http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
All Blogs
 
ตะลุยเทศกาล 4th World Film Festival (PART 3)

โดย merveillesxx


PART 1

PART 2



19 OCT 2006

หนังที่ได้ดูวันนