http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
All Blogs
 
La Maison de Himiko / A Blue Automobile : รักสามเพศ + รักสามเศร้า

โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง



La Maison de Himiko : รัก / สาม / เพศ

ถ้าพูดถึงหนังเกย์ร่วมสมัยของญี่ปุ่นแล้ว ชื่อของผู้กำกับที่ต้องโดดเด้งขึ้นมาเป็นคนแรกๆ ก็คือ เรียวสุเกะ ฮาชิกุจิ เขาสร้างผลงานเด่นๆ ไว้ตั้งแต่ช่วงยุค 90 เป็นต้นมา เช่น Like Grains of Sand (1995) หนังที่ว่าด้วยความรักอันยุ่งเหยิงของเกย์ ชายจริง และหญิงแท้ หรือ Hush! (2001) ที่ 2 เกย์หนุ่ม + 1 หญิงสาวพยายามจะเลี้ยงลูกด้วยกัน

สังเกตได้ว่าฮาชิกุจิไม่ได้กำจัดเรื่องเล่าของตัวเองอยู่ในวงของสังคมเกย์ แต่เขามักขยายความวุ่นวายไปสู่เพศที่หนึ่ง เพศที่สองด้วย จนทำให้หนังของเขาเต็มไปด้วยความสัมพันธ์อันซับซ้อนและวายป่วงสุดๆ

La Maison de Himiko (2005) ของผู้กำกับ อิชชิน อินุโด ก็มีลักษณะคล้ายหนังของฮาชิกุจิอยู่เหมือนกัน หนังเล่าถึง ซาโอริ (โค ชิบาซากิ) หญิงสาวที่ได้รับการติดต่อจากหนุ่มมาดเท่ ฮารุฮิโกะ (โจ โอดากิริ) ให้กลับไปดูใจ ฮิมิโกะ (มิน ทานากะ) พ่อของเธอที่กำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง แต่ซาโอริก็ไม่ค่อยจะเต็มใจไปนัก เพราะว่าพ่อของเธอเป็นกะเทยและทิ้งเธอไปตั้งแต่เด็ก ส่วนหนุ่มหล่อที่มาหาเธอนั้นก็เป็นคู่ขาของพ่อนั่นเอง

ฮิมิโกะนั้นเคยเป็นมาม่าซังที่บาร์ชื่อดังมาก่อน แต่หลังจากเกษียณเขาก็เอาเงินทั้งหมดไปสร้างบ้านพักคนชราสำหรับเกย์ที่ชื่อว่า Himiko Hotel ฮารุฮิโกะรู้ว่าซาโอริกำลังร้อนเงินอย่างหนัก เขาจึงยื่นข้อเสนอให้เธอเข้าไปทำงานที่นั่นพร้อมกับเสนอค่าจ้างก้อนโต ด้วยเหตุนี้เองซาโอริจึงได้พบหน้ากับพ่อของเธอ หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี

ในระหว่างที่ความสัมพันธ์ของซาโอริกับพ่อก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ หนังก็พาเราไปรู้จักกับบรรดาเกย์ชราที่อาศัยอบู่ในบ้านหลังนั้น ซึ่งมีมากมายหลายประเภท ตั้งแต่กะเทยแต่งหญิง, เกย์ปากจัด, เกย์ผู้ดี ไปจนถึงเกย์ปัญญาชน ตัวละครพวกนี้สร้างสีสันให้กับหนังได้ดี แต่อารมณ์ 'การ์ตูนๆ' ของพวกเขาก็อาจทำให้ทรงพลังน้อยลงไปบ้าง (แต่ที่เซอร์มากคือ หนังมีฉากการ์ตูนจริงๆ ใส่เข้ามาด้วย)

ฟังดูแล้ว Himiko Hotel ก็เหมือนสรวงสวรรค์ของเกย์ (มีฉากหนึ่งพวกเขาเรียกนักศึกษาหนุ่มๆ มาสร้างความบันเทิงเริงใจ) แต่เมื่อดูหนังไปเรื่อยๆ เราก็จะพบว่า แท้จริงแล้วที่นี่คือ สถานีพักสุดท้ายก่อนเข้าสู่ปลายทาง เพราะบรรดาตัวละครเกย์ก็เริ่มทยอยกันจากโลกนี้ไป ยามาซากิ สมาชิกคนหนึ่งบอกว่าเขาเคยมีความสุขมาก ตอนเข้ามาในบ้านหลังนี้ใหม่ๆ แต่ ณ ตอนนี้เขามีแต่ความทุกข์ที่ต้องเห็นเพื่อนตายทีละคนๆ

อย่างไรก็ดี ยามาซากิ ก็ไม่ได้หวั่นเกรงต่อความตายอย่างใด เขาพูดกับซาโอริว่า "แค่คิดว่าชาติหน้าฉันจะเกิดมาเป็นผู้หญิง ฉันก็ไม่กลัวตายแล้ว" หนังเปิดเผยภูมิหลังของยามาซากิว่าเขาเคยพนักงานบริษัทธรรมดาๆ คนหนึ่ง (ที่ต้องแอ๊บแมน) ฉากหนึ่งที่น่าเจ็บปวดมากคือ ตอนที่เขาแต่งหญิงไปเที่ยวผับ แต่กลับเจออดีตเพื่อนร่วมงาน แถมฝ่ายหลังยังพูดจาดูถูกเขาประมาณ "ว่าแล้วเชียว ฉันคิดมาตลอดเลยว่านายต้องเป็นกะเทยแน่ๆ"

