http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
All Blogs
 
Dream : ความฝันของผู้กำกับวิกลจริต

โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง




(ตีพิมพ์ครั้งแรก : นิตยสาร FINE ART ฉบับที่ 55 / พฤษถาคม 2552)

ในกระแสความฮิตถล่มทลายของเพลง Nobody จากวง Wonder Girls หากเราย้อนมองในภาพกว้างแล้วจะพบได้ว่าคลื่นของ ‘เกาหลี (ใต้) ฟีเวอร์’ ที่เกิดขึ้นในบ้านเราใน 6-7 ปีมานี้ สามารถแบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่

คลื่นระลอกแรกเริ่มขึ้นราวปี 2001 โดยประเดิมจากภาพยนตร์เกาหลี หลักไมล์สำคัญคือ หนังเรื่อง My Sassy Girl หลังจากนั้นมีหนังเกาหลีเข้าโรงแทบทุกเดือน แต่ปัจจุบันความนิยมเจือจางไป เรียกได้ว่านานๆ จะโผล่มาสักเรื่อง

ส่วนคลื่นลูกที่สองก่อตัวในปี 2003 เมื่อละครเกาหลีชุด Autumn in My Heart (รักนี้ชั่วนิรันดร์) ฉายทางโทรทัศน์ และตามซ้ำด้วย ‘แดจังกึม’ ในสองปีถัดมา นับจากนั้นสิ่งที่เรียกว่า ‘ซีรี่ส์เกาหลี’ กลายเป็นของสามัญประจำบ้านของใครหลายคน

เพลงป็อปเกาหลีหรือ ‘เคป็อป’ เป็นคลื่นความนิยมลูกล่าสุดที่เกิดขึ้นในไทย นับจากความโด่งดังของหนุ่ม Rain (ที่พ่วงมากับซีรี่ส์ชุด Full House อีกต่อหนึ่ง) ในช่วงปี 2005 ต่อเนื่องด้วยศิลปินอย่าง TVXQ (ดงบังชินกิ), Super Junior, Big Bang มาจนถึงสาวๆ อย่าง Wonder Girls และ Girls’ Generation

แน่นอนว่าสิ่งที่กล่าวไปทั้งหมดไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่มีการวางแผนอย่างรัดกุมและรอบคอบ

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเกาหลีใต้ได้เน้นนโยบายส่งออก ‘สินค้าทางวัฒนธรรม’ อย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพียงประเทศไทยที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย แต่ซีรี่ส์เกาหลียังทำให้คนญี่ปุ่นติดกันงอมแงม, ดงบังชินกิออกอัลบั้มเป็นภาษาญี่ปุ่น หรือล่าสุด Rain และ BoA ก็กำลังเจาะตลาดที่สหรัฐอเมริกา

ก่อนที่จะมุ่งสู่ตลาดนอกประเทศ เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำให้ตลาดภายในแข็งแกร่งเสียก่อน ตัวอย่างที่ชัดเจนมากคือเรื่องของภาพยนตร์ โดยรัฐบาลเกาหลีได้ใช้ระบบโควตา หรือการกำหนดจำนวนโรงฉายของหนังเกาหลีอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ถูกหนังฮอลลีวู้ดแย่งพื้นที่ไปจนหมด (อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศเรา)

แต่การทำสัญญา FTA กับสหรัฐอเมริกาทำให้เกาหลีใต้จำเป็นต้องยกเลิกระบบโควตาภาพยนตร์ ประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน วงการหนังเกาหลีจึงมีเส้นทางที่ยากลำบากพอดู เป็นเรื่องน่าจับตาว่าคนทำหนังแดนโสมจะมีวิถีเอาตัวรอดอย่างไร

เมื่อพูดถึงการส่งออกหนังไปยังนอกประเทศ เราก็อดพูดถึงผู้กำกับที่ชื่อ คิมคีด็อค (Kim Ki Duk)* ไม่ได้ เพราะเขาคนนี้ยอมรับอย่างไม่อายว่าทำหนังเพื่อให้คนต่างชาติดู คิมอาจจะใช้นโยบายแนวนี้ก่อนผู้กำกับร่วมชาติคนอื่นเสียอีก แถมเขายังไม่พึ่งพารัฐบาลอีกด้วย

