http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
All Blogs
 
The Mourning Forest : ป่าแห่งการร่ำไห้

โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง



หนังแนวหนึ่งที่มักจะได้ใจผมเสมอคือหนังประเภท Post-Traumatic Film หรือหนังที่ว่าด้วยชีวิตของผู้คนหลังจากเผชิญกับความสูญเสียอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ, เหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจ หรือการจากไปของคนสำคัญ ส่วนใหญ่แล้วตัวละครในหนังประเภทนี้มักมีอาการที่เรียกว่า PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หรืออาการที่ทำใจรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดในระดับมากน้อยต่างกันไป

ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ทำหนังแนว Post-Traumatic ได้น่าสนใจที่สุดประเทศหนึ่ง (ตัวอย่างหนังดังๆ ก็เช่น Eureka-ชีวิตของคน 3 คนหลังเหตุการณ์จี้รถเมล์ หรือ Maborosi-หญิงสาวที่สามีของเธอฆ่าตัวตายอย่างไม่มีสาเหตุ) ลักษณะเด่นที่มักพบได้ก็คือ ตัวละครในหนังจะแสดงความรู้สึกเศร้าเสียใจแต่น้อย หรือเก็บกดความทุกข์ใจไว้อย่างแนบสนิท พวกเขาจะไม่ฟูมฟาย ร่ำไห้ ตีอกชกหัวอย่างบ้าคลั่ง (หรือถ้ามีก็จะเป็นฉากระเบิดอารมณ์ใหญ่ๆ เพียงหนึ่งฉาก) ทั้งนี้อาจสืบเนื่องจากรากเหง้าทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่เน้นวิธีการแบบน้อยได้มาก ดูได้จากศิลปะการจัดดอกไม้ หรือกลอนไฮคุ เป็นต้น

ผู้กำกับหญิง นาโอมิ คาวาเสะ เคยทำหนังเรื่อง Shara (2003) ซึ่งถือเป็นงานมาสเตอร์พีซของหนังแนวนี้ หนังว่าด้วยเด็กหนุ่มที่น้องชายฝาแฝดของเขาหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาจึงเติบโตมาด้วยความรู้สึกผิดในใจตลอดเวลา สิ่งที่ดีของหนังก็คือ จนสุดท้ายหนังก็ไม่เฉลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย และฉากการคลี่คลายของตัวละครก็ไม่ได้ใช้ฉากน่าเบื่ออย่างการให้ตัวละครมานั่งล้อมวงกอดคอกัน แต่คาวาเสะกลับใช้ฉากงานเต้นรำประจำหมู่บ้านแทน (ซึ่งเป็นฉากที่ดูแล้วขนลุกมาก)



คาวาเสะกลับมาอีกครั้งกับ The Mourning Forest (2007, คว้ารางวัลกรังปรีซ์จากเทศกาลหนังเมืองคานส์) ซึ่งเธอยังคงมุ่งสำรวจถึงเรื่องของความตายและการสูญเสีย (เธอน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากการตายของคุณยายที่เลี้ยงเธอมาตลอด) หนังเล่าถึงตัวละครสองตัวคือ มาจิโกะ (มาจิโกะ โอโนะ) หญิงสาวที่เพิ่งสูญเสียลูกชายไป และ ชิเงกิ (ชิเงกิ อูดะ - เขาเพิ่งเล่นหนังเป็นเรื่องแรก) ชายชราที่ยังคงเฝ้าคิดถึงภรรยาของตน แม้ว่าเธอจะเสียชีวิตไป 30 กว่าปีแล้วก็ตาม ทั้งคู่ได้พบกันในบ้านพักคนชรา โดยมาจิโกะเข้ามาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของที่นี่

ครึ่งแรกของหนังใช้วิธีการของสารคดีอย่างเห็นได้ชัด (คาวาเสะเคยเป็นนักทำหนังสารคดีมือฉมังมาก่อน เธอทำมาแล้วทั้งตามหาพ่อที่ทิ้งเธอไปตั้งแต่เด็ก หรือกระทั่งบันทึกภาพตัวเองตอนคลอดลูก) เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบ้านพักคนชรา กล้องไม่ได้จับเพียงที่สองตัวละครหลัก แต่ยังถ่ายภาพคนแก่ สิ่งของ และสภาพแวดล้อมต่างๆ ในบ้านไปทั่ว เสียงที่เราได้ยินก็เป็นเสียงงึมงำของบรรดาคุณลุงคุณป้าที่อาจดูไม่สลักสำคัญอะไร (แถมบางช่วงเป็นการสัมภาษณ์พวกเขาถึงเรื่องการเกิด, การตาย หรือการไปสวรรค์ด้วยซ้ำ) อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่คาวาเสะพยายามถ่ายทอดให้กับคนดูคือ ‘บรรยากาศ’ มากกว่าการมุ่งหน้าเล่าเรื่องในแบบหนังทั่วไป

ความน่าสนใจยังอยู่ที่วิธีการทำงานแบบบ้าพลังของคาวาเสะ โดยเธอมักจะให้ความสำคัญกับความเป็น ‘ชุมชน’ ในหนังของตัวเองเสมอ อย่างใน Shara เธอก็ให้นักแสดงไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนารา (ซึ่งเป็นบ้านเกิดและสถานที่ถ่ายหนังประจำของเธอ) เป็นเวลา 2 เดือนก่อนถ่ายจริง ใน The Mourning Forest เธอก็ให้ทีมงานสร้างบ้านพักคนชราขึ้นมาจริงๆ และให้นักแสดงมาลองอยู่ก่อน 3 เดือน ส่วนตัวประกอบที่เล่นเป็นคนชราในบ้านพักทั้งหมดล้วนไม่ใช่นักแสดงอาชีพ สิ่งนี้เองที่ทำให้ครึ่งแรกของหนังมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก



ในขณะที่ 45 นาทีหลังของหนังที่เป็นการเดินป่าของมาจิโกะและชิเงกิ (ทั้งคู่นั่งรถไปเที่ยวกัน แต่รถเกิดเสีย และอยู่ดีๆ ชิเงกิก็เดินเข้าป่าไปเลย) คาวาเสะก็ใช้ศักยภาพของป่าและธรรมชาติอย่างเต็มที่ การถ่ายภาพของหนังสวยงามและสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ (ความอัศจรรย์ด้านการถ่ายภาพเคยเกิดขึ้นใน Shara มาแล้วเช่นกัน เพราะฉากเปิดและฉากปิดในหนังถือเป็น ‘ฉากตำนาน’ เลยก็ว่าได้) นอกจากนั้น The Mourning Forest ยังเรียกร้องการใช้ศักยภาพของโรงหนังไปในคราวเดียวกัน เพราะที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้ออกแบบมาเพื่อดูในโรงเท่านั้น (คล้ายๆ กับ ‘สัตว์ประหลาด!’ ของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล)

หลังจากในช่วงแรกที่ชิเงกิดูจะไม่ค่อยชอบมาจิโกะเท่าไร (ในฉากหนึ่งมาจิโกะไปยุ่งกับกระเป๋าที่ชิเงกิหวงมาก เขาก็เลยผลักเธอจนบาดเจ็บ) แต่เมื่อทั้งคู่เดินเข้าป่าไปเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีขึ้น (ชิเงกิยอมให้อีกฝ่ายถือกระเป๋าใบนั้นแทน) แต่สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาต่างปลอมประโลมซึ่งกันและกัน ในฉากหนึ่งชิเงกิปลอบให้มาจิโกะหยุดร้องไห้ ส่วนในอีกฉากหนึ่งเมื่อชิเงกิเป็นไข้หนาวจนตัวสั่น มาจิโกะก็ถอดเสื้อแล้วกอดเขาไว้แน่น (บางทีนี่อาจจะเป็นภาพแทนความสัมพันธ์ของคาวาเสะกับคุณยายก็ได้ เพราะถึงพวกเขาจะรักกันมาก แต่สารคดีของเธอก็บันทึกภาพตอนที่เธอตบตีกับคุณยายเอาไว้ด้วย)

หากจะบอกว่า The Mourning Forest เป็นหนังที่พูดถึง ‘การเดินทางทางจิตวิญญาณ’ ก็อาจฟังดูดัดจริต แต่ก็ไม่มีคำใดที่จะอธิบายถึงหนังเรื่องนี้ได้ดีที่สุดเท่าคำนี้ นี่เป็นหนังที่มีเนื้อเรื่องเบาบางมาก (ครึ่งหลังก็เป็นฉากเดินป่าล้วนๆ หลายคนเลยดูไม่จบ เผลอหลับไปเสียก่อน) เพราะคาวาเสะใช้ ‘ป่า’ ในแง่ของการอุปมาเสียมากกว่า มันเป็นเรื่องของคนที่พยายามหาทางดับทุกข์ให้ตัวเอง หลังจากหลงทางมานานเกือบ 30 ปี (ชิเงกิเดินเข้าป่าเพื่อหาหลุมศพของภรรยา และเป็นไปได้ว่าเขาคิดจะตายที่นั่น) และคนอีกคนที่ติดตามฝ่ายแรกไปเพื่อเรียนรู้หนทางของการอยู่ร่วมกับความทุกข์

