ่ไปหลงทุกที

ดีใจเดี๋ยวนี้ซีดีแวร์เฮาส์อยู่ชั้นแรกเลย ไม่ต้องเดินไกล เมื่อวานก็ไปเจอมือสองของ Damien Rice มา ฟังแล้ว อกหักดังเป๊าะ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 8 กันยายน 2548 เวลา:19:13:48 น.  

 
-- ดูเหมือนว่า Seven Swords ที่ฉายที่โรงหนังสยาม จะเป็นฉบับเต็มครับ คือ ยาว 153 นาที (ฉบับตัดจะเหลือ 141 นาที) ไม่แน่ใจว่าโรงอื่นๆ ที่เป็นพากย์ไทยจะยาวเท่านี้หรือเปล่า ...อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเข้าโรงก็เข้าห้องน้ำห้องท่ากันให้เรียบร้อยล่ะครับ

-- แต่จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยเกิดความรู้สึกอยากดู Seven Swords เท่าไรเลยครับ ตัว ผกก.ฉีเคอะ เองผมก็ไม่ได้ชื่นชอบอะไรมากเป็นพิเศษ (จริงๆ ผมก็ดูงานของเขาไม่กี่เรื่อง) ตัวอย่างหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้น่าเบื่อมากๆ ที่สำคัญ ดาราในเรื่องไม่ดึงดูดเอาเสียเลย (ให้ผมทนดูหน้าบื้อๆ ของหลี่หมิงตั้ง 2 ชั่วโมงครึ่ง -__-')

-- ถ้าหนังเรื่อง เถียนมีมี่ (1996, ปีเตอร์ ชาน, A) ไม่มีจางมั่นอวี้ และ พี่เตี้ยบิ๊กแซม (ผมจำชื่อจริงๆ แกไม่ได้) ผมคงชอบหนังเรื่องนี้น้อยกว่าเดิม 100 เท่า

-- สาเหตุที่ผมไม่ถูกชะตากับหลี่หมิง ก็คงเป็นเพราะหนังเรื่อง Leaving Me, Loving You (2003, Wilson Yip, C) ที่เขาเล่นเอง เขียนบทเอง โปรดิวซ์เอง และได้ เฟย์ หว่องเป็นนางเอก ...หนังเรื่องนี้เป็นหนังรักที่ล่องลอยและว่างเปล่าเป็นที่สุด

-- อย่างไรก็ตาม ผมชอบบทบาท "นักฆ่าตาชั้นเดียว" ของหลี่หมิงในหนังเรื่อง Fallen Angels (1995, หว่องกาไว, A++++++++) มากๆ คิดว่าหน้าบื้อๆ ของเขาเหมาะดีกับบทนักฆ่าที่ใช้ชีวิตไปวันๆ

--------------------------------

หนังที่ได้ดูวันนี้

1. Kikujiro (1999, ทาเคชิ คิตาโน่, A)

ดองแผ่นหนังเรื่องนี้ไว้ประมาณ ปีครึ่ง (อีกแล้ว)

หนังเรื่องนี้ได้เข้าชิงปลามทองคำที่คานส์ปี 1999 และเข้าชิงหนังยอดเยี่ยม Japanese Academy Awards

ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร อยากดูหนัง FEEL-GOOD และหนังเรื่องนี้ก็ทำให้ผมอยากดูหนัง FEEL-GOOD (ที่ดูแล้วไม่ 'หยึ๋ย') ต่อไปอีกหลายๆ เรื่อง

ชอบเพลงประกอบในหนังเรื่องนี้มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (ฝีมือ Joe Hisaishi เจ้าเก่า) ที่แปลกก็คือ บางฉากที่ฮาๆ หนังกลับใช้เพลงประกอบเศร้าๆ ขึ้นมาซะงั้น

