Bangkok International Film Festival 2007 (PART 2)
โดย merveillesxx
PART 1
24 JULY 2007
- วันนี้เพิ่งได้ดูหนังที่มีซับไทยในงาน ซึ่งก็ดีทีเดียว (โดยเฉพาะกับ This is England ที่ทั้งเรื่องฟังออกแต่คำว่า F*ck) เสียแต่ว่าซับมันตัวเล็กไปหน่อย แต่ก็พออ่านได้แหละ
1. Sankara (2006, Prasanna Jayakody, Sri Lanka, A) หนังเกี่ยวกับพระหนุ่มที่ยังตัดจากทางโลกไมได้ เพราะจิตใจเกิดหวั่นไหวเมื่อได้พบกับหญิงสาว ตอนแรกนึกว่าหนังจะมาแบบฉาวๆ คาวๆ ประมาณ Samsara แต่ดันกลายเป็น Spring Summer เวอร์ชัน minimalism ยิ่งกว่า หนังมีบทพูดไม่เกิน 15 ประโยค มุ่งเน้นสำรวจจิตใจของตัวเอกอย่างใกล้ชิด สะท้อนผ่านสภาพแวดล้อมอย่างหนักหน่วง (ไล่ตั้งแต่สายลมเอื่อยๆ ที่พัดกระโปรงหญิงสาว มาจนถึงพายุห่าฝนที่แทบจะถล่มวัด) หนังโดดเด่นมากในงานด้านภาพ และซาวด์ดีไซน์ชนิดลำโพงแตกพร่า แถมยังทำเก๋ด้วยการสร้างตัวละครลึกลับขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนสะท้อนด้านมืดของพระเอก หลายสิ่งเหล่านี้ชวนให้คิดถึงหนังรุ่นพี่อย่าง The Forsaken Land เป็นอย่างยิ่ง
2. Okinawa Animation + Shorts (2003-2007, Japan)
2.1 Wonder Frog + Other 5 Animations (Hiroshi Matayoshi, B+)
2.2 Tobukotsu (Hashihito Komatsu, B)
2.3 Kanahiru The Iron Boy (HIGA Brothers, C+)
2.4 Saga (Yoshihiro Arakaki, A-)
โดยรวมแล้วพวกอนิเมชั่นก็พอดูได้ คุณภาพดูในระดับกลาง(ค่อนไปต่ำ) แต่ที่ เซอร์ไพรส์สุดๆ คือ หนังสั้นเรื่อง Saga ที่โผล่มาอย่างไม่รู้เหนืออรู้ใต้ นี่คือหนังผีลึกลับ เยือกเย็น ที่เดินขนบตามแบบ Ju-On ได้อย่างดีเยี่ยม ความน่ากลัวที่คืบคลานมาทางสันหลัง ที่ใช้ประโยชน์เพียงแค่พื้นที่, มุมกล้อง, และเสียงประกอบเล็กน้อย อันเป็นเอกลักษณ์ของหนังผีญี่ปุ่นเท่านั้น ฉากรอยยิ้มสุดท้ายของหญิงสาวเป็นอะไรที่ติดตาและชวนคิดเอามากๆ
3. This is England (2006, Shane Meadows, UK, A-) หนังฮอร์โมนระเบิดของวัยรุ่นเมืองผู้ดียุค 80 ที่ร่าเริงกับทรงผมสกินเฮด, รองเท้าด็อกเตอร์มาร์ติน, แฟชั่นสไตล์พังค์ และการพี้กัญชา หนังจุดอุดมการณ์การเมืองของตัวเอกวัย 12 ด้วยเรื่อสงครามฟอล์คแลนด์ (หนังด่ามาเกเร็ต แทชเชอร์ หน้าแหก ชนิด botox ก็คงเอาไม่อยู่) ก่อนที่ทุกอย่างจะล่มสลายลงเพราะความไร้เดียงสาของผู้ใหญ่คนเดียว นี่คือหนัง coming of age ที่บอกเล่าถึงการเติบโตผ่านการปะทะกันของ ความเป็นผู้ใหญ่ในเด็ก และ ความเป็นเด็กในผู้ใหญ่