เสน่ห์ของความคลุมเครือจาก Shara ก็ยังคงอยู่ในหนังเรื่องนี้เช่นกัน หนังไม่บอกกับเราว่าลูกของมาจิโกะตายเพราะอะไร, กระเป๋าใบนั้นของชิเงกิมีความสำคัญอะไรนักหนา หรือหลุมศพนั้นเป็นของภรรยาของชิเงกิจริงหรือเปล่า การไม่เล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมาที่ดีที่สุดอยู่ในฉากแม่น้ำที่มาจิโกะร้องไห้เหมือนคนบ้า มันเป็นฉากเดียวที่เพียงพอแล้วว่าเธอเสียใจกับการจากไปของลูกขนาดไหน



คาวาเสะยังคงใช้การถ่ายทำแบบ long take เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งยิ่งส่งผลให้การแสดงของนักแสดงนำทั้งสองที่ดีมากอยู่แล้วยิ่งทรงพลังขึ้นไป เธอยังได้สร้างฉากระดับตำนานได้อีกครั้งในฉากสุดท้ายของหนัง (ที่น่าจะถ่ายยาวโดยไม่ตัดเกือบ 10 นาที) ที่เป็นการถ่ายหน้าของนักแสดงทั้งสองสลับไปมา มันเป็นฉากสุดประหลาดที่มีความรู้สึกมากมายอย่างรุนแรงอันยากจะบรรยาย (เป็นฉากที่เล่นยากมาก จนถึงขนาดว่านักแสดงนำหญิงของเรื่องเครียดจนร้องไห้สติแตก) แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดูสงบนิ่งอย่างบอกไม่ถูก ความขัดแย้งที่ลงตัวนี้อาจเกิดจากส่วนผสมระหว่าง ‘มนุษย์’ และ ‘ธรรมชาติ’ ที่คาวาเสะบรรจงสร้างอย่างประณีตก็เป็นได้

ประเด็นสุดท้ายที่ผมชอบมากใน The Moruning Forest ก็คือ ในขณะที่ Shara มีการคลี่คลายของตัวละครที่ชัดเจน แต่ในหนังเรื่องนี้คาวาเสะเลือกที่จะปล่อยช่องว่างขนาดมหาศาลให้คนดูคิดคำนึงต่อเอง หนังไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าตัวละครได้คลายทุกข์ของตัวเองและจะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ เพราะจนถึงที่สุดตัวละครทั้งสองก็ยังอยู่ในป่าแห่งนั้น ซึ่งอาจตีความได้ว่าพวกเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงทุกข์ต่อไป แต่ในอีกแง่หนึ่งฉากนี้ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งชิเงกิและมาจิโกะได้กลมกลืนกับผืนป่าแห่งนี้ จนแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับมัน

ราวกับคาวาเสะกำลังจะบอกกับคนดูว่าความทุกข์นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ และเราก็ต้องอยู่ร่วมกับมัน เพราะเมื่อครั้งหนี่งที่เราเริ่มไว้ทุกข์แล้ว เราก็ไม่มีวันเลิกทำมันได้อย่างแท้จริง




The Mourning Forest (Trailer)




หมายเหตุ

หนังญี่ปุ่นแนว Post-Traumatic 5 เรื่องที่ผมขอแนะนำเป็นพิเศษ (ทุกเรื่องมี DVD ขายในกรุงเทพ)

1. Eureka (2000, Shinji Aoyama)

2. Shara (2003, Naomi Kawase)

3. Maborosi (1995, Hirokazu Koreeda)

4. Distance (2001, Hirokazu Koreeda)

5. Antenna (2004, Kazuyoshi Kumakiri)

*ทุกเรื่องเป็นหนังนิ่งช้า และดูมากๆ อาจเป็นบ้าได้



Create Date : 08 กรกฎาคม 2551
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 4:40:33 น. 29 comments
Counter : 3774 Pageviews.

 

TO INFORM ABOUT 4 THINGS

1. Bioscope เล่มใหม่ (หน้าปก ปืนใหญ่จอมสลัด) น้องเมอร์เขียนสกู๊ป The X-Files

2. วันพฤหัสที่ 10 ก.ค. นี้ เวลา 13.00 น้องเมอร์จะปรากฏตัวทางช่อง TPBS ช่วงข่าวบันเทิง

3. น้องเมอร์กำลังไปโผล่ที่เวบ //www.artscenetv.net/

4. หนังน้องเมอร์ Time Still Destroys Everything You Touch ฉายอีกครั้ง เสาร์ที่ 12 ก.ค. เวลา 18.30 ในงานหนังสั้นมาราธอน (สถานที่: ชั้น 3 อาคารอาณารักษ์ สีลม ซ.3 อยู่ข้างธนาคารกรุงเทพ มาได้โดย BTS ศาลาแดง)


โดย: merveillesxx วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:4:21:54 น.  

 
ดีครับ จะได้ไปหามาดูมั่ง ^^


โดย: Soundsyndrome (เด็กน้อยกว่า ) วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:8:16:36 น.  

 
ได้ดูแล้วครับ
ฉากในป่าผมก็แวบไปคิดถึง "สัตว์ประหลาด!"

หนังนิ่งมาก ขณะเดียวกันฉากที่นางเอกหวีดร้องก็รุนแรงมากๆ
ภาพน้ำป่าที่ตัดเข้ามาน่าจะสื่อถึงความรู้สึกและบอกถึงเรื่องราวของนางเอก
เธอจึงเอาแต่พูดว่า "ขอโทษๆๆ"

หนังเหมาะกับดูในโรง
หรือถ้าดูที่บ้านก็ต้องเปิดกับเครื่องเสียงดีๆ ไม่ก็ใส่หูฟัง
จะได้ยินเสียงแวดล้อมอย่างเสียงลม เสียงน้ำ เสียงแมลง ที่มีอยู่แทบทุกฉาก


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:12:08:16 น.  

 
อยากดูอ่ะ แต่ตอนนี้ไม่ผ่านความฟิต ดูหนังที่บ้าน หลับ 90% แต่หนังมาราธอนดูแล้วไม่หลับ เพราะคุณจะขำขึ้นมาทุก 5 นาที ตื่นเลย

.....

2. วันพฤหัสที่ 10 ก.ค. นี้ เวลา 13.00 น้องเมอร์จะปรากฏตัวทางช่อง TPBS ช่วงข่าวบันเทิง

- เฮ้ย...ไม่อยู่บ้านอ่ะตอนนั้น


โดย: ต้องบอกด้วยเหรอ วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:12:50:30 น.  

 
"ทุกเรื่องเป็นหนังนิ่งช้า และดูมากๆ อาจเป็นบ้าได้"



โดย: Evil is Live วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:59:02 น.  

 
+ อืม ... น่าสนใจอ่ะครับ แต่พี่ไม่ใคร่ถูกกับหนังแนวนี้เท่าไหร่แฮะ

+ ช่วงน้องต่อ ออกอากาศ พี่คงไม่ได้อยู่หน้าจอแฮะ ... ส่วนไบโอ เด๋วจะตามไปอ่านนะคร้าบผม


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:18:46 น.  

 
ที่ tpbs ดูไม่ได้ว่ะ
ทำงาน

post ลง youtube ดิ
5555


โดย: เอกภพสีน้ำเงิน IP: 222.123.113.47 วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:15:59 น.  

 
อืม


โดย: pick IP: 202.41.167.246 วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:47:27 น.  

 
ตอนแกออกทีวี รู้สึกชั้นจะทำงานอยู่

ว้า แย่จัง


โดย: เสจัง IP: 124.121.160.74 วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:23:41 น.  

 
ช่วงที่ออกอากาศ พี่อยู่ที่ทำงานอ้ะ

แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวแว่บลงมาดูที่โรงอาหารก็ได้


โดย: แฟนผมตัวดำ วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:27:10 น.  

 
น่าดูจัง แค่ภาพก็กินขาดแล้ว
ลองดูตัวอย่าง หนังดูแล้วเครียดน่าดู
แต่ก็คงจะหามาดูจนได้


โดย: fonkoon วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:47:55 น.  