ว่าแล้ว อยากได้ CD Soundtrack ของ Joe Hisaishi จัง

หนังของ ทาเคชิ คิตาโน่ ที่เคยดู
1. Hanabi (1997, A+)
2. Dolls (2002, A) ชอบตอนของ Kyoko Fudaka ที่สุด
3. Kikujiro (1999, A)
4. Zatoichi (2003, A-) ชอบตอนเต้นแท็ปท้ายเรื่องมากๆ

อยากดู A Scene at the Sea (1991) ของคิโตน่ามากๆ เพราะคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเข้าทางตัวเอง

เสียดายจังที่ตอนมีงาน RETRO TO KITANO ที่โรงหนัง HOUSE ผมไม่ได้ไปดูสักเรื่องเลย ด้วยเพราะตอนนั้นยังอยู่ที่ มธ.รังสิต ถ่อไปไม่ไหว >_<

วันก่อนเห็น DVD เรื่อง Blood and Bones (2004, Yoichi Sai) ออกแล้ว เห็นแล้วละเหี่ยใจกับหน้าปกเหลือเกิน EVS ทำหน้าปกหนังชุดคิโตน่าได้แย่มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

-------------------------------------

อัลบั้มที่อยากฟังมากๆ ตอนนี้

1. Bjork : DRAWING RESTRAINT 9

อัลบั้มชุดนี้เป็นซาวด์แทร็กของหนังที่ Bjork เล่นเป็นนางเอก (อ้าว ไหนว่าจะเลิกเล่นหนังแล้วไง) หนังกำกับโดย แมทธิว บาร์นี่ย์ สามีของเธอเอง

หนังเกี่ยวกับ คนที่กลายร่างเป็นปลาวาฬ และเนื้อเรื่องที่ผูกพันความเชื่อของลัทธิโตชินของญี่ปุ่น (?????????) หนังกำลังเข้าฉายอยู่ที่เทศกาลหนังเวนิซ (ในสายหนัง "มหัศจรรย์พันลึก" -- ฮา)

Bjork เคยได้รับรางวัล Best Actress ของคานส์ จากหนังเรื่อง Dancer in the Dark (2000, ลาส วอน เทียร์, A+++++) หนังเรื่องนี้เป็น 1 ใน 10 หนังที่ผมชอบที่สุดในชีวิต และไม่คิดจะดูอีกรอบโดยเด็ดขาด


2. Pet Shop Boys : Battleship Potemkin

โจทย์ของอัลบั้มชุดนี้ก็คือ ให้ Pet Shop Boys ทำ 'เพลงประกอบ' ให้กับหนังเรื่อง Battleship Potemkin (1925, Sergei M. Eisenstein, A) นั่นเอง โดยอัลบั้มชุดนี้มีแนวเพลงเป็นส่วนผสมของ อิเล็กโทรนิก วงเครื่องสาย และวงออเครสตร้า

รู้สึกว่า TRACKLIST ในอัลบั้มนี้จะแบ่งตาม CHAPTER ของหนัง

Pet Shop Boys เคยแสดงสดเพลงจากอัลบั้มชุดนี้ไปแล้วเมื่อ เดือนกันยายน ปีที่แล้ว

ดูรายละเอียดของอัลบั้ม และฟังเพลงตัวอย่างได้ที่
//www.parlophone.co.uk/ecards/petshopboys/potemkin/

เดาเอาว่าการตีโจทย์ทำเพลงประกอบให้หนังเรื่องนี้คงมีมาหลายครั้งหลายคราแล้ว ซึ่งในไทยเองก็มีกับเขาด้วยเหมือนกัน นั่นคือ ในงาน FAT FESTIVAL 3 เมื่อปี 2546 ก็มีการให้ศิลปินไทยทำเพลงประกอบให้กับหนังเรื่องนี้ด้วย ถ้าจำไม่ผิดศิลปินที่มาร่วมตีโจทย์ก็มี Paradox, Nannue Tipitier (คนทำเพลงอิเล็กโทรนิกลอยๆ แต่ไม่หลอน ที่ผมชอบมากๆ) และคุณพรหมพงศ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (ขออภัยหากเขียนชื่อผิด)


โดย: merveillesxx วันที่: 9 กันยายน 2548 เวลา:2:54:26 น.  