หนังคุมโทนอารมณ์ได้ดี พาเราไปสู่จุด peak ได้ไม่ยากเย็นนัก นอกจากนั้นยังเลือกเพลงประกอบได้อย่างมีรสนิยมเหลือเกิน โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่พระเอกโยนธงชาติอังกฤษทิ้งลงแม่น้ำอันแสนจะทรงพลัง
4. Love for Share (2006, Nia Di Nata, Indonesia, B+) หนังแดนอิเหนาที่มีสามพล็อตย่อย แต่พูดถึงธีมเดียวกันคือ polygamy (แนวคิดหลายผัวหลายเมีย - ในที่นี้คือเธอต้องใช้ผัวร่วมกับคนอื่น) สิ่งที่ผิดคาดก็คือ หนังไม่ได้ออกแนวตบตีแย่งผัวแบบละครช่อง 7 แต่กลายเป็นหนังตลกฮาแตก และค่อนข้างมองโลกในแง่ดี แถมหนังยังทำเก๋มีพล็อตเรื่องเลสเบี้ยน และโศกนาฎกรรมสึนามิด้วย
ตอนหนังจบ ดาราของเรื่อง Ria Irawan มา Q&A ด้วย แต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร เพราะไมค์มันหอน เลยต้องตะโกนคุยกัน แต่จับความได้นิดนึงว่า หนัง controversial พอสมควรในอินโดเนเซีย ตอนเลิกงานก็ไปขอลายเซ็น + ถ่ายรูปคู่กับเธอด้วย เธอน่ารักกันเองดี ถึงแม้จะเขียนชื่อเราผิดเป็น TOA (เต๋า) ก็ตาม 555 (ขอบคุณน้อง nanoguy ที่ช่วยถ่ายรูปให้นะจ๊ะ)
อนึ่ง ตอน Q&A ไม่รู้อี HA ตัวไหน (เข้าใจว่าเป็น พนง.โรงหนัง) ดันแซวเสียงดังขึ้นมาว่า อ๋อ เค้าไม่ใช้ไมค์ ไมค์มันหอน เค้าคงกลัวไมค์กัด เออ ขอให้ตอนมันเดินกลับ พลัดตกคลองไป ถูกจระเข้กัดตายแล้วกัน
25 July 2007
- นอกจาก Shortbus แล้ว ตั๋วเรื่อง Lost in Beijing กับ Belle Tojours (วันเสาร์) ก็ขายดีเหมือนกัน ใครจะดูก็รีบซื้อตั๋วนะจ๊ะ
1. Look of Love (2006, Yoshiharu Ueoka, Japan, A) หนังญี่ปุ่นที่ฉายเพียงรอบเดียว และครองตำแหน่งหนังที่เฮี้ยนที่สุด + คนเดินออกมากที่สุดประจำเทศกาลปีนี้แน่นอน นี่คือหนังท้าทายคนดูทุกกระบวนท่า ทั้งภาพขาวดำที่มืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย, บทสนทนาที่พร่ำเพร้อไร้สาระอย่างเสียสติ ไปจนถึงฉากกลางอวกาศสุดคัลต์ที่มีดาวเทียมทำด้วย...กระดาษ!
