The Mourning Forest : ป่าแห่งการร่ำไห้
โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
หนังแนวหนึ่งที่มักจะได้ใจผมเสมอคือหนังประเภท Post-Traumatic Film หรือหนังที่ว่าด้วยชีวิตของผู้คนหลังจากเผชิญกับความสูญเสียอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ, เหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจ หรือการจากไปของคนสำคัญ ส่วนใหญ่แล้วตัวละครในหนังประเภทนี้มักมีอาการที่เรียกว่า PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หรืออาการที่ทำใจรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดในระดับมากน้อยต่างกันไป
ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ทำหนังแนว Post-Traumatic ได้น่าสนใจที่สุดประเทศหนึ่ง (ตัวอย่างหนังดังๆ ก็เช่น Eureka-ชีวิตของคน 3 คนหลังเหตุการณ์จี้รถเมล์ หรือ Maborosi-หญิงสาวที่สามีของเธอฆ่าตัวตายอย่างไม่มีสาเหตุ) ลักษณะเด่นที่มักพบได้ก็คือ ตัวละครในหนังจะแสดงความรู้สึกเศร้าเสียใจแต่น้อย หรือเก็บกดความทุกข์ใจไว้อย่างแนบสนิท พวกเขาจะไม่ฟูมฟาย ร่ำไห้ ตีอกชกหัวอย่างบ้าคลั่ง (หรือถ้ามีก็จะเป็นฉากระเบิดอารมณ์ใหญ่ๆ เพียงหนึ่งฉาก) ทั้งนี้อาจสืบเนื่องจากรากเหง้าทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่เน้นวิธีการแบบน้อยได้มาก ดูได้จากศิลปะการจัดดอกไม้ หรือกลอนไฮคุ เป็นต้น
ผู้กำกับหญิง นาโอมิ คาวาเสะ เคยทำหนังเรื่อง Shara (2003) ซึ่งถือเป็นงานมาสเตอร์พีซของหนังแนวนี้ หนังว่าด้วยเด็กหนุ่มที่น้องชายฝาแฝดของเขาหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาจึงเติบโตมาด้วยความรู้สึกผิดในใจตลอดเวลา สิ่งที่ดีของหนังก็คือ จนสุดท้ายหนังก็ไม่เฉลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย และฉากการคลี่คลายของตัวละครก็ไม่ได้ใช้ฉากน่าเบื่ออย่างการให้ตัวละครมานั่งล้อมวงกอดคอกัน แต่คาวาเสะกลับใช้ฉากงานเต้นรำประจำหมู่บ้านแทน (ซึ่งเป็นฉากที่ดูแล้วขนลุกมาก)
คาวาเสะกลับมาอีกครั้งกับ The Mourning Forest (2007, คว้ารางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลหนังเมืองคานส์) ซึ่งเธอยังคงมุ่งสำรวจถึงเรื่องของความตายและการสูญเสีย (เธอน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากการตายของคุณยายที่เลี้ยงเธอมาตลอด) หนังเล่าถึงตัวละครสองตัวคือ มาจิโกะ (มาจิโกะ โอโนะ) หญิงสาวที่เพิ่งสูญเสียลูกชายไป และ ชิเงกิ (ชิเงกิ อูดะ - เขาเพิ่งเล่นหนังเป็นเรื่องแรก) ชายชราที่ยังคงเฝ้าคิดถึงภรรยาของตน แม้ว่าเธอจะเสียชีวิตไป 30 กว่าปีแล้วก็ตาม ทั้งคู่ได้พบกันในบ้านพักคนชรา โดยมาจิโกะเข้ามาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของที่นี่
ครึ่งแรกของหนังใช้วิธีการของสารคดีอย่างเห็นได้ชัด (คาวาเสะเคยเป็นนักทำหนังสารคดีมือฉมังมาก่อน เธอทำมาแล้วทั้งตามหาพ่อที่ทิ้งเธอไปตั้งแต่เด็ก หรือกระทั่งบันทึกภาพตัวเองตอนคลอดลูก) เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบ้านพักคนชรา กล้องไม่ได้จับเพียงที่สองตัวละครหลัก แต่ยังถ่ายภาพคนแก่ สิ่งของ และสภาพแวดล้อมต่างๆ ในบ้านไปทั่ว เสียงที่เราได้ยินก็เป็นเสียงงึมงำของบรรดาคุณลุงคุณป้าที่อาจดูไม่สลักสำคัญอะไร (แถมบางช่วงเป็นการสัมภาษณ์พวกเขาถึงเรื่องการเกิด, การตาย หรือการไปสวรรค์ด้วยซ้ำ) อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่คาวาเสะพยายามถ่ายทอดให้กับคนดูคือ บรรยากาศ มากกว่าการมุ่งหน้าเล่าเรื่องในแบบหนังทั่วไป
