เขาวานให้หนูเป็น guest speaker !?
โดย merveillesxx
ย้อนไปสองปีที่แล้ว ช่วงที่ดีกรีความบ้าดูหนังของผมกำลังพลุ่งพล่าน (เป็นช่วงที่ดูหนังแบบไม่เลือกหน้า จะ แหยมยโสธร, Batman Begins หรือหนังอาร์ตจากปารากวัย ข้าพเจ้าดูหมด) ผมได้ลงเรียนคอร์สอบรมภาพยนตร์วิจักษ์ ซึ่งเป็นคอร์สสอนความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภาพยนตร์ (เชิงทฤษฎี)
ไปเรียนแล้วก็สนุกดีครับ ได้เจออาจารย์เก่งๆ หลายคน รุ่นที่ผมเรียน (รุ่นที่ 8) ก็มีอยู่ 4 คน คือ อ.กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน (อาจารย์ใหญ่ของคลาส), อ.ประวิทย์ แต่งอักษร (คนนี้ฮามาก), ธีปนันท์ เพ็ชรศรี และ ไกรวุฒิ จุลพงศธร (หรือเตเต้ ที่ตอนนี้มีฐานะเป็นเจ้านายของข้าพเจ้าในบางโอกาส 555)
ผมชอบที่คอร์สนี้สอนให้เราสังเกตหนังได้ละเอียดมาก อย่างเช่น Titanic (ซึ่งเป็นหนังที่ผมเกลียด) อ.แดง ก็ชี้ให้เห็นว่าจังหวะการวางเพลงประกอบในเรื่องนี้มันสุดยอดมากๆ พอได้เรียนแล้วก็รู้สึกดีกับหนังเรื่องนี้ขึ้นมานิดนึง (แต่ถึงยังไง อ.แดง ก็บอกว่า หนังเรื่องนี้ดีทุกอย่างแหละ เสียแต่ที่ว่ามันเป็นหนังเลว ฮ่าๆๆ)
นอกจากนั้นก็ได้เพื่อนดูหนังมาอีกหลายคน บางคนที่ตอนนี้ก็ยังคุยกันอยู่ คนนึงก็ได้เป็นนักวิจารณ์สมใจแล้ว ส่วนอีกคนไปทำงานหนังสือ...เอ่อ...แม่และเด็ก!
สองปีผ่านไปไวเหมือนโกหก คอร์สภาพยนตร์วิจักษ์ดำเนินมาถึงครั้งที่ 10 แล้ว (อ่านรายละเอียดของปีนี้ ได้ ที่นี่ ) มีหลายคนเหมือนกันที่มาถามผมว่ามันเรียนอะไร? ควรจะเรียนมั้ย? ซึ่งแน่นอนผมก็เชียร์ให้ทุกคนไปเรียน (ไม่ได้ค่าโฆษณาเลยนะเนี่ย)
แต่ปีนี้พิเศษกว่าที่ผ่านๆ มาครับ เพราะอยู่ดีๆ น้องก่อ (นักวิจารณ์รุ่นเยาว์อันดับหนึ่งที่น่าจับตาที่สุดของประเทศไทย) ก็บอกว่าปีนี้น้องก่อจะต้องสอนด้วย (สอนครั้งแรก ครั้งเดียว พูดเนื้อหารวมๆ) ผมฟังแล้วก็ตื่นเต้นแทน ...แต่ยัง ยังไม่พอ ก่อบอกว่า คาบสุดท้ายจะมี guest speaker เป็นนักวิจารณ์ 4 คน และผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!