 
แนะนำโปรแกรมหนังน่าสนใจ ของเดือนนี้

โปรแกรมหนังของมูลนิธิญี่ปุ่น (ชั้น 10 อาคารเสริมมิตร ถ.อโศก เวลา 18.30 น. ชมฟรี / หนังมีคำบรยายไทย)

หัวข้อ "รักต่างต่าง นานา"

ศุกร์ 2 ก.ย. Love and Faith (113 min)

อังคาร 9 ก.ย. First Love (113 min)

ศุกร์ 9 ก.ย. Nabie's Love (92 min)

ศุกร์ 16 ก.ย. The Time Traveler (104 min)

อังคาร 20 ก.ย. Twinkle (103 min)
หนังเกย์ กำกับโดย JOJI MATSUOKA ผกก. หนังเรื่อง Sayonara Kuro

ศุกร์ 23 ก.ย. Diary of Early Winter Shower (116 min)

ศุกรื 30 ก.ย. The Love Suicides at Sonezaki (92 min)

ดูรายละเอียดที่ //www.jfbkk.or.th/event/Theater_200509_th.html

คุณแมดเดอลีน แนะนำเรื่องบางเรื่อง ไว้ที่นี่
//www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=21625


โดย: merveillesxx วันที่: 9 กันยายน 2548 เวลา:3:01:23 น.  

 
โปรแกรมหนังจาก ฟิล์มไวรัส

//www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=21528


11 กันยายน 2548 American Holidays ตอน Naughty and Bitchy (สาวแสบ)

1.00 PM: The Lady Eve (1941) / Preston Sturges
นำแสดงโดย เฮนรี่ ฟอนด้า ในบทหนุ่มลูกเศรษฐีที่เก่งเรื่องงาน แต่กลับอ่อนโลกโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงเสียเหลือเกิน และเมื่อสาวนักตุ๋น (บาบาร่า สแตนวิค) มาจ๊ะเอ๋เขาเข้า อะไรจะเกิดขึ้นเล่า ถ้าไม่ใช่ความสนุก (หนังพูดอังกฤษและมีคำบรรยายอังกฤษ)

3.00 PM: The Women (1939) / George Cukor
หนังชุมนุมดาราสาวอเมริกันว่าด้วยเรื่องแบบผู้หญิง ๆ ซึ่งคุยเรื่องคนตัวผู้ตลอดเรื่อง แต่ทั้งเรื่องไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของพวกเขาเลย หนังสร้างจากบทละครเวทียอดฮิตของ Clare Boothe กำกับโดยผู้กำกับรางวัลออสการ์จาก A Star Is Born (หนังพูดอังกฤษและมีคำบรรยายอังกฤษ)

----------------------------------------

18 กันยายน 2548 Abstract Cinema

1.00 PM: In the Shadow of the Sun

3.00 PM: Curtains + The Art of Mirrors
หนังในชุดนามธรรมนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ต้องการตัวละคร เนื้อเรื่อง จุดเริ่มต้น จุดคลี่คลาย หรือบทสรุป จิตรกรวาดภาพเขียนโดยใช้แรงบันดาลใจใต้จิตสำนึกฉันใด คนทำหนังก็สามารถสานต่อจินตนาการไร้ขอบเขตของตัวเองได้ด้วยฉันนั้น เพียงแต่ว่าภาพเขียนนามธรรมนี้สามารถเคลื่อนไหวได้!!!!

