http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
All Blogs
 
Never Let Me Go : โมงยามสู่ความตาย

โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง


(หมายเหตุ: เดิมทีบทความนี้จะลงในนิตยสารออนไลน์ฉบับหนึ่ง แต่โครงการล่มไปเสียก่อน)


ปกติเมื่อพูดถึงผู้กำกับมิวสิกวิดีโอที่ก้าวมาทำหนัง เรามักจะนึกถึงงานในแบบสไตล์จัดจ้าน อย่างเช่นหนังหลายเรื่องของ มิเชล กอนดรี้ (Be Kind Rewind, The Green Hornet) หรือ Charlie’s Angels ของแม็คจี อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องน่าดีใจที่มีคนทำเอ็มวีที่เลือกจะทำหนังสำรวจความเป็นมนุษย์อย่างลุ่มลึก เขาคนนั้นมีชื่อว่า มาร์ค โรมาเนค

ผลงานดังของโรมาเนค อย่างเอ็มวี Scream ของ ไมเคิล และ แจเน็ต แจ็คสัน หรือ Closer ของ Nine Inch Nails มีจุดเด่นที่ความหวือหวา แต่เมื่อทำหนังยาวเขาเลือกทำสิ่งที่ต่างออกไป One Hour Photo (2002) หนังเรื่องแรกของโรมาเนค เล่าถึงช่างล้างรูปโรคจิต (โรบิน วิลเลียม พลิกมารับบทร้าย) ที่คอยตามดูพฤติกรรมของครอบครัวหนึ่งผ่านรูปถ่าย และเมื่อครอบครัวนั้นไม่ได้แสนสุขอย่างที่คิด เขาก็เข้าไปจัดการด้วยตัวเอง

Never Let Me Go (2010) หนังเรื่องที่สองของโรมาเนค ทิ้งห่างจากเรื่องแรกถึงแปดปี สร้างจากนิยายของ คาซุโอะ อิชิงุโระ (ผู้เขียนเรื่อง The Remains of the Day) ผู้กำกับกล่าวว่าเขายอมรอคอยเป็นเวลานาน เพื่อสะสมมุมมองและประสบการณ์ต่อชีวิตที่เพียงพอต่อการดัดแปลงหนังสือเล่มนี้เป็นภาพเคลื่อนไหว

หนังเล่าถึงชีวิตของชายหนึ่งหญิงสอง ทอมมี่, แคธี่ และ รูธ (นำแสดงโดย แอนดรูว์ การ์ฟิลด์, แครี่ มัลลิแกน และ เคียร่า ไนต์ลี่ย์) ที่เติบโตมาด้วยในโรงเรียนประจำแปลกประหลาด พวกเขาถูกกีดกันไม่ให้ออกนอกรั้วโรงเรียน ด้วยเรื่องที่เล่าต่อกันมาว่าใครที่ออกไปจะถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม, ในโรงเรียนมีระบบสะสมเหรียญเพื่อแลกของรางวัล, เหล่าอาจารย์ที่คอยพร่ำบอกให้พวกเขารักษาสุขภาพและย้ำว่าพวกเขาเป็นคน ‘พิเศษ’

เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ผู้ชมก็ได้ทราบความจริงว่าหนุ่มสาวเหล่านี้เป็นมนุษย์โคลนที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อบริจาคอวัยวะให้ผู้อื่นยามที่พวกเขาเติบโตเต็มวัย นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่ทางโรงเรียนคอยฟูมฟักพวกเขาเสียเหลือเกิน หนึ่งในอาจารย์ถึงกับพูดกับเด็กๆ ว่า “เด็กบางคนเมื่อโตอาจเป็นนักแสดง บ้างเป็นช่างไม้ บ้างทำงานในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่พวกหนูจะไม่ได้เป็นสิ่งเหล่านั้นหรอก เพราะชีวิตของพวกหนูถูกกำหนดไว้แล้ว”

ความน่าสนใจของ Never Let Me Go อยู่ตรงที่แม้เนื้อเรื่องจะมีความเป็นไซไฟ แต่หนังกลับไม่มีองค์ประกอบของหนังไซไฟอยู่เลย ไม่มียานอวกาศ ไม่มีเทคโนโลยีล้ำยุค และไม่ได้มีฉากหลังเป็นโลกอนาคต เพราะเนื้อเรื่องของหนังเริ่มต้นจากประเทศอังกฤษในยุค 70 แถมตัวหนังสือตอนต้นเรื่องยังบอกด้วยซ้ำว่าการโคลนนิ่งมีมาตั้งแต่ทศวรรษ 50

โดยปกติแล้วหนังไซไฟมักมีโทนสีแบบแวบวับหรือเปล่งประกาย (อย่างเช่น Tron: Legacy) แต่ Never Let Me Go ใช้สีพาสเทลบ่งบอกถึงบรรยากาศย้อนยุคของอังกฤษ สภาพแวดล้อมเป็นทุ่งหญ้าและฟาร์มปศุสัตว์ ในจุดนี้โรมาเนคให้ความพิถีพิถันอย่างมาก เขาให้สัมภาษณ์ว่าทุกฉากในหนังเรื่องนี้ล้วนผ่านการออกแบบมาอย่างถี่ถ้วน รวมถึงสีเสื้อผ้าของตัวละครที่ซีดจางไปตามยุคสมัย



ถึงแม้จะมีความประณีตบรรจงในการออกแบบงานสร้าง แต่หัวใจสำคัญของหนังก็ยังอยู่ที่ตัวละครทั้งสาม เนื้อเรื่องหลักของหนังเน้นไปที่ความสัมพันธ์รักสามเส้าของพวกเขา เริ่มจากว่าแคธี่นั้นแอบชอบทอมมี่ ซึ่งเป็นเด็กผู้ชายที่แปลกแยกจากคนอื่น แต่อยู่ดีๆ รูธ ซึ่งเป็นดาวเด่นของโรงเรียนกลับจงใจคบหากับทอมมี่ ซึ่งทำให้แคธี่เจ็บช้ำอย่างมาก อย่างที่ตอนหนึ่งเธอพูดว่า “ฉันเฝ้าภาวนาให้พวกเขาเลิกร้างกัน แต่ว่าพวกเขาไม่”

เมื่อหนุ่มสาวทั้งสามเริ่มจะเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาถูกย้ายออกจากโรงเรียนให้ไปอยู่รวมกับมนุษย์โคลนคนอื่นๆ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เราได้เห็นว่าพวกเขามีปัญหาด้านการใช้ชีวิตในโลกภายนอกโรงเรียน ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ หัวเราะกับละครโทรทัศน์ตรงหน้า พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่ามันตลกอย่างไร หรือเมื่อเข้าไปนั่งในร้านอาหาร แคธี่และเพื่อนๆ ก็ไม่สามารถเลือกอาหารจากเมนูได้ เพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน

การตื่นตัวของอารมณ์ทางเพศเป็นอีกสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญ ในขณะที่รูธและทอมมี่หาทางออกด้วยการมีเซ็กซ์อย่างไม่หยุดหย่อน แคธี่กลับเลือกที่จะเก็บกดมันเอาไว้ ในฉากหนึ่งเธอเก็บหนังสือโป๊มาจากถังขยะ รีบเปิดแต่ละหน้าอย่างรีบร้อน หากแต่ไม่ใช่เพราะความใคร่รู้เรื่องเพศ แคธี่เฝ้าหวังว่าหญิงสาวสักคนในบรรดานางแบบอาจจะเป็น ‘ต้นแบบ’ ของเธอ ซึ่งการเสาะหาความจริงว่ามนุษย์คนไหนกันที่เป็นต้นแบบ ก็เป็นข้อกังขาใหญ่ในใจของเหล่ามนุษย์โคลน

จุดเปลี่ยนของหนังมาถึงเมื่อรูธประกาศชัดกับแคธี่ว่าทอมมี่ไม่มีวันจะเป็นคนรักของเธอได้ เพราะเขารักเธอในแบบเพื่อนเท่านั้น แคธี่ไม่อาจทนเห็นฉากพลอดรักของเพื่อนทั้งสองได้อีกต่อไป เธอจึงเลือกจะจากไปด้วยการสมัครเป็นผู้ดูแล หนังแนะนำเราเพิ่มเติมว่ามนุษย์โคลนมีสองสถานะด้วยกัน นั่นคือ ผู้อุทิศ (Donor) อันหมายถึงมนุษย์โคลนผู้ทำหน้าที่บริจาคอวัยวะ และ ผู้ดูแล (Carer) คือมนุษย์โคลนที่คอยดูแลเพื่อนโคลนด้วยกัน ถึงกระนั้นผู้ดูแลก็ต้องเปลี่ยนสถานะเป็นผู้อุทิศในท้ายที่สุดอยู่ดี

หนังตัดมาที่ช่วงเวลาสิบปีถัดมา แคธี่ในฐานะผู้ดูแลกล่าวว่าชีวิตเธอก็ไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์ เธอเดินทางไปยังที่ต่างๆ เปลี่ยนการดูแลผู้อุทิศไปเรื่อยๆ โดยมากแล้วผู้อุทิศจะเสียชีวิตในการบริจาคอวัยวะครั้งที่สามหรือสี่ แต่ก็มีหลายรายที่เสียชีวิตตั้งแต่ครั้งแรก เธอเห็นความตายของเหล่าผู้อุทิศอย่างซ้ำซากจนกลายเป็นเรื่องชาชิน



แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก แคธี่ได้พบรูธโดยบังเอิญในโรงพยาบาล รูธที่สมัยก่อนเป็นหัวโจกผู้แข็งแกร่งประจำโรงเรียน บัดนี้กลายเป็นชีวิตที่โรยราและรอความตาย เธอขอร้องแคธี่ให้พาเธอไปทริปครั้งสุดท้ายพร้อมกับชวนทอมมี่ ตรงนี้มีฉากน่าประทับใจ ตอนที่แคธี่กับทอมมี่ได้พบกันในรอบสิบปี ทั้งคู่โผกอดเข้าหากันทันที โดยมีรูธเฝ้ามองด้วยสายตาครุ่นคิดอยู่ในรถ

รูธเปิดเผยความจริงว่าที่เธอนัดพวกเขามาทริปครั้งนี้ก็เพื่อมอบบางสิ่งให้ทั้งคู่ มันคือที่อยู่ของมาดาม ซึ่งมีเรื่องเล่าลือกันว่ามนุษย์โคลนคู่ใดที่มีความรักแท้แก่กันอย่างแท้จริง สามารถไปหามาดามผู้นี้ เพื่อทำเรื่องขอ ‘ยืดเวลา’ การบริจาคอวัยวะได้ นอกจากนั้นรูธยังสารภาพว่าที่เธอแย่งทอมมี่มาจากแคธี่ก็เพราะอิจฉาที่เพื่อนสาวมีความรู้สึกรักอย่างแท้จริงได้ ในขณะที่เธอไม่เคยสัมผัสมันได้เลย

แม้ทอมมี่และแคธี่จะไม่แน่ใจในตำนานของมาดามสักเท่าไรนัก แต่พวกเขาก็ไปหาเธอด้วยความหวังเต็มหัวใจ เพราะเชื่อว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่ครบถ้วน นั่นคือความรักแท้ที่มีต่อกัน แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องผิดหวัง มาดามบอกว่าเรื่องการยืดเวลานั้นไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงข่าวลือลอยๆ ที่สืบต่อมาเป็นสิบปี ฉากนี้ทำลายความหวังของทั้งตัวละครและคนดู ความรักที่บริสุทธิ์มีอานุภาพแค่ในโลกเทพนิยาย มันไม่มีความหมายในโลกวิทยาศาสตร์

เราจะเห็นได้ว่า ‘เวลา’ เป็นหัวใจสำคัญของ Never Let Me Go นับตั้งแต่การเล่นยอกย้อนเรื่องเวลาที่ให้โลกยุคไซไฟมาเกิดขึ้นในทศวรรษ 70 หรือการที่เวลาของทุกตัวละครค่อยๆ หมดลงและเยื้องย่างก้าวสู่ความตาย โดยปกติเส้นปลายทางเวลาของมนุษย์ทุกผู้คนคือความตาย แต่กรณีของแคธี่และเพื่อนๆ ต่างออกไป เพราะมันเป็นความตายที่ถูกกำหนดด้วยผู้อื่น ด้วยระบบบางอย่างที่พวกเขาไม่อาจแข็งขืน จนทำให้แคธี่พูดในฉากหนึ่งว่า “จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น เราเพียงรู้สึกว่าเวลาของเราไม่เพียงพอ”