ความน่าสนใจยังอยู่ที่วิธีการทำงานแบบบ้าพลังของคาวาเสะ โดยเธอมักจะให้ความสำคัญกับความเป็น ชุมชน ในหนังของตัวเองเสมอ อย่างใน Shara เธอก็ให้นักแสดงไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนารา (ซึ่งเป็นบ้านเกิดและสถานที่ถ่ายหนังประจำของเธอ) เป็นเวลา 2 เดือนก่อนถ่ายจริง ใน The Mourning Forest เธอก็ให้ทีมงานสร้างบ้านพักคนชราขึ้นมาจริงๆ และให้นักแสดงมาลองอยู่ก่อน 3 เดือน ส่วนตัวประกอบที่เล่นเป็นคนชราในบ้านพักทั้งหมดล้วนไม่ใช่นักแสดงอาชีพ สิ่งนี้เองที่ทำให้ครึ่งแรกของหนังมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก
ในขณะที่ 45 นาทีหลังของหนังที่เป็นการเดินป่าของมาจิโกะและชิเงกิ (ทั้งคู่นั่งรถไปเที่ยวกัน แต่รถเกิดเสีย และอยู่ดีๆ ชิเงกิก็เดินเข้าป่าไปเลย) คาวาเสะก็ใช้ศักยภาพของป่าและธรรมชาติอย่างเต็มที่ การถ่ายภาพของหนังสวยงามและสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ (ความอัศจรรย์ด้านการถ่ายภาพเคยเกิดขึ้นใน Shara มาแล้วเช่นกัน เพราะฉากเปิดและฉากปิดในหนังถือเป็น ฉากตำนาน เลยก็ว่าได้) นอกจากนั้น The Mourning Forest ยังเรียกร้องการใช้ศักยภาพของโรงหนังไปในคราวเดียวกัน เพราะที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้ออกแบบมาเพื่อดูในโรงเท่านั้น (คล้ายๆ กับ สัตว์ประหลาด! ของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล)
หลังจากในช่วงแรกที่ชิเงกิดูจะไม่ค่อยชอบมาจิโกะเท่าไร (ในฉากหนึ่งมาจิโกะไปยุ่งกับกระเป๋าที่ชิเงกิหวงมาก เขาก็เลยผลักเธอจนบาดเจ็บ) แต่เมื่อทั้งคู่เดินเข้าป่าไปเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีขึ้น (ชิเงกิยอมให้อีกฝ่ายถือกระเป๋าใบนั้นแทน) แต่สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาต่างปลอมประโลมซึ่งกันและกัน ในฉากหนึ่งชิเงกิปลอบให้มาจิโกะหยุดร้องไห้ ส่วนในอีกฉากหนึ่งเมื่อชิเงกิเป็นไข้หนาวจนตัวสั่น มาจิโกะก็ถอดเสื้อแล้วกอดเขาไว้แน่น (บางทีนี่อาจจะเป็นภาพแทนความสัมพันธ์ของคาวาเสะกับคุณยายก็ได้ เพราะถึงพวกเขาจะรักกันมาก แต่สารคดีของเธอก็บันทึกภาพตอนที่เธอตบตีกับคุณยายเอาไว้ด้วย)
หากจะบอกว่า The Mourning Forest เป็นหนังที่พูดถึง การเดินทางทางจิตวิญญาณ ก็อาจฟังดูดัดจริต แต่ก็ไม่มีคำใดที่จะอธิบายถึงหนังเรื่องนี้ได้ดีที่สุดเท่าคำนี้ นี่เป็นหนังที่มีเนื้อเรื่องเบาบางมาก (ครึ่งหลังก็เป็นฉากเดินป่าล้วนๆ หลายคนเลยดูไม่จบ เผลอหลับไปเสียก่อน) เพราะคาวาเสะใช้ ป่า ในแง่ของการอุปมาเสียมากกว่า มันเป็นเรื่องของคนที่พยายามหาทางดับทุกข์ให้ตัวเอง หลังจากหลงทางมานานเกือบ 30 ปี (ชิเงกิเดินเข้าป่าเพื่อหาหลุมศพของภรรยา และเป็นไปได้ว่าเขาคิดจะตายที่นั่น) และคนอีกคนที่ติดตามฝ่ายแรกไปเพื่อเรียนรู้หนทางของการอยู่ร่วมกับความทุกข์