ได้ฟังแล้วก็ร้องกรี๊ดลั่นบ้านเลยทีเดียว โอ คนอย่างกูนี่นะจะไปเป็น guest speaker !!?? พอรู้แล้วก็แอบเครียดเหมือนกัน แต่ลึกๆ แล้วก็ดีใจนะ ที่ อ.แดง เค้าเลือกเราด้วย (หรือจริงๆ แล้วคนอื่นเค้าไม่ว่างกันหว่า)
ก่อนหน้าจะเริ่มคอร์สหนึ่งวัน น้องก่อก็บุกมาที่บ้านผม (รู้สึกตอนนี้บ้านกูจะกลายเป็นที่สารธารณะไปแล้ว ก่อนหน้านั้นธัญสกก็เพิ่งมา และเร็วๆ นี้นักเขียนหญิงจาก a day junior ก็จะมาด้วยล่ะ หุหุหุ) เพื่อมายืม DVD หนังไปเปิดประกอบการสอน (ก่อเห็นกอง CD,DVD ของผมแล้ว ก็พูดว่า พี่ต่อเปิดพิพิธภัณฑ์ได้แล้ว) คืนนั้นก็ช่วยกันเลือก DVD ช่วยกันร่าง script (คร่าวๆ) กันถึงดึกดื่นเที่ยงคืน ผมรู้สึกตื่นเต้นแทนมันเลยนะเนี่ย ใจจริงก็อยากจะไปเชียร์นะ แต่แบบว่าติดเรียน GMAT ก็เลยได้แต่ส่งใจไปซ้อม ฝากใจไปแข่ง
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนมาถึงคืนวันก่อนที่ผมจะต้องไปพูดจริง แต่ปรากฏว่าไม่มีข่าวสารใดๆ ส่งมาเลยว่าตกลงผมจะต้องไปพูดอะไร ทำอะไร อ้าว ก็เครียดล่ะสิครับ คืนนั้นก็เลยโทรศัพท์กันวุ่นวายไปหมด (เกือบถึงขั้นโทรหา อ.แดง เชียวนะ) สรุปก็ได้ความว่าไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก แค่ไปล้อมวงเสวนากันเฉยๆ แต่ให้เตรียมหนังไปเปิดฉากนึง ...สรุปแล้วคืนนั้นผมนั่งเลือกนั่งจนถึงตีสี่!
(อนึ่ง ตอนแรกมีข่าวลือว่า มีนักเรียนท่านหนึ่งรีเควสให้ พี่ก้อง ฤทธิ์ดี แห่ง Bangkok Post มาพูดด้วย ซึ่งถ้าพี่ก้องมาจริงๆ ผมก็คงหมดประโยชน์ เพราะมันจะเหมือน Amy Tuabin แห่ง Film Comment ปะทะ ฟิล์มนัวร์ แห่งไทยรัฐ ...แต่สุดท้ายพี่ก้องก็ไม่ได้มาเน้อ)
วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน ผมไปถึง อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ตอนประมาณ 10.30 (ตอนขึ้นแท็กซี่ คนขับถามว่า โห จะไปประท้วงเหรอครับ) จริงๆ แล้วคิวของผมเป็นช่วงบ่าย แต่คุยกับวิทยากรท่านอื่นๆ แล้วก็ได้ความว่าจะมากันตั้งแต่เช้าแล้วกัน (บางคนก็ฟิตมาสังเกตการณ์ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว) รู้สึกผมจะมาถึงเป็นคนแรก (ในบรรดา guest speaker) เข้าไปถึงก็เห็น อ.แดง สอนอยู่ แล้วก็เปิดหนังสั้นเรื่อง ตั๋วรักพลิกล็อค (หนังน่ารักดี ส่วนพระเอกน่ารักมากๆ อิอิอิ) จังหวะนี้น้องโม (แฟนพี่ป้อง ณ house RCA) ก็หันมาเจอหน้าผมพอดี น้องโมก็ทำหน้าตกใจ ตาเหลือกๆ แล้วก็พูดว่า ฮ้า! พี่ต่อเป็น guest เหรอเนี่ย เอาแล้วไงกู สร้างความผิดหวังให้กับนักเรียนตั้งแต่ยังไม่ทันพูด (ฮา)