คิมคีด็อคได้ฉายาว่า ‘แกะดำของวงการหนังเกาหลี’ เนื่องด้วยหนังยุคแรกของเขาเต็มไปด้วยความรุนแรงและเรื่องเพศ ความอื้อฉาวที่สุดของเขาเกิดจากหนังเรื่อง The Isle ที่มีฉากหญิงสาวเอาเบ็ดตกปลาเกี่ยวอวัยวะเพศของตน แน่นอนว่ารัฐบาลคงไม่อยากส่งเสริมคนทำหนังแบบนี้แน่

หนังเรื่องดังกล่าวทำให้นักวิจารณ์รุมด่าประณามคิม ถึงขั้นว่าเขาเป็นพวกวิกลจริตและเหยียดเพศแม่ ส่วนผู้ชมเกาหลีก็เลิกดูหนังเขาไปเลย นั่นคือประเทศบ้านเกิดหมางเมินเขาอย่างสิ้นเชิง แต่คิมกลับได้รับการตอบรับที่ดีในต่างประเทศ หนังของเขาฉายในเทศกาลภาพยนตร์ดังๆ เป็นว่าเล่น

สำหรับ Dream (2008) หนังเรื่องล่าสุดของคิมคีด็อค ก็พบชะตากรรมในบ้านเกิดไม่ต่างจากเรื่องก่อนๆ คือมีผู้ชมไม่ถึงแสนคน แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นมากนัก เพราะกลยุทธ์ที่เขาใช้ในหนังเรื่องนี้คือการให้นักแสดงญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง โจ โอดากิริ (Joe Odagiri) มารับบทนำ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนังเรื่องนี้กะโกยเงินจากแดนปลาดิบอย่างเต็มที่ โดยขณะที่ในเกาหลีมีเพียงการแถลงข่าวพอเป็นพิธี แผนการตลาดในญี่ปุ่นมีทั้งเว็บไซต์, บล็อก, โปสเตอร์, หนังสือภาพ และสินค้าพ่วงตามมาอีกมากมาย

ด้านตัวหนังเองยังคงองค์ประกอบหนังแบบคิมคีด็อคไว้อย่างครบถ้วน เริ่มจากพล็อตเพี้ยนพิสดารที่ว่าด้วยชายหนุ่มชื่อ จิน (โอดากิริ) ที่เมื่อเขาฝันอะไรก็ตาม หญิงสาวที่ชื่อ รัน (ลีนายัง / Lee Na-young) กลับเป็นฝ่ายกระทำสิ่งที่เกิดขึ้นในฝันแทน โดยที่เธอไม่รู้ตัว

หลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ทั้งคู่จึงทราบว่าพวกเขามีจุดเชื่อมโยงกันตรงที่จินนั้นเพิ่งถูกแฟนสาวทอดทิ้ง ส่วนรันก็เพิ่งเป็นฝ่ายจากแฟนหนุ่มมา และตอนนี้คนรักเก่าของทั้งคู่กำลังคบหากันอยู่

ความวุ่นวายเกิดขึ้น เพราะในความฝันจินกลับไปมีความสัมพันธ์กับแฟนเก่าเพราะว่ายังรักเธออยู่ แต่ในโลกความเป็นจริงกลายเป็นรันที่กลับไปหาแฟนหนุ่มของเธอ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการ และไม่สามารถรับได้ เพราะเธอสาปส่งเขาเหลือทน

หมอดูคนหนึ่งแนะนำวิธีฮาๆ ให้จินและรันเป็นแฟนกันเสียเอง ปัญหาทุกอย่างจะได้ยุติลง แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่ยอม แต่หลังจากได้ร่วมกันแก้ปัญหา พวกเขาก็เริ่มใกล้ชิดกันขึ้นเรื่อยๆ และได้เรียนรู้จากกันและกัน โดยจินได้รับรู้ถึงมุมมองของ ‘ผู้หญิงที่เลือกจะจากไป’ ส่วนรันก็ได้เข้าใจถึงหัวอกของ ‘ผู้ชายที่ถูกทิ้ง’

