เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหนังเรื่อง The Truth About Love (ที่นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ เลิฟ ฮิววิตต์) เพิ่งเข้ามาฉายในบ้านเรา หนังเรื่อง ความจริงเกี่ยวกับความรัก เล่าถึงหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเผชิญกับ ความจริง ที่ว่าแฟนหนุ่มของเธอกำลังคิดจะนอกใจเธอ และอีกนัยหนึ่งมันก็คือข้อเท็จจริงของชีวิตคู่ว่า การนอกใจ นั้นบางทีก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
เรามีหนังมากมายสารพัดที่บอกเล่าถึงความรักในแง่มุมต่างๆ หนังฟีลกู๊ดอย่าง Love Actually บอกกับเราว่าในโลกที่ผู้คนใช้ชีวิตด้วยความเกลียดชังและความเห็นแก่ตัว แท้จริงแล้วความรักก็ยังคงอยู่รายรอบตัวเราเสมอ (love actually is all around) ส่วนหนังฝรั่งเศสจิตแตกอย่าง Love Me If You Dare ก็บอกกับเราถึงความรักสุดพิสดารของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า ถ้าเธอจะรักฉัน เธอต้องกล้าด้วย ซึ่งคำว่า กล้า ในที่นี้ก็คือ การกล้าที่จะเล่นเกมของแต่ละฝ่ายไปพร้อมๆ กัน
แล้วหนังสามสัญชาติอย่าง About Love นั้นบอกเล่าอะไรกับเรา? ชื่อของหนังบอกอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับความรัก หากแต่ว่าความรักนั้นมีแง่มุมมากมายหลากหลายเหลือเกินสำหรับมนุษย์อย่างเราๆ มันมีทั้งมุมที่เห็นได้ชัดเจน มุมที่สว่างสดใส มุมที่มืดมิด ไปจนถึงมุมลี้ลับที่ใครบางคน ไม่มีวันเข้าไปถึง
แต่สิ่งที่ทำให้หนังตอนเซี่ยงไฮ้ และรวมถึงหนัง About Love รอดตัวไปอย่างฉลุยก็คือ ตอนจบ ของตอนนี้นั่นเอง เพราะมันทำให้อารมณ์ของผู้ชมพุ่งขึ้นไปจนถึงจุดขีดสุด (แต่ที่จริงแล้วตอนจบก็ยังมีข้อน่าตำหนิในการเน้นย้ำอารมณ์จนเกินควร)
ผมโยงใยฉากนี้กับฉากจบของ In The Mood For Love (2000) ของหว่องกาไว (อีกแล้ว) หนังทั้งสองเรื่องจบด้วย ซากปรักหักพัง เหมือนกัน ใน In The Mood For Love ก็คือนครวัต ซึ่งอาจจะแสดงถึงความสัมพันธ์ที่จบสิ้นไปแล้วเช่นกัน แต่อย่างแน่นอนมันบอกถึง หัวใจอันร้าวราน ของโจวมู่หวัน (เหลียงเฉาเหว่ย) และภาพที่เขากระซิบอะไรบางอย่างกับรูต้นไม้ ก็คือการระลึกถึงความหลังของเขากับเธอ เขาถ่ายทอดมันเพื่อเก็บซ่อนไว้ใน รูแห่งความลับ นั้น เพื่อจะลาจากมัน (ซึ่งเราทุกคนก็รู้แล้วว่า สุดท้ายเขาก็ทำไม่ได้)
ใน About Love ภาพสุดท้ายคือ ชูเฮกำลังทำท่าขว้างปาลูกเบสบอลในอากาศ เขาก็คงกำลังระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเช่นเดียวกับโจวมู่หวัน แต่ทว่ามันเป็นเพียงการโหยหากับความว่างเปล่า เพราะสิ่งนั้นได้หลุดลอยไปแล้ว
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่อง About Love ยิ่งน่าเศร้าไปอีกก็คือ หนังเริ่มต้นด้วย การพบเจอ ความทำความรู้จัก และ การใช้เวลาร่วมกัน
-- อัลบั้มโกอินเตอร์ของ Utada จะวางจำหน่ายที่อังกฤษในวันที่ 26 กันยายนนี้ หลังจากที่ขายในอเมริกาไปแล้ว โดยซิงเกิ้ลเปิดตัวคือ YOU MAKE ME WANT TO BE A MAN (เอ็มวี กำกับโดยสามีของเธอเอง) สามารถดูเอ็มวีนี้ได้ที่ //www.utada.com
