นี่คือเพลง Just My Imagination ของวง The Cranberries (เพลงนี้ไม่ได้มีแค่เพลง Zombie หรอกนะ) เพลงนี้เป็นเพลงของ The Cranberries ที่ผมชอบมาก พอๆ กับ Ode to my Family
Artist: The Cranberries Song: Just My Imagination Album: Bury the Hatchet (1999)
There was a game we used to play We would hit the town on friday night And stay in bed until sunday We used to be so free We were living for the love we had and Living not for reality
It was just my imagination x3 There was a time I used to pray I have always kept my faith in love Its the greatest thing from the man above The game I used to play Ive always put my cards upon the table Let it never be said that Id be unstable
It was just my imagination x3
There is a game I like to play I like to hit the town on friday night And stay in bed until sunday Well always be this free We will be living for the love we have Living not for reality
ขอบคุณสำหรับลิสต์เพลงมากมาย ยังไม่มีเวลาฟัง แต่ชอบชื่อเพลง After The Love Has Gone ของ Earth, Wind & Fire มากๆ (ถ้าจำไม่ผิดเคยฟังเพลงนี้แล้วนะ แต่จำไม่ได้แล้วว่ามันเป็นยังไง)
ต้องออกตัวก่อนเลยครับว่าผมเองก็ไม่ใช่คนมีไอเดียบรรเจิดอะไรมากมาย (แต่ผมมักมีไอเดียบรรเจิดในด้านชั่วๆ หรือการสร้างความชิบหาย อย่างเช่นบทหนังเรื่อง Things You Can't Tell Just by Looking at Her Breasts เอ๊ย Eyes เป็นต้น) ดังนั้นอย่าเชื่อผมมากเลยครับ อีกอย่างผมเองก็ไม่เคยเขียนบทหนังอย่างจริงจังด้วย
รู้สึกว่า AE FOND KISS อาจจะไม่ ดี เท่า THE WIND THAT SHAKES THE BARLEY (2006, KEN LOACH, A+) แต่ก็ชอบ AE FOND KISS อย่างมากๆอยู่ดี อย่างไรก็ดี หนังที่ชอบที่สุดของ KEN LOACH ยังคงเป็น CARLAS SONG
And, 13 years after Edward had given up his throne to marry her, the duchess reportedly embarked on an affair with Jimmy Donahue, a playboy grandson of the stores mogul, FW Woolworth.
She was 54, he was 34, homosexual, outrageous and promiscuous.
1.8 THE HEART IS ELSEWHERE (2003, PUPI AVATI, A+) //ec1.images-amazon.com/images/P/B000ELJA6U.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V54584871_.jpg
1.9 THE BEWITCHING BRAID (1996, YUANYUAN CAI, A+)
1.10 ALI: FEAR EATS THE SOUL (1974, RAINER WERNER FASSBINDER, A)
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชอบ THE WIND THAT SHAKES THE BARLEY กับ SAY HELLO TO PEACE AND TRANQUILITY เพิ่มขึ้นอย่างมากๆ
4.THE DEVIL WEARS PRADA (2006, DAVID FRANKEL, A)
ชอบชีวิตการทำงานในหนังเรื่องนี้มาก รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ตอบสนองความฝันของดิฉันได้ไม่เท่า 13 GOING ON 30 (GARY WINICK, A+) แต่หนังเรื่องนี้ก็นำเสนอชีวิตการทำงานได้สมจริงกว่า 13 GOING ON 30
EMILY BLUNT จาก MY SUMMER OF LOVE (2004, PAWEL PAWLIKOWSKI, A+) แสดงได้ยอดเยี่ยมมากๆเลยค่ะในบทเพื่อนร่วมงานนางเอกใน THE DEVIL WEARS PRADA ดิฉันขอเอาใจช่วยให้ EMILY BLUNT ได้ก้าวขึ้นมาเป็น KATE WINSLET คนใหม่ และก็ขอเอาใจช่วยให้ NATHALIE PRESS นางเอกอีกคนของ MY SUMMER OF LOVE ได้ก้าวขึ้นมาเป็น TILDA SWINTON คนใหม่