Dream เน้นถึงการรวมเป็นหนึ่งของคู่ตรงข้ามระหว่างสองฝั่งฝ่ายคือ คนที่ถูกทิ้ง/คนที่บอกเลิก และเพศชาย/เพศหญิง กระทั่งภาษาที่ตัวละครใช้สื่อสารกันก็เป็นภาษาเกาหลีและญี่ปุ่นซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งทาประวัติศาสตร์มาช้านาน แต่ในที่สุดตัวละครทั้งสองก็ข้ามกำแพงทุกอย่างที่กล่าวมาได้

คิมยังออกแบบฉากและถ่ายทอดวิวทิวทัศน์ออกมาได้อย่างสวยงาม สมกับที่เคยเป็นศิลปินวาดรูปข้างถนนที่ปารีสถึงสองปี การใช้สัญลักษณ์แทนค่ายังคงปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นกุญแจมือที่สื่อถึงการจองจำ และผีเสื้อที่สื่อถึงอิสรภาพ แต่ในแง่หนึ่งสัญลักษณ์พวกนี้ก็ดูทื่อและไร้ความคมคายไปสักหน่อย

อย่างไรก็ดี เสน่ห์สำคัญในหนังของคิมนั่นคือ ตอนจบแบบปลายเปิด ก็ยังแสดงศักยภาพได้อย่างสมบูรณ์ ภาพสุดท้ายของ Dream เป็นสิ่งที่ชวนเจ็บปวด แต่ก็ชวนคิดไปพร้อมกันว่าตกลงสิ่งที่เราเห็นเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่

หนังทำให้นึกถึงประโยคของ มาริลีน แมนสัน นักร้องและศิลปินชื่อดังว่า “สำหรับผม ศิลปะคือเครื่องหมายคำถาม”



หมายเหตุ

* ชื่อของเขาถ้าอ่านตามภาษาอังกฤษจะอ่านว่า คิมคีดุ๊ค ส่วนในภาษาเกาหลีอ่านได้สองแบบคือ คิมคีด็อค หรือ กิมกีดึค

** ชื่อบทความดัดแปลงจากเรื่องสั้น ‘ความฝันของคนวิกลจริต’ ของ ฟีโอดอร์ ตอสโตเยฟสกี้


Create Date : 30 พฤษภาคม 2552
Last Update : 30 พฤษภาคม 2552 17:11:57 น. 3 comments
Counter : 2762 Pageviews.

 
เรื่องที่พูดถึง "เกาหลี" กับ "คิมคีด็อก" เราก็เขียนไว้เหมือนกันค่ะ จะบอกว่า คิดคล้ายๆ กันเลย

จากวิทยานิพนธ์ ของชาวเกาหลีใต้คนหนึ่ง ได้นิยาม K-Pop ไว้ว่า มาจาก Korean Popular Music ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของ Korean Waves ซึ่งอันหลังนี้ คือกระแสความนิยมเกาหลี ที่รวมทุกอย่างทั้ง หนัง ละคร เพลง อาหาร แฟชั่น ฯลฯ

อ่านแล้วก็ชวนให้เข้าใจมากขึ้น แต่ไม่รู้ว่า วิทยานิพนธ์ชิ้นนี้จะให้นิยามถูกไหมนะคะ :)


โดย: tiktok IP: 58.136.5.127 วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:9:15:09 น.  

 
+ หนังทั่นคิม (ของน้องต่อ ) พี่เพิ่งได้ดู 3-Iron ไปเรื่องเดียว (เหมือนเดิม) อ่ะครับ แต่คิดว่ากำลังจะได้ดู Time (จาก UBC) ในเร็วๆ นี้


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:11:57:49 น.  

 
Kim Ki Dong เป็นผู้กำกับเกาหลีคนเดียวที่ผมดูครับ ผมชอบ 3-Iron มากๆ มีการนำเสนอที่น่าสนใจมากๆ


โดย: boy (hyperboyz9 ) วันที่: 19 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:55:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.