http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
All Blogs
 
Earthcore + 12 : Just My Imagination

โดย merveillesxx




ผมไม่ได้ดูหนังมาเกือบสองอาทิตย์แล้วครับ

ไม่ใช่ว่าเบื่อการดูหนังนะครับ แต่ช่วงนี้ผมยุ่งมากเลยครับ ไหนจะใกล้สอบไฟนอล ไหนจะรายงานอีก 3 วิชา ...ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผมต้องคอยหักห้ามใจตัวเองไม่ไปเฉียดแถวลิโด้เด็ดขาด (ถึงขนาดต้องเปลี่ยนเส้นทางกลับบ้าน ไม่ให้ผ่านสยามเลยล่ะ)

อย่างไรก็ตาม ในเดือนกันยาที่ผ่านมา มีโปรแกรมหนึ่งที่ผมตั้งใจว่าจะไม่พลาดเด็ดขาด นั่นก็คือ โปรแกรมฉายหนังเรื่อง 12 ของนิตยสาร Bioscope ประมาณว่าเป็นตายร้ายดียังไงก็ต้องไปดูให้ได้ ...และผมก็ได้เจอดีสมใจอยากครับ เพราะปรากฏว่าวันนั้นน้ำท่วมซอย! แต่สุดท้ายผมก็ลุยน้ำไปถึงโรงหนัง House จนได้ (สุดยอดนักดูหนังจริงๆ นะเรา)

คงต้องเกริ่นกันนิดนึงว่า 12 เนี่ยคือ หนังยาว 30 นาทีที่เป็นเรื่องราวก่อนหน้าของหนังเรื่อง “13 เกมสยอง” และในวันนั้นยังมีการฉายหนังสั้นเรื่อง Earthcore ที่เล่าเรื่องราวก่อนหน้าของ 12 อีกที (เพราะฉะนั้น Earthcore ก็น่าจะมีชื่อเล่นว่า 11) และตอนนี้เขาก็เตรียมสร้างหนังเรื่อง 14 เป็นหนังภาคปิดท้ายแล้ว ...นั่นแน่ อ่านแล้วงงใช่มั้ยล่ะ เอาเป็นว่ามันรียงประมาณนี้ล่ะนะ

Earthcore --> 12 --> 13 --> 14

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้เป็นผลงานกำกับของชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล (หรือที่หลายๆ คนรู้จักในนามของ “มะเดี่ยว”) คุณมะเดี่ยวเคยมีหนังโรงแล้ว 1 เรื่องคือ “คน ผี ปีศาจ” ส่วนผลงานหนังสั้นมีอีกมากมายนับไม่หมด เพราะเขาทำมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว




เรื่อง “คน ผี ปีศาจ” นี่ผมไม่ได้ดูในโรง เพราะตอนนั้นใกล้สอบ เลยเลือกดูเรื่อง Cold Mountain แทน (ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในหนังที่ผมเกลียดสุดชีวิต ผมขอตั้งชื่อไทยในหนังเรื่องนี้ว่า “นิราศพร่ำหาผัว”) ก็แอบเสียดายเหมือนกัน เพราะหนังเรื่องนี้โดดเด่นที่งานด้านภาพ บรรยากาศ และเสียงประกอบ ถ้าดูในโรงคงได้อรรถรสมากกว่า

ผมชอบไอเดียของ “คน ผี ปีศาจ” ที่ให้เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในบ้านหลังเดียว แถมผู้กำกับก็ยังบ้าพลังพอที่จะทำให้หนังกลายเป็นฉากวิ่งไล่จับ เอ๊ย! ...วิ่งหนีผี เกือบ 30 นาทีในช่วงท้ายเรื่อง แต่มันก็กลายเป็นดาบสองคมต่อตัวหนัง เพราะคนดูจะรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นๆ จนรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับหนังน้อยลงเรื่อยๆ

อีกจุดหนึ่งที่ชอบใน “คน ผี ปีศาจ” ก็คือ ประเด็นทางการเมืองในหนังที่ว่าด้วยเรื่องของการฆ่าตัดตอนปราบพวกค้ายาบ้า (แล้วถ้าใครได้ดูหนังล่ะก็ ลองสังเกตดูดีๆ นะครับว่าพระเอกใช้สัญญาณโทรศัพท์มือถือของเจ้าไหน อิอิอิ)

ส่วนหนังสั้นของคุณมะเดี่ยวผมเคยดูแค่เรื่องเดียว คือ 2003 (ทำไมหนังของผกก.คนนี้ถึงมีแต่ตัวเลขเนี่ย) หนังเรื่องนี้เล่าถึงเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งกับช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาจะเอ็นทรานซ์ หนังเรื่องนี้เป็นสารคดีครับ แต่ก็มีวิธีที่เจ๋งมากคือ คุณมะเดี่ยวโยนกล้องตัวหนึ่งให้เด็กพวกนี้ไปถ่ายกันเองเลย แล้วผกก.ก็จะมาตัดต่อทีหลังเอง จุดนี้จึงส่งผลให้หนังมีความเป็นธรรมชาติมากๆ เพราะภาพที่ถ่ายมาบางฉากบางตอนอาจจะดูไร้สาระ แต่มันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

ฉากหนึ่งใน 2003 ที่ผมชอบมาก คือตอนที่พวกเด็กผู้ชายไปกินเหล้ากัน แล้วก็มีน้องแว่นคนหนึ่งเมามากจนพรั่งพรูปัญหาชีวิตของตัวเองออกมา โดยหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องความขัดแย้งกับทางบ้านเรื่องเรียนต่อมหาลัยด้วย ที่ฮาก็คือ เพลงที่เปิดในผับตอนนั้นก็เป็นเพลงประเภท “บิ๊วด์แตก” ทั้งนั้น อย่าง Thank You (Dido) ต่อด้วย You’re Still the One (Shainna Twain) และปิดด้วย When You Believe (Whitney Houston + Mariah Carrey) ซึ่งเพลงเหล่านี้ทำให้เรื่องเล่าของน้องแว่นดูทรงพลังมาก (อนึ่ง มีคนบอกมาว่าสุดท้ายแล้ว ทั้งกลุ่มนี้ก็มีน้องแว่นคนนี้คนเดียวที่เอนท์ติด)


ต่อไปผมจะพูดถึงหนังที่ได้ดูวันนั้นแล้วนะครับ

Earthcore

จะว่าไปแล้วหนังเรื่อง Earthcore นี่ก็คล้ายๆ 2003 ตรงที่เล่าถึงเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งเหมือนกัน โดยเป็นเรื่องราวของเด็กๆ ที่ไปทัศนศึกษาค่ายวิทย์กันที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ-บางแสน หนังถ่ายทอดกิจกรรมของเด็กเหล่านั้น บ้างก็ดูไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรนัก อย่างเช่น การพูดจาหยอกเย้าไปมาที่ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ บ้างก็ดูมีความหมายเป็นพิเศษ เช่น ฉากที่เด็กๆ เปิดใจกันรอบกองไฟ

ฉากพูดเปิดใจรอบกองไฟเป็นฉากที่ผมชอบมาก ถ้าเข้าใจไม่ผิดฉากนี้น่าจะมีการอิมโพรไวส์ของน้องๆ นักแสดงอยู่ในระดับหนึ่ง ผมเลยรู้สึกว่าน้องๆ เขาก็เล่นกันเป็นธรรมชาติดี และในช่วง Q&A คุณมะเดี่ยวก็บอกว่า จริงๆ แล้วการไปถ่ายทำหนังเรื่องนี้ที่บางแสน ก็เหมือนเป็นการเวิร์คช็อปนักแสดง ให้น้องๆ เหล่านั้นได้แสดงออกเป็น “ตัวละคร” ตัวนั้น ไม่ใช่แสดงเป็นตัวเอง (ดังนั้นฉากเปิดใจ นักแสดงจึงต้องวิเคราะห์ว่าตัวละครของเขานั้นจะพูดในฉากนี้ยังไง)

แม้ Earthcore จะถ่ายทำออกมาในแนวสารคดี แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องแต่ง มีการเขียนบท และที่สำคัญกล้องในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้แทนสายตาของกล้องที่ติดตามชีวิตผู้คน (เหมือนสารคดีทั่วไป) สุดท้ายแล้วหนังก็เฉลยว่ากล้องในที่นี้คือการแทนสายตาของ “ใครบางคน” ต่างหาก (ส่วนจะเป็นใครนั้นผมจะไม่เฉลยให้เป็นการเสียอรรถรสแล้วกันนะครับ)

ในช่วงท้ายของ Earthcore มีฉากหนึ่งที่ติดตาผมมากๆ คือ ตอนที่เด็กๆ ไปเล่นน้ำกันที่ทะเล แต่มีเพียง “กี้” (ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญของหนังเรื่อง 12) ที่นั่งอยู่ที่ชายหาด กี้จะหันมามองกล้องเป็นระยะๆ (อีกนัยหนึ่งคือหันมามอง “ใครบางคน” ตามที่กล่าวไป) สายตาของกี้ในฉากนี้ชวนให้ขบคิดเหลือเกินว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ หรือบางทีความคิดของเขาในฉากนี้นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของ 12 และ 13


12

12 ดำเนินเรื่องราวต่อจาก Earthcore (หลังจากเด็กพวกนั้นกลับมาจากบางแสน) และด้วยความที่เป็นหนังสั้น มันจึงเล่าเรื่องอย่างรวบรัด เพียงแค่ฉากแรกหนังก็เล่นกับอารมณ์ของคนดูแล้ว เมื่อเบิร์ด-เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาแจมในกลุ่ม-เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนเขาเจอ “กี้” ใน MSN ทั้งที่มีข่าวลือว่ากี้นั้นตายไปแล้ว!