สักพัก ต๊อบ (พลากร เจียมธีระนาถ) guest อีกคนนึงก็มาถึง ผมกับต๊อบเรียนคอร์ส อ.แดง รุ่นเดียวกัน โดยต๊อบได้ไปเขียนในหนังสือ PULP (ซึ่งล่วงลับไปแล้ว) อ้อ แต่ตอนนี้ทีม PULP เค้ากำลังฟอร์มตัวทำหนังสือเล่มใหม่แล้วนะครับ รู้สึกจะชื่อ FILMMAX อะไรเนี่ยแหละ เค้าบอกว่าออกประมาณปลายเดือนนี้ (นี่เราประชาสัมพันธ์ให้ฟรีๆ เลยนะเนี่ย)
ตอนพักกลางวัน พี่ grappa (นักเรียนรุ่นเก๋าของคลาสนี้ แถมยังเป็นหัวหน้าห้องด้วย 555) ก็พาผมไปทานข้าว พร้อมกับแนะนำให้รู้จักพี่ฝน เพื่อนสุดเปรี้ยวของพี่เค้า เจอะหน้ากันไม่ถึง 10 นาที พวกเราก็เปิดประเด็นร้อนทันที นั่นคือ ...นินทาคนสอน (ฮ่าๆๆๆๆ) พอคุยไปคุยมาก็เลยรู้ว่าคอร์สนี้มีเหล่า blogger มาเรียนกันเยอะทีเดียว ทั้ง yuttipung, renton_renton และ คุณพี่ sumhao (คนนี้เพิ่งเปิดบล็อกสดๆ เลย)
กินข้าวเสร็จ กลับมาที่เรียน พี่ธีปนันท์ก็พาผมไปรู้จักกับ guest อีกสองคน นั่นก็คือ พี่ตั้ม-เกรียงศักดิ์ และพี่วี-วิโรจน์ จากหนังสือ STARPICS พอพวกเรา 4 คนได้คุยกัน ผมก็รู้สึกดี เพราะดูเหมือนทุกคนจะฮาๆ เป็นกันเองดี แบบนี้ช่วงบ่ายคงไปได้ตลอดรอดฝั่ง (หรือเปล่าหว่า)
ในที่สุด เวลานั้นก็มาถึง โดย อ.แดง ได้มาพูดเปิด แนะนำ guest แต่ละคน ตอนที่อาจารย์เค้าพูดว่า และคนสุดท้าย เป็นนักวิจารณ์ในอินเตอร์เน็ตที่มีชื่อเสียงมากคนนึง ...คันฉัตร ครับ รู้สึกหูแว่วได้ยินวงออเครสตร้ามาบรรเลงประกอบยังไงไม่รู้ (ฮ่าๆๆ เพ้อเจ้อใหญ่แล้วกู) อ้อ แต่จังหวะที่ อ.แดง จะพูดชื่อเราเค้าดูชะงักๆ ไปนิดนึงนะ คาดว่าคงนึกชื่อเราไม่ออก หรือไม่ก็ไม่รู้จะเรียกว่า คันฉัตร หรือ น้องเมอร์ หรือ merveillesxx ดี (คงด่าในใจ ไอ้นี่จะตั้งชื่อทำไมให้ประหลาดนัก)
วันนี้ยังพิเศษตรงที่มีพิธีกรรับเชิญเป็น อ.สิทธิรักษ์ ตุลาพิทักษ์ (อ.สิทธิบอกว่า อ.แดง สั่งให้มานั่งเฉยๆ และพูดให้น้อยที่สุด แต่ อ.สิทธิ ก็พูดเยอะเหมือนกันนะครับ ฮ่าๆ) จำไม่ค่อยได้แล้วว่านักเรียนเค้าถามอะไรกันบ้าง แต่รู้สึกจะมี ทำไมถึงมาเป็นนักวิจารณ์ มีหลักเกณฑ์ในการวิจารณ์อย่างไร หนังแบบไหนที่เรียกว่าหนังดี มีหนังในดวงใจเรื่องอะไรบ้าง การเขียนวิจารณ์ควรเขียนอย่างไร อะไรเทือกนั้นนี้แล ซึ่งคนอื่นเค้าก็ตอบกันได้มีสาระดี ส่วนผมก็ตามน้ำไปเรื่อย แหะๆ
จำได้แม่นๆ ก็คำถามนึง ที่พี่ grappa ถามว่า มีแรงบันดาลใจในการเขียนวิจารณ์จากอะไรคะ อ้อ ห้ามตอบว่าหนังนะ (โห มีดักทางด้วย) ซึ่งเค้าก็ตอบกันดีๆ ทั้งนั้นแหละ อย่างพี่วีก็ตอบว่าไปหาหนังสือที่อ่านแล้วมัน inspire มากๆ เช่น มายาคติ ของโรล็องด์ บาร์ตส์ (เป็นคำตอบที่ทำให้ตัวเองดูมีชาติตระกูลทันที 555)