-- 10 เพลงของ Utada Hikaru ที่ชอบมากที่สุด (นับเฉพาะอัลบั้มภาษาญี่ปุ่น) 1. Automatic (1) 2. Hikari (3) มิวสิกวิดีโอเพลงนี้เป็น Utada ล้างจาน! 3. Addicted to You (2) 4. Travelling (3) 5. Wait & See (2) 6. Tokyo Night (3) 7. Can You Keep a Secret? (2)
5. Endless Sorrow (4) 6. And Then (2) เพลงนี้เป็นเพลงของอายูมิ ที่ไม่ค่อยมีคนใส่ใจจำนัก แต่ผมชอบมากครับ 7. M (4) 8. Boys & Girls (2) 9. STEP you (single) 10. SURREAL (3)
(1) = A Song for XX (1999) / (2) = LOVEppears (1999) / (3) = Duty (2000) / (4) = I am (2002) / (5) = RAINBOW (2002) / (6) = Memorial Address (2003) / (7) = MY STORY (2004) อัลบั้มทุกชุดมีขายโดยค่าย RED BEAT
-- อัลบั้มรวมฮิตของ Bz คือ The Best Pleasure และ The Best Treasure ที่ออกมาเมื่อปี 1998 ติดอันดับ TOP10 อัลบั้มยอดขายสูงสุดตลอดกาลทั้งสองอัลบั้ม (ผมดันมีแต่แผ่นแรกแผ่นเดียว ก็เพราะดีครับ)
1.4 Gackt : Kimi no tame ni dakiru koto (2001) ถ้าจำไม่ผิดชื่อเพลงนี้จะมีความหมายว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำได้เพื่อเธอ และตัวเองก็มีแผ่นอิมพอร์ตจากญี่ปุ่นของซิลเกิ้ลนี้ด้วย คิดไปแล้วก็หนักใจพอสมควรเพราะแผ่นซิงเกิ้ลของญี่ปุ่นเอาไปดูหนังได้สบายๆ 6 เรื่องทีเดียว (ตกแผ่นละ 600 บาท)
เนื้อเพลง เถาวัลย์พันเลื้อย ร่างกายเน่าสลายจนเศษชิ้นส่วนแห่งความหลังหวนกลับไปสู่ผืนดิน แล้วคงจะได้กลายเป็นดอกไม้อีก Like a Marry Go Round & Round พบกันอีกในฤดูใบไม้ผลิ
1. Utada Hikaru - First Love (1999) 7,650,000 2. B'z - B'z The Best "Pleasure" (1998) 5,120,000 3. Glay - REVIEW~BEST OF GLAY (1998) 4,870,000 4. Utada Hikaru - Distance (2001) 4,460,000 5. B'z - B'z The Best "Treasure" (1998) 4,450,000 6. Ayumi Hamasaki - A BEST (2001) 4,290,000 7. globe - globe (1996) 4,130,000 8. Utada Hikaru - Deep River (2002) 3,600,000 9. Mai Kuraki - delicious way (2000) 3,530,000 10. Every Little Thing - Time to Destination (1998) 3,520,000
อัลบั้มที่เคยฟัง จาก 10 อันดับข้างบน Utada Hikaru : Deep River (A+) Utada Hikaru : Distance (A) Utada Hikaru : First Love (A) globe : globe (A) B'z : Best Pleasure (A) Ayumi Hamasaki : A BEST (A)
-- ส่วนชุดที่ชอบที่สุดคือ Very (1993, A+++) ครับ อัลบั้มชุดนี้ติด 10 อัลบั้มเพลงสากลในดวงใจตลาดกาลของผมด้วย
-- 10 เพลงของ Pet Shop Boys ที่ชอบมากที่สุด 1. I dont know what you want but I cant give it anymore - ชอบชื่อเพลงนี้จังเลย 2. Go West - ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมเพลงนี้ถึงกลายเป็นเพลงประกอบข่าวกีฬาช่อง 7 ได้อยู่พักนึง 3. Liberation 4. On Denial - เพลงนี้อยู่ในชุด Nightlife โดย PSB ดูเอทกับ Kylie Minogue เนื้อหาว่าด้วยพ่อที่ปฏิเสธกับลูกสาวว่าตัวเองเป็นเกย์ 5. Can you forgive her? 6. Where the streets have no name (I cant take my eyes off you) 7. New York City Boy 8. Left to my own devices 9. Home & Dry 10. Its alright