เรื่อง In the Shadow of the Sun กับ The Art of Mirrors เป็นงานของดีเร็ค จาร์แมน ศิลปินที่ได้รับรางวัล Turner Prize ในวงการศิลปกรรมและได้รับรางวัลจากการกำกับภาพยนตร์อีกมากมาย ผลงานของเขาอาจฉายอยู่ในแวดวงจำกัด แต่หลังจากเขาเสียชีวิตไปเพราะโรคเอดส์ วงการหนังอังกฤษที่เคยดูแคลนศิลปินเกย์นอกคอกคนนี้ก็ต้องยอมรับตัวเขาในที่สุด

(ภาพยนตร์ในชุด Abstract Cinema อยู่นอกเหนือของเขตของตรรกะหนังทั่วไป มันมีจังหวะดนตรีพลิ้วพรายไร้เสียงที่ไกลโพ้นเกินความหมายหรือสัญลักษณ์เฉพาะ ระวัง ระวัง อันตราย!!!!!! ไม่เหมาะกับผู้ชมที่ต้องการเรื่องราวและความบันเทิง เราเตือนคุณแล้ว!!!!!!!!!!)

------------------------------------------

25 กันยายน 2548 สำหรับอาทิตย์นี้จะเป็นโปรแกรมพิเศษ “วันหนังไร้ไดอะล็อกครับ” ฉายหนังที่เล่าเรื่องได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด น่าสนใจทีเดียว

1.00 PM: The Thief (1952) / Russell Rouse
ด็อกเตอร์ Allan Fields นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันทำงานให้กับสถาบัน Atomic Energy Commission ณ กรุง Washington DC แม้ภายนอกแล้ว ด็อกเตอร์ Allan จะดูเป็นนักวิจัยหน้าซื่อไร้พิษภัย ที่วัน ๆ ก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการทดลอง แต่จริง ๆ แล้ว เขากลับเป็นสายลับที่แอบลักลอบขโมยสูตรลับทางควอนตัมฟิสิกส์ของสถาบันไปขายให้กับอริสงครามเย็นอย่างสหภาพโซเวียต เมื่อหนึ่งในกลุ่มสายลับเกิดประสบอุบัติเหตุจนเจ้าหน้าที่ตำรวจพบแผ่นไมโครฟิล์มที่ ดอกเตอร์ Allan ได้แอบถ่ายจากห้องทำงานของด็อกเตอร์อีกท่านหนึ่ง ทางการจึงต้องสืบสาวราวเรื่องหาที่มาของแผ่นฟิล์มปริศนาซึ่งเกือบจะกลายเป็นความลับรั่วไหลที่สามารถสร้างความหายนะแก่ประเทศได้ในชั่วพริบตา!

3.00 PM: Vase de noces (1974) / Thierry Zeno *** หนังหาชมยาก แนะนำเป็นพิเศษ***
หนังจากเบลเยียมเรื่องนี้เล่าถึงพฤติกรรมสุดประหลาดของหนุ่มนิรนามคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในฟาร์มร้างร่วมกับสิงสาราสัตว์ชนิดต่าง ๆ ด้วยความสันโดษไร้มนุษย์อื่นใดในสถานที่นั้น ชายหนุ่มจึงต้องประพฤติตัวเป็นเดรัจฉานร่วมกับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง สร้างสังคมใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องมีศีลธรรมจรรยาใด ๆ มาคอยควบคุมความประพฤติ กันเลย หนังถ่ายทำด้วยฟิล์มขาว-ดำให้ความรู้สึกดิบหยาบอีกทั้งยังมีการใช้เสียงและดนตรีประกอบที่หลอกหลอนหลากหลาย ตั้งแต่บทเพลงขับร้องหมู่ยุคกลางจนถึงเสียง Synthesizer ร่วมสมัย ประชันกับอาการระเบ็งเซ็งแซ่ของบรรดาสัตว์เลี้ยงกันอย่างก่อกวนประสาท นอกจากนี้หนังยังเล่าเรื่องโดยไม่มีการใช้คำบรรยายหรือบทสนทนาใด ๆ แสดงให้เห็นถึงการจงใจตัดขาดจาก “สำเนียงภาษา” อันเป็นสิ่งสรรค์สร้างของสังคมมนุษย์โดยสิ้นเชิง