ฉากไฮไลท์ของหนังคงหนีไม่พ้นตอนที่ เต้ (น้องอเล็กซ์ ที่ยิ่งโตยิ่งหล่อ แหะๆ) เล่น MSN แล้วเจอกับกี้เข้าให้ ผมคิดว่าฉากนี้เป็นฉากที่ดีมากเลยครับ มันเล่นกับอารมณ์ของคนดูอยู่ชนิดอยู่หมัด ทั้งบรรยากาศ มุมกล้อง เสียงประกอบ การตัดต่อ ปัจจัยทุกอย่างล้วนทำให้นี่เป็นฉากเล็กๆ ที่น่าจดจำมากๆ ของปีนี้

จุดที่ผมติดใจอยู่นิดหน่อยก็คือ “ใครบางคน” ในหนังเรื่อง Earthcore (ที่ตอนนั้นเราจะยังไม่เห็นตัวเขา) จะโผล่ออกมาให้เห็นตัวเป็นๆ ในหนังเรื่องนี้ แต่ผมกลับรู้สึกตัวละครนี้ในหนังสองเรื่องเป็นคนละคนกัน ก็เลยทำให้รู้สึกว่าความเชื่อมโยงของ Earthcore และ 12 อาจจะไม่แนบสนิทกันเพราะจุดนี้ (แต่นั่นก็คงเพราะ แนวหนังของทั้งสองเรื่องต่างกันโดยสิ้นเชิง และตัวผู้กำกับเองก็อาจไม่ได้ตั้งเป้าเรื่องการเชื่อมโยงเป็นเหตุผลอันดับหนึ่ง)

อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงจุดเล็กจุดน้อยเท่านั้น เพราะ 12 ก็บรรลุจุดประสงค์ของมันได้ นั่นคือ ทำให้คนอยากติดตามเรื่องราวต่อไปในหนังเรื่อง 13 เกมสยอง


โดยสรุปแล้ว ผมชอบหนังทั้ง 2 เรื่องมากครับ แต่ที่จริงแล้วปัจจัยที่ทำให้ผมชอบ มันไม่ได้มาจากตัวหนังเท่าไรหรอกครับ (อ้าว!) เหตุแห่งความชอบมาจาก “ปัจจัยนอกจอ” เป็นส่วนใหญ่ดังนี้

1. หลอนนอกจอกับ 12

ในฉากหนึ่งของเรื่อง 12 ที่เต้เจอกับกี้ใน MSN กี้พิมพ์มาว่า “นายกำลังดูวิดีโอตอนที่ไปค่ายวิทย์อยู่เหรอ คิดถึงจัง ตอนนั้นสนุกมากเลยนะ” แน่นอนว่าใครเจอแบบนี้ก็ต้องทำเหมือนๆ กัน คือมองไปรอบๆ ตัวเองว่าฝ่ายตรงข้ามแอบอยู่ใกล้ๆ หรือเปล่า ทำไมถึงรู้ได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

ก่อนจะเข้าโรงไปดู 12 ผมลงไปกินข้าวที่ Tops ข้างล่าง ในขณะที่กำลังจัดการกับข้าวมันไก่ทอดตรงหน้า ผมก็ได้ SMS พอดูแล้วก็เป็นเบอร์แปลกๆ ไม่ได้เซฟเอาไว้ และพอเปิดดูก็เจอข้อความประมาณว่า “ไม่แน่ใจนะ แต่คุณคือคนใส่เสื้อสีดำ ที่กินข้าวอยู่ที่ท็อปส์ใช่มั้ย?”

แน่นอน ผมก็ต้องทำเหมือนที่น้องอเล็กซ์ทำเหมือนในเรื่อง 12 คือหันไปมองรอบๆ ตัวเอง แต่พอดูแล้วผมก็เจอแค่ลุงแก่ๆ คนหนึ่ง กับเด็กผู้หญิงที่ขะมักเขม้นกับการ์ตูนในมือ ดูแล้วไม่น่ามีใครเข้าข่ายคนที่ส่ง SMS มาหาผมได้เลย

เอาแล้วสิ...ผมเริ่มรู้สึกหลอนๆ แล้ว

ตอนแรกผมก็จะโทรกลับไปเบอร์นั้น แต่ก็หยุดชะงักไว้ก่อน เพราะหลังจากที่ถามกับตัวเองว่า “นี่มันใครวะ” ผมก็เริ่มถามกับตัวเองว่า “แล้วมันมีเบอร์กูได้ไงวะ”

แต่ไม่ต้องตกใจไปครับ ผมไม่ได้ถูกพวกแฟนคลับสะกดรอยตามเหมือนที่พวกดาราฮอลลีวู้ดชอบโดนแต่อย่างใด เหตุการณ์วันนั้นจบด้วยดี สรุปแล้วคนที่ส่ง SMS มาก็คือรุ่นพี่คนหนึ่งที่คุยกันใน MSN อยู่บ่อยๆ และผมก็เคยให้เบอร์ตัวเองกับเขาไปเมื่อนานมาแล้ว

เหตุการณ์ของผมเมื่อย้อนมองกลับไปแล้วก็เป็นเพียงเรื่องขำๆ ไปเล่าต่อเป็นโจ๊กได้อีกหลายเดือน แต่มันก็ทำให้ผมคิดถึงเรื่องของเพื่อนอีกคน เพื่อนผมคนนี้หน้าตาค่อนข้างดี (และเป็นเกย์) เวลาเล่น MSN เขาก็จะใช้ดิสเพลย์เป็นรูปตัวเองประจำ จนทำให้มีผู้ชายคนหนึ่งมาชอบเขา แต่เขาคนนั้นก็ไม่เคยเอารูปของตัวเองให้เพื่อนผมดู (ซึ่งแบบนี้ก็ฟันธงได้เลยว่าไม่หล่อชัวร์)

วันดีคืนดี พอเพื่อนผมออนไลน์ อีตาคนนี้ก็เข้ามาบอกว่า “วันนี้เห็นนะ ตอนพักกลางวันออกมาซื้อมะม่วงดองกินที่หน้าคณะใช่มั้ยล่ะ” เพื่อนผมก็อึ้งไปเลย เพราะนั่นหมายความว่านายคนนี้มาแอบดูเพื่อนผมที่แถวมหาลัยนั่นเอง

จนถึงตอนนี้ยังไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น แต่เพื่อนผมเองก็หลอนไปหลายวัน ผมเองก็คอยเตือนๆ ให้เขาระวังตัวไว้บ้าง และนี่ก็เป็นข้อคิดว่าเวลาเล่น MSN เราก็ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของตัวเองมากเกินไปนัก ผมเองเวลาคุย MSN ก็ไม่ค่อยจะปกปิดอะไรเท่าไร บอกเขาไปหมดทุกอย่าง อายุเท่าไร เรียนที่ไหน บ้านอยู่ไหน มีแฟนมากี่คนแล้ว ขนาดเท่าไร เอ๊ย! ไม่ใช่

อย่างไรก็ตาม ในกรณีผมแล้ว การขึ้นดิสเพลย์เป็นรูปตัวเองเป็นการป้องกันพวกโรคจิตชอบแอบตามชั้นดีเลยครับ (ฮา)


2. ครั้งที่สองของบางแสน

ถ้าผมบอกว่าผมดูเรื่อง Earthcore แล้วร้องไห้ คงมีคนด่าว่าผมประสาทแน่ๆ (หรือบางคนอาจจะคิดไปไกลว่าผมมีประสบการณ์ “ถูกกระทำ” แบบตัวละครในหนัง)

ที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้สั่นสะเทือนผมตั้งแต่ฉากแรกๆ แล้วครับ เพราะหนังถ่ายทำที่ทะเลตลอดเรื่อง ผมเป็นคนที่มีความทรงจำหลายอย่างกับทะเลครับ ผมชอบไปเที่ยวทะเล, สมัยก่อนตอนเด็กๆ ครอบครัวของผมจะไปเที่ยวทะเลด้วยกันทุกปิดเทอม, ผมเคยไปเดินชายหาดคนเดียว แล้วไปจีบสาวน่ารักคนหนึ่ง เธอบอกว่าพรุ่งนี้เธอจะมาเจอผมอีก แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเจอเธออีกเลย ทุกวันนี้ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าเธอเป็นคนหรือผีกันแน่, ตอนหนีออกจากบ้านครั้งแรก ผมก็หนีไปที่ทะเล, ผมเคยจะไปทะเลกับแฟนสองคน แต่ก็ดันมาเลิกกันเสียก่อน หรือกระทั่งตอนอกหัก ผมก็เคยคิดจะเดินลงทะเลฆ่าตัวตาย แต่โชคดีว่าเพื่อนมาเรียกให้กลับไปกินเหล้าในบ้าน ผมเลยล้มเลิกความคิด (เพราะเหล้าพวกนั้นผมเป็นคนซื้อ)

ดังนั้นถ้าหนังเรื่องไหนมีฉากทะเล (ในแบบที่ถูกใจผม) ผมก็จะเทคะแนนให้หนังเรื่องนั้นทันที อย่างเช่นเรื่อง Birth of the Seanema หนังทดลองเงียบที่ว่าทะเลและความทรงจำ หรือหนังเรื่อง Eureka ที่มีฉากพี่น้องในเรื่องติดต่อกันทางจิตได้เมื่อน้องสาวลงไปเดินในทะเล

แต่ Earthcore ไม่ได้มีเพียงทะเลเท่านั้น หนังยังมี “หมัดฮุคที่สอง” ใส่ผมคือ ฉากที่เด็กๆ ไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำด้วยกัน อันเป็นสถานที่ที่ผมมีความทรงจำด้วยมาก ยิ่งหนังเรื่องนี้ใช้เพลงประกอบเป็นเปียโนที่เศร้ามากๆ (ตอนหลังมารู้ว่ามาจากเรื่อง Goodbye, Lenin) ผมก็เลยร้องไห้ออกมาจนได้

พูดแบบนี้แล้ว อาจจะคิดว่าผมไปที่พิพิธภัณฑ์ฯ บ่อยๆ แต่เปล่าเลยครับ ผมเคยไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นช่วง ป.5 หรือ ป.6 เหตุการณ์ที่เกิดในวันนั้นก็คือ ขณะที่เดินชมพิพิธภัณฑ์ด้วยความเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีผมก็พลัดหลงกับเพื่อนๆ มาที่ชั้นล่าง ซึ่งจะเป็นบ่อกระจกขนาดใหญ่ทั้งสองข้างทาง จะมีปลาตัวใหญ่มากๆ ว่ายไปมาอยู่ในน้ำ (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นพวกปลาหมออะไรสักอย่าง) ไฟตรงนั้นจะสลัวๆ สะท้อนกับน้ำในบ่อที่ดูสีออกเขียวๆ ...ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าบริเวณนี้มันน่ากลัวมาก ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ อึ้งตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่ทันใดนั้นเองเพื่อนผมคนหนึ่งก็เดินลงมาเจอผมพอดี ถ้าผมจำไม่ผิดเขาพูดว่า “ทำไมมาอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ” และเขาก็พาผมขึ้นไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ที่ชั้นบน