ประเด็นนี้เชื่อมโยงมายังคำถามที่เจ้าของหนังสืออย่างอิชิงุโระถูกถามบ่อยครั้งว่าทำไมเหล่าตัวเอกในเรื่องถึงไม่คิดหนีจากโรงเรียนเลย เขาให้คำตอบว่าต้องการให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังสือเป็นสัญลักษณ์เชิงอุปมา เพราะมีหลายครั้งที่มนุษย์ต้องยอมจำนนกับระบบ บางครั้งระบบก็ใหญ่เกินกว่าเราจะมองเห็นว่ามันเป็นกรอบ เมื่อรู้อีกทีเราก็ถูกจองจำในระบบนั้นเสียแล้ว

ในเมื่อเวลาที่เคลื่อนผ่านไปไม่อาจเปลี่ยนเส้นทางได้ เพราะชะตากรรมของมนุษย์โคลนได้ถูกกำหนดไว้แล้ว แคธี่จึงพูดไว้ตอนต้นเรื่องว่า “ฉันไม่มองไปยังอนาคตนัก ฉันนึกถึงแต่ห้วงโมงยามในอดีต” ก็เพราะชีวิตในเบื้องหน้าของเธอมันเลวร้ายเหลือทน แคธี่จึงคิดย้อนถึงอดีตอันสวยงาม สิ่งที่เราเห็นในหนังทั้งเรื่องจึงเป็นความทรงจำในอดีตของแคธี่

เรื่องราวของ Never Let Me Go ชวนให้นึกถึงปรัชญาชุด The Angel of History ของ วอลเตอร์ เบนจามิน ซึ่งกล่าวถึงนกตัวหนึ่งที่บินกลับหลัง และได้เฝ้ามองความล่มสลายในอดีต มันอยากจะหยุด แต่ไม่อาจทำได้ เพราะสายลมแห่งอนาคตพัดพามันไปไม่สิ้นสุด ชีวิตแคธี่ก็คล้ายกับนกตัวนี้ แต่อาจต่างออกไปตรงที่สิ่งที่เธอมองเห็นคือความสิ้นสลายของเพื่อน คนรัก และตัวเธอเอง


* Never Let Me Go มีดีวีดีลิขสิทธิ์ไทยจำหน่ายในชื่อ ‘ครั้งหนึ่งของชีวิต...ขอรักเธอ’ โดยค่าย Catalyst






Create Date : 21 พฤษภาคม 2555
Last Update : 21 พฤษภาคม 2555 15:14:15 น. 4 comments
Counter : 28197 Pageviews.

 
เป็นหนังที่งดงามมากครับ ต้องนอนตุนมาก่อนด้วยไม่งั้นจะหลับเอาง่ายๆ ดูหนังจบแล้วอยากหาหนังสือมาอ่านมาก
ปล.the remains of the day มีแปลไทยด้วยนะเออ


โดย: Eros IP: 110.164.72.194 วันที่: 21 มิถุนายน 2555 เวลา:22:58:05 น.  

 
ดูหนังเเล้วสงสารแบบบอกไม่ถูก


โดย: อัจฉะ IP: 114.109.115.140 วันที่: 5 กรกฎาคม 2557 เวลา:3:49:00 น.  

 
ดูจบละเจ็บเหมือนอกหักจริงๆนะ


โดย: nanny IP: 49.230.108.251 วันที่: 12 สิงหาคม 2557 เวลา:1:27:41 น.  

 
ดูเสร็จแล้วรู้สึกว่า ความรักมันยิ่งใหญ่และเจ็บปวดขนาดนั้นเลยหรอ?​


โดย: kasalf IP: 125.24.167.150 วันที่: 10 ธันวาคม 2557 เวลา:19:20:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.