 
- อ่านแค่ 3 ย่อหน้าแรกนะ กลัวสปอยล์ เพราะได้แผ่นมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ดู ถ้าดูแล้วเดี๋ยวกลับมาอ่านใหม่
และพี่ก็มี Distance กับ Antenna อยูที่บ้านนานแล้วด้วยเช่นกัน และยังไม่ได้ดูเช่นกัน
เอามาดู 3 เรื่องต่อกันเลยดีไหม จะพิสูจน์ว่าจะบ้าจริงป่าว 555
อยากดู Shara เหมือนกันแฮะ

- ตอนแกออกทีวี ดูเหมือนทุกคนแถวนี้จะไม่มีวาสนาได้ดูเลยอ่ะ คราวหน้าขอช่วงไพรมไทม์นะ





โดย: เอกเช้า IP: 124.120.185.23 วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:58:48 น.  

 

เอ่อ พี่น้องค้าบบ...

โลกใบนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่า เวบดูทีวีย้อนหลัง นะค้าบบบ

ที่นี่อ่ะ
//www.me.in.th/live/


โดย: merveillesxx วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:59:34 น.  

 
Maborosi (1995, Hirokazu Koreeda)

จำได้ว่าหลับสนิท 555



โดย: ฟ้าดิน วันที่: 9 กรกฎาคม 2551 เวลา:0:21:49 น.  

 
เพิ่งดูเมื่อเกี๊ยะ

ไม่หลับว่ะ โคตรน่าอัศจรรย์(สำหรับกรู)

ที่ตอนสุดท้ายแกบอกว่าเรื่องคลุมเครือ
แต่เรากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้น่ะชัดเจนมาก ประเด็นอะไรออกหมด
เป็นรูปธรรมมาก (ป่า = ความทุกข์ระทมจากการสูญเสีย อะไรแบบนี้)
แทนค่าได้เลย ก็ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องนี้จะชัดขนาดนี้ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดูหนังได้จนจบ
เพราะถ้าคลุมเครือมากเกิน จะหลับแน่นอน
เลยรู้สึกว่า Shara คลุมเครือกว่า คือ ดูแล้วแทบจะไม่ได้เก็ทอะไรเลย ส่วนไอ้ maborosi แม่งก็ไม่ไหว

คิดว่าตัวละครสองคนนี้ก็มีเสน่ห์มากพอที่จะให้ติดตามด้วย
แหละ ข้าพเจ้าเลยรอดมาได้

ก็สนุกดีนะ ชอบตอนเสียงเฮลิคอปเตอร์มาก
ฉากจบดูสมบูรณ์ดี เป็นหนังที่จบในตัวเอง
เหมือนตัวละครเดินมาถึงเส้นชัย แล้ว เย้ๆ

ดูจบแล้วนึกถึงเพลงลูกกรุงเพลงหนึ่งที่ชื่อว่า
'เอาความขมขื่นไปทิ้งแม่โขง'
มันคือหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว ถ้าเปลี่ยนภูเขา
เป็นแม่น้ำโขง

ก็รู้สึกว่าหนังก็ไม่ได้มีไรใหม่มากนะ
แต่สำหรับเรา หนังประมาณนี้ก็โอเคแล้วล่ะ


โดย: เต๋อ IP: 58.8.98.28 วันที่: 9 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:25:01 น.  

 
ใครยังไม่สะใจกับ mourning forest
ผมแนะนำ Funky Forest นะครับ 555
มีมาชิโกะ โอโนะ นำแสดงเช่นกัน

ส่วนหนังเป็นอย่างไรขอใ้ห้ไปลองของกัน
ดูแล้วจะรู้สึกว่าทรมานพอๆกับการที่สูญเสียเมียไปแล้ว 33 ปี


โดย: เต๋อ IP: 58.8.98.28 วันที่: 9 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:30:02 น.  

 
เออ จริงด้วย
มีเวบดูย้อนหลังนี่หว่า

คงดูย้อนหลังได้ ถ้าไม่ลืม

ปล. แก๊ ชั้นอยากกินเสต็กสามย่าน


โดย: เสจัง IP: 124.121.166.192 วันที่: 9 กรกฎาคม 2551 เวลา:20:56:35 น.  

 



THIRD CLASS RADIO

วิทยุคนทำหนัง มันเริ่มแล้ว!

DISC-JOCKEYs : THIRD CLASS CITIZEN featuring กอง บ.ก. BIOSCOPE
TALK ABOUT : หนังสั้นมาราธอนครั้งที่ 12 + เมาท์กันเรื่องหนัง
RUNNING TIME : 55 นาที
SIZE : 15 Mb

โหลดได้ ที่นี่


โดย: merveillesxx วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:2:12:23 น.  