ผมรู้สึกว่าวันนั้นเขาช่วยชีวิตผม

ราวๆ 8 ปีถัดมา ผมกับเพื่อนคนนี้ยังคงคบกันอยู่ และถือเป็นช่วงที่เราสนิทกันมากที่สุด วันดีคืนดีเขาก็โทรมาหาผมกลางดึกว่า “พรุ่งนี้ขับรถเล่นไปบางแสนกัน” ทั้งที่ยังงงๆ อยู่ แต่ผมก็ตอบรับ พอผมถามเขาไปว่า “ไปทำอะไร” เขาก็บอกว่าไม่รู้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เอง

วันรุ่งขึ้น หลังจากขับรถออกจากกรุงเทพไม่กี่ชั่วโมง เราก็มาถึงบางแสน วันนั้นเป็นวันที่อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใส ผู้คนตามหาดชายก็มีให้เห็นพอควร แต่ไม่ได้แน่นหนานัก เราใช้เวลาครู่หนึ่งเดินตามชายหาดไปเรื่อยๆ ก้มลงมองรูนับไม่ถ้วนจากฝีมือของปูลม, รอยเท้ามากมายทั้งของคนอื่นและพวกเราเอง, น้ำทะเลที่สะท้อนประกายระยิบระยับกับแสงอาทิตย์ สลับกับการเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีเส้นสีขาวของเมฆพาดผ่านเพียงเล็กน้อย

ตอนกลางวันเราเลือกร้านอาหารทะเลที่จะกินกัน มีอยู่ร้านหนึ่งที่มีคนเกือบค่อนร้าน ส่วนอีกร้านหนึ่งไม่มีคนเลย ไม่รู้เพราะอะไรแต่เพื่อนผมบอกให้กินร้านหลัง ทำให้เรากลายเป็นเพียงลูกค้ารายเดียวของร้านนี้ แต่ผลสรุปก็ออกมาน่าพอใจ รสชาติอาหารร้านนี้อยู่ในระดับที่ดี คงจะคุ้มกับที่ขับรถมาถึงที่นี่

หลังจากกลับขึ้นรถ และขับรถวนๆ อยู่แถวนั้นอยู่พักนึง เพื่อนผมก็จอดรถแล้วบ่นว่าไม่รู้จะไปที่ไหนแล้ว ผมเลยพูดกับเขาว่า “ไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำกันมั้ย” เพราะนี่เป็นสิ่งผมตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ผมอยากกลับไปที่นั่นกับเขาอีกครั้ง

แต่สิ่งที่เขาทำก็คือ เขาหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “จะบ้าเหรอ นี่ไม่ใช่ทริปทัศนศึกษานะ”

ผมอึ้งไปชั่วขณะ เหมือนโลกหยุดหมุนไปประมาณ 3 วินาที แต่จากนั้นผมก็ฝืนยิ้มกับเขา แล้วบอกว่างั้นเรากลับกรุงเทพเลยก็ได้

ตลอดเส้นทางขากลับ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง และไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกเลย

จิตใจผมเกิดการต่อสู้อย่างมหาศาล ใจหนึ่งก็ถือโทษโกรธเขา แต่อีกใจหนึ่งก็หาเหตุผลต่างๆ นานามาช่วยแก้ตัวให้เขา อย่างเช่นว่า เขาคงลืมเรื่องราวเมื่อ 8 ปีก่อนไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่คำขอของผมอาจจะเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ เรื่องน่าตลก ในสายตาเขา

แต่บทเรียนที่ผมได้จากวันนั้นก็คือ บางสิ่งที่เราเห็นว่ามันมีคุณค่า บางก็อาจเป็นเพียงเศษขยะในสายตาคนอื่น

จริงอยู่ว่าพิพิธภัณฑ์ที่ว่าก็ไม่ได้ไปลำบากยากเย็นอะไรนัก ผมอยากจะไปเมื่อไรก็ได้ แต่ผมคิดว่าหากจะกลับไปเก็บเกี่ยวความทรงจำที่สมบูรณ์ ผมก็ควรจะไปกับเขา

ต้องสารภาพว่า ระหว่างที่ดูหนังเรื่อง Earthcore สมาธิของผมหลุดจากหนังไปหลายครั้งหลายหน ห้วงคำนึงของผมเริ่มตั้งสมมติฐานมากมายขึ้นมา ถ้าหากวันนั้นผมรบเร้าเขา เขาจะยอมไปกับผมมั้ย แล้วถ้าเราได้ไปที่นั่นจริงๆ มันจะเป็นอย่างไร แต่ในที่สุดแล้วผมก็หยุดเรื่องราวเหล่านั้นไว้ และหันกลับมาที่หน้าจอตรงนั้นอีกครั้ง

เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเพียงแค่จินตนาการ






คิดว่าเพลงนี้น่าจะเหมาะกับเรื่องราวข้างบนดี

นี่คือเพลง Just My Imagination ของวง The Cranberries (เพลงนี้ไม่ได้มีแค่เพลง Zombie หรอกนะ) เพลงนี้เป็นเพลงของ The Cranberries ที่ผมชอบมาก พอๆ กับ Ode to my Family

ดูมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=BIcRnBcMJd0




Artist: The Cranberries
Song: Just My Imagination
Album: Bury the Hatchet (1999)


There was a game we used to play
We would hit the town on friday night
And stay in bed until sunday
We used to be so free
We were living for the love we had and
Living not for reality

It was just my imagination x3
There was a time I used to pray
I have always kept my faith in love
It’s the greatest thing from the man above
The game I used to play
I’ve always put my cards upon the table
Let it never be said that I’d be unstable

It was just my imagination x3

There is a game I like to play
I like to hit the town on friday night
And stay in bed until sunday
We’ll always be this free
We will be living for the love we have
Living not for reality

It’s not my imagination x3
Not my x18



Create Date : 02 ตุลาคม 2549
Last Update : 2 ตุลาคม 2549 7:02:09 น. 24 comments
Counter : 7396 Pageviews.

 

ข่าว / บทความ / เวบไซต์ที่น่าสนใจ

1. สัมมนาเรื่อง “ธรรมนูญ พ.ศ. 2549 กับการปฏิรูปการเมือง” วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2549 เวลา 13.30 น. ณ ห้องบรรยาย ศ.101 ชั้น 1 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
//www.econ.tu.ac.th/announce/2549/อภิปราย%209%20ตค(1).49.pdf

2. อภิชาต สถิตนิรามัย: “ถ้าคุณเลือกสนับสนุนรัฐประหาร คุณก็อย่าเรียกตัวเองว่าเป็นนักประชาธิปไตย หรือเป็นเสรีนิยมทางการเมือง”
//www.onopen.com/2006/editor-spaces/984

3. Yoshiki (X-Japan) โกอินเตอร์ทำเพลงให้หนังฮอลลีวู้ด
//www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9490000122241

4. ดูตารางฉายเทศกาลหนัง 4th World Film Festvial ได้ที่
//visuallyyours.exteen.com/20061001/entry

5. ชอบเวบนี้มากๆ ที่คือสววรค์อย่างแท้จริง!
Asian Idol Gallery (โปรดสังเกตมี เป้ย-ปานวาด ด้วย)
//www.kineda.com/?p=132

------------------------------


หนังที่ได้ดูช่วงนี้

01. Earthcore (2006, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, A+)

02. 12 (2006, ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, A+)




03. Death Note (2006, Shusuke Kaneko, A-)

อย่าแปลกใจถ้าต่อไปนี้คุณจะเห็นคนลุกขึ้นมาทาขอบตาเสีดำ ใส่เสื้อยืดตัวโคร่งๆ ชอบนั่งยองๆ หรือกระทั่งหยิบโทรศัพท์ด้วยท่าพิสดาร เพราะนี่คือผลจากตัวละคร L ในหนังเรื่องนี้นั่นแหละ

ถ้าเทียบแล้ว คงต้องบอกว่าชอบหนังสือการ์ตูนมากกว่า (โดยตัดปัจจัยเรื่อง ไลท์หน้ากระด้ง เตาอังโล่ไปแล้ว) ด้วยเรื่องที่ว่าหนังสือนั้นสามารถแสดงให้เราเห็นได้มากกว่าว่าทำไมเด็กหนุ่มชาญฉลาดอย่างไลท์ถึงวิปริตไปได้ถึงขนาดนั้น แต่ด้วยข้อจำกัดของสื่อภาพยนตร์หนังจึงทำให้คนดูเชื่อในจุดนี้ไม่ได้

ที่จริงแล้วหนังสามารถกดดันคนดูได้มากกว่านี้ หรือกลายเป็นหนังที่มืดมนได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม นี่คือหนังบล็อกบัสเตอร์ การสร้างจากการ์ตูนแบบช่องต่อช่อง คือการเพลย์เซฟ และนี่ก็เป็นหนังที่ดูสนุกดี

ปล.1 มิสะมิสะน่ารักมาก หุหุหุ (ขอหัวเราะแบบโอตาคุหน่อยนะ)

ปล.2 หากต้องการหลีกเลี่ยงกับเหล่าแฟนคลับของการ์ตูนเรื่องนี้ กรุณาไปดูที่โรงหนัง House RCA

-----------------------------

เพลงที่ได้ฟังในช่วงนี้




1. Halation: missing -something-always-missing-always- (2006, A++++++++++++)

ตอนนี้อัลบั้มชุดนี้คือ ตัวเต็งอัลบั้มที่ผมชอบเป็นอันดับหนึ่งของปีนี้ แซงหน้าอัลบั้มของ Muse, Keane หรือ Utada ไปแล้ว