รูบี้ กะเทยแก่ปากตลาด ก็เป็นอีกตัวละครหนึ่งที่มีบั้นปลายน่าเศร้า หลังจากเส้นเลือดในสมองแตกจนเป็นอัมพาต ฮารุฮิโกะและเหล่าสมาชิกก็ตัดสินใจส่งเขากลับไปอยู่กับลูกชาย (ที่ไม่เคยพบหน้ากันเลย เพราะรูบี้ทิ้งลูกเมียไป) พวกเขาปกปิดความจริงกับลูกชายว่ารูบี้เป็นกะเทย ทั้งที่ความจะต้องแตกสักวันแน่ เพราะรูบี้นั้น 'เฉาะ' มาแล้ว

ซาโอริ รู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของพวกฮารุฮิโกะมาก จึงเกิดการโต้เถียงกัน ฮารุฮิโกะพูดใส่ว่าเธอเป็น 'คนนอก' ไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ และ Himiko Hotel ก็เป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อความสุขของชาวเกย์ แต่ซาโอริก็ตอกกลับว่า "ที่นี่น่ะเป็น 'เรื่องโกหก' ต่างหาก!" คำพูดนั้นทำให้พวกฮารุฮิโกะนิ่งอึ้งไป เพราะแท้จริงพวกเขาก็รู้แก่ใจว่าโรงแรมแห่งนี้ไม่สามารถช่วยให้พวกเขาซ่อนตัวจากความจริงได้ ทั้งเรื่องของความตาย และความแปลกแยกของความเป็นเกย์

ความเป็นเกย์ยังสร้างปัญหาให้กับตัวละครหลักของเรื่อง เมื่อซาโอริกับฮารุฮิโกะเริ่มมีใจให้กัน ในฉากที่ทั้งสองพยายามจะมีเซ็กซ์กัน ผู้กำกับอินุโด ให้เวลากับฉากนี้ค่อนข้างนาน และทำให้เต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัด ฮารุฮิโกะลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของซาโอริ แต่ก็เหมือนมีบางอย่างทำให้เขาลังเลใจ ในที่สุดฝ่ายหญิงก็เลยพูดออกมาว่า "ฉันไม่มีสิ่งที่คุณต้องการใช่มั้ย"

แต่หนังก็ไม่ได้สรุปลงอย่างหดหู่นัก ถึงแม้ตัวละครทั้งสองจะไม่สามารถเข้ากันในทางกายภาพ แต่พวกเขาก็หาทางออกให้กับตัวเองได้ ซาโอริก็ไปมีเซ็กซ์กับเจ้านาย ส่วนฮารุฮิโกะก็ยังคงยั่วผู้ชายไปเรื่อยตามประสา ในช่วงท้ายของหนัง เราเห็นได้ว่าทั้งคู่ก็ยังไปมาหาสู่กัน และมีความรู้สึกผูกพันกันอยู่ แม้ยากจะระบุเหลือเกินว่าทั้งคู่เป็นอะไรกัน

บางทีความสัมพันธ์ของซาโอริและฮารุฮิโกะอาจจะคล้ายๆ กับเพลงที่ใช้ในฉากที่ตัวละครทั้งหมดร่วมกันเต้นในผับ เนื้อเพลงท่อนหนึ่งร้องว่า

"We both hurt each other
and lose everything
Together we'll close the door
Together we'll erase our names
When we do
our hearts will tell us why"



La Maison de Himiko - Dance Scene






A Blue Automobile : รัก / สาม / เศร้า

(หมายเหตุ: มีการเปิดเผยเนื้อเรื่อง)

ถ้าหากจะให้สรุปเนื้อเรื่องย่อของ A Blue Automobile (2004, ฮิโรชิ โอคุฮาร่า) ก็อาจพูดแบบขำๆ ได้ว่ามันคือ รัก / สาม / เศร้า ฉบับน้องสาวแย่งผัวพี่สาว

หนังเล่าเรื่องของคู่รักคู่หนึ่ง ฝ่ายชายคือ ริจิโอะ (แสดงโดย อาราตะ) หนุ่มผมทองที่มีอาชีพขายแผ่นเสียงยามกลางวัน และเป็นดีเจเปิดแผ่นในยามค่ำคืน ส่วนฝ่ายหญิงคือ อาเคมิ (คุมิโกะ อาโซ) พนักงานบริษัทธรรมดาๆ คนหนึ่ง ฟังดูแล้วทั้งคู่ไม่น่าจะเป็นแฟนกันได้ แถมฝ่ายชายก็ยังไม่ค่อยพูดจาและชอบทำอะไรแปลกๆ (เช่น อยู่ๆ ก็ไปชกหน้าเพื่อนของอาเคมิ) แต่อาเคมิก็ยังประคับประคองความสัมพันธ์ไปได้เรื่อยๆ

อาเคมิ มีน้องสาวชื่อ โคโนมิ (อาโออิ มิยาซากิ) เธอเป็นเด็ก ม.ปลาย ทั่วๆ ไป ประเภทเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษ พอที่บ้านถามว่าที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง ก็ตอบว่า "ก็เหมือนเดิมแหละ" หรือเมื่อเพื่อนสาวถามว่ามีแฟนหรือยัง โคโนมิก็ทำหน้ายิ้มๆ แล้วตอบว่า "ไม่มีหรอก" แต่ที่จริงแล้วเธอแอบชอบริจิโอะ แฟนของพี่สาวต่างหาก

จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของริจิโอะกับโคโนมิเกิดขึ้นง่ายๆ ด้วยการพบกันโดยบังเอิญที่ร้านหนังสือ ต่อด้วยการไปที่บ้านของฝ่ายชาย และลงเอยด้วยการหลับนอนกันในที่สุด

ริจิโอะกับโคโนมิก็เป็นคนประเภทคล้ายกันคือ พวกที่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมายอะไรนัก ริจิโอะเองก็ไม่มีความแน่นอนว่าจะยึดอาชีพไหนเป็นหลักกันแน่ ส่วนโคโนมิที่ไปเรียนพิเศษเกือบทุกวัน ก็เอาแต่นั่งเหม่อลอยและแทบไม่ได้อะไรติดหัวกลับมาเลย ในขณะที่ฝ่ายอาเคมิที่เป็นมนุษย์เงินเดือนก็น่าจะมีระเบียบแบบแผนในชีวิตมากกว่าสองคนแรก

นอกจากนั้นริจิโอะยังน่าจะอึดอัดกับความพยายามของอาเคมิที่ต้องการทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเข้ารูปเข้ารอย และเป็นไปทางที่ควรจะเป็น แต่ทุกครั้งริจิโอะก็จะทำลายมันลงจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม จนในที่สุดอาเคมิก็ต้องถอยห่างออกมาจากชีวิตของเขา

ที่จริงแล้วอาเคมิก็เป็นผู้หญิงธรรมดาที่ต้องการให้ชีวิตรักเป็นไปอย่างราบรื่น (ในฉากหนึ่งที่อาเคมิกับริจิโอะนั่งมองพ่อแม่ลูกเล่นกันในสวนสาธารณะ เธอก็พูดออกมาว่า "ถ้ามีความสุขแบบนี้ทุกวัน ก็ดีสินะ") แต่ริจิโอะนั้นไม่ใช่คนปกติทั่วไป หนังบอกใบ้กับเราว่าเขาเคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเมื่อตอนเด็ก เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ริจิโอะมีสภาพจิตที่ไม่มั่นคง เขาฝันร้ายอยู่บ่อยๆ และลุกขึ้นมากรีดแขนตัวเองตอนกลางดึก

ไม่ใช่อาเคมิเท่านั้นที่เจอกับ 'ความคาดเดาไม่ได้' ของริจิโอะ โคโนมิเองก็โดนหนักพอๆ กับพี่สาว เช่น อยู่ดีๆ ก็โดนไล่ออกจากห้อง, พอไปดูริจิโอะเปิดแผ่นที่ผับ ก็ถูกถามว่า "เธอมาทำอะไรที่นี่" หรือร้ายที่สุด ในตอนท้ายริจิโอะก็พูดกับโคโนมิว่า "เราเลิกเจอกันเถอะ"

อย่างไรก็ดี ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ริจิโอะล้วนทำด้วยน้ำเสียงหรืออาการที่นิ่งเฉย (หรือแทบจะเรียกว่าเย็นชา) เขาไม่เคยขู่ตะคอก อาละวาด หรือทำร้ายร่างกายผู้หญิงทั้งสองคน

นี่อาจจะเป็นจุดเด่นของ A Blue Automobile ที่ดำเนินเรื่องอย่างนิ่งเรียบ และแทบไม่มีการปะทะอารมณ์กันของตัวละคร (บางทีเราอาจรู้สึกสบายใจกว่าเสียอีก หากพวกเขาลุกขึ้นมาด่าหรือตบตีกันบ้าง) พวกเขาใช้ชีวิตในแต่ละวันตามปกติ พูดจาทักทายกันในเรื่องทั่วไป แต่ก็เก็บอะไรมากมายไว้ในใจ

ตัวอย่างสำคัญของเรื่องนี้ อยู่ในฉากที่โคโนมิตัดสินใจบอกกับพี่สาวว่าเธอมีเซ็กซ์กับริจิโอะ แทนที่อาเคมิจะด่าทอน้อง เธอกลับทำหน้ากลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ย้อนกลับไปถามเรื่องที่คุยค้างกันไว้ว่า "ตกลงพรุ่งนี้ไม่ไปเที่ยวกับพี่จริงๆ หรือ"

ถึงแม้อาเคมิจะทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ระหว่างที่ขับรถไปทำงานต่างจังหวัด เธอก็ใจลอยจนทำให้ประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิตทันที

หลังจากการตายของพี่สาว โคโนมิยิ่งรู้สึกเจ็บปวดกว่าเดิมหลายเท่า เพราะอาเคมิยังไม่ได้บอกสักคำว่ารู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เธอทำลงไป ราวกับว่าโคโนมิจะต้องอยู่กับเครื่องหมายคำถามไปชั่วชีวิต

ในช่วงท้ายของหนัง โคโนมิกับริจิโอะมาพบกันอีกครั้ง ฝ่ายหญิงนำช่อดอกไม้แดงติดตัวไปด้วย โดยบอกว่าจะเอาไปทิ้งลงทะเล (หนังไม่ได้บอกชัดว่าเป็นดอกไม้งานศพ หรือดอกไม้สีโปรดของอาเคมิ แต่เดาได้ว่าเป็นตัวแทนของพี่สาว) ทั้งคู่ขับรถไปทะเลด้วยกัน แต่ในระหว่างทางพวกเขาก็ทำให้คนดูตกใจอีกครั้ง เมื่อทั้งสองตัดสินใจแวะมีเซ็กซ์กันในโรงแรม (ทั้งที่พี่สาวเพิ่งจะตายไปแท้ๆ)