MY SUMMER OF LOVE //pub.tv2.no/multimedia/na/archive/00199/my_summer_of_love_199487g.jpg
5.THE BEYOND (LUCIO FULCI, A)
วันเสาร์ที่ผ่านมาไปที่สมาคมฝรั่งเศสเพื่อจะดูหนังเรื่อง AALTRA ปรากฏว่าหนังงดฉายกะทันหัน และทางโรงภาพยนตร์เปลี่ยนมาฉายเรื่อง A COMMON THREAD แทน ซึ่งทั้งดิฉันและคุณลูน่า จังเคยดูเรื่อง A COMMON THREAD แล้ว เราก็เลยหัวเสียมากที่อุตส่าห์ถ่อมาดูหนังแล้วไม่ได้ดู ก็เลยไปซื้อดีวีดีที่สีลมมาดูเพื่อเป็นการระบายอารมณ์ แล้วก็เลยได้เรื่อง THE BEYOND มา
THE BEYOND เป็นหนึ่งในหนังที่มีเนื้อเรื่องห่วยแตกที่สุดในชีวิต หนังทั้งเรื่องเหมือนกับเป็น FOUND FOOTAGE หรือเป็นการตัดฉาก CLICHE จากหนังสยองขวัญหลายๆเรื่องมาต่อเข้าด้วยกัน โดยที่เนื้อเรื่องแทบไม่ปะติดปะต่อกัน ดูแล้วรู้สึกว่าฮามาก หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ไม่มีเหตุผลหรือคำอธิบายอะไรอีกต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ THE BEYOND จะเป็นหนังที่ ไร้สาระ ที่สุด แต่ก็รู้สึกเพลิดเพลินกับ สไตล์ ของหนังอย่างมากๆ รู้สึกชอบการจัดแสง, ฉาก, จังหวะ, บุคลิกตัวละครหญิง และดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้มาก ดนตรีประกอบบางฉาก อย่างเช่นฉากกองทัพแมงมุมกินคนในห้องสมุด ฟังแล้วทำให้นึกถึงวงอย่าง THE ORB หรือ ORBITAL อย่างมากๆ
ฉากที่ชอบที่สุดใน THE BEYOND คือฉากหญิงตาบอดวิ่งเตลิดออกจากบ้านนางเอกไปพร้อมกับสุนัขคู่ใจ แล้วอยู่ดีๆนางเอกก็ทำอาการเคลิ้ม แล้วหนังก็ REPLAY ภาพผู้หญิงตาบอดวิ่งเตลิดติดต่อกัน 3-4 ครั้งโดยไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น
THE BEYOND ทำให้เห็นจุดเด่นของผู้กำกับหนังสยองขวัญยุคนั้นของยุโรป เพราะหนังสยองขวัญยุคนั้นมีจุดเด่นที่ สไตล์ ทั้งด้านภาพ, เสียง, บรรยากาศ ในขณะที่เนื้อเรื่องมักจะไม่ค่อยมีเหตุผลรองรับมากเท่ากับหนังสยองขวัญยุคปัจจุบัน
ไม่รู้จะมีโอกาสได้ดู Ae Fond Kiss มั้ย แต่รู้สึกเสียดายมากๆ ที่(น่าจะ)อดดูผลงานของ เคน โลช ทั้ง 2 เรื่องเลย (Ae Fond Kiss, The Wind That Shakes the Barley)
จำไม่ได้เลยว่าเพื่อนร่วมงานของนางเอกในเรื่อง The Devil Wears Prada คือ EMILY BLUNT แต่เห็นด้วยกับข้อความที่ว่า "ขอเอาใจช่วยให้ NATHALIE PRESS นางเอกอีกคนของ MY SUMMER OF LOVE ได้ก้าวขึ้นมาเป็น TILDA SWINTON คนใหม่" มากๆ รู้สึกว่าเธอเฮี้ยนดี
Thu 12 Oct 2006 สอบ Industrial Economics 9.00-12.00 15.00 Konigs Sphere + Anastasia (Grand EGV) 17.30 Just Do It (Paragon) 19.40 First Love + Underground Passage (Grand EGV)
Fri 13 Oct 2006 14.00 weg (Grand EGV) 16.20 Grizzly Man (Major WTC) 18.50 Personnel + The Calm (Grand EGV) วิ่งกลับไปกลับมา
Sat 14 Oct 2005 อดดูหนังเพราะเรียน TOEFL 13.00-19.30
Sun 15 Oct 2006 อดดูหนังอีกเช่นกัน เพราะต้องอ่านหนังสือสอบ
Mon 16 Oct 2006 สอบ International Film 13.00-16.00 17.30 Tragedy of a Ridiculous Man (Major WTC) 20.10 The Lovers of Marona (Paragon)