Halation คือใคร? เขาคือ Junji มือเบสของวง Laputa วงเจร็อคทำเพลงดี แต่ไม่ค่อยดัง เขาคนนี้นี่แหละที่ทำให้ Laputa ก้าวข้ามพ้นยุคสหัสวรรษใหม่มาได้ ด้วยการเปลี่ยนแนวเพลงจากเพลงร็อคธรรมดาๆ กลายเป็นเพลงป็อป-ร็อคที่เต็มไปด้วยเสียงสังเคราะห์อันล้ำสมัย หรือกระทั่งเพลงที่ทำลายโครงสร้างอันเป็นแบบแผนของเพลงเจร็อคทั่วไป

หลังจาก Laputa แตกวง Junji ทำงานเดี่ยวนำนามของ Halation ปีที่แล้วเขามีอัลบั้มชุด down to the wire ออกมา อย่างที่คาดไว้ มันเต็มไปด้วยเพลงที่แสดงถึงแนวทางอันชัดเจนของเขาเอง ซาวด์แบบอิเล็กทรอนิก-เทคโน ตั้งแต่ดำมืด ลึกลับ สนุกสนาน ไปจนถึงเปรี้ยวแตกถูกบรรจุไว้เต็มพิกัด

ปีนี้ Halation กลับมากับมินิอัลบั้มชื่อประหลาด จำนวนเพลงลดเหลือแค่ 6 เพลง แต่สิ่งได้มาคือ “ความกลมกลืน” ทุกเพลงในอัลบั้มนี้มีความโดดเด่นในตัวของมันเอง แต่ก็ถูกหลอมเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสมบูรณ์ Junji ให้เสียงร้องเองมากขึ้นกว่าชุดก่อน (เขาร้องเองเกือบทุกเพลง) และยังคงมีเสียงคอรัสจากหญิงสาวปริศนาเป็นเงาเสียงสุดบรรเจิด ดูเหมือนว่า Junji จะค้นพบแล้วว่าวิถีทางใดที่จะทำให้ท่องทำนองจากสมองอัจฉริยะของเขาสอดคล้องไปกับเสียงร้องของตัวเองได้

โดยสรุปความ อัลบั้มชุดนี้คือ “ความเปล่งประกาย” รัศมีแสงเจิดจรัสของมันคือของขวัญล้ำค่าแก่ผู้ฟัง

ใน youtube ไม่มีเพลงของ Halation แต่มีเพลง Ticker ของ Laputa ที่แต่งทำนองโดย Junji ลองฟังกันดูนะครับ แถมมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ยังสวยมากๆ (ไปถ่ายทำกันกลางทะเลทราย)

Laputa: Ticker
//www.youtube.com/watch?v=n5N4rwacw-E





2. GYM: Fever & Future (2006, A)

ชอบเพลงนี้ เพราะมีแต่เพลง J-pop ที่สร้างทำนองแบบนี้ได้ ถึงแม้เนื้อเพลงเพลงนี้จะติงต๊องขนาดไหนก็ตาม (เนื้อเพลงท่อนแรกแปลได้ประมาณว่า “เมื่อลองปากระป๋องน้ำอัดลมเปล่าออกไปดู ปรากฏว่ามันลงเข้าถังขยะพอดีเลย ก็เลยคิดว่าถ้าทำอะไรด้วยความสบายใจแล้ว อาจจะเจอกับอะไรดีๆก็ได้” – โอ้ นี่มันอะไรกัน ????)

ดูมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ได้ที่
//www.youtube.com/watch?v=2MPQID6u7eg


3. BoA: Key of Heart (2006, B+)


4. L’Arc-en-Ciel: Heart (1998, A+)

เคยฟังอัลบั้มนี้ตั้งแต่สมัย ม.3 อยากได้ซีดีมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะมาได้เอาป่านนี้เอง

นี่เป็นอัลบั้มของ L’Arc-en-Ciel ที่ชอบมากที่สุด มีเพลงโปรดมากมายอย่าง LORELEY, winter fall, Niji และ fate …ซึ่ง L’Arc คงไม่มีวันทำเพลงแบบนี้อีกแล้ว


โดย: merveillesxx วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:7:23:04 น.  

 

ขอตอบหลายๆ คน ต่อจากบล็อกที่แล้ว (ซาโตชิ) นะครับ
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=merveillesxx&month=09-2006&date=24&group=1&blog=1


ตอบ คุณ RUBIS

ชอบ Joe Odagiri เหมือนกันครับ แต่ชอบ Satoshi Tsumabuki มากกว่า ชอบ Odagiri จากเรื่อง Bright Future (2003, Kiyoshi Kurosawa, A+) มากที่สุดครับ

ถ้าอยากดูพี่ Joe ตอนผมยาวให้ดูเรื่อง Platonic Sex (2002, Masako Matsuura, B+) ผมอุตส่าห์ซื้อเรื่องนี้มาดู เพราะเห็นว่ามันเกี่ยวกับชีวิตนางเอก AV แต่ดูแล้วเซ้งเซ็ง เพราะเนื้อเรื่องมัน "อ่อน" เหลือเกิน ดู "ขิงก็ราข่าก็แรง" ยังมันส์กว่าเลย

พี่ Joe ก็คงเพี้ยนๆ จริงๆ แหละ ตอนที่ผมรู้ว่าแกคือตัวร้ายจิตแตกในเรื่อง Azumi (2003, Ryuhei Kitamura, B+) นี่ผมช็อคสุดๆ เลย

>คุณแมดฯเป็นบอทหรือเปล่าคะ?
คุณแมดเดอลีนเธอไม่ใช่บอทครับ เพราะวันนั้นที่ผมเจอเธอที่โรงหนัง House เธอยังแทะช็อกโกแลตกินอยู่เลย (บอทไม่น่ากินช็อกโกแลตนะ) และบอทก็ไม่น่าวิทยาการล้ำสมัยขนาดมีความรู้สึกทางเพศหรอกนะ ฮ่าๆๆๆ

อนึ่ง ผมขอเสนอให้โคลนนิ่งสมองคุณแมดเดอลีนเก็บไว้ครับ

------------------------

ตอบ เก้าอี้มีพนัก

ขอบคุณสำหรับลิสต์เพลงมากมาย ยังไม่มีเวลาฟัง แต่ชอบชื่อเพลง After The Love Has Gone ของ Earth, Wind & Fire มากๆ (ถ้าจำไม่ผิดเคยฟังเพลงนี้แล้วนะ แต่จำไม่ได้แล้วว่ามันเป็นยังไง)

-------------------------------

ตอบ คุณ Evil=Live

>อยากขอไอเดีย คนที่เขียนไหลๆแบบน้องเมอร์จัง
>มีเคล็ดลับอะไรบ้างม่ะ

ต้องออกตัวก่อนเลยครับว่าผมเองก็ไม่ใช่คนมีไอเดียบรรเจิดอะไรมากมาย (แต่ผมมักมีไอเดียบรรเจิดในด้านชั่วๆ หรือการสร้างความชิบหาย อย่างเช่นบทหนังเรื่อง Things You Can't Tell Just by Looking at Her Breasts เอ๊ย Eyes เป็นต้น) ดังนั้นอย่าเชื่อผมมากเลยครับ อีกอย่างผมเองก็ไม่เคยเขียนบทหนังอย่างจริงจังด้วย

สำหรับเรื่องขีดๆ เขียนๆ ผมคิดว่าเราคงต้องมี "จุดตั้ง" ของมันก่อนน่ะครับ อย่างใดอย่างหนึ่งว่า มันเกี่ยวกับอะไร ไฮไลท์ของมันคืออะไร หรือจะคิดตอนจบของมันก่อนก็ยังได้ (หลายๆ บทความของผมเกิดขึ้นจากท่อนสุดท้ายก่อน) จากนั้นเราค่อยได้แตกงานจากจุดนั้นไปหลายๆ ทาง แล้วนำมันจัดข้อมูลอย่างมีระบบ และฆ่าบางอย่างทิ้งซะ

ผมคิดว่ากรณีไอเดียตัน วิธีที่ดีสุดคือ หาแรงบันดาลใจใกล้ตัวครับ บางทีสิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวัน อาจนำมาขยายความ แต่งเติมจินตนาการได้อย่างเหลือเชื่อ

อนึ่ง ผมเองจะมีสมุดโน้ตเล็กๆ ติดตัวไว้เสมอครับ เวลาคิดอะไรออกก็จะรีบจดเอาไว้ทันที (บางคนก็ไว้บันทึกความฝันของตัวเอง) บางทีไอเดียก็จะมาในเวลาและสถานที่แปลกๆ (เช่น ขณะนั่งจ้องเส้นบะหมี่ในจานเป็นต้น) แต่สำหรับบ่อยที่สุดคือตอนอยู่ในห้องเลคเชอร์แล้วฟังอจารย์ไม่รู้เรื่องครับ (ฮา)

---------------------------

ตอบ พี่แมดเดอลีน

>OUT 1: NOLI ME TANGERE (1971, JACQUES RIVETTE)
>หนังเรื่องนี้มีความยาวเพียงแค่ 773 นาที หรือ 12 ชั่วโมง 53 นาที

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด นี่มันหนังอะไรเนี่ย


>สมัยก่อนสามารถโพสท์ข้อมูลได้เยอะๆ
>แต่หลังจากนี้คงจะโพสท์ได้น้อยลงเรื่อยๆค่ะ
>เพราะสุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ขอให้พี่แมดกลับมาสดใสลัลล้าบ้าผู้ชายโดยไวนะครับ แล้วเจอกันในเทศกาลเวิลด์ฟิล์มจ้า (หวังว่านะ ฮือๆๆ)


โดย: merveillesxx วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:8:03:47 น.  

 
Earthcore



โดย: เจ้าชายไร้เงา วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:10:44:07 น.  