 
วันอาทิตย์ ติดมือ แผ่นคาวาเสะไปอีกทีนะ งานหนังสั้นมาราธอนจะไปรับถึงมือ

ประชาชนชั้นสาม รับแอดประชาชนระหว่างบรรทัดด้วยนะ
ในฮิห้าน่ะ


โดย: grappa IP: 58.9.183.195 วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:6:50:09 น.  

 
อ๊า... ลืมวิ่งลงไปดูน้องต่อตอนสิบโมง

แต่ไม่เป็นไร โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า เวบดูทีวีย้อนหลัง



โดย: แฟนผมตัวดำ วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:12:36:18 น.  

 
อ้าว มีบ่ายโมงนี่นา ยังทันๆ


โดย: แฟนผมตัวดำ วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:12:38:28 น.  

 
ดูย้อนหลังมาแล้วนะ
แต่งตัว "ทางการ" อีกคนแล้ว 55555


โดย: nanoguy IP: 125.24.131.190 วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:18:06 น.  

 



THE WAR OF CAPITALISM (OR OPPORTUNISM?)

According to this
//www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6784433/B6784433.html

Any Comment?

Pls post here, there, or mail me personally

Thx


โดย: merveillesxx วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:08:51 น.  

 
น่าดูแฮะ
เคยดูแต่ Shara, Maborosi และ Distance แล้วชอบมากๆ อีก3 เรื่องที่เหลือนี่อารมณ์นี้หมดเลยชิมิ


โดย: danaya IP: 58.8.53.167 วันที่: 12 กรกฎาคม 2551 เวลา:14:23:20 น.  

 
ขอบใจมากต่อ
สำหรับวลีภาษาอังกฤษ
แม้เราอาจจะยังไม่เข้าใจตอนนี้(เพราะโง่ด้านภาษานะ)
แต่อีกไม่นานเราคงเข้าใจ (กำลังแปลอยู่)

แต่คิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งดีๆที่ต่อฝากให้เราละ
ขอบใจมากคับ


โดย: พรเก้าประการ วันที่: 12 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:17:22 น.  

 
หนัง ยังไม่อ่านแล้วกัน

เรื่องงาน อยู่สีลมอะดีแล้ว ไม่ต้องออกต่างจังหวัดด้วย จะได้ไปดูนู้นดูนี่หาความสุขให้ตัวเองได้เรื่อยๆ

แต่ ทำปูนก็ดูมีโอกาสก้าวหน้าเรื่อยๆ(ถ้าคิดจะอยู่มันสิบปีนะคะ)


ปล.จะสอบแล้ว แต่ยังอยากดูละครนู้นนี่อยู่เลย


โดย: cheatoneself IP: 125.24.112.213 วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:2:32:25 น.  

 
ทำไม ในทีวี ถ่ายมาแล้ว ดูพี่ตัวใหญ่กว่าปกตินะ


โดย: Travis IP: 125.25.96.93 วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:1:21:48 น.  

 
^
^
ตามปกติ คนทั่วไป เวลาออกทีวีมันก็จะดูบวมๆ อืดๆ กว่าตัวจริงนะ เหมือนเพื่อนพี่คนนึงเป็นดารา พอดูในทีวีก็หน้าบานเลย

แต่ของพี่เนี่ยมันใหญ่อยู่แล้วอ่ะ ช่วยอะไรไม่ได้ 555


โดย: merveillesxx วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:1:54:09 น.  

 
ใน 5 เรื่องที่เมอร์ยกมา ชอบทุกเรื่องเลยยกเว้น ยูเรกา เพราะยังไม่ได้ดู
(และมีแนวโน้มจะจี๊ด) คิดดูแล้วทุกเรื่องเป็นหนังที่ผมชอบหนึ่งในสิบเลย โดยเฉพาะ distance
หรือผมจะชอบหนังแนวนี้ post-traumatic เป็นการเฉพาะ หรือเพราะผมชอบดูหนังญี่ปุ่นเป็นการเฉพาะก็ด้วยเพราะสาเหตนี้
(ตอนนี้เป็นบ้า เพราะเหตุนี้นี่เอง หุหุ)



โดย: NP IP: 61.7.137.225 วันที่: 21 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:22:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.