5.00 PM: Themroc (1973) / Claude Feraldo
Michel Piccoli รับบทนำเป็น Themroc หนุ่มคนงานที่อาศัยอยู่กับแม่และน้องสาว ทุก ๆ 6 นาฬิกา เขาจะถูกแม่จำจี้จำไชให้รีบเตรียมตัวไปทำงาน Themroc มีอาชีพเป็นช่างทาสี ทุก ๆ เช้าเขาจะต้องรูดบัตร แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทาสีพร้อม ๆ กับเพื่อนร่วมงาน แม้จะแลดูเป็นผู้ชายธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่ Themroc กลับมีอาการที่ผิดแปลกไม่เหมือนชาวบ้านอยู่ประการหนึ่งคือ เขาเป็นคนที่เก็บอาการกำหนัดไม่อยู่เอาเสียเลย ทุกครั้งที่เขาได้เห็นสาว ๆ สวย ๆ นุ่งสั้นโชว์ท่อนขาอันเรียวยาว พ่อ Themroc ของเราจะต้องเกิดอาการเคลิบเคลิ้มจนไม่เป็นอันทำการทำงานไปเสียทุกที อาการแก่ตัณหาอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลานี่เอง ทำให้เขาต้องเดือดร้อนเมื่อดันไปแอบเห็นผู้จัดการหัวงูกำลังเคี่ยวเลขานุการสาวอยู่ในห้อง Themroc ถูกไล่ออกจากงานโดยไม่มีความผิด เป็นเหตุให้เขารู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก และเลือกที่จะระบายอารมณ์รุนแรงด้วยการทำลายล้าง . . .

- - - - - - - - - - - - - - - - - -

ณ ห้องกิจกรรมเรวัต พุทธินันท์ ชั้นใต้ดิน 2 หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
โทร 0-2613-3529 และ 0-2613-3520

ชมฟรีตามเคย!!! (กรุณาแจ้งเจ้าหน้าที่ห้องสมุดว่ามาชมภาพยนตร์)


โดย: merveillesxx วันที่: 9 กันยายน 2548 เวลา:3:04:14 น.  

 
ตอบ พี่ grappa

-- ค้นเจอใน imdb.com ว่า The Scarlet Letter ในเป็นหนังปิดงานของเทศกาล Pusan

-- พระเอก Christmas in August ชื่อ Han Suk-kyu (อ่านยังไงล่ะเนี่ย)

Han Suk-kyu
//www.imdb.com/name/nm0359197/

(จำได้ว่าตัวเองล้มเลิกความตั้งใจที่จะเรียนภาษาเกาหลี หลังจากไปเจอคำที่อ่านประมาณว่า "ซุนฮึกฮือ")

รู้สึกว่าเขาคนนี้น่าสนใจมากทีเดียว เพราะเล่นได้หลายบทบาท ตั้งแต่ชายโรแมนติกใกล้ตาย, นับสืบ ไปจนถึงเพลย์บอย ...ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาดังขนาดไหนในเกาหลี

แต่คาดว่าเขาน่าจะดังพอสมควรหลังจากเรื่อง Chirstman in August (1998, เฮอร์จินโฮ, A++++++++) ออกฉาย เพราะช่วงนั้นจะมีโฆษณากาแฟที่เขาเล่นคู่กับ Shim Eun-ha นางเอกของเรื่องออกมาด้วย

เสียดายมากที่ Shim Eun-ha ออกจากวงการ ไปเลี้ยงลูกอยู่บ้านเสียแล้ว

ในหนังเรื่อง My Sassy Girl (2001, กวักแจยอง, A-) ฉากที่นางเอก (ยัยตัวร้าย) เล่าบทละครของตัวเองให้พระเอก (นายเจี๋ยมเจี้ยม) ฟัง เธอบอกว่าพระเอก-นางเอกของหนังต้องเป็น Han Suk-kyu และ Shim Eun-ha