 
--อ่านเรื่องความหลังของน้อง merveillesxx กับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแล้วรู้สึกเศร้ามากค่ะ



--ขอก็อปข้อความจาก SCREENOUT มาแปะไว้ที่นี่ด้วยนะคะ
//xq28.net/s/viewtopic.php?t=3437&start=3750

หนังที่ได้ดูในช่วงนี้

1.AE FOND KISS (2004, KEN LOACH, A++++++++++++++++++++)
//ec1.images-amazon.com/images/P/B00079HZPC.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1104789864_.jpg

เพิ่งได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรง HOUSE RCA และยกอันดับให้หนังเรื่องนี้เป็น “หนังรัก” ที่ชอบที่สุดในชีวิตเรื่องนึง แต่คำว่า “หนังรัก” ในที่นี้ไม่ได้มีความหมายว่า “หนังที่เน้นนำเสนอความรักของตัวละคร” แต่หมายความถึง “หนังที่ทำให้ดิฉันรู้สึกเอาใจช่วยคู่รักในหนังมากที่สุด หรือทำให้รู้สึกซาบซึ้งกับความรักของตัวละครในหนังมากที่สุด” ซึ่งหนังที่ทำให้ดิฉันเอาใจช่วยคู่รัก มักจะไม่ได้เป็นหนังที่นำเสนอ “ด้านลบ” ของคู่รักมากนัก และมักจะเป็นหนังที่ให้อารมณ์ “พาฝัน” อยู่บ้าง

รู้สึกว่า AE FOND KISS อาจจะไม่ “ดี” เท่า THE WIND THAT SHAKES THE BARLEY (2006, KEN LOACH, A+) แต่ก็ชอบ AE FOND KISS อย่างมากๆอยู่ดี อย่างไรก็ดี หนังที่ชอบที่สุดของ KEN LOACH ยังคงเป็น CARLA’S SONG

AE FOND KISS เป็นหนังอีกเรื่องนึงที่ทำให้นึกถึงชีวิตจริงของตัวเองเหมือนๆกับ SEASONS CHANGE และหนังทั้งสองก็เหมือนกันในแง่ที่ว่า “สิ่งที่อยู่ในหนัง” มันดู “เบา” มากๆเมื่อเทียบกับเหตุการณ์จริงในชีวิตของดิฉันหรือเพื่อนๆดิฉัน และมันช่วยตอกย้ำได้เป็นอย่างดีว่า “เรื่องจริงมันยิ่งกว่านิยาย” นอกจากนี้ ทั้ง AE FOND KISS และ SEASONS CHANGE ยังมีตัวละครที่ขัดแย้งกับผู้ปกครองเรื่องการเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองเหมือนกันอีกด้วย

AE FOND KISS ทำให้นึกถึงชีวิตของเพื่อนผู้หญิงคนนึงของดิฉัน แต่สิ่งที่เพื่อนผู้หญิงของดิฉันต้องประสบจากครอบครัวของเธอเองนั้น มันทารุณโหดร้ายสาหัสสากรรจ์กว่าเหตุการณ์ใน AE FOND KISS ประมาณ 10 เท่า

“หนังรัก” ในดวงใจของดิฉัน (ตามคำนิยามที่ให้ไว้ข้างต้น)


1.1 MY BEAUTIFUL LANDRETTE (1986, STEPHEN FREARS, A+)
//ec1.images-amazon.com/images/P/B00008R9KF.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056787036_.jpg


1.2 BEAUTIFUL THING (1996, HETTIE MACDONALD, A+)
หนังโปรดของน้อง PAAAE


1.3 AE FOND KISS


1.4 THE LOVE LETTER (1999, PETER CHAN, A+)
//ec1.images-amazon.com/images/P/0783239416.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056487093_.jpg


1.5 PILBARA PEARL (1998, CHRISTOPHER WATSON, A+)


1.6 INNOCENCE (2000, PAUL COX, A+)


1.7 THE WOMAN HE LOVED (1988, CHARLES JARROTT, A+)
หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักระหว่างกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 8 ของอังกฤษ กับนางวอลลิส ซิมป์สัน (เจน ซีมัวร์) ดิฉันเดาว่าหนังเรื่องนี้คงจงใจละเลยข้อเท็จจริงบางประการทางปวศ. เพื่อให้พระเอก+นางเอกในหนังดูดีขึ้น แต่ถ้าหากไม่คำนึงว่า “เรื่องจริง” เป็นอย่างไรแล้ว เหตุการณ์ในหนังก็ทำให้ดูแล้วซาบซึ้งกับความรักของตัวละครเป็นอย่างมาก ได้ดูหนังเรื่องนี้ทางช่อง 3 เมื่อ 15-16 ปีก่อน ยังจำได้เลยว่า ตอนจบเป็นคำกลอนว่า

“ขอแค่มีเพียงเราสอง
ไม่หมายปองอำนาจวาสนา
ทั้งบัลลัง, มงกุฎ และคทา”

//www.fashion-era.com/images/1914-1950/wall468x30.jpg

นางวอลลิส ซิมป์สัน ได้รับข้อกล่าวหาว่าสนับสนุนนาซี และหลงรักเกย์ด้วย อ่านข้อมูลได้ที่
//news.bbc.co.uk/1/hi/uk/2699035.stm

And, 13 years after Edward had given up his throne to marry her, the duchess reportedly embarked on an affair with Jimmy Donahue, a playboy grandson of the stores mogul, FW Woolworth.

She was 54, he was 34, homosexual, outrageous and promiscuous.


1.8 THE HEART IS ELSEWHERE (2003, PUPI AVATI, A+)
//ec1.images-amazon.com/images/P/B000ELJA6U.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V54584871_.jpg


1.9 THE BEWITCHING BRAID (1996, YUANYUAN CAI, A+)


1.10 ALI: FEAR EATS THE SOUL (1974, RAINER WERNER FASSBINDER, A)


2.BLUE (2001, HIROSHI ANDO, A+++++)
หนังเลสเบียนฉายที่ลิโด


3.DEATH NOTE (2006, SHUSUKE KANEKO, A+)

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชอบ THE WIND THAT SHAKES THE BARLEY กับ SAY HELLO TO PEACE AND TRANQUILITY เพิ่มขึ้นอย่างมากๆ


4.THE DEVIL WEARS PRADA (2006, DAVID FRANKEL, A)

ชอบชีวิตการทำงานในหนังเรื่องนี้มาก รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ตอบสนองความฝันของดิฉันได้ไม่เท่า 13 GOING ON 30 (GARY WINICK, A+) แต่หนังเรื่องนี้ก็นำเสนอชีวิตการทำงานได้สมจริงกว่า 13 GOING ON 30

EMILY BLUNT จาก MY SUMMER OF LOVE (2004, PAWEL PAWLIKOWSKI, A+) แสดงได้ยอดเยี่ยมมากๆเลยค่ะในบทเพื่อนร่วมงานนางเอกใน THE DEVIL WEARS PRADA ดิฉันขอเอาใจช่วยให้ EMILY BLUNT ได้ก้าวขึ้นมาเป็น KATE WINSLET คนใหม่ และก็ขอเอาใจช่วยให้ NATHALIE PRESS นางเอกอีกคนของ MY SUMMER OF LOVE ได้ก้าวขึ้นมาเป็น TILDA SWINTON คนใหม่

EMILY BLUNT
//www.wchstv.com/abc/empire/emilyblunt.jpg

MY SUMMER OF LOVE
//pub.tv2.no/multimedia/na/archive/00199/my_summer_of_love_199487g.jpg


5.THE BEYOND (LUCIO FULCI, A)

วันเสาร์ที่ผ่านมาไปที่สมาคมฝรั่งเศสเพื่อจะดูหนังเรื่อง AALTRA ปรากฏว่าหนังงดฉายกะทันหัน และทางโรงภาพยนตร์เปลี่ยนมาฉายเรื่อง A COMMON THREAD แทน ซึ่งทั้งดิฉันและคุณลูน่า จังเคยดูเรื่อง A COMMON THREAD แล้ว เราก็เลยหัวเสียมากที่อุตส่าห์ถ่อมาดูหนังแล้วไม่ได้ดู ก็เลยไปซื้อดีวีดีที่สีลมมาดูเพื่อเป็นการระบายอารมณ์ แล้วก็เลยได้เรื่อง THE BEYOND มา

THE BEYOND เป็นหนึ่งในหนังที่มีเนื้อเรื่องห่วยแตกที่สุดในชีวิต หนังทั้งเรื่องเหมือนกับเป็น FOUND FOOTAGE หรือเป็นการตัดฉาก CLICHE จากหนังสยองขวัญหลายๆเรื่องมาต่อเข้าด้วยกัน โดยที่เนื้อเรื่องแทบไม่ปะติดปะต่อกัน ดูแล้วรู้สึกว่าฮามาก หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ไม่มีเหตุผลหรือคำอธิบายอะไรอีกต่อไปแล้ว

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ THE BEYOND จะเป็นหนังที่ “ไร้สาระ” ที่สุด แต่ก็รู้สึกเพลิดเพลินกับ “สไตล์” ของหนังอย่างมากๆ รู้สึกชอบการจัดแสง, ฉาก, จังหวะ, บุคลิกตัวละครหญิง และดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้มาก ดนตรีประกอบบางฉาก อย่างเช่นฉากกองทัพแมงมุมกินคนในห้องสมุด ฟังแล้วทำให้นึกถึงวงอย่าง THE ORB หรือ ORBITAL อย่างมากๆ

ฉากที่ชอบที่สุดใน THE BEYOND คือฉากหญิงตาบอดวิ่งเตลิดออกจากบ้านนางเอกไปพร้อมกับสุนัขคู่ใจ แล้วอยู่ดีๆนางเอกก็ทำอาการเคลิ้ม แล้วหนังก็ REPLAY ภาพผู้หญิงตาบอดวิ่งเตลิดติดต่อกัน 3-4 ครั้งโดยไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น

THE BEYOND ทำให้เห็นจุดเด่นของผู้กำกับหนังสยองขวัญยุคนั้นของยุโรป เพราะหนังสยองขวัญยุคนั้นมีจุดเด่นที่ “สไตล์” ทั้งด้านภาพ, เสียง, บรรยากาศ ในขณะที่เนื้อเรื่องมักจะไม่ค่อยมีเหตุผลรองรับมากเท่ากับหนังสยองขวัญยุคปัจจุบัน

//ec1.images-amazon.com/images/P/6305972079.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056623182_.jpg


6.SEE NO EVIL (2006, GREGORY DARK, B+)

รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ “โหด” เกินไป ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะสร้าง “สถานการณ์” ได้สนุกพอสมควร อีกอย่างที่ไม่ค่อยเข้าทางดิฉันก็คือ หนังเรื่องนี้นำเรื่องเข้าสู่สถานการณ์สยองขวัญในทันที ในขณะที่ดิฉันมักจะชอบหนังสยองขวัญประเภทที่เปิดเรื่องด้วยการทำเหมือนกับว่าตัวเองไม่ใช่หนังสยองขวัญมากกว่า เพราะการเปิดเรื่องในแบบ “หนังชีวิต” มันทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเหตุการณ์สยองขวัญอาจจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตของเราเช่นกัน อย่างเช่น

6.1 WOLF CREEK (GREG MCLEAN, A+++++)
ช่วง 1 ชั่วโมงแรกของเรื่องผ่านไปโดยไม่มีเหตุการณ์สยองขวัญ แต่เป็นตัวละครท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ และมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างธรรมชาติมากๆ


6.2 JEEPERS CREEPERS (VICTOR SALVA, A+++++)
ชอบช่วงต้นเรื่องมากที่เป็นพี่สาวน้องชายคุยกันเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ


6.3 HOUSE OF WAX (JAUME COLLET-SERRA, A+)
ชอบช่วงต้นเรื่องเช่นกัน ที่เป็นตัวละคร 4 คนคุย+เดินทางไปเรื่อยๆ


โดย: M.Scudery Worships Volker Eichelmann & Roland Rust IP: 61.7.157.52 วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:13:29:41 น.  

 
พี่ก็ชอบอัลบั้ม Heart น่ะ เพลง Anata กับ Winter Fall เพราะดี

เรามีโอกาสได้ดู คน ผี ปีศาจ ในโรง ก็ได้อารมณ์ดี (คิดว่าได้อารมณ์กว่าดูที่บ้านเยอะ เพราะระบบเสียงมันตรึงเราไว้ได้ตลอด)

เรื่อง 13 ไม่พลาดแน่นอน

ป.ล. การ์ตูนจิตหลุดมันกลับมาขายใหม่แล้วเน้อ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:13:51:53 น.  

 
โห พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ คิดถึงชะมัดเลยแฮะ (ที่ไปตอนนั้น ป.6จ้า)
หลังจากนั้น ได้ไปอีกซักครั้งละมั๊ง

Death Note ดูแล้ว พอหนังจบนี่ แอบหงุดหงิด....(ตูเสีย 120 มาดู Intro + ความเป๋องี่เง่าไม่เห็นฉลาดตรงไหนของนังแสง) แต่ก็ยังดี แอลน่ารัก มิสะมิสะก็น่ารัก ฮุๆๆๆๆ


โดย: Nekoichann IP: 161.200.170.63 วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:16:10:56 น.  

 
แวะมาทักทายครับ ล่าสุดที่ผมไปดูมา ก็ เดทโน้ต นี่แหละครับ โอ้โห ชอบมากๆครับ สนุกดีจังครับ

ตอนแรกตั้งใจจะไปดูแชทรักหนุ่มรถไฟ หรือเทรนแมน น่ะครับ แต่โรงน้อยมาก รอบก็น้อยมากๆ จนต้องไปดูเดทโน้ตแทน ก็ไม่ผิดหวังครับ หนังสนุกจริงๆครับ

ขอบคุณนะครับที่แวะไปเยี่ยมทักทายและฟังเพลงที่บล็อกครับ ขอบคุณครับ


โดย: Tempting Heart วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:20:03:57 น.  

 



HAPPY BIRTHDAY TO AYU

2 ตุลาคม เป็นวันเกิดของ Ayumi Hamasaki นักร้องคนโปรดของน้องเมอร์จ้า~~ (ปีนี้เธออายุ 28 จ้ะ) ยังไงก็ขอให้อายูจังมีความสุขมากๆ นะจ๊ะ มีผลงานมาดูดเงิน เอ๊ย มาให้แฟนๆ ชื่นชมไปอีกนาน และก็ได้แต่งงานกับนายคนนั้นเร็วๆ ซะที (ฮา)

รู้จักเธอได้มากขึ้นที่ //en.wikipedia.org/wiki/Ayumi_Hamasaki

---------------------------------



BIOSCOPE ฉบับที่ 59 ออกแล้วจ้า เล่มนี้ก็มีผลงานของน้องเมอร์อีกแล้วล่ะ เขียนเรื่อง The Host ลงใน Symbolic Corner นะจ๊ะ


กิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจของเดือน ต.ค.
//www.bioscopemagazine.com/web2006/culture_detail.php?nPage=1&nPos=1


อีก 2 งานที่น่าสนใจ

1. Fat Festival ครั้งที่ 6 (ได้ข่าวอรอรีย์จะขึ้นเวทีด้วย!!)
//www.thaiticketmaster.com/concert/fat2006.php

2. เหนืออาณาจักรแห่งสายเสียง "ริค วชิรปิลันธิ์"
//www.thaiticketmaster.com/concert/rick.php

--------------------------

ตอบ พี่แมดเดอลีน

ไม่รู้จะมีโอกาสได้ดู Ae Fond Kiss มั้ย แต่รู้สึกเสียดายมากๆ ที่(น่าจะ)อดดูผลงานของ เคน โลช ทั้ง 2 เรื่องเลย (Ae Fond Kiss, The Wind That Shakes the Barley)

จำไม่ได้เลยว่าเพื่อนร่วมงานของนางเอกในเรื่อง The Devil Wears Prada คือ EMILY BLUNT แต่เห็นด้วยกับข้อความที่ว่า "ขอเอาใจช่วยให้ NATHALIE PRESS นางเอกอีกคนของ MY SUMMER OF LOVE ได้ก้าวขึ้นมาเป็น TILDA SWINTON คนใหม่" มากๆ รู้สึกว่าเธอเฮี้ยนดี

ชอบหนังสยองขวัญที่เล่าเรื่องด้วยกิจวัตรประจำวันของตัวละครเหมือนกัน บางทีก็เบื่อและเหนื่อยกับหนังที่ดาเล่าประเคนความสยองให้กับเรา

หนังอย่าง Twentynine Palms (2003, Bruno Dumont, A+) ก็น่าจะเข้าข่ายนี้เหมือนกัน เพราะ 3/4 ของหนังเต็มไปด้วยพฤติกรรมที่หาสาระอะไรไม่ได้ของพระเอก-นางเอก (รุ่นน้องเปิดหนังเรื่องนี้ดู และหลับไปในที่สุด ฮ่าๆๆ) แต่ช่วงหลังของหนังทำให้ผมรู้สึกช็อคมากๆ (ว่าแล้วผมก็อดดู Flandres เสียแล้ว ฮือๆๆๆ)



ตอบ พี่ดอง

ตกลงส่งงานไปแล้วนะ เค้ารับแต่โดยดี ประกาศผลเดือน ธ.ค. ถ้าได้รางวัลก็ไปฉลองกันได้เลย ฮ่าๆๆ

เรื่อง 13 ไม่รู้จะได้ดูรึป่าว ดันมเข้าช่วงเราสอบอีก เฮ้อ เซ็งจิต



ตอบ Nekochan

คิดอยู่เหมือนกันว่าตอนที่ไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำน่าจะเป็น ป.6 แถมกลับมายังโดนสั่งทำรายงานด้วย

ตอนนี้ที่ pantip.com พร้อมใจกันเรียก ไลท์ ว่า "บักแสง" ไปแล้ว



ตอบ คุณ Tempting Heart

เสียดายเหมือนที่เรื่อง Trainman เข้าโรงแบบชาวบ้านไม่รู้เรื่องรู้ราวกันเลย (แถมรู้สึกจะมีแต่พากย์ไทยด้วย) ก็หวังว่าจะมี DVD (แบบดีๆ) ออกมานะ


โดย: merveillesxx IP: 203.209.111.147 วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:21:45:01 น.  

 
แวะมาอ่านคำแนะนำ ขอบใจจ้า
-----------------------------------
ไปดู Death Note มาแย้วเช่นกัน

ค้นพบว่าหนังดีใช้ได้สำหรับหนังที่แปลงสภาพมาจากการ์ตูน

ขาดอยู่แค่นิดเดียวคือ.....

ความหล่อเท่ของไลท์โตะ.....(- _ -")>

ก็ได้แต่เคี้ยวแอลคุงไปพลางๆ...ซี๊ด


โดย: Evil=Live IP: 61.47.123.119 วันที่: 2 ตุลาคม 2549 เวลา:22:35:34 น.  

 



แผนตะลุยเทศกาลหนัง 4th World Film Festival ในฝัน

ดูตารางที่ได้ที่

//www.worldfilmbkk.com

//visuallyyours.exteen.com/20061001/entry

แต่โปรดพึงระวังไว้ว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ตารางมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

**บัตรนักเรียน นักศึกษา ลดเหลือ 50 บาท (เย้)**


Thu 12 Oct 2006
สอบ Industrial Economics 9.00-12.00
15.00 Konig’s Sphere + Anastasia (Grand EGV)
17.30 Just Do It (Paragon)
19.40 First Love + Underground Passage (Grand EGV)

Fri 13 Oct 2006
14.00 weg (Grand EGV)
16.20 Grizzly Man (Major WTC)
18.50 Personnel + The Calm (Grand EGV)
วิ่งกลับไปกลับมา

Sat 14 Oct 2005
อดดูหนังเพราะเรียน TOEFL 13.00-19.30

Sun 15 Oct 2006
อดดูหนังอีกเช่นกัน เพราะต้องอ่านหนังสือสอบ

Mon 16 Oct 2006
สอบ International Film 13.00-16.00
17.30 Tragedy of a Ridiculous Man (Major WTC)
20.10 The Lovers of Marona (Paragon)

Tue 17 Oct 2006
15.00 Arizona Sun (Major WTC)
17.20 Short Working Day (Grand EGV)
19.20 Taking Back the Waves + A Man Thing (Grand EGV)

Wed 18 Oct 2006
14.00 More Than 1,000 Words (Grand EGV)
16.30 Climate (Paragon)
19.30 12:08 East of Bucharest (Grand EGV)

Thu 19 Oct 2006
13.00 Chicha tu Madre (Major WTC)
15.10 Close to Home (Grand EGV)
18.00 Thai Indie Short Film: LIGHT(Grand EGV)
20.30 Isabella (Paragon)

Fri 20 Oct 2006
13.00 The Right of the Weakest (Grand EGV)
15.30 Thai Indie Short Film: STRONG (Grand EGV)
17.40 Seeds of Doubt (Major WTC)
19.40 Ode to Joy (Major WTC)

Sat 21 Oct 2006
เรียน TOEFL 13.00-19.30
มาลุ้นกันว่าจะถ่อไปดู Breakfast on Pluto รอบ 20.20 ที่ Grand EGV ทันหรือไม่

Sun 22 Oct 2006
เริ่มเรียนคอร์ส Grammar 9.00-12.00 (ชีวิตกรูเรียนอะไรนักหนาวะเนี่ย)
13.00 The Dragon House (Paragon)
15.20 Cease Fire (Paragon)
17.40 Sketches of Frank Gehry (Paragon)
19.30 The Caiman (Major WTC)

Sun 23 Oct 2006
ช่วงเช้าถึงเย็นเก็บหนังนอกเทศกาล
19.00 Battleship Potemkin (Major WTC)


18-29 Oct 2006 งานหนังสือ (มาอีกแล้วเหรอวะเนี่ย??)