หนังว่าด้วยชายหนุ่มที่ชอบแอบมองบ้านตรงข้ามมีอะไรกัน เขาเรียกโสเภณีเวียดนามมา แต่ดันไม่ยอมนอนด้วย เพราะเขาเอาแต่พูดเพ้อเรื่องดามเทียม! ส่วนอีกฝั่งหนึ่งว่าถึงแมงดาที่ขับรถไปเจอเด็กที่ถูกแม่ทิ้งให้แห้งตายคาบ้าน และพอทำข้าวให้ เด็กสองคนนั้นก้ลุกขึ้นมาเต้นหมัดเมาโชว์เป็นการตอบแทน (ไม่ต้องรู้เรื่องราวอะไรกันอีกแล้ว)
แต่ใช่ว่าหนังจะดูไม่รู้เรื่องเสียทีเดียว หนังพยายามพูดถึงสังคมญี่ปุ่นปัจจุบันที่ความเป็นปัจเจกนิยมกลืนกิน existence ของผู้คนจนหมดสิ้น หนังมีฉากจี๊ดๆ ตอนที่ดาวเทียม (ที่พระเอกอยากจะร่วมร่างด้วยเสียเหลือเกิน) พูดขึ้นมาว่า ฉันเลิกสนใจเรื่องของมนุษย์ ตอนนี้ฉันสนใจเรื่องอื่นๆ ชีวิต ธรรม และ nothingness แต่ เอ๊ะ นี่คือคำพูดของดาวเทียม หรือพระเอกกันแน่นะ
ความเซอร์แตก (ปนฮา) ของหนังคือ การให้ตัวละครพูดพร่ำถึงอาหารที่อยากจะกิน เพื่อเป็นการยืนยันถึงการดำรงอยู่ของตัวเอง และหนังก็จบอย่างเฮี้ยนสุดๆ ด้วยฉากตัวละครทั้งหมดมานั่งกิน...เนื้อแร็คคูนย่าง!
2. The Park (2006, Yin Licuan, China, A+) หนังจีนที่สร้างจากเรื่องจริงในประเทศ ว่าด้วยพ่อที่ไปสวนสาธารณะเพื่อหาคู่ให้ลูกสาวตัวเอง (เรื่องนี้มีจริงๆ ออกรายการ สะเก็ดข่าว ของบ้านเราด้วย) ชอบที่หนังมันไม่ฟูมฟายจนเกินเหตุ ฉากทะเลาะกันของพ่อลูกไม่ได้รุนแรง และตะโกนโหวกเหวกอย่างน่ารำคาญ แต่มันคือภาพสะท้อนของความไม่เข้าใจกันอย่างยาวนานของประวัติศาสตร์ครอบครัว ซึ่งเราทุกผู้ทุกคนล้วนย่อมเผชิญ สิ่งที่น่าจี๊ดใจมากก็คือ นี่ไม่ใช่เรื่องของพ่อที่หลงยุคหลงเวลา แต่เป็นเรื่องของพ่อที่ไม่อยากให้ลูกสาวต้องเป็นเหมือนตัวเอง สิ่งน่าชื่นชมอีกอย่างก็คือ หนังใช้เพลงประกอบแต่พองาม เช่น ถ้าฉากที่นางเอกดูวิดีโอของพ่อมีเสียงเปียโนเสร่อๆ โผล่ขึ้นมา (แบบที่เราเจอบ่อยๆ ในหนังฮอลลีวู้ด) แล้วล่ะก็ ทุกอย่างพังพินาศทันที
The Park ทำให้ตระหนักว่า ภาพยนตร์ในแง่หนึ่งมันคือ สิ่งที่เรียกว่า ประสบการณ์ส่วนตัว (personal cinematic experience) หนังอาจทำให้เราน้ำตาซึม แต่ก็อาจทำให้ใครบางคนร้องไห้อย่างไม่หยุดหย่อน โดยที่เราไม่จำเป็นต้องถามไถ่ว่าเขาหรือเธอมีชีวิตส่วนใดที่ตรงกับหนัง พูดอีกแบบก็คือ หนังไม่ได้แค่สอนเรื่องชีวิตกับเรา แต่ยังทำให้เราเรียนรู้ชีวิตของคนอื่นมากขึ้นด้วย นี่คือสิ่งหนึ่งที่สื่อภาพยนตร์ทำได้ดีที่สุด