------------------------------------------
2.2 Duran Duran : Dont Say A Prayer For Me (ไม่แน่ใจชื่อเพลงเท่าไร) ไม่ค่อยได้ฟังดูแรน ดูแรน เลย แต่ชอบเพลง Come Undone กับ Ordinary World มากๆ
2.3 Saint Eitene : Who do you think you are? เพิ่งซื้ออัลบั้มใหม่ของวงนี้มา ยังไม่ค่อยได้ฟังเท่าไรเลย
2.4 Swing Out Sister : Not Go Away
2.5 Human League : Dont You Want Me รู้จักเพลงนี้ครั้งแรกเพราะ Jame Iha กับ Meliisa Auf Der Marl (ผมเขียนนามสกุลเธอผิดแน่นอน) แห่งวง Smashing Pumpkins (ในตอนนั้น) เอาเพลงนี้มาเล่นในคอนเสิร์ต
2.6 Soft Cell : Tainted Love ส่วนเพลงนี้มารู้จักตอน Marilyn Manson เอามา COVER ใหม่ (ฮา)
2.7 R.E.M : Everybody hearts
2.8 Melody Club : Baby ว่าจะซื้อ CD ของวงนี้ตั้งนานแล้ว ลืมทุกทีเลย
2.9 New Order : Blue Monday ชอบทั้งเวอร์ชันนี้ แล้วก็เวอร์ชันที่วง Orgy เอาทำใหม่แบบเมาๆ (วงนี้หายไปไหนแล้วล่ะเนี่ย?)
2.10 New Order : Bizarre Love Triangle ยังจำกันได้หรือเปล่าว่า อัลบั้ม Z-Myx Zigma ของคุณสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ (เมื่อไรจะออกอัลบั้มใหม่ซะทีคะคุณขา หนูรอจนเหงือกยานแล้วค่ะ) มีเพลงอยู่ด้วย โดยเป็นเวอร์ชั่น นภ พรชำนิ ร้อง
-- ไม่ค่อยได้ฟัง New Order จริงจังเท่าไร แต่ก็ดันเสร่อมี BOX SET ชุด RETRO ของวงนี้ด้วย ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าซื้อเข้าไปได้ยังไง หยิบขึ้นมาดูแล้ว เห็นป้ายราคาแล้วแทบลมจับ แถมไม่ค่อยได้หยิบมาฟังเท่าไรเลย โธ่
-- สิ่งที่จำได้แม่นก็คือ ตอนเดินไปจ่ายตังค์กับคนขาย เขาพูดว่า พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เด็กรุ่นน้องฟัง New Order ด้วย (ตอนที่ซื้อ BOX SET ชุดนี้ ผมอยู่ประมาณ ม.5-6 ครับ)
-- 5 เพลงของ New Order ที่ชอบที่สุด 1. Crystal เพลงแรกที่รู้จักกัน มิวสิกวิดีโอสุดยอดมาก ดูกี่ทีก็ไม่เบื่อ 2. Here To Stay 3. Blue Monday 4. Bizarre Love Triangle 5. True Faith
-------------------------------------------
2.11 Depeche Mode : Strange Love 2.12 Depeche Mode : Question of Lust
-- Depeche Mode ก็เป็นอีกวงที่ผมชอบมากครับ แต่ว่าไปก็ตลกที่ว่าทั้งบ้านผมเนี่ยมีอัลบั้มของวงนี้แค่ชุดเดียว นั่นก็คือ The Singles 86>98 (แถมซื้อเป็นแผ่น USED จากร้าน CD WAREHOUSE อีกต่างหาก) แผ่นนี้คุ้มมากจริงๆ ฟังจนสึกเลย แหะแหะ
-- ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ซื้ออัลบั้ม REMIX ของ Depeche Mode เลย ออกมาเป็นชาติแล้ว
-- 5 เพลงของ Depeche Mode ที่ชอบที่สุด 1. Enjoy The Silence ถ้าจำไม่ผิดได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกจากรายการ GET RETRO ของคุณซอนนี่ 2. Everything Counts 3. Peronal Jesus เมื่อปีที่แล้ว Marilyn Manson เอาเพลงนี้ไป COVER ด้วย (อีกแล้ว) 4. A Question of Lust 5. Strangelove
ว่าแล้วก็ยิ่งเซ็ง เพิ่งสรุปในตอนจบในบทความที่เขียนถึง About Love ไปว่า รู้สึกดีกับอะไรที่มีความเป้น โลกาภิวัตน์ หรืออะไรประมาณนั้น แต่มาเจอเทคโนโลยีสารเลวแบบนี้เข้าไป...