ตลกดีว่าหนังเรื่อง Tell Me Something (1999, Yoon-Hyun Chang, A-) เหมือนเป็นการกลับมาแก้แค้นของ Shim Eun-ha หลังจากที่ใน Chirstmas in august ฝ่าย Han Suk-kyu ทิ้งให้เธออยู่คนเดียว

สิ่งที่ชอบมากๆ ในเรื่อง Tell Me Something คือการใช้เพลงของวง PLACEBO

Tell Me Something เคยมาฉายในบ้านเราที่ลิโด้

-- พูดถึงหนังเกาหลีแล้ว ตอนนี้อยากดูมากๆ สองเรื่องก็คือ
1. April Snow ของ เฮอร์จินโฮ (มีค่ายหนังซื้อมาแล้ว..เย้)
2. Sympathy for Lady Vengeance ของพักชานวู

-- ไม่ค่อยถูกกับหนังอิหร่าน ตรงที่ดูแล้ว หิวน้ำ ทุกที (ฮา)

-- รู้สึกว่า The Day I Became a Woman ไม่ได้มีอะไรบีบคั้นอารมณ์ของคนดูเลย แต่ดูจบแล้วก็รู้สึกเศร้าๆ

-- มีเพื่อนตั้งข้อสังเกตใน Charlie and the Chocolate Factory ว่า เราไม่รู้สึก "หยึ่ย" กับประเด็นครอบครัวในหนังเรื่องนี้ เพราะว่า ตัวละครในหนังได้รู้สึก "หยึ่ย" ไปก่อนหน้าเราแล้ว

-- ถ้าจำไม่ผิดฉากทุ่งหญ้าขนมในหนังเรื่องนี้ สร้างขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้ใช้ CG

-- ช่วงนี้ก็ยังได้ดูหนังอยู่ครับ แต่ต้องจัดตารางเวลาดีๆ

---------------------------------------

ตอบ พี่ เจอกันชาติหน้า

-- Kino ที่ WTC อยู่ที่ชั้น 6 ฝั่งอิเซตัน ครับ ถ้าขึ้นลิฟท์ในห้างอิเซตันไปชั้น 6 เปิดมาก็จะเจอเลย

-- ไม่ค่อยที่ CD WAREHOUSE เดี่ยวนี้หดร้านเหลือกะติ๊ดเดียว เห้นแล้วใจหาย





โดย: merveillesxx วันที่: 9 กันยายน 2548 เวลา:3:33:23 น.  

 
Thx ครับ Mer

พูดถึงโปรแกรมหนังของฟิล์มไวรัส เมื่อก่อนไปดู(แต่ความจริงหลับ)บ่อยมาก ระยะหลังไม่ได้ไปธรรมศาสตร์เลย แม้หอจะอยู่แค่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็ตาม

ขอกรี๊ดดัง ๆ หน่อยกับ Pet Shop Boy

ซาว์ดแทรกซ์ Battleship Potemkin หรอ นึกภาพไม่ออกแฮะว่าฉากบันไดโอเดสซ่าอันลือชื่อ เวลาเป็นเพลงอิเลคโทรนิคส์แล้วจะเป็นยังไง

ว่าแล้วก็อยากฟัง

ตอนนี้ศิลปินที่อยากฟังคือ Kraftwerk (แต่ไม่รู้จะไปหาฟังที่ไหนได้) ร้านป้าเรอิมพอร์ตหรือเปล่าก็ไม่รู้





โดย: I will see U in the next life. วันที่: 9 กันยายน 2548 เวลา:11:03:19 น.  