นี่เป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ A Blue Automobile ตัวละครในหนังต่างทำในสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ และอาจจะไม่มีวันเข้าใจได้ แม้หลายทางที่พวกเขาเลือกจะดูเป็นการทำร้ายตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาก็เลือกที่ทำมันอย่างแน่วแน่

ในตอนจบริจิโอะกับโคโนมิก็ยังนั่งอยู่ในรถสีฟ้าคันเดิม รถแล่นไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้จุดหมาย ดอกไม้ช่อแดงนั้นก็ยังอยู่ที่ท้ายรถ ราวกับว่าทั้งสองไม่อาจละทิ้งอดีตของตัวเองไปได้ ความรู้สึกของทั้งคู่ที่มีต่ออาเคมิจะยังดำรงอยู่ต่อไป เหมือนกับที่โคโนมิพูดไว้ว่า

"ฉันไม่รู้สึกผิด แต่ฉันรู้สึกเจ็บปวด"



A Blue Automobile - Trailer



Create Date : 29 สิงหาคม 2551
Last Update : 29 สิงหาคม 2551 4:50:50 น. 31 comments
Counter : 5950 Pageviews.

 



THIRD CLASS CITIZEN ขึ้นหน้าหนึ่ง ผู้จัดการ!!

อ่านได้ที่นี่ขอรับ

THIRD CLASS CITIZEN : โรงหนังชั้น 3 ใกล้บ้านคุณ

ป.ล.1 Third Class ไม่ได้มีกลุ่มพันธมิตรหนุนหลัง อย่างที่กำลังมีคนปล่อยข่าวนะครับ 555

ป.ล.2 เลือกรูปได้เหลื่อมล้ำมากขอรับ แต่เอาเถอะ เขียนนามสกุลกระผมถูก เป็นพอใจแล้ว


โดย: merveillesxx วันที่: 29 สิงหาคม 2551 เวลา:4:32:33 น.  

 
โอววาว
เดี๋ยวนี้ดังกันใหญ่


โดย: nomorebrain IP: 70.226.170.139 วันที่: 29 สิงหาคม 2551 เวลา:6:07:54 น.  

 
พี่โจเรื่องนี้เป็นเกย์ที่หล่อบาปมากๆ T_T
ชอบฉากที่พี่แกปรายตาถามเจ้านายนางเอกว่า

"ไม่มาอยู่ฝั่ง ' ไม่เจ็บหรอก ' ด้วยกันเหรอ?"


โดย: RUBIS IP: 124.120.216.231 วันที่: 29 สิงหาคม 2551 เวลา:9:31:55 น.  

 
สังเกตได้ว่าฮาชิกุจิไม่ได้กำจัดเรื่องเล่าของตัวเองอยู่ในวงของสังคมเกย์
-- มันต้องเขียนว่า ไม่ได้ 'จำกัด' ใช่มะ

แมนชั่นฮิมิโกะมีตัวละครเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่น่าสนใจโผล่มาตอนท้ายเรื่องด้วย
ซึ่งผมคิดว่าคงเป็นเด็กที่ "ค้นพบตัวเอง"


โดย: nighty IP: 58.8.37.102 วันที่: 29 สิงหาคม 2551 เวลา:11:27:58 น.  

 
+ หนังแนวๆ นี้ แต่อารมณ์ญี่ปุ่นนี่ ดูจบคง 'บาดลึก' น่าดูเลยนะครับ เหอๆ แต่ก็น่าดูเหมือนกันนะนั่น

+ 3rd class พี่ไปอ่านจากเว็บ manager มาแล้วเหมือนกันครับ ดังใหญ่แล้วจริงๆ นะเนี่ย อุๆ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 29 สิงหาคม 2551 เวลา:18:06:26 น.  

 

ตอบ RUBIS

ถ้าพี่โจมาถามงี้กับดิฉัน ถึงเจ็บก็ยอมค่ะ โฮะๆๆๆ (หมายถึง เจ็บใจ ไรงี้นะ)



ตอบ nighty

เออ ใช่ เขียนผิด ขอบคุณที่บอกจ้ะ

เรื่องเด็กหล่อคนนั้น ก็คิดงั้นเหมือนกัน เดาว่าหลังจากนั้นคงกลายเป็นทาสรักของพี่โจไปโดยปริยาย



ตอบ บลูยอชท์

จริงๆ หนังทั้งสองเรื่องก็ไม่ได้เจ็บปวดรวดร้าวอะไรนะฮะ อย่าง Himiko ก็มีอารมณ์ตลกๆ ปนมาเยอะ ส่วน Blue Automobile มันไม่พยายามบิวด์เศร้า เปิดเพลงเพราะๆ คลอไปเรื่อย


โดย: merveillesxx วันที่: 30 สิงหาคม 2551 เวลา:3:40:51 น.  

 
เซอร์จริง ดูๆ เป็นการ์ตูนโผล่มาคงเหวอดีเนอะ


โดย: KiSs MoRe วันที่: 30 สิงหาคม 2551 เวลา:13:06:39 น.  