3. The Edge of Heaven (2007, Fatih Akin, Germany, A+) หนังรางวัลเขียนบทยอดเยี่ยมจากคานส์ น่าดีใจด้วยว่าบางกอกฟิล์มเป็นเทศกาลแห่งที่ 2 ของโลกที่ได้ฉายเรื่องนี้ (น่าเสียดายที่ผู้กำกับ Fatih Akin ไม่มา Q&A) ถึงแม้หนังจะมีเรื่องการเมืองแฝงอยู่ตลอด (เช่น เรื่องที่ตุรกีจะเข้าเป็นสมาชิก EU) แต่หนังก็ยังมีประเด็นอย่างอื่นที่หนักแน่นมาก อย่างแรกก็คือ เรื่องของการพลัดถิ่น ที่หนังมีการข้ามแดนไปมาระหว่าง เยอรมัน-ตุรกี ตลอดทั้งเรื่องด้วยบทที่ฉลาด เก๋ไก๋ และน่าทึ่ง
ส่วนอีกประเด็นที่ชอบในหนังคือ มันพูดถึงความสัมพันธ์ได้ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ พ่อ-ลูก / แม่-ลูก / เพื่อน / คนรัก / ไปจนถึงคู่เลสเบี้ยน ซึ่งทุกคู่สัมพันธ์นั้นต่างถูกผูกโยงด้วยกันด้วย ความตาย (โปรดิวเซอร์ของหนังบอกว่า หนัง 3 เรื่องหลังของ Akin จะเป็นไตรภาค โดย Head On นั้นว่าด้วย Love, The Edge of Heaven พูดถึง Death ส่วนเรื่องสุดท้ายจะพูด Devil) และโยงใยไปถึง การให้อภัย ซึ่งนั่นเองคือ สุดปลายขอบฟ้า ในหนังเรื่องนี้
4. Angel (2006, Francois Ozon, Belgium + England + France, B) ฟรองซัวส์ โอซอง ผู้กำกับชื่อดัง (หน้าตาดี และแน่นอนว่าเป็นเกย์) พลิกมาทำหนังเอพิค-เมโลดราม่า อารมณ์ Gone With the Wind ตัวหนังยิ่งใหญ่ทุกอย่าง ไม่ว่าจะการแสดง (เล่นใหญ่), ฉากอลังการ, เสื้อผ้าหน้าผม ไปจนถึง นมของนางเอก (ฮา) แต่ที่ใหญ่ที่สุดคือ ตานางเอก ที่กล้องชอบโคลสอัพเกือบทั้งเรื่อง ซึ่งดูไปดูมาแล้วเหมือนพวกการ์ตูนผู้หญิงตาไข่ห่าน
ส่วนตัวแล้วหนังเรื่องนี้ดูได้เพลินๆ แต่ไม่ได้ชอบอะไรมากมาย เพราะไม่ได้อินอะไรกับหนังแนว/ขนบนี้นัก แต่หนังก็มีอะไรให้ชวนคิดเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องความจริงกับความฝัน หรืออะไรง่ายๆ อย่างว่าปราสาทที่นางเอกอยู่ที่มีชื่อว่า Paradise ว่าแต่มันคือ สวรรค์ จริงหรือ
26 JULY 2007
- รู้สึกว่าตอนนี้โฆษณาก่อนหนังฉายจะเหลือแค่ประมาณ 10 นาทีแล้ว คงเพราะเป็นวันพฤหัส โปรแกรมหนังเปลี่ยนแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ต้องทนดูตัวอย่าง อีส้มสมหวัง และวิดีโอคลิป อีกต่อไป