 
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3699678/A3699678.html

ความคิดเห็นที่ 8

....อย่าหายไปนาน จนคนอ่านเหงารอ ส่วนเรื่องนี้ขอไปดูวันจันทร์ก่อนแล้วจะกลับมาอ่านอีกรอบ

ปล...โชคดีในการสอบครับ

จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 28 ส.ค. 48 19:41:37 ]






ความคิดเห็นที่ 10

โห ขอบคุณมากกกกกคร้าบๆๆๆๆ ที่มาสรุปเนื้อเรื่องให้ครับ

จากคุณ : SSMkung - [ 28 ส.ค. 48 21:45:51 ]






ความคิดเห็นที่ 11

always love what you wrote.
good luck with your exam...



จากคุณ : pizzicatoj - [ 28 ส.ค. 48 22:24:44 ]






ความคิดเห็นที่ 12

ทำไมเราไปดูเอง ไม่เห็นได้อะไรกลับมาขนาดนี้เลยเนี่ย

ต้องมาอ่าน ถึงรู้ว่ามันสื่ออะไรเยอะแยะเลย

ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

จากคุณ : Seduced - [ 29 ส.ค. 48 00:07:54 ]






ความคิดเห็นที่ 13

เหยา กับ ชูเฮ : ชูเฮเป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นของเหยา (ที่จริงแล้วหนังควรให้สองคนนี้ได้กันนะคะเนี่ย โฮะ โฮะ โฮะ)

เอ่อ..คุณ merveillesxx เปลี่ยนไป ^ ^"
(ถึงเราจะแอบเห็นด้วย?!?!)


ตอนแรกเข้าใจว่า เท็ตจัง คือ แฟนเก่าของมิจิโกะซะอีกนะคะ อ้อ...ที่แท้เป็นเพื่อนเหรอ...

ขอบคุณสำหรับบทความค่ะ ^ ^

จากคุณ : RUBIS - [ 29 ส.ค. 48 00:40:50 ]






ความคิดเห็นที่ 14

ดีจังๆ กะลังคิดจะไปหาอ่านเพิ่ม ขอบคุณค่ะ ที่ช่วยสรุป + จับประเด็นให้ ดูจบแล้วก็รู้สึกดี

จากคุณ : twomoons - [ 29 ส.ค. 48 00:50:02 ]






ความคิดเห็นที่ 15

โยงใยได้แต่ไม่ถึงขนาดนี้

นั่งบ้าอยู่ตั้งนาน...ขอบคุณนะคะ









จากคุณ : ohvenus - [ 29 ส.ค. 48 01:57:55 ]






ความคิดเห็นที่ 16

วิเคราะห์ได้ละเอียดดีครับ

ขอให้ได้ผลการสอบที่ดีสมกับความตั้งใจในการเตรียมตัวนะครับ สู้ๆ

จากคุณ : นายเบียร์ - [ 29 ส.ค. 48 02:43:20 ]






ความคิดเห็นที่ 17

>ตอนแรกเข้าใจว่า เท็ตจัง คือ แฟนเก่าของมิจิโกะซะอีกนะคะ

ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียวนะครับ อาจจะเป้นอย่างที่คุณว่าก็ได้ครับ

เพียงแต่ผมคิดว่า แฟนเก่าของมิจิโกะที่โทรมาหามิจิโกะ ไม่ใช่ เท็ตจังน่ะครับ

แต่เท็ตจังกับมิจิโกะ อาจจะเคยเป็นอะไรมากกว่าเพื่อนก็ได้ครับ

จริงๆ ก็มีคนถามถึงประเด็นนี้เหมือนกัน ลองอ่านที่นี่นะครับ

//www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=21391

จากคุณ : merveillesxx - [ 29 ส.ค. 48 03:48:25 ]






ความคิดเห็นที่ 18

อ่านแล้วมีประเด็นที่เข้าใจตรงกัน

และสร้างความเข้าใจในความสัมพันธ์ของทั้ง 3 คู่มากขึ้นค่ะ

จากคุณ : WhaT iT'S W๐l2tH - [ 29 ส.ค. 48 14:26:30 ]