 
น้องอ้อยใน Virgin Snow เห็นตัวอย่างแล้วน่ากลุ้มสุดๆ
เพราะนอกจากจะแอ๊บแบ๊วไม่ขึ้น ยังโทรมอย่างเห็นได้ชัด จนลีจุนกิยังสวยพริ้งอยู่เหมือนเดิม ไม่ต่างกับตอนมันเล่น king and the clown 555555

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ดูหนังใหม่เลย น่าเศร้า


โดย: nanoguy IP: 125.24.146.26 วันที่: 30 สิงหาคม 2551 เวลา:22:01:16 น.  

 
รู้จักเรื่องนี้จากmerนี่แหละ แล้วเพื่อนก็จัดหามาให้ดู
ตอนดูก็สงสัยเรื่องเด็กนั่นด้วยเหมือนกัน มีมองด้วยสายตาบอกไม่ถูกอย่างนั้น...จั๊กกะเดี๋ยมจัง


โดย: KjkGs IP: 58.136.96.190 วันที่: 30 สิงหาคม 2551 เวลา:22:22:28 น.  

 
รูปใน นสพ นี่ ถ้ามันมีรูปหัวใจอยู่ตรงกลาง กูจะไปออกไปรดน้ำสังข์ทันที


โดย: เปนก่อ IP: 124.120.168.85 วันที่: 31 สิงหาคม 2551 เวลา:2:02:27 น.  

 

ตัวอย่าง Virgin Snow พูดได้คำเดียวว่าโสสุดๆ ชอบน้องอ้อยขนาดไหนก็ยังดูไม่ค่อยจะลง (พระเอกดันสวยกว่านางเอกซะงั้น!)


โดย: merveillesxx วันที่: 31 สิงหาคม 2551 เวลา:4:10:00 น.  

 
เหวออออ ลงรูปหนังสือพิมพ์เลยเว้ย ฮ่าๆๆ


โดย: วัชเจียเหว่ย วันที่: 31 สิงหาคม 2551 เวลา:14:18:14 น.  

 
อยากอ่านบทวิจารณ์ Last Friend จะมีโอกาสนั้นมั้ยอะคะ?



โดย: cheatoneself IP: 125.24.129.111 วันที่: 31 สิงหาคม 2551 เวลา:21:58:38 น.  

 
ู^
^
ยังบ่ได้ดูเลยจ้ะ


โดย: merveillesxx วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:1:03:01 น.  

 
^
^
เชียร์ให้ดูค่ะ โหลดมาแล้ว แต่ดูไปแว่บๆตอนเดียว
เรื่องก็น่าสนุกดี แต่รำคาญนางเอกมากกกกกกก
(จริงๆก็รำคาญมาตั้งแต่ Nada Sousou ไม่มีซาโตชิ อิฉันเดินออกจากโรงไปแล้ว เชอะ!)


ว่าแค่..ที่บอกว่าเจ็บใจนี่เพราะดันสะดุ้งตื่นก่อนได้เจ็บกายใช่ไหมคะ 555555

พี่โจแกเป็นผู้ชายที่บาปมาก ในญี่ปุ่นจะมีสักกี่คนที่ทำผมทำหน้าบ้าๆบอๆใส่เสื้อลายจุดสีชมพูช็อคกิ้งพิงค์ (เห็น cm กล้องแคนน่อนที่พี่แกเป็นพรีเซนเตอร์แล้วจะเป็นลม) แล้วยังดูดีได้ขนาดนี้
รุ่นพี่(คนไทยเรียนญี่ปุ่น) บอกว่า พี่โจแกต้อง handicapped ให้คนอื่นเนื่องจากหน้าตาดีกว่ามาก ขืนแต่งหล่อมากเดี๋ยวคนอื่นจะดับ...


โดย: RUBIS วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:1:22:22 น.  

 
^
^
ใช่เลยค่ะ! Nada Sou sou นี่ถือเป้นหนัง the most ต่ำทราม ในดวงใจดิฉันเลยค่ะ นางเอกก็แหกปากไปไปสิ พี่ชาย! พี่ชาย! จำได้ว่าพูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนว่า "ku อยากเอา XXX ยัดปากให้มันเงียบๆ ไปซะที!" แอร๊ยสสส์

อย่างไรก็ดี ในเรื่อง Rough น้องเค้าก็โออ่ะค่ะ แต่ Touch ยังบ่ได้ดู

- - - - - - - - - - -

สิ่งที่ได้ดูในช่วงนี้


1. ละครนิทาน "ดาวลูกไก่" @ มะขามป้อม (A)

จริงๆ แล้วมันเป้นละครสำหรับเด็ก วันนั้นก็เลยเต็มไปด้วย เด็ก เด็ก เด็ก และเด็ก!!! (อ๊ากกกก) อาการแพ้เด็กเลยกำเริบขึ้นทันที คิดจะหนีกลับบ้านอยู่เหมือน แต่ก็ทำใจสู้ดูต่อไป เพราะโซนที่นั่งก็มีพวกเด็กหอการค้าถูกอาจารย์สั่งมาดู (เฮ้อ วงการละคร...) แต่ปรากฏดูแล้วรู้สึกดีมาก คือ เรื่องมันก็เด็กๆ ใสๆ อ่ะ แต่เรารู้สึกว่ามันตอบโจทย์ได้ดีมากเลย คือเด็กทุกคนก็ดูด้วยความตะลึงอึ้งงัน enjoy กรี๊ดกร๊าดดีนสุดฤทธิ์ ไอ้เราก็ดูแบบอมยิ้มไป เลยรู้สึกว่าพวกเด็กเปรตพวกนี้จริงๆ มันก็น่ารัก เมื่ออยู่ใน environment แบบนี้ ตอนจบก็เลยเขียนไปในใบคอมเมนต์ว่า "ผมไม่คิดมีลูก แต่ถ้าเพื่อนผมมีลูก จะบอกให้มันพาลูกมาดูแล้วกัน"