- The Day I Became a Woman (หนังอิหร่านสุดดังเรื่องนี้ตอนแรกจะมาฉายใน Little Big Film Project 9 ครับ แต่เกิดปัญหาส่งฟิล์มไม่ทัน เลยเอาเรื่อง Electric Shadow มาเสียบแทน)
- Dark Water (เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ เหมือนมาช่า คือยิ่งแก่ยิ่งสวย)
- Shining Boy & Little Randy (ตอนนี้ไม่ได้อยากดูหนังเพราะน้องยูยะอีกต่อไปแล้ว แต่เพราะน้องยู อาโออิ ต่างหาก อิอิอิ)
-- เพลงที่ชอบมากๆ ในอัลบั้มนี้ได้แก่ Put 'Em Up / SO CRAZY (เพลงนี้เป็นเพลงเนื้อหา 'บ้าผู้ชาย' ที่จังหวะมันส์มากๆ) / LOVEBITE / shine more / Come / Wishing On The Same Star (รู้สึกว่าเพลงนี้ เป็นเพลงธีมของหนังญี่ปุ่นเรื่องนึงด้วย แต่จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว)
-- ว่าแล้วก็เสียดายจังเลยที่ไม่ได้ไปงาน MTV ASIA AID เมื่อตอนต้นปี เพราะว่างานนั้น Namie Amuro ก็มาขึ้นเวทีด้วย
หลังจากโพสต์ครั้งนี้ไป ผมอาจจะหายหน้าไปพักนึงนะครับ เพราะว่ามีสอบวันอาทิตย์ที่ 4 กันยา นี้ครับ (เพราะงั้น Charlie and the Chocolate Factory และ The Day I Become a Woman คงต้องยกยอดไปดูอาทิตย์หน้าเลยครับ) ขอให้พี่แมดเดอลีน และทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน ดูหนังให้สนุกนะครับ ไปดูอะไรกันมาก็เล่าสู่กันฟังนะครับ
รูปคนหล่อปิดท้าย Bernard Butler มือกีต้าร์ ที่น้อง mer รักที่สุดในโลก //www.rockreviews.net/albums/peoplemoveon.jpg
หนังพี่ไฉ้หมิงเลี่ยง ร้านพี่แว่นทำออกมาทุกเรื่องแล้วครับ ผมดูไปแค่สองเรื่องเองครับ คือ What Time is it There? (A+) และ Goodbye Dragon Inn (A)
ไฉ้หมิงเลี่ยงจะมาร่วมงานเทศกาลหนังในเดือนตุลาคมด้วยครับ รวมถึงจะมีหนังเรื่อง The Wayward Cloud ของเขามาฉายด้วย
รายชื่อหนังของไฉ้หมิงเลี่ยงที่หาซื้อได้แล้วในบ้านเรา Rebels of the Neon God Vive L'Amour The River The Hole What Time Is It There? Goodbye, Dragon Inn The Wayward Cloud
ทั้งนี้หาลืมหา The Missing (A+) ที่กำกับโดย หลี่คังเซิง นักแสดงคู่บุญของ ไฉ้หมิงเลี่ยงมาดูด้วยนะครับ
Goddbye Dragon Inn และ The Missingเคยมาฉายในบ้านเราเมื่อเทศกาล BKKIFF ปี 2004
The Wayward Cloud / ไฉ้หมิงเลี่ยง (กรี๊ด...ขอกรี๊ดตามประสาคนยังไม่ได้ดู)
Time To Live / ฟรองซัวส์ โอซอง (กรี๊ด...อีกที)
I Am A xxxAddict (2005, Caveh Zahedi, USA)
The Great Journey (2004, Ismael Ferrouji, France, Morocco)
Distant / Uzak (A+) หนังตุรกีเรื่องนี้เคยมาฉายในงาน BKKIFF ปี 2004 นักแสดงนำชายทั้งสองคนได้รางวัลจากคานส์ (แต่คนหนึ่งเสียชีวิตไปซะแล้ว)
Schultze Gets The Blues (2003, Michel Schorr) หนังเยอรมันเรื่องนี้เพิ่งมาฉายบ้านเราในเทศกาลหนังยุโรป เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา (แต่ผมพลาด ไม่ได้ดูครับ)
Cuban Music (2004, German Kral)
Step Forward (2004, Elia K. Schneider)
