ปกติเมื่อพูดถึงผู้กำกับมิวสิกวิดีโอที่ก้าวมาทำหนัง เรามักจะนึกถึงงานในแบบสไตล์จัดจ้าน อย่างเช่นหนังหลายเรื่องของ มิเชล กอนดรี้ (Be Kind Rewind, The Green Hornet) หรือ Charlie’s Angels ของแม็คจี อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องน่าดีใจที่มีคนทำเอ็มวีที่เลือกจะทำหนังสำรวจความเป็นมนุษย์อย่างลุ่มลึก เขาคนนั้นมีชื่อว่า มาร์ค โรมาเนค
ผลงานดังของโรมาเนค อย่างเอ็มวี Scream ของ ไมเคิล และ แจเน็ต แจ็คสัน หรือ Closer ของ Nine Inch Nails มีจุดเด่นที่ความหวือหวา แต่เมื่อทำหนังยาวเขาเลือกทำสิ่งที่ต่างออกไป One Hour Photo (2002) หนังเรื่องแรกของโรมาเนค เล่าถึงช่างล้างรูปโรคจิต (โรบิน วิลเลียม พลิกมารับบทร้าย) ที่คอยตามดูพฤติกรรมของครอบครัวหนึ่งผ่านรูปถ่าย และเมื่อครอบครัวนั้นไม่ได้แสนสุขอย่างที่คิด เขาก็เข้าไปจัดการด้วยตัวเอง
Never Let Me Go (2010) หนังเรื่องที่สองของโรมาเนค ทิ้งห่างจากเรื่องแรกถึงแปดปี สร้างจากนิยายของ คาซุโอะ อิชิงุโระ (ผู้เขียนเรื่อง The Remains of the Day) ผู้กำกับกล่าวว่าเขายอมรอคอยเป็นเวลานาน เพื่อสะสมมุมมองและประสบการณ์ต่อชีวิตที่เพียงพอต่อการดัดแปลงหนังสือเล่มนี้เป็นภาพเคลื่อนไหว
ความน่าสนใจของ Never Let Me Go อยู่ตรงที่แม้เนื้อเรื่องจะมีความเป็นไซไฟ แต่หนังกลับไม่มีองค์ประกอบของหนังไซไฟอยู่เลย ไม่มียานอวกาศ ไม่มีเทคโนโลยีล้ำยุค และไม่ได้มีฉากหลังเป็นโลกอนาคต เพราะเนื้อเรื่องของหนังเริ่มต้นจากประเทศอังกฤษในยุค 70 แถมตัวหนังสือตอนต้นเรื่องยังบอกด้วยซ้ำว่าการโคลนนิ่งมีมาตั้งแต่ทศวรรษ 50
โดยปกติแล้วหนังไซไฟมักมีโทนสีแบบแวบวับหรือเปล่งประกาย (อย่างเช่น Tron: Legacy) แต่ Never Let Me Go ใช้สีพาสเทลบ่งบอกถึงบรรยากาศย้อนยุคของอังกฤษ สภาพแวดล้อมเป็นทุ่งหญ้าและฟาร์มปศุสัตว์ ในจุดนี้โรมาเนคให้ความพิถีพิถันอย่างมาก เขาให้สัมภาษณ์ว่าทุกฉากในหนังเรื่องนี้ล้วนผ่านการออกแบบมาอย่างถี่ถ้วน รวมถึงสีเสื้อผ้าของตัวละครที่ซีดจางไปตามยุคสมัย
เราจะเห็นได้ว่า ‘เวลา’ เป็นหัวใจสำคัญของ Never Let Me Go นับตั้งแต่การเล่นยอกย้อนเรื่องเวลาที่ให้โลกยุคไซไฟมาเกิดขึ้นในทศวรรษ 70 หรือการที่เวลาของทุกตัวละครค่อยๆ หมดลงและเยื้องย่างก้าวสู่ความตาย โดยปกติเส้นปลายทางเวลาของมนุษย์ทุกผู้คนคือความตาย แต่กรณีของแคธี่และเพื่อนๆ ต่างออกไป เพราะมันเป็นความตายที่ถูกกำหนดด้วยผู้อื่น ด้วยระบบบางอย่างที่พวกเขาไม่อาจแข็งขืน จนทำให้แคธี่พูดในฉากหนึ่งว่า “จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น เราเพียงรู้สึกว่าเวลาของเราไม่เพียงพอ”
เรื่องราวของ Never Let Me Go ชวนให้นึกถึงปรัชญาชุด The Angel of History ของ วอลเตอร์ เบนจามิน ซึ่งกล่าวถึงนกตัวหนึ่งที่บินกลับหลัง และได้เฝ้ามองความล่มสลายในอดีต มันอยากจะหยุด แต่ไม่อาจทำได้ เพราะสายลมแห่งอนาคตพัดพามันไปไม่สิ้นสุด ชีวิตแคธี่ก็คล้ายกับนกตัวนี้ แต่อาจต่างออกไปตรงที่สิ่งที่เธอมองเห็นคือความสิ้นสลายของเพื่อน คนรัก และตัวเธอเอง
* Never Let Me Go มีดีวีดีลิขสิทธิ์ไทยจำหน่ายในชื่อ ‘ครั้งหนึ่งของชีวิต...ขอรักเธอ’ โดยค่าย Catalyst
ปล.the remains of the day มีแปลไทยด้วยนะเออ