สิ่งที่ตั้งใจไว้ + สิ่งที่เกิดขึ้น

- พยายามดูหนังของ คริสตอฟ คียลอฟสกี้ ในเทศกาลนี้ให้ได้ทุกเรื่อง (เช็คดูแล้วไม่มีแผ่นขายที่ร้านพี่คนนั้น) เพราะเคียลอฟสกี้คือหนึ่งในผู้กำกับที่ผมรักและเทิดทูนที่สุด

- อดดู I don't want to sleep alone ของไฉ้หมิงเลี่ยง (ฮือๆๆ) แต่คิดว่าหนังคงมี DVD ออกมา

- อดดูสารคดี Glastonbury

- อดดูสารคดี Weirdosophere (กรี๊ดดดด...)

- ต้องยอมอดดูโปรแกรมของ Antenna ในวันพุธที่ 18 ต.ค. เพราะไม่งั้นจะอดดูเรื่อง 12:08 East of Bucharest (ได้กล้องทองคำจากคานส์ปีนี้) แต่เอ็มวีบางเพลงหาดูได้ใน youtube.com

- รู้แก่ใจว่าเรื่อง Isabella มี DVD ขายแล้ว แต่ก็อยากในโรง เพราะหนังเรื่องนี้ได้รางวัลด้านเพลงประกอบจากเบอร์ลิน ดังนั้นถ้าดูในโรงน่าจะดีกว่า + นางเอกน่ารักดี และขาสวย (??)

- เป็นตายร้ายดียังไงก็ต้องดูหนังปิดงานเรื่อง The Battleship Potemkin เวอร์ชันทริปเปิ้ลเกย์ (เซอร์ไก ไอเซนไสตน์ + นีล เทนแนนท์ + คริส โลว์) ให้ได้ เพราะอันนี้เป็นเวอร์ชันที่ทำสกอร์โดยวง Pet Shop Boys ซึ่งซื้อแผ่นมาฟังนานแล้ว และชอบมาก

อัลบั้มชุด Battleship Potemkin ของ PSB ติดอันดับที่ 7 ของอัลลบั้มที่ผมชอบที่สุดในปี 2005 อ่านได้ที่ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=merveillesxx&month=12-2005&date=25&group=2&blog=1


ตารางหนังของพี่แมดเดอลีน และคนอื่นๆ เป็นยังไงกันบ้าง แชร์กันดูหน่อยนะจ๊ะ

ปล. รู้สึกปีนี้ไม่ค่อยมีหนังเฮี้ยนๆ เลยแฮะ


โดย: merveillesxx IP: 161.200.255.164 วันที่: 3 ตุลาคม 2549 เวลา:5:20:51 น.  

 
เฮ้ย คอนเสิร์ตริค

อยากดู ๆ แต่บัตร 500 เชียวหรอ (ความจริงก็ไม่แพงนะ แต่ตอนบรมจน)


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 3 ตุลาคม 2549 เวลา:12:05:32 น.  

 

เพิ่มเติมเกี่ยวกับ 4th World Film

- หนังเรื่อง The Banquet สักพักก็จะเข้าโรงปกติ

- หนังที่มีค่ายหนังซื้อมาแล้ว (แต่ไม่รู้จะได้ฉายหรือเปล่า)

ค่าย J-BICS
Close to Home
Proposition
The Right of the Weakest

ค่าย WPM Film
Isabella

------------------------------




Isabella (2006, Pang Ho-cheung)

//www.isabellathemovie.com/

หนังนำแสดงโดย Chapman To (เพื่อนของ Jay Chou ที่ฮาๆ ใน Initial D) และ Isabella Leong (นางเอก The Eyes 10, Bug Me Not)

หนังได้รางวัล Best Music จากเบอร์ลิน ซึ่งในหนังจะมีทั้งเพลงโปรตุเกส และเพลงของเหมยเยี่ยฟาน (ซึ่งเสียชีวิตในปี 2004 ด้วยโรคมะเร็ง)




Isabella Leong ในงานพรมแดงที่เบอร์ลิน


โดย: merveillesxx IP: 161.200.255.164 วันที่: 3 ตุลาคม 2549 เวลา:16:52:47 น.  

 
เพิ่งซื้อไบโอสโคปเมื่อตอนไปทานข้าวกลางวัน ยังไม่ได้เปิดอ่านเลย

ชอบ just my imagination มากๆเหมือนกันครับ ฟังเพลงนี้แล้วก็จินตนาการตามไปว่าได้ใช้เวลาอยู่กับแฟนทั้งวันทั้งคืนตลอดสุดสัปดาห์ คงมีความสุขพิลึก

ปล.อยากไปดูคอนเสิร์ตริค


โดย: being's lover วันที่: 3 ตุลาคม 2549 เวลา:17:23:59 น.  

 
แอบรู้มาว่าชอบคุณ จขบ. ชอบฮิกกี้ ตอนนี้คุณเธอออกซิงเกิลใหม่มาล่ะ คงรู้แล้วมั้ง ชื่อว่า Boku Wa Kuma อะครับ ยาวแค่ 2 นาทีกว่าๆ เอง ฟังแล้วก็เออ... มันสำหรับเด็กน่ะครับ PV ก็น่ารักดีแต่ว่าไม่มีฮิกกี้ล่ะ ฮือๆ ทำไมไม่ตัดเพลงในอัลบั้มมั่งฟร้า... ถ้าว่างก็แวะเวียนไปที่ blog ผมได้นะครับ เพลินๆ...


โดย: Moonlight Mile วันที่: 3 ตุลาคม 2549 เวลา:20:35:20 น.  

 
คือ พึ่งมาใหม่ค่ะ แต่อ่านของคุณmerveillesxx
มานานแล้วค่ะ ชอบมา


โดย: penguin_bear (penguin_bear ) วันที่: 3 ตุลาคม 2549 เวลา:22:42:53 น.  

 
คือ กำลังงงกับการทำหน้ามากเลย ใครอธิบายเราได้บ้าง


โดย: penguin_bear วันที่: 3 ตุลาคม 2549 เวลา:22:51:11 น.  

 
ขอก็อปปี้จาก SCREENOUT มาแปะนะคะ


หนังที่ได้ดูในวันจันทร์

1.ROB-B-HOOD (2006, BENNY CHAN, A-)

ตอนแรกไม่คิดจะดูหนังเรื่องนี้เลย เพราะไม่ชอบเฉินหลง แต่เห็นคุณเจ้าชายน้อย หรือคุณ FILMSICK หรือเจ้านายคุณลูน่า จัง กรี๊ดกร๊าดหนังเรื่องนี้มาก ก็เลยลองไปดู และก็พบว่าหนังออกมาดีกว่าที่คาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหนังเรื่องก่อนหน้านี้ของเฉินหลงอย่าง THE MYTH (C+)

อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะรู้สึกว่า ROB-B-HOOD เป็นหนังที่เข้าท่ามากๆเมื่อเทียบกับหนังตลกในแนวทางเดียวกัน แต่ดิฉันก็ไม่ได้ชอบหนังตลกแนวนี้มากนัก ดิฉันชอบหนังบู๊จริงจังที่ขายความหล่อของดาราชายของ DRAGON SQUAD (2005, DANIEL LEE, A-) มากกว่า

สิ่งที่ชอบมากที่สุดในเรื่อง ROB-B-HOOD ก็คือ

1.1 การที่กู่เทียนเล่อปลอมตัวเป็นคู่เกย์หรือภรรยาของเฉินหลง

1.2 การที่เซียะถิงฟงกับ DANIEL WU รับบทเป็นคู่เกย์กันในเรื่อง แต่โผล่มาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น

ตกลงมีใครได้ไปดู DRAGON SQUAD มาแล้วบ้างคะ ในหนังเรื่องนี้มีดาราชายที่ดิฉันอยากได้เป็นสามี 3 คนค่ะ นั่นก็คือ

1.คนที่รับบทเป็นแฟนเก่าของหวงเซิ่งอี้

2. คนที่ถูกหวงเซิ่งอี้ยิงตาย

3.LAWRENCE CHOU

อยากรู้ชื่อดาราชายสองคนแรกน่ะคะ ไม่รู้ว่าใครจะช่วยสงเคราะห์บอกดิฉันเป็นวิทยายานได้บ้าง ถ้าหากใครบอกได้ ดิฉันขอยก SHAWN YUE ให้เป็นสามีของคนนั้นค่ะ



2.TRAIN MAN (2005, MASANORI MURAKAMI, B)

ดูที่เมเจอร์ ปิ่นเกล้า ทั้งโรงมีคนดูอยู่ 3 ตัว (รวมดิฉันด้วยหนึ่งตัว)