-- เทศกาลปีนี้จะมีการทดลองจัด "เรทภาพยนตร์" ด้วย คาดว่าสาเหตุมาจากเรื่อง The Wayward Cloud (ฮา) //www.worldfilmbkk.com/about/news/view.php?newsid=18
การแสดงของพระเอก (จำชื่อไม่ได้ แต่พระเอกคนเดียวกับเรื่อง Christmas in August และ Tell Me Something) และลีอึนจู ถือว่าเป็นการแสดงในระดับสุดยอด (โดยเฉพาะช่วงท้ายของหนัง)
โอ อยากดูหนังเกาหลี ที่พระเอก Chrismas in August เล่น
ตอนแรกว่าจะดู The Day I Became a Woman เหมือนกัน และคิดว่ามันคงเป็นหนังดีจริงๆ แต่เบื่อๆ หนังอิหร่านตรงที่ มันจะต้องมี Stereotype ชุดหนึ่งคือ ชีวิตรันทดและผู้หญิงจะต้องถูกกดขี่
ชีวิตจริงดิฉันรันทดพอแล้ว เลยหนีโลกไปเข้าโรงงานช็อคโกแล็ต เพื่อดูหน้าตากระแดะของเฮียเด็ปป์ในเรื่องนี้ ชอบจริงๆ เฮียแกปั้นหน้าแบบคนที่จะดีก็ไม่ใช่ จะร้ายก็ไม่เชิงได้ใจดิฉันมาก แต่เฮียเด็ปป์เล่นอะไร ก็ถูกใจดิฉันหมดแหล่ะ ขนาดแต่งสาวออกมาหนึ่งแว่บใน Before Night Falls ดิฉันยังกรี๊ดซ้า
ถึงจะสอบชุกยังไง รายงานมากขนาดไหน ก็ได้ดูหนังตลอดเวลา ชีวิตมีทางเลือกอยู่นา โชคดีกับสอบ Final นะจ๊ะ
Bjork เคยได้รับรางวัล Best Actress ของคานส์ จากหนังเรื่อง Dancer in the Dark (2000, ลาส วอน เทียร์, A+++++) หนังเรื่องนี้เป็น 1 ใน 10 หนังที่ผมชอบที่สุดในชีวิต และไม่คิดจะดูอีกรอบโดยเด็ดขาด
2. Pet Shop Boys : Battleship Potemkin
โจทย์ของอัลบั้มชุดนี้ก็คือ ให้ Pet Shop Boys ทำ 'เพลงประกอบ' ให้กับหนังเรื่อง Battleship Potemkin (1925, Sergei M. Eisenstein, A) นั่นเอง โดยอัลบั้มชุดนี้มีแนวเพลงเป็นส่วนผสมของ อิเล็กโทรนิก วงเครื่องสาย และวงออเครสตร้า
11 กันยายน 2548 American Holidays ตอน Naughty and Bitchy (สาวแสบ)
1.00 PM: The Lady Eve (1941) / Preston Sturges นำแสดงโดย เฮนรี่ ฟอนด้า ในบทหนุ่มลูกเศรษฐีที่เก่งเรื่องงาน แต่กลับอ่อนโลกโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงเสียเหลือเกิน และเมื่อสาวนักตุ๋น (บาบาร่า สแตนวิค) มาจ๊ะเอ๋เขาเข้า อะไรจะเกิดขึ้นเล่า ถ้าไม่ใช่ความสนุก (หนังพูดอังกฤษและมีคำบรรยายอังกฤษ)
3.00 PM: The Women (1939) / George Cukor หนังชุมนุมดาราสาวอเมริกันว่าด้วยเรื่องแบบผู้หญิง ๆ ซึ่งคุยเรื่องคนตัวผู้ตลอดเรื่อง แต่ทั้งเรื่องไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของพวกเขาเลย หนังสร้างจากบทละครเวทียอดฮิตของ Clare Boothe กำกับโดยผู้กำกับรางวัลออสการ์จาก A Star Is Born (หนังพูดอังกฤษและมีคำบรรยายอังกฤษ)
----------------------------------------
18 กันยายน 2548 Abstract Cinema
1.00 PM: In the Shadow of the Sun
3.00 PM: Curtains + The Art of Mirrors หนังในชุดนามธรรมนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ต้องการตัวละคร เนื้อเรื่อง จุดเริ่มต้น จุดคลี่คลาย หรือบทสรุป จิตรกรวาดภาพเขียนโดยใช้แรงบันดาลใจใต้จิตสำนึกฉันใด คนทำหนังก็สามารถสานต่อจินตนาการไร้ขอบเขตของตัวเองได้ด้วยฉันนั้น เพียงแต่ว่าภาพเขียนนามธรรมนี้สามารถเคลื่อนไหวได้!!!!