ชอบที่สุดคือ เรื่องที่ 2 (ถุงฝัน) รู้สึกว่านักแสดงต้องเล่น + ต่อบทกันเร็วมาก และโดยความที่เล่นละครเด็ก ก็เลยต้องทำตัวให้ alert เหมือนเมายาบ้าตลอดเวลา คิดว่าพวกเขาคงเหนื่อยทีเดียว (นอกจากนั้นเด็กก็ยังแหกปากเป็นระยะด้วย แต่พวกเขาก็ไม่หลุดเลย) ส่วนอีกเหตุผลที่ชอบ ก็เพราะว่าเรื่องนี้ ปูเป้ (นางเอกหนังสั้น ธรรมดา สู่สามัญ) เล่นด้วย



2. นิทรรศการ Invisible Hands @ Jim Thompson Art Center (A+++++)

ตอนแรกได้ยินมาว่าเป็นงานเกี่ยวกับผ้าไหมๆ ไรงี้ ก็นึกว่าจะเชยๆ แต่ปรากฏว่าเดิ้นสุดๆ

ที่ชอบ + ถูกชะตา เป็นพิเศษก็คือ งานเสียงของ Kochi + อัคริศเฉลิม พวกเขาใช้เสียงจากโรงงานมาแสดงในงาน เราเป้นคนชอบเสียงแนวนี้อยู่แล้ว (ก็เหมือนฟังเพลงค่าย So::On) เลยอยู่ในงานเป็นชั่วโมงเลย รู้สึกมีความสุขมาก



3. บุญชู ไอ-เลิฟ-สระ-อู (B+)

ไปดูหนังเรื่องนี้เพื่อคลายเครียด แต่ปรากฏว่าเครียดกว่าเดิม 555

ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดีนะ เราว่าหนังดีแหละ อย่างน้อยผู้กำกับก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร แล้วเค้าก็จริงใจกับมัน แต่ปัญหาคือ เราไม่สามารถ connect อะไรกับมันได้เท่าไร อย่างเรื่อง Nostalgia นี่ก็พอได้ช่วงแรกๆ นะ (แบบขึ้นฟอนต์มานี่ โอ้ว ใช่เลย) แต่พอช่วงหลังๆ ก็ไม่ได้แล้ว หรือว่าหนังมันเป็น Optimistism + Family + Ruralism ไอ้เราก็ตรงข้ามหมดเลยคือ Pessimism + Individualism + Urbanism (ไม่ได้ดัดจริตพิมพ์อังกิดนะ แต่อยากทำสมการให้มันง่ายๆ) แล้วยิ่งคนในโรงเค้าหัวเราะกันครืนๆๆๆ (นอบเราดู คนเต็มโรง) เราก็เลยยิ่งรู้สึกแปลกแยกกับหนังมากขึ้นทุกทีๆ นอกจากนั้นการคลี่คลายอะไรง่ายๆ ของหนัง ยังเป็นปัญหากับเรามากด้วย

อย่างไรก็ดี ไม่มีอะไรจะโสโครกไปกว่า การยัดโฆษณา Chester's Grill มาในหนังแล้ว ปกติเราชอบกินไก่เจ้านี้มากเลยนะ แต่เจอฉากนั้นเข้าไป รู้สึกแย่ ตกต่ำ เสื่อม บลาๆๆ คือทำแล้วแบรนดืตัวเองแย่ลงน่ะ ทำตัวเป็นโฆษณาแบงค์กสิกรไปได้



4. Wall E (A++++++++++++++++++++)

หนังแห่งปี!

เกือบตัดใจไม่ดูแล้ว อุตส่าห์นั่งถ่างตารอดูรอบสี่ทุ่มกว่า ขอบคุณพระเจ้าที่ตัดสินใจถูก

คือ ไม่ได้ดูหนังที่มัน 'เอาเราอยู่' แบบนี้มานานแล้ว รู้สึกอินโคตรๆ ไปกับทุกฉาก ดูได้จากมันเป็นหนังไม่กีเรื่องที่เราเชียร์ให้มันจบแบบ happy ending คือตอนดูแรกๆ ก็สาปแช่งต่างๆนานาให้หนังจบด้วยความหายนะ แต่พอถึงฉากสุดท้ายนี่มันสะเทือนใจจริงๆ แบบว่า โห น้ำตาร่วงออกมาเป็นสามถัง คิดว่าเค้าทำตรงนี้ได้ดีมากจริงๆ แล้วที่เจ๋งคือ มันไม่พูดกันด้วยไง จริงๆ ดูหนังเรื่องนี้เหมือนดูหนัง EMOTICON เลยนะ (หนังเรื่องสุดท้ายของ Pixar ที่เราได้ดูคือ The Incredibles ซึ่งอันนั้นเราก็ชอบมาก แต่เรารู้สึกว่ามันพูดมากกกกก ไปหน่อย)