Tue 17 Oct 2006 15.00 Arizona Sun (Major WTC) 17.20 Short Working Day (Grand EGV) 19.20 Taking Back the Waves + A Man Thing (Grand EGV)
Wed 18 Oct 2006 14.00 More Than 1,000 Words (Grand EGV) 16.30 Climate (Paragon) 19.30 12:08 East of Bucharest (Grand EGV)
Thu 19 Oct 2006 13.00 Chicha tu Madre (Major WTC) 15.10 Close to Home (Grand EGV) 18.00 Thai Indie Short Film: LIGHT(Grand EGV) 20.30 Isabella (Paragon)
Fri 20 Oct 2006 13.00 The Right of the Weakest (Grand EGV) 15.30 Thai Indie Short Film: STRONG (Grand EGV) 17.40 Seeds of Doubt (Major WTC) 19.40 Ode to Joy (Major WTC)
Sat 21 Oct 2006 เรียน TOEFL 13.00-19.30 มาลุ้นกันว่าจะถ่อไปดู Breakfast on Pluto รอบ 20.20 ที่ Grand EGV ทันหรือไม่
Sun 22 Oct 2006 เริ่มเรียนคอร์ส Grammar 9.00-12.00 (ชีวิตกรูเรียนอะไรนักหนาวะเนี่ย) 13.00 The Dragon House (Paragon) 15.20 Cease Fire (Paragon) 17.40 Sketches of Frank Gehry (Paragon) 19.30 The Caiman (Major WTC)
Sun 23 Oct 2006 ช่วงเช้าถึงเย็นเก็บหนังนอกเทศกาล 19.00 Battleship Potemkin (Major WTC)
18-29 Oct 2006 งานหนังสือ (มาอีกแล้วเหรอวะเนี่ย??)
ข่าว / บทความ / เวบไซต์ที่น่าสนใจ
1. สัมมนาเรื่อง ธรรมนูญ พ.ศ. 2549 กับการปฏิรูปการเมือง วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2549 เวลา 13.30 น. ณ ห้องบรรยาย ศ.101 ชั้น 1 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
//www.econ.tu.ac.th/announce/2549/อภิปราย%209%20ตค(1).49.pdf
2. อภิชาต สถิตนิรามัย: ถ้าคุณเลือกสนับสนุนรัฐประหาร คุณก็อย่าเรียกตัวเองว่าเป็นนักประชาธิปไตย หรือเป็นเสรีนิยมทางการเมือง
//www.onopen.com/2006/editor-spaces/984
3. Yoshiki (X-Japan) โกอินเตอร์ทำเพลงให้หนังฮอลลีวู้ด
//www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9490000122241
4. ดูตารางฉายเทศกาลหนัง 4th World Film Festvial ได้ที่
//visuallyyours.exteen.com/20061001/entry
5. ชอบเวบนี้มากๆ ที่คือสววรค์อย่างแท้จริง!
Asian Idol Gallery (โปรดสังเกตมี เป้ย-ปานวาด ด้วย)
//www.kineda.com/?p=132
------------------------------
หนังที่ได้ดูช่วงนี้
01. Earthcore (2006, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, A+)
02. 12 (2006, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, A+)
03. Death Note (2006, Shusuke Kaneko, A-)
อย่าแปลกใจถ้าต่อไปนี้คุณจะเห็นคนลุกขึ้นมาทาขอบตาเสีดำ ใส่เสื้อยืดตัวโคร่งๆ ชอบนั่งยองๆ หรือกระทั่งหยิบโทรศัพท์ด้วยท่าพิสดาร เพราะนี่คือผลจากตัวละคร L ในหนังเรื่องนี้นั่นแหละ
ถ้าเทียบแล้ว คงต้องบอกว่าชอบหนังสือการ์ตูนมากกว่า (โดยตัดปัจจัยเรื่อง ไลท์หน้ากระด้ง เตาอังโล่ไปแล้ว) ด้วยเรื่องที่ว่าหนังสือนั้นสามารถแสดงให้เราเห็นได้มากกว่าว่าทำไมเด็กหนุ่มชาญฉลาดอย่างไลท์ถึงวิปริตไปได้ถึงขนาดนั้น แต่ด้วยข้อจำกัดของสื่อภาพยนตร์หนังจึงทำให้คนดูเชื่อในจุดนี้ไม่ได้