ส่วนผมตอบว่า แรงบันดาลใจเหรอ ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมก็แค่ทำบล็อกเพื่อหาแฟนเท่านั้นแหละ (นักเรียนฮาทั้งห้อง)
ไม่ช่ายๆ ล้อเล่น ความจริงคือ เหมือนว่าประชดที่บ้านน่ะ เพราะว่าที่บ้านไม่ได้สนับสนุนด้านนี้ พ่อก็บ่นๆ เรื่องซื้อ DVD เยอะๆ แถมวันแรกที่เข้ามหาลัย พ่อก็พูดว่า เอาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งนะ นี่แหละ ก็เลยเขียนประชด ทำให้เค้าดูว่าถึงชั้นจะทำอะไรแบบนี้ ชั้นก็ทำเกียรตินิยมอันดับหนึ่งได้ (มีเสียงอุทานมาจากหลังห้องว่า รุนแรงมาก)
บรรยากาศการเสวนาฮาเฮ
จากไปซ้ายไปขวา พี่ตั้ม, พี่วี, อ.สิทธิ, น้องเมอร์, ต๊อบ
อ้อๆ อีกคำถามนึงที่จำได้ เค้าถามว่าเขียนวิจารณ์เนี่ย ควรดูหนังสักกี่รอบ คนอื่นเค้าก็ตอบกันเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนของเราก็
จริงๆ มันก็ควรจะดูสักสองรอบนะครับ แต่ผมขอสารภาพนะครับว่าเขียนมาสามปีเนี่ย ผมดูหนังแค่รอบเดียวมาตลอดเลย (ต๊อบที่นั่งข้างๆ ทำหน้าตกใจแล้วพูดว่า เฮ้ย จริงดิ)
แต่ก็มีอยู่ครั้งนึงนะครับที่ผมไปดูหนังสองรอบ คือพอดีตอนนั้นมีกิ๊กอยู่สองคนน่ะครับ ก็เลยพาไปดูหนังเรื่องเดียวกัน (เสียงนักเรียนแซว มีคนนึงพูดมาว่า แหม หล่อเลือกได้ ผมเลยตอบว่า ไม่หล่อก็เลือกได้ครับ ถ้าทำบล็อก
รู้สึกประเด็นของกูกลายเป็นการทำบล็อกเพื่อหาแฟนไปซะแล้ว) นั่นแหละครับ พอได้ดูหนังอีกรอบ เราก็เลยได้ดูรู้ว่า เอ้อ ที่เราเขียนไปเนี่ยมันยังจุดที่ผิดพลาดนะ คือบางทีเราก็จำผิด จำพลาด จำไม่ได้ ยิ่งเวลาเทศกาลหนังที่ดูหนังวันนึง 4 เรื่อง บางทีก็เอาตอนจบเรื่องที่ 3 ไปใส่ในหนังเรื่องที่ 1 อะไรแบบนี้แหละครับ
ผมอาจจะโชคดีตรงที่เป็นคนดูหนังคนเดียวครับ (มีเสียงหัวเราะแบบหึๆ มาจากสักที่) มันก็เลยทำให้มีสมาธิในการดูหนัง แล้วผมก็จะพกสมุดเล่มเล็กๆ ติดตัวไว้ครับ ถ้าใครเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งเขียนอะไรยิกๆๆๆ อยู่หน้าลิโด้ล่ะก็ นั่นแหละผมเอง อ้อ แต่ผมมาเขียนตอนอยู่นอกโรงนะครับ ไม่ได้หยิบมาเขียนตอนดูหนังอยู่ อันนั้นเค้าเรียกบ้าครับ (แต่ปรากฏว่าพี่ตั้มหันไปขำพี่วี เลยเดาว่าพี่วีอาจจะเคยทำอย่างนั้น นี่แปลว่ากูเผลอด่าพี่วี โดยไม่รู้ตัวสินะ)