จริงๆ หนังมันน่าสะเทือนใจมาก เราว่าหนังมันสะท้อนเรื่องสิ่งแวดล้อม โลกแตก หายนะโลก บลาๆๆ ได้ดีกว่าพวกหนังโลกร้อนเฟคๆ ในช่วงหลังๆ นี้อีก เรียกเป็นหนังแนว post-apocalyptic ยังได้เลย อ้อ แล้วก็ชอบพล็อตส่วนคอมพิวเตอร์ รู้สึกว่าคล้ายๆ พวก 2001: A Space Odyssey ดี

แล้วเรื่อง spectacle นี่ก็ขาดลอยได้โล่ห์มาก พอดีไม่ได้ดูพวก 3D-CG มาพักใหญ่แล้ว แบบ เฮ้ย ไปถึงขนาดนี้กันแล้วเหรอวะเนี่ย เริ่มรู้แล้วว่าทำไมเค้าถึงทำโรงหนังดิจิตอลออกมากินตังค์คนดู (อ้อ แล้วคิดถูกมากที่ไม่ยอมดูเรื่องนี้ที่ลิโด้โรง 1)

ถ้าเป็นแต่ก่อน คงพูดให้ดูเท่ๆ แบบว่า โอ๊ย ฉันชอบ ghibli มากกว่า pixar ไรงี้ แต่ช่วงหลังนี้เริ่มคิดได้ว่า โอเค ด้าน intellectual นี่ จิบลิ เอาไปเลย แต่ถ้าเรื่อง emotional ฝั่ง pixar กินขาด หรือ เรียกง่ายๆ คือ มันดูสนุกกว่านั่นแหละ

ว่าแล้ว อยากไปหา Cars กับ แรท-ทา-ทู-อี้ มาดูจัง


โดย: merveillesxx วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:5:34:34 น.  

 
โห wall-e ได้เกรดมากขนาดนั้นเลย แต่ยังมิได้ดูเลยนะเนี่ย

อ่านญี่ปุ่นสองเรื่องแล้ว เพราะคาดว่าจะไม่ได้ดูเอง ชอบฉาก dance dance ของเรื่องแรกจัง น่ารักมากๆ ดูฉากนั้นแล้วอยากหาทั้งเรื่องมาดูเฮะ


โดย: cottonbook วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:8:08:17 น.  

 
ชั้นจะไปดูวอล-อี~~~~~


โดย: mei IP: 124.121.113.49 วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:10:56:14 น.  

 
ขอบใจสำหรับข้อเสนอแนะนะ
ช่วงนี้เสพติดบล็อคจิงๆอ่ะ


โดย: พรเก้าประการ วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:11:58:09 น.  

 
+ ดูสลับซีเควนซ์กันแฮะ ของพี่ดู Wall-E ก่อน Eva 1.0 (เพิ่งได้ดูวันศุกร์ที่แล้ว) และถ้าให้เทียบจากคะแนนเป็นเกรด ก็รู้สึกจะใกล้เคียงกับน้องต่อเลยอ่ะครับ คือ
Wall-E : A++++++++

Eva 1.0 : A / A- (เพราะพี่ไม่ใช่สาวกพันธุ์แท้นั่นเอง เลยต่อเนื้อเรื่องไม่ค่อยติดเท่าไหร่ แต่ก็ชอบอารมณ์หนังมากอยู่นะ อยากดูภาคต่อไปเร็วๆ จัง)


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:18:28:16 น.  

 
เห็นเจ้าของบล็อคให้เกรด Wall E แล้วทำเอาครุ่นคิดเลยค่ะ
มันดีขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย...


(ออกจากบ้านดีไหม..)


โดย: อีสาวฮิคิโคโมริ (RUBIS ) วันที่: 1 กันยายน 2551 เวลา:19:23:29 น.  

 
รีบแจ้นเข้ามาบอกว่า ตอนนี้แตงโมกำลังออกรายการคลับ7 อยู่ อย่าพลาดเน้อ


โดย: แฟนผมตัวดำ วันที่: 2 กันยายน 2551 เวลา:23:01:42 น.  

 
Wall E นี่ขนาดนั้นเลยเหรอ ว้าว นี่กะรอเช่าดูเลยนะเนี่ย สงสัยต้องรับไว้พิจารณาซะแล้ว


โดย: เอกเช้า IP: 124.120.187.31 วันที่: 2 กันยายน 2551 เวลา:23:10:07 น.  

 

ตอบ คุณแฟนผมตัวดำ

ขอบคุณมากครับที่บอก เพื่อนผมก็โทรมาบอกเหมือนกัน เลยได้ดู ดีใจมาก แตงโมน่ารักมากๆ เลย

ขอบคุณ เพื่อนส้มโอ ที่โทรมาบอกนะ



ตอบ ทุกคน เรื่อง Wall-E

จริงๆ Wall E อาจจะไม่ได้ดีเลิศอะไรมากก็ได้ มันอาจจะดีเพราะผมอยู่ในโหมด "ต้องการหนังดูง่ายๆ สนุกๆ ไม่เครียด ให้กำลังใจชีวิต และไม่ต้องอาร์ต" พอดีครับ อย่างไรก็ดี มันเป็นหนังที่ต้องดูในโรงครับ ภาพมันอลังการจริงๆ


โดย: merveillesxx วันที่: 3 กันยายน 2551 เวลา:0:40:59 น.  