รู้สึกดีใจมากที่เห็น NAOMI NISHIDA เล่นหนังเรื่องนี้ด้วย รู้สึกถูกโฉลกกับดาราหญิงคนนี้มากๆ เธอเคยเล่นหนังเรื่อง SWING GIRLS (2004, A+), HOTEL HIBISCUS (2002, YUJI NAKAE, A+++++), NABBIE’S LOVE (1999, YUJI NAKAE, A+), MY SECRET CACHE (1997, B+/B) และเคยเล่นละครทีวีเรื่อง OVER TIME กับ LOVE COMPLEX (2000, A+)

//www.imdb.com/name/nm0632656/
//www1.udn.ne.jp/~omelet/cocolog/ShowBiz/NaomiNishida.jpg


โปรแกรมการดูหนังของดิฉัน
//www.worldfilmbkk.com

THURSDAY 12 OCT

15.00 ANASTASIA + KONIG’S SPHERE (14+58 = 72 MIN)
GRAND EGV


17.30 FOR BREAD ALONE (100)
GRAND EGV

19.40 PARIS, I LOVE YOU (120 MIN)
PARAGON



FRIDAY 13 OCT

14.00 ARIZONA SUN (94 MIN)
MAJOR

16.20 TALE OF THREE FRIENDS (120 MIN)
PARAGON

18.50 PERSONNEL + THE CALM (90 MIN)
GRAND EGV




SATURDAY 14 OCT

13.00 FIRST LOVE + UNDERGROUND PASSAGE (70 MIN)
GRAND EGV

16.00 MY NAME IS EUGEN (104 MIN)
MAJOR

19.00 JUST DO IT (92 MIN)
PARAGON



SUNDAY 15 OCT

14.00 GRIZZLY MAN (103)
MAJOR

16.50 FROZEN LAND (130 MIN)
MAJOR

19.40 JO SIFFERT:LIVE FAST – DIE YOUNG (85 MIN)
MAJOR



MON 16 OCT

15.00 THE GRIM REAPER (88 MIN)
PARAGON

17.30 THE FEAST OF THE GOAT (125 MIN)
PARAGON

20.10 THE LOVERS OF MARONA (104 MIN)
PARAGON




TUESDAY 17

15.00 SPIDER’S STRATAGEM (100)
PARAGON

17.20 SHORT WORKING DAY (70)
GRAND EGV


19.20 A MAN THING + TAKING BACK THE WAVES (26+76 = 102)
GRAND EGV




WEDNESDAY 18

14.00 TRAGEDY OF A RIDICULOUS MAN (116 MIN)
PARAGON

16.30 CLIMATE (97 MIN)
PARAGON


19.30 I DON’T WANT TO SLEEP ALONE (120)
PARAGON
***หนังเกย์***


THURSDAY 19

13.00 CHICHA TU MADRE (95 MIN)
MAJOR


15.10 CLOSE TO HOME (90 MIN)
GRAND EGV


18.00 GOLD TOOTH + THE ACCORD (18+83 = 101)
MAJOR

20.30 ISABELLA (109)
PARAGON




FRIDAY 20 OCT

13.00 THE RIGHT OF THE WEAKEST (116 MIN)
GRAND EGV


15.30 BLOSSOMING OF MAXIMO OLIVEROS (100 MIN)
MAJOR
***หนังเกย์***

17.40 SILENCE WILL SPEAK (90 MIN)
GRAND EGV

19.40 MY BROTHER NIKHIL (120 MIN)
PARAGON
***หนังเกย์***


SATURDAY 21

13.00 12:08 EAST OF BUCHAREST (89)
GRAND EGV

15.30 SEEDS OF DOUBT (90)
MAJOR

18.00 ODE TO JOY (110)
MAJOR

20.20 BREAKFAST ON PLUTO (135)
GRAND EGV
***หนังเกย์***


SUNDAY 22

13.00 THE DRAGON HOUSE (82)
PARAGON


15.20 CEASE FIRE (110)
PARAGON


17.40 SKETCHES OF FRANK GEHRY (83)
PARAGON


19.30 THE CAIMAN (112)
MAJOR



MON 23
19.00 BATTLESHIP POTEMKIN
MAJOR
***SERGEI EISENSTEIN ผู้กำกับหนังเรื่องนี้เป็นเกย์*****


โดย: M.Scudery Worships Volker Eichelmann & Roland Rust IP: 58.8.189.27 วันที่: 3 ตุลาคม 2549 เวลา:22:53:37 น.  

 

สิ่งที่ค้นพบในวันนี้

-- เปิดไปช่อง Hallmark เห็นตัวอย่าง (ที่เล่าเรื่องแทบหมดไส้หมดพุง) ของเรื่อง Elizabeth I ที่นำแสดงโดย เฮเรน มีร์เรน (ผู้ได้รางวัลนำหญิงจากเวนิสในบทบาทของเอลิซาเบธที่ 2 จากเรื่อง The Queen -- งงมั้ย??) แค่ดูตัวอย่างขอก็กราบเท้า เพราะเธอเล่นเจ๋งมาก

-- พบว่าละครเรื่อง หุ่นหนต์มาร เอ๊ย! เหยื่อมาร ยังคงเป็นละครคลายเครียดชั้นดี

-- แต่บางทีก็ทนอะไรๆ ที่น่ารำคาญของ หุ่นยนต์มาร ไม่ไหว เลยเปลี่ยนไปดูละครช่อง 5 แทน (เรื่อง รักๆ รอยๆ อดีตๆ อะไรเนี่ยแหละ) ไม่ใช่อะไรหรอก อยากดูเพราะจะรอดู เป้ย-ปาวาด (ดาราที่ตาสองข้างไม่เท่ากันคนนั้นนั่นแหละ) แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวอยู่ดี ทนนางเอกไม่ได้ ทำใจเชื่อไม่ลงว่า มิว เดอะสตาร์ เป็นนางเอก!!




อย่างไรก็ดี ได้ดูเป้ยสมใจอยาก แต่รู้สึกว่าช่วงนี้เป้ยแขนเล็กจนน่ากลัว แม้ว่าตอนนี้เราจะชอบผู้หญิงแขนเล็กๆ ก็ตาม (แต่ก่อนเคยชอบผู้หญิงแขนอวบๆ แต่ตอนนี้ชอบแขนเล็กๆ แต่คาดว่าต่อไปอาจจะกลับไปชอบแขนอวบๆ อีกครั้ง)




หญิงสาวที่มีหุ่นในฝันของน้องเมอร์คือ Namie Amuro (ฝันแบบอยากได้เป็นแฟนนะยะ ไม่ใช่ว่าฝันอยากจะสวยแบบนี้)

------------------------

ตอบ พี่ดอง

อยากไปดูคอนเสิร์ตริคเหมือนกัน แต่คงอด เพราะติดเรียน TOEFL อย่างไรก็ตาม นี่คงเป็นคอนเสิร์ตที่เหนื่อยน่าดู เพราะเคยดูริคเล่น 2-3 เพลงยังเหนื่อยเลย (แถมอันนี้ยืนดูอีก) ที่สำคัญห้ามพาแฟนไปดูเด็ดขาด!



ตอบ คุณ being's lover

เวลาฟังเพลง Just My Imagination ผมจะนึกภาพตัวเองอยู่ในบ้านที่มีสมาชิกประกอบด้วย แตงโม-ภัทรธิดา, บอลลูน-พินสุดา, เป้ย-ปานวาด, Kou Shibasaki, Yukie Nakama และ Sora Aoi (ล้อเล่นนะ)



ตอบ คุณ Moonlight Mile

ยังไม่ได้ฟังซิงเกิ้ลใหม่ของ Hikki เลยครับ แต่คิดว่าเธอเหมาะกับการทำเพลงสำหรับเด็กดี (Ayumi คงไม่เหมาะเท่าไร ฮ่าๆๆ)



ตอบ คุณ penguin_bear

>คือ กำลังงงกับการทำหน้ามากเลย ใครอธิบายเราได้บ้าง

หมายถึง หน้า emoticon ป่าวฮะ ก็กดเอาข้างล่างเนี่ยแหละครับ



ตอบ พี่แมดเดอลีน

ขอให้ภูมิใจครับพี่ พี่คงเป็นเพียงไม่กี่คนในประเทศไทยที่ได้ดูหนังเรื่อง Train Man ในโรง


โดย: merveillesxx IP: 161.200.255.164 วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:5:27:13 น.  

 
หง่ะ เสือกไปรู้ตอนจบของ 13 แบบไม่ตั้งใจ เซ็งจิตเลย หวังว่าที่รู้มาคงไม่ใช่ตอนจบจริงๆ นะ


โดย: strawberry machine gun วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:11:02:59 น.  

 
ขอบคุณค่ะ
ไม่ค่อยรู้เรื่องเทคโนโลยี


โดย: penguinbear (penguin_bear ) วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:12:28:56 น.  

 
ชั้นเห็นด้วยกับแกว่ะต่อว่า L'Arc ไม่มีวันจะทำเพลงแบบนั้นอีกแล้ว....


โดย: Angeltetsu IP: 125.24.216.55 วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:23:20:01 น.  

 
i wanna see the movies that you talked about. anyway i can't stand watching this kind of movies. it's too exciting for me.


โดย: cottonbook วันที่: 6 ตุลาคม 2549 เวลา:9:55:31 น.  

 
พี่ ดู earthcore กะ 12 ที่ไหนเหรอ คับ พี่มีแผ่นรึ ป่าว ถ้ายังไง แอดเมลล์มาคุยกัน หน่อย พอดีผมสนใจเรื่องนี้ คับ revolutionist_77@hotmail.com เมลล์ผม คับ...


โดย: โทดที เพ่... IP: 124.157.220.9 วันที่: 12 ตุลาคม 2549 เวลา:10:58:16 น.  

 
(อนึ่ง มีคนบอกมาว่าสุดท้ายแล้ว ทั้งกลุ่มนี้ก็มีน้องแว่นคนนี้คนเดียวที่เอนท์ติด)


ในเรื่อง 2003 กลุ่มเด็กพวกนั้นเอนท์ติดกันได้หลายคนอยู่นะครับ

-สถาปัตย์
-วิศว
-โบราณ
เป็นต้น


โดย: เทิง IP: 118.175.70.84 วันที่: 2 ตุลาคม 2551 เวลา:2:32:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.