สรุปแล้วการเสวนาในบ่ายวันนั้นก็ทำให้เราได้รู้มุมมองดีๆ ของคนอื่น (อย่างเช่น ถึงแม้พี่ตั้มจะดูหน้าฮาๆ แต่พี่เค้าก็พูดอะไรมีสาระเยอะดี อิอิ) แต่ที่ประทับใจที่สุดก็คือ คำพูดของ อ.สิทธิรักษ์ ที่ตอบข้อสงสัยที่คนชอบพูดกันว่า เรียนคอร์สนี้แล้วจะทำให้ดูหนังยากขึ้น โดย อ.สิทธิ ตอบว่า จริงครับ คุณจะดูหนังยากขึ้น แต่ก็จะดูสนุกขึ้นด้วย โอ้ คมสุดๆ ไปเลย 555
หลังจากพักกินขนมกันแล้ว ก็ถึงเวลาที่ guest speaker ทั้ง 4 คน จะฉายหนังที่ตัวเองเลือกมา เริ่มจากพี่ตั้มฉายหนังสั้นเรื่อง เจ้าหญิงนิทรา (ที่ชนะ Fat Film 3 เราชอบเรื่องนี้มากๆ), พี่วีฉายเรื่อง Blue Gate Crossing (แน่นอนว่าต้องเป็นฉากที่พระเอกนางเอกผลักกันไปมาในห้องประชุมที่เก้าอี้เยอะๆน่ะ ชอบฉากนี้เหมือนกัน), ตามด้วยต๊อบกับหนังออสการ์เรื่อง Amadeus และปิดท้ายด้วยน้องเมอร์ (เอ๊ะ นี่เรียงตามอาวุโสมากไปน้อยนี่หว่า)
หนังของข้าพเจ้า (ที่ผ่านการคัดสรรจนถึงตีสี่) ก็คือ หนังปาเลสไตน์เรื่อง Divine Intervention (2002, Elia Suleiman) เหตุที่เลือกก็เพราะ คิดว่านักเรียนคงไม่เคยดูกัน (ก่อนฉายก็ลองถามดู ปรากฏว่ามีแค่คนเดียวที่เคยดูแล้ว) แถมฉากที่จะฉายก็รุนแรงดี นักเรียนน่าจะตื่นเต้นกัน (ไม่อยากฉายหนังนิ่งๆ หลับๆ ซึ่งที่จริงอยากนะ)
Divine Intervention
ฉากที่ฉายก็คือ ฉากนินจาสาว Matrix นั่นแหละ คร่าวๆ ก็คือ มันหนังพูดถึงความขัดแย้งอันดักดานของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ฉากนี้เป็นสนามยิงปืนของพวกผู้ชายอิสราเอล ที่มีเป้าซ้อมยิงเป็น...เอ่อ...ผู้หญิงปาเลสไตน์ (โอ้ว!) ยัง ยังแรงไม่พอ เพราะปรากฏว่าอยู่ดีๆ เป้ายิงดันมีชีวิตขึ้นมา แถมออกมาตอบโต้ ด้วยลีลาชนิดที่ The Matrix ยังอาย ทั้งหยุดกระสุน เหาะขึ้นฟ้า ระเบิดภูเขา เผากระท่อม ...โอ นี่มันหนังอะไรกันเนี่ย
ตอนแรกกะว่านักเรียนจะต้องฮาแตกกันทั้งห้องแน่ๆ อ้าว แต่ปรากฏว่าเงียบกริบ (ได้ยินแต่เสียงหัวเราะของพี่ grappa ฮ่าๆๆ) สงสัยคงจะรับกันไม่ทัน ฉายเสร็จแล้ว ก็พูดๆ นิดหน่อยถึงเรื่องประเด็นสังคม, สัญลักษณ์ต่างๆ (เช่น ธงชาติอิสราเอล, ธงชาติปาเลสไตน์, เครื่องหมายของศาสนาอิสลาม ฯลฯ) แล้วก็เล่าเรื่องที่พี่แมดเดอลีนดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว แกก็ไปร้องไห้ในห้องน้ำเกือบครั่งชั่วโมง (หนูเอาพี่ไปนินทาประกอบการสอน ขออภัยนะคะ อิอิ) คือหนังมันเป็นอารมณ์ขันขื่น เสียดสีอย่างร้ายกาจ แต่คิดจริงๆ แล้วมันก็น่าเศร้ามากอ่ะ (สรุปแล้วต้องลองดูเองนะจ๊ะ)