ความคิดเห็นที่ 19

ว่าจะไปดูเหมือนกัน

เลยไม่กล้าอ่านละเอียด

ชอบดูแบบไม่รู้น่ะ

แต่เท่าที่อ่าน จขกท. สุดยอดเลยอ่ะ

จากคุณ : p_tham - [ 29 ส.ค. 48 15:17:07 ]






ความคิดเห็นที่ 20

นิตยสาร FLICKS เล่มใหม่ (หน้าปก THE CAVE) มีบทวิจารณ์ About Love โดย อ.กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน ลองอ่านกันดูนะครับ

จากคุณ : merveillesxx - [ 29 ส.ค. 48 21:22:50 ]






ความคิดเห็นที่ 21

คือเราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้วนะคะ แต่เหมือนเราตะหงิดๆว่าแฟนมิชิโกะ ชื่อ เท็ตจัง
ก็เลยคิดว่ายังงั้นน่ะค่ะ ^ ^"

ส่วนที่บอกว่าแฟนเก่าชูเฮไปพบรักกับแฟนเก่ามิชิโกะ (ซึ่งเราคิดว่าเป็น เท็ตจัง) ..อันนั้น เราก็ว่าใช่นะคะ

โอ๊ยย...คิดแล้วงง ----"----
ใครได้ข้อสรุปแล้วมาบอกกันมั่งเน้อ ^ ^

ป.ล. ชอบน้องซิ่วซิ่ว หน้าซีดมั่กๆ ฉากเธอร้องไห้ทำเอาหัวใจเราหวั่นไหวไปเลย ^ ^"

จากคุณ : RUBIS - [ 29 ส.ค. 48 22:28:42 ]






ความคิดเห็นที่ 22

เขียนดีจังเลยครับ..เก็บประเด็นเพิ่มเติมต่อยอดได้อย่างน่าทึ่งและน่าสนใจ คุณภาพวิธีการคิด การเขียนของคุณเข้าขั้นนักวิจารณ์อาชีพแล้วละ ผมตามอ่านงานคุณมาตลอดทุกชิ้น มันมีบรรยากาศของการสังเคราะห์สิ่งต่าง ๆ เชื่อมโยงเกิดเป็น "Idea" และที่สำคัญมันป็นการ "จุดประกาย"

keep writing นะครับ ผมจะ keep reading งานคุณเหมือนกัน 'ถ้าเฉลิมไทยขาดคุณผมก็ไม่รู้ว่าจะเข้ามาทำไม'

จากคุณ : buiberry (bui_berry) - [ 29 ส.ค. 48 23:00:01 ]






ความคิดเห็นที่ 23

แอบแซวๆ คริคริคริ

>>'ถ้าเฉลิมไทยขาดคุณผมก็ไม่รู้ว่าจะเข้ามาทำไม'

"เรื่องรักโลกาภิวัฒน์" เหมือนกัลลลล์

จากคุณ : RUBIS - [ 30 ส.ค. 48 21:07:57 ]






ความคิดเห็นที่ 24

ช่างคิดและช่างเขียนได้ดีจริงๆค่ะ

จากคุณ : psaksiamkul - [ 30 ส.ค. 48 23:06:53 ]


โดย: merveillesxx วันที่: 10 กันยายน 2548 เวลา:5:07:44 น.  

 
ถึงพี่เมอร์

เรื่องวาซาบินี่ ได้ดูทาง ubc ครับ ถ้าจำไม่ผิดชอง 7 ก็เคยนำมาฉาย หนังเรื่องนี้ผมดูคุณเรียวโกะอย่างเดียวครับ นอกเหนือจากนั่นไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจเป็นพิเศษครับ เฮะ ๆ


โดย: Nighty IP: 58.10.85.227 วันที่: 10 กันยายน 2548 เวลา:14:01:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.