01. Beaufort (2007, Joseph Cedar, Israel, A-) หนังสงครามอิสราเอล-เลบานอน คือปกติเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบดูหนังสงครามเท่าไร รู้สึกว่ามันหนวกหู และเฟคๆ (อย่าง Black Hawk Down นี่เกลียดมาก) แต่ชอบที่หนังเรื่องนี้แทบไม่มีการยิงกันเลย มีแต่ระเบิด ซึ่งระเบิดแต่ละครั้งมันดูจริง โหดร้าย และน่ากลัว หนังยังโดดเด่นมากที่ซาวด์ประกอบที่เหมือนหนังเซอร์เรียลหลอนๆ มากกว่าหนังสงคราม อย่างเช่น ฉากเปิดที่ทหารคนหนึ่งเดินอยู่ในอุโมงค์มืดๆ แล้วก็มีเสียงวิ้งๆ + เสียงวิทยุวอตีกันไปมา รู้สึกว่านี่แหละคือวามน่ากลัวที่แท้จริงก็สงคราม (ถ้าโทนหนังเป็นแบบนี้ตลอดเรื่อง นี่คงเป็นหนังสงครามที่ชอบที่สุดในชีวิต)
ทหารในเรื่องไม่ได้ออกไปรบ แต่ถูกสั่งให้เฝ้ารักษาการณ์เอาไว้ แต่ที่จริงพวกเขาดูเหมือนถูก ขัง ไว้มากกว่า จนไม่รู้ว่านี่มันคือ กองทหาร, คุก หรือ นรก กันแน่ จากตอนแรกพระเอกจะให้ความสำคัญกับสถานที่นี้มาก (ไม่ยอมกลับบ้าน, ไม่ยอมถอนกำลัง) แต่พอมาถึงฉากที่เขาตัดสินใจระเบิดค่ายทหารนี้ทิ้งซะ ก็ชอบฉากนั้นมาก มันเหมือนการปลดปล่อยจิตวิญญาณตัวเอง สีหน้าของนักแสดงทุกคนในฉากนี้ก็เป็นภาพที่ติดตามากๆ แต่ที่ไม่ชอบหนังเรื่องนี้ถึงที่สุด ก็เพราะช่วงท้ายๆ มันดูอ่อนแรงลงไป แล้วก็ไม่ค่อยชอบฉากซึ้งๆ ในช่วงท้ายด้วย แต่ชอบที่หนังจับภาพพระเอกเป็นภาพตอนจบจริงๆ การที่ไม่แน่ใจว่าพระเอกหอบเหนื่อย หรือร้องไห้ หรือเป็นอะไรกันแน่ เป็นสิ่งโดนใจมากๆ เพราะคิดว่าการได้ออกมาจากสงครามมันคงให้ความรู้สึกซับซ้อนแบบนี้
เรื่องฮาๆ อย่างหนึ่งก็คือว่า แม้ว่าหนังสงครามเรื่องนี้จะไม่ค่อยเหมือนหนังสงครามฮอลลีวู้ด แต่มันก็ยังมี ขนบของหนังสงคราม ที่เห็นกันบ่อยๆ อย่างเช่น 1.ทหารหนุ่มหน้าใหม่จะต้องตายเป็นคนแรก 2.ทหารที่หยิบรูปแฟน/เมียขึ้นมาดู จะต้องเจอกับความชิบหาย เป็นต้น
02. Traveling with Yoshimoto Nara (2007, Yoji Sakabe, Japan, A+) หลังๆ มารู้สึกเข็ดกับหนังสารคดีในเทศกาล เพราะดูแล้วหลับทุกที แต่ถือว่าวันนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกมากที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิต (ไม่ดูหนังอิรักเรื่อง Dreams แต่ดูอันนี้แทน) เพราะสารคดีเรื่องนี้ไม่หลับ ดูสนุก เพลงประกอบชนะเลิศ และจับจิตจับใจเอามากๆ