 
ตอนอยู่ bloggang ส่วนใหญ่ไม่ได้พิมพ์ใส่เวิร์ดอะ
เศร้าจริงๆ

ช่วงนี้ไม่เหลืออะไรให้ดูเลยแฮะ บุญชูก็ยังคิดหนัก
เพราะมีปัญหากับพระเอกมากจริงๆ 55555
(ฉากไก่ย่าง คิดว่าคงต่ำ และมันก็ต่ำจริงๆ เสียงยืนยันทั่วสารทิศ)


โดย: nanoguy IP: 125.24.182.109 วันที่: 3 กันยายน 2551 เวลา:3:19:16 น.  

 
โปรโมทแหลก!

1. Bioscope และ Fuse มีบล็อกแล้ว

//bioscope.exteen.com
//fuseblog.exteen.com





2. Third Class Radio 005 : คณะยอดเซียนซักแห้ง ขอเม้าท์เทศกาลหนังสั้น 12 เทปนี้ฮามาก ใครไม่โหลด ถ้าว่าพลาด 555

DOWNLOAD : //www.mediafire.com/?djvadfaroag





3. ฟิ้วแคมป์ 16 ตอน หนังสยอง - เสาร์ 20 กันยา นี้


โดย: merveillesxx วันที่: 3 กันยายน 2551 เวลา:4:44:46 น.  

 
พันธมิตรหนุนหลัง 555
ดังไม่หยุด ฉุดไม่อยู่แล้วจริงๆ ด้วยนิน้องเมอร์
หนังที่แนะนำน่าดูดี (ชอบทั้งรักสามเส้าและรักเพศเดียวกัน---เคยใฝ่ฝันไว้แต่เล็กแต่น้อยว่าอยากให้ความรักของตัวเองเป็นแบบหญิงสองชายหนึ่ง รึไม่ก็หญิงหนึ่งชายสอง คิดพิเรนดีจริงๆ คนเรา)

ลีจุนกิ งามกว่าน้องอ้อยเจงๆ
แต่ดูเรื่องอื่นๆ ไม่ได้ เพราะติดภาพน้องเค้าใน king&clown แล้วโคตรชอบ

อยากไปดูหนังสยองจังเลยยยยยย
แต่ไม่เคยรู้อนาคตและไม่ค่อยจะวางแผนล่วงหน้า
เอ... นึกออกแล้วว่าไปไม่ได้ คงอยู่บ้านนอก เพราะพ่อมีงานเกษียณวันศุกร์เย็นอ่ะ เสียดายยยยยย อดไปอีกแล้วตู

อ้อ เดี๋ยวลืมอีก มาชวนไปโหลดนิตยสารทำมือ โหลดฟรีได้ที่บล็อกอิชั้นเองจ้ะ
ขอบคุณที่ให้รบกวน...


โดย: quin toki วันที่: 3 กันยายน 2551 เวลา:22:07:46 น.  

 
สำหรับบุญชู 9

ไม่ได้มีปัญหาเฉพาะแค่ฉากไก่ย่างครับ

ผมรู้สึกว่า ช่วงรุ่นลูกทีไร อารมณ์หนังมันจะดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด (มีน้องโจรกับอาร์ตี้ 2คนที่สอบผ่าน)

ขณะที่นักแสดงรุ่นใหญ่ แม้เวลาบนจอของพวกเขาจะมีนิดเดียว แถมไม่ใช่ตัวดำเนินเรื่อง (เวลาโปรโมตก็เหมือนโดนทิ้งขว้าง ) แต่ด้วยความเก๋า ทำให้พวกเขาดูเด่นไม่แพ้พวกรุ่นลูกเลย

ไม่ได้ไม่ชอบ แต่รู้สึกว่า บุญชูภาคเก่าๆ ดีกว่านี้เยอะ
ข้อดีของหนังเรื่องนี้คือ ดูแล้วแก้คิดถึงบุญชูได้ชะงัดนัก (อารมณ์เหมือนดู Indianan Jones นั่นแล)


โดย: ฟ้าดิน วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:0:58:29 น.  

 
ว่าแล้วก็อยากกลับไปดูหนังญี่ปุ่นเรื่อง La Maison de Himiko อีกรอบ


โดย: christmas IP: 58.8.103.243 วันที่: 22 กันยายน 2551 เวลา:13:28:30 น.  

 
ชอบ mezondo himiko มาก เคยเข้าไปดูเว็บหนังแล้วชอบมาก ภาพสวย แต่อ่านไม่ออกว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร พยายามหาแผ่นมาดูให้ได้ กว่าจะได้ดูก็ 1 ปีผ่านไป

ชอบอ่ะ ทำให้เค้าใจคนที่เป็นเกย์ขึ้นเยอะเลย

งง+คาใจ ตอนจบเหมือนกันว่า สรุปแล้วฮารุฮิโก คิดยังไงกับ ซาโอริกันแน่

ชอบเพลงในฉากเต้นด้วย ชื่อเพลงอะไรอ่ะ


โดย: n.i.c.k IP: 202.176.114.32 วันที่: 5 ตุลาคม 2551 เวลา:0:54:23 น.  

 
^
^
The song is "Till We Meet Again" by Ozaki Kiyohiko remixed by Yoshihiro Sawasaki.


โดย: merveillesxx วันที่: 5 ตุลาคม 2551 เวลา:15:57:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.