เรื่อง In the Shadow of the Sun กับ The Art of Mirrors เป็นงานของดีเร็ค จาร์แมน ศิลปินที่ได้รับรางวัล Turner Prize ในวงการศิลปกรรมและได้รับรางวัลจากการกำกับภาพยนตร์อีกมากมาย ผลงานของเขาอาจฉายอยู่ในแวดวงจำกัด แต่หลังจากเขาเสียชีวิตไปเพราะโรคเอดส์ วงการหนังอังกฤษที่เคยดูแคลนศิลปินเกย์นอกคอกคนนี้ก็ต้องยอมรับตัวเขาในที่สุด
1.00 PM: The Thief (1952) / Russell Rouse ด็อกเตอร์ Allan Fields นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันทำงานให้กับสถาบัน Atomic Energy Commission ณ กรุง Washington DC แม้ภายนอกแล้ว ด็อกเตอร์ Allan จะดูเป็นนักวิจัยหน้าซื่อไร้พิษภัย ที่วัน ๆ ก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการทดลอง แต่จริง ๆ แล้ว เขากลับเป็นสายลับที่แอบลักลอบขโมยสูตรลับทางควอนตัมฟิสิกส์ของสถาบันไปขายให้กับอริสงครามเย็นอย่างสหภาพโซเวียต เมื่อหนึ่งในกลุ่มสายลับเกิดประสบอุบัติเหตุจนเจ้าหน้าที่ตำรวจพบแผ่นไมโครฟิล์มที่ ดอกเตอร์ Allan ได้แอบถ่ายจากห้องทำงานของด็อกเตอร์อีกท่านหนึ่ง ทางการจึงต้องสืบสาวราวเรื่องหาที่มาของแผ่นฟิล์มปริศนาซึ่งเกือบจะกลายเป็นความลับรั่วไหลที่สามารถสร้างความหายนะแก่ประเทศได้ในชั่วพริบตา!
ในหนังเรื่อง My Sassy Girl (2001, กวักแจยอง, A-) ฉากที่นางเอก (ยัยตัวร้าย) เล่าบทละครของตัวเองให้พระเอก (นายเจี๋ยมเจี้ยม) ฟัง เธอบอกว่าพระเอก-นางเอกของหนังต้องเป็น Han Suk-kyu และ Shim Eun-ha
ตลกดีว่าหนังเรื่อง Tell Me Something (1999, Yoon-Hyun Chang, A-) เหมือนเป็นการกลับมาแก้แค้นของ Shim Eun-ha หลังจากที่ใน Chirstmas in august ฝ่าย Han Suk-kyu ทิ้งให้เธออยู่คนเดียว
สิ่งที่ชอบมากๆ ในเรื่อง Tell Me Something คือการใช้เพลงของวง PLACEBO
Tell Me Something เคยมาฉายในบ้านเราที่ลิโด้
-- พูดถึงหนังเกาหลีแล้ว ตอนนี้อยากดูมากๆ สองเรื่องก็คือ 1. April Snow ของ เฮอร์จินโฮ (มีค่ายหนังซื้อมาแล้ว..เย้) 2. Sympathy for Lady Vengeance ของพักชานวู
-- รู้สึกว่า The Day I Became a Woman ไม่ได้มีอะไรบีบคั้นอารมณ์ของคนดูเลย แต่ดูจบแล้วก็รู้สึกเศร้าๆ
-- มีเพื่อนตั้งข้อสังเกตใน Charlie and the Chocolate Factory ว่า เราไม่รู้สึก "หยึ่ย" กับประเด็นครอบครัวในหนังเรื่องนี้ เพราะว่า ตัวละครในหนังได้รู้สึก "หยึ่ย" ไปก่อนหน้าเราแล้ว
ชอบนะคะ..แต่ไม่ถึงกับรัก
ชอบช็อตเรื่องการสื่อด้วยภาพในบางช็อตด้วย
แต่เราว่าเขาละเลยรายละเอียดบางอย่างน่ะค่ะ
เพลงตอนจบเพราะอย่างคุณว่าจริงๆ แหละค่ะ