พอเราพูดจบ อ.แดง ก็มีพูดปิดคอร์สแบบง่ายๆ (แกบอกว่าพูดอะไรทางการไม่เป็น) อจ.บอกว่า วันนี้คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่พวกคุณหรอกนะ แต่เป็นผมต่างหาก เพราะผมหาทายาทอสูรที่จะมาสอนแทนได้แล้ว (ฮา) ตบท้ายด้วยการฉายหนังอีกเรื่องนึงสั้นๆ ซึ่งเป็นฉาก...เอ่อ...ฆ่าตัวตาย (คอร์สนี้ปิดด้วยหนังฆ่าตัวตายครับ เก๋จริงๆ)
รุ่นนี้เค้าปิดคอร์สแล้วก็ไม่ได้ต่างคนต่างกลับบ้านนะ มีแบบ Xerox โปรไฟล์แจกให้ทุกคน แถมยังมีถ่ายรูปรวมด้วย อืม ดูอบอุ่นดีนะ คือถึงแม้จริงๆ จบแล้วมันก็คงไม่ได้คุยอะไรกันมากมายหรอก แต่มันก็ยังรู้สึกดีนะ
เย็นนั้นเราก็ไปกินข้าวต่อกับ พี่ grappa, พี่ฝน, พี่เหมา (คนนี้มานั่งแป๊บนึง แล้วก็ขี่จักรยานกลับบ้านไป), พี่ yuttipung (คนนี้น่ารักซื้อข้าวไปกินกับแฟน อิอิ) แล้วพี่วิ กับพี่มดเอ็กซ์ ก็ตามมาทีหลัง ก็ได้คุยอะไรกันมากมายทีเดียว มีทั้งสาระ ไร้สาระ และนินทา (ฮา)
ทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์แบบงงๆ ฮาๆ ของการเป็น guest speaker ของเรานะจ๊ะ
นักเรียนท่านใดผ่านมาแถวนี้ เชิญ ติ ชม ด่า ตามสบาย (ฮ่าๆๆ)
โฉมหน้า นักเรียน + อาจารย์ คอร์สภาพยนตร์วิจักษณ์รุ่นที่ 10
Create Date : 24 มิถุนายน 2550 |
Last Update : 24 มิถุนายน 2550 10:54:22 น. |
|
41 comments
|
Counter : 8317 Pageviews. |
|
|
|
โอบเอื้อ 001 กลับมาอย่างยิ่งใหญ่!
วงโพสต์โมเดิร์นร็อคชื่อดัง "โอบเอื้อ 001" ส่งซิงเกิ้ลมาสเตอร์พีซออกมาอีกครั้ง ในเพลง "เกรียนบางคนจากบนฟ้า"
เชิญรับฟังที่ //ohb-uha.555mb.com/
จะเซ็นเซ่อกันไปถึงหนายยยย
1. บทความ "ระบบเซ็นเซอร์ไทยกับศิลปะในสังคมประชาธิปไตย" อ่านได้ที่ //www.thaifilm.com/articleDetail.asp?id=97
2. บทวิจารณ์หนัง This Film Is Not Yet Rated อ่านได้ที่ //www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9500000071655
3. เอ็มวีเพลง JUICY ของ Kumi Koda ถูกหั่นทิ้ง!
อัลบั้มรวมฮิตชุด Best ~Bounce&Lovers~ ของ Kumi Koda เพิ่งวางจำหน่ายในไทย (ดีเลย์จากญี่ปุ่นไปแค่ ...3 เดือนเอง) ซึ่งอัลบั้มชุดนี้จะแถม DVD ที่รวมมิวสิกวิดีโอของเธอมาด้วย แต่แล้วแฟนๆ ก็ได้แต่ฉงนใจว่าเอ็มวีเพลง JUICY นั้นกลับอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย สืบความไปมา จึงได้รู้ว่าเอ็มวีไม่ผ่านเซ็นเซอร์บ้านเรานั่นเอง (CD+DVD ชุดนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ GMM GRAMMY)
ทัศนาเอ็มวี JUICY ได้ที่นี่ ซึ่งดูแล้ว ผมว่ามันดูตลก มากกว่ายั่วยุทางเพศนะ (กลัวนมเธอไปฟาดหัวแดนเซอร์ตาย 5555)