เสน่ห์ของความคลุมเครือจาก Shara ก็ยังคงอยู่ในหนังเรื่องนี้เช่นกัน หนังไม่บอกกับเราว่าลูกของมาจิโกะตายเพราะอะไร, กระเป๋าใบนั้นของชิเงกิมีความสำคัญอะไรนักหนา หรือหลุมศพนั้นเป็นของภรรยาของชิเงกิจริงหรือเปล่า การไม่เล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมาที่ดีที่สุดอยู่ในฉากแม่น้ำที่มาจิโกะร้องไห้เหมือนคนบ้า มันเป็นฉากเดียวที่เพียงพอแล้วว่าเธอเสียใจกับการจากไปของลูกขนาดไหน
คาวาเสะยังคงใช้การถ่ายทำแบบ long take เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งยิ่งส่งผลให้การแสดงของนักแสดงนำทั้งสองที่ดีมากอยู่แล้วยิ่งทรงพลังขึ้นไป เธอยังได้สร้างฉากระดับตำนานได้อีกครั้งในฉากสุดท้ายของหนัง (ที่น่าจะถ่ายยาวโดยไม่ตัดเกือบ 10 นาที) ที่เป็นการถ่ายหน้าของนักแสดงทั้งสองสลับไปมา มันเป็นฉากสุดประหลาดที่มีความรู้สึกมากมายอย่างรุนแรงอันยากจะบรรยาย (เป็นฉากที่เล่นยากมาก จนถึงขนาดว่านักแสดงนำหญิงของเรื่องเครียดจนร้องไห้สติแตก) แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดูสงบนิ่งอย่างบอกไม่ถูก ความขัดแย้งที่ลงตัวนี้อาจเกิดจากส่วนผสมระหว่าง มนุษย์ และ ธรรมชาติ ที่คาวาเสะบรรจงสร้างอย่างประณีตก็เป็นได้
ประเด็นสุดท้ายที่ผมชอบมากใน The Moruning Forest ก็คือ ในขณะที่ Shara มีการคลี่คลายของตัวละครที่ชัดเจน แต่ในหนังเรื่องนี้คาวาเสะเลือกที่จะปล่อยช่องว่างขนาดมหาศาลให้คนดูคิดคำนึงต่อเอง หนังไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าตัวละครได้คลายทุกข์ของตัวเองและจะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ เพราะจนถึงที่สุดตัวละครทั้งสองก็ยังอยู่ในป่าแห่งนั้น ซึ่งอาจตีความได้ว่าพวกเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงทุกข์ต่อไป แต่ในอีกแง่หนึ่งฉากนี้ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งชิเงกิและมาจิโกะได้กลมกลืนกับผืนป่าแห่งนี้ จนแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
ราวกับคาวาเสะกำลังจะบอกกับคนดูว่าความทุกข์นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ และเราก็ต้องอยู่ร่วมกับมัน เพราะเมื่อครั้งหนี่งที่เราเริ่มไว้ทุกข์แล้ว เราก็ไม่มีวันเลิกทำมันได้อย่างแท้จริง
The Mourning Forest (Trailer)
หมายเหตุ
หนังญี่ปุ่นแนว Post-Traumatic 5 เรื่องที่ผมขอแนะนำเป็นพิเศษ (ทุกเรื่องมี DVD ขายในกรุงเทพ)
1. Eureka (2000, Shinji Aoyama)
2. Shara (2003, Naomi Kawase)
3. Maborosi (1995, Hirokazu Koreeda)
4. Distance (2001, Hirokazu Koreeda)
5. Antenna (2004, Kazuyoshi Kumakiri)
*ทุกเรื่องเป็นหนังนิ่งช้า และดูมากๆ อาจเป็นบ้าได้
Create Date : 08 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 4:40:33 น. |
|
29 comments
|
Counter : 3774 Pageviews. |
|
|
|
TO INFORM ABOUT 4 THINGS
1. Bioscope เล่มใหม่ (หน้าปก ปืนใหญ่จอมสลัด) น้องเมอร์เขียนสกู๊ป The X-Files
2. วันพฤหัสที่ 10 ก.ค. นี้ เวลา 13.00 น้องเมอร์จะปรากฏตัวทางช่อง TPBS ช่วงข่าวบันเทิง
3. น้องเมอร์กำลังไปโผล่ที่เวบ //www.artscenetv.net/
4. หนังน้องเมอร์ Time Still Destroys Everything You Touch ฉายอีกครั้ง เสาร์ที่ 12 ก.ค. เวลา 18.30 ในงานหนังสั้นมาราธอน (สถานที่: ชั้น 3 อาคารอาณารักษ์ สีลม ซ.3 อยู่ข้างธนาคารกรุงเทพ มาได้โดย BTS ศาลาแดง)