ที่จริงแล้วหนังสามารถกดดันคนดูได้มากกว่านี้ หรือกลายเป็นหนังที่มืดมนได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม นี่คือหนังบล็อกบัสเตอร์ การสร้างจากการ์ตูนแบบช่องต่อช่อง คือการเพลย์เซฟ และนี่ก็เป็นหนังที่ดูสนุกดี
ปล.1 มิสะมิสะน่ารักมาก หุหุหุ (ขอหัวเราะแบบโอตาคุหน่อยนะ)
ปล.2 หากต้องการหลีกเลี่ยงกับเหล่าแฟนคลับของการ์ตูนเรื่องนี้ กรุณาไปดูที่โรงหนัง House RCA
-----------------------------
เพลงที่ได้ฟังในช่วงนี้
1. Halation: missing -something-always-missing-always- (2006, A++++++++++++)
ตอนนี้อัลบั้มชุดนี้คือ ตัวเต็งอัลบั้มที่ผมชอบเป็นอันดับหนึ่งของปีนี้ แซงหน้าอัลบั้มของ Muse, Keane หรือ Utada ไปแล้ว
Halation คือใคร? เขาคือ Junji มือเบสของวง Laputa วงเจร็อคทำเพลงดี แต่ไม่ค่อยดัง เขาคนนี้นี่แหละที่ทำให้ Laputa ก้าวข้ามพ้นยุคสหัสวรรษใหม่มาได้ ด้วยการเปลี่ยนแนวเพลงจากเพลงร็อคธรรมดาๆ กลายเป็นเพลงป็อป-ร็อคที่เต็มไปด้วยเสียงสังเคราะห์อันล้ำสมัย หรือกระทั่งเพลงที่ทำลายโครงสร้างอันเป็นแบบแผนของเพลงเจร็อคทั่วไป
หลังจาก Laputa แตกวง Junji ทำงานเดี่ยวนำนามของ Halation ปีที่แล้วเขามีอัลบั้มชุด down to the wire ออกมา อย่างที่คาดไว้ มันเต็มไปด้วยเพลงที่แสดงถึงแนวทางอันชัดเจนของเขาเอง ซาวด์แบบอิเล็กทรอนิก-เทคโน ตั้งแต่ดำมืด ลึกลับ สนุกสนาน ไปจนถึงเปรี้ยวแตกถูกบรรจุไว้เต็มพิกัด
ปีนี้ Halation กลับมากับมินิอัลบั้มชื่อประหลาด จำนวนเพลงลดเหลือแค่ 6 เพลง แต่สิ่งได้มาคือ ความกลมกลืน ทุกเพลงในอัลบั้มนี้มีความโดดเด่นในตัวของมันเอง แต่ก็ถูกหลอมเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสมบูรณ์ Junji ให้เสียงร้องเองมากขึ้นกว่าชุดก่อน (เขาร้องเองเกือบทุกเพลง) และยังคงมีเสียงคอรัสจากหญิงสาวปริศนาเป็นเงาเสียงสุดบรรเจิด ดูเหมือนว่า Junji จะค้นพบแล้วว่าวิถีทางใดที่จะทำให้ท่องทำนองจากสมองอัจฉริยะของเขาสอดคล้องไปกับเสียงร้องของตัวเองได้
โดยสรุปความ อัลบั้มชุดนี้คือ ความเปล่งประกาย รัศมีแสงเจิดจรัสของมันคือของขวัญล้ำค่าแก่ผู้ฟัง
ใน youtube ไม่มีเพลงของ Halation แต่มีเพลง Ticker ของ Laputa ที่แต่งทำนองโดย Junji ลองฟังกันดูนะครับ แถมมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ยังสวยมากๆ (ไปถ่ายทำกันกลางทะเลทราย)
Laputa: Ticker
//www.youtube.com/watch?v=n5N4rwacw-E
2. GYM: Fever & Future (2006, A)
ชอบเพลงนี้ เพราะมีแต่เพลง J-pop ที่สร้างทำนองแบบนี้ได้ ถึงแม้เนื้อเพลงเพลงนี้จะติงต๊องขนาดไหนก็ตาม (เนื้อเพลงท่อนแรกแปลได้ประมาณว่า เมื่อลองปากระป๋องน้ำอัดลมเปล่าออกไปดู ปรากฏว่ามันลงเข้าถังขยะพอดีเลย ก็เลยคิดว่าถ้าทำอะไรด้วยความสบายใจแล้ว อาจจะเจอกับอะไรดีๆก็ได้ โอ้ นี่มันอะไรกัน ????)
ดูมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ได้ที่
//www.youtube.com/watch?v=2MPQID6u7eg
3. BoA: Key of Heart (2006, B+)
4. LArc-en-Ciel: Heart (1998, A+)
เคยฟังอัลบั้มนี้ตั้งแต่สมัย ม.3 อยากได้ซีดีมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะมาได้เอาป่านนี้เอง
นี่เป็นอัลบั้มของ LArc-en-Ciel ที่ชอบมากที่สุด มีเพลงโปรดมากมายอย่าง LORELEY, winter fall, Niji และ fate ซึ่ง LArc คงไม่มีวันทำเพลงแบบนี้อีกแล้ว