หนังติดตามชีวิตของศิลปิน Yoshimoto Nara (ที่หลายคนคงรู้จักเขาจากภาพ เด็กหญิงตาแบ๊ว หนังเล่าถึงตอนที่ Nara ก้าวไปทำโปรเจคต์ใหญ่ที่ชื่อว่า A to Z โดยเขาจะไปสร้างบ้าน (เรียก small house) ตามเมืองใหญ่ต่างๆ เช่น ลอนดอน, นิวยอร์ก, โอซาก้า รวมถึงกรุงเทพ (ถ้าจำไม่ผิดนิทรรศการของเขาน่าจะเคยแสดงที่ ม.ศิลปากร เมื่อปลายปี 2005 ถ้าผิดช่วยแก้ด้วยนะครับ) จากนั้นก็รวมบ้านทุกหลัง จัดเป็น exhibition ใหญ่ที่ญี่ปุ่น
ประเด็นที่รู้สึกโดนใจกับหนังมากๆ ก็คือโปรเจคต์นี้ Nara จะต้องข้ามผ่านด่านสองอย่างใหญ่ๆ ก็คือ 1.เขาต้องหัดทำงานร่วมกับคนอื่น (ปกติเขาฉายเดี่ยว) 2.เขาจะต้องทำอย่างอื่น นอกจากวาดภาพ เด็กหญิงตาแบ๊ว (ซึ่งเขาวาดไว้ประมาณร้อยแบบ) ซึ่งเป็นที่ตรงกับชีวิตตัวเองตรงที่ 1.เป็นคนชอบทำงานคนเดียว เกลียดการทำงานกลุ่มมากๆ 2.บางเวลารู้สึก stuck กับชีวิต หรือขาดแรงบันดาลใจอย่างรุนแรง คือดูหนังแล้วรู้สึกว่าศิลปินมันก็มีหนทาง move on ในแบบของมัน (เรื่องนี้เด่นชัดมากตรงที่ พอนิทรรศการแสดงครบ 3 เดือน Nara ก็เผาบ้านพวกนั้นทิ้งหมดเลย) ดูแล้วมันรู้สึกถึง artistic inspiration มากๆ ( แล้วก็รู้สึกดีมากๆ ด้วยตอนดูฉากที่มาถ่ายในเมืองไทย มีเพลงลูกทุ่งในหนังด้วยนะ)
สิ่งที่ประทับใจสุดท้ายก็คือ ผู้กำกับมา Q&A ด้วย แล้วเขาอัธยาศัยดีมากๆ (ขอลายเซ็นแล้วเรียบร้อย)
03. Before We Fall in Love Again (2006, James Lee, Malaysia, A+) หนังขาวดำว่าด้วยความสัมพันธ์สามเส้าที่นิ่งเนิบสนิทตลอดเรื่อง และตัวละครแสดงออกอย่างไร้อารมณ์ เชื่องช้าประดุจหลุดมาจากหนังของไฉ้หมิงเลี่ยง ถึงจะอย่างนั้นก็รู้สึกว่าหนังมีเสน่ห์ในตัวมันเองดี และก็ชอบมากๆ ที่หนังไม่เฉลยอะไรทั้งสิ้น คิดว่านี่น่าจะเป็นหนังที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำมากที่สุดของเทศกาลนี้
ฉากหนึ่งที่ชอบมาก คือตอนที่พระเอกถามนางเอกว่า ทำไมคุณถึงรักผม แล้วเธอก็ถามกลับว่า แล้วทำไมคุณถึงรักฉันล่ะ พระเอกตอบว่า ก็เพราะคุณรักผมไง ดูฉากนี้แล้วรู้สึกเศร้ามาก คือมันเป็นตรรกะความรักที่ nonsense มากๆ แต่เวลาคนเรามีความรัก เราก็ชอบคิดว่าไอ้ความรู้สึกนี่แหละ ที่มัน make sense สุดๆ ฉากนี้ก็เลยทำให้รู้สึกว่าการที่นางเอกหายตัวไปตลอดกาลนี่มันก็คงจะดีสำหรับพระเอกทั้งสองคน เหมือนหนังมันพูดกับเราว่า เราอย่าพบเจอกันอีกเลย เราควรจะพรากจากกันไปตลอด ก่อนที่เราจะรู้สึกรัก และเจ็บปวดกันอีกครั้ง นี่คือ นิยามของ Before We Fall in Love Again ในแบบของตัวเอง และแต่ละคนก็คงตีความหมายของหนังเรื่องนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง (และตอนออกมาหน้าโรงก็ได้ยินคนด่าหนังเรื่องนี้อย่างสารพัดรูปแบบ 5555555)
04. Getting Home (2007, Zhang Yang, China, B+) หนังตลกร้าย ฮาแตก น้ำตาซึม ว่าด้วยชายหนุ่มแสนซื่อที่แบกศพเพื่อนกลับไปยังบ้านเกิด แถมยังเจอเรื่องซวยสารพัดตลอดทาง ตั้งแต่ถูกโจรปล้น, ขโมยเงิน, เจอนักเลงรุม ฯลฯ หนังเล่นกับอารมณ์คนดูได้ดีทั้งสุขและเศร้า อย่างฉากที่พระเอกไปเจอคู่ผัวเมีย ที่ฝ่ายเมียถูกหมอน้ำระเบิดหน้าแหก แล้วทั้งคู่เลยพากันย้ายมาทำฟาร์มผึ้งที่บ้านนอก จริงๆแล้วมันเป็นฉากที่เพ้อเจ้อยิ่งกว่าหนังสปีเลเบิร์กเสียอีก แต่ก็น้ำตาซึมกับฉากนี้ แต่บางฉากหนังก็พยายามบิวด์อารมณ์มากไปหน่อย แต่จุดที่ชอบที่สุดก็คือ การที่หนังจบแบบไม่ทันตั้งตัว ฉากจบแบบนี้มักได้ใจผมเสมอ
อ่านต่อ PART 3
Create Date : 25 กรกฎาคม 2550 |
Last Update : 28 กรกฎาคม 2550 4:20:14 น. |
|
45 comments
|
Counter : 3690 Pageviews. |
|
|
|
ตอบ จากบล็อก PART 1
ตอบ nanoguy
ขอบคุณที่วันนี้ช่วยถ่ายรูปให้จ้า แล้วตกลงน้องใช่มั้ยที่ไปเขย่าไข่ เอ๊ย ขา ใส่คุณ renton อ่ะ ไปคลียร์กันเองนะ อิอิ
ตอบ ปุ้ย
>ม่ะวันก่อนเพิ่งหาซื้อแผ่นเรื่อง The Virgins Suicide มาได้ ดูจบแล้วชอบ
อยากคุยเน้นๆ เรื่อง "Virgin Suicide" กลับเรามั้ย เดี๋ยวจะวิเคราะห์ให้ถึงเนื้อถึงตัว เอ๊ย ถึงพริกถึงขิง เชียวแล แฮ่ๆๆ
ตอบ it ซียู
ตอนนี้เรา + พี่แมดเดอลีน + คนบอร์ดไบโอสโคป พร้อมใจกันเข้าสาย 20 นาทีโดยตั้งใจแล้ว / ตอนซื้อตั๋วเราก็เลือกที่ริมๆ อ่ะ จะได้เข้าง่ายๆ
ตอบ I will see U in the next life.
คาดว่าน่าจะไปอย่างแน่นอน เพราะงาน FUTON (เกย์คงเยอะ 555)
ตอบ โทยะ อากิระ
คาดว่า The Go Master อาจจะออกแผ่นโดย J-BICS มานั่งดูกับพี่ที่บ้านสองต่อสองก็ได้ ถ้าไม่อยากดูคนเดียว
ตอบ renton_renton
>วันนี้ได้รูปสวยๆมาอ่ะจิ
หมายถึงที่เราไปถ่ายคู่กับดารา Love for Share อ่ะเหรอ เราว่ารูปคงออกมาอุบาทว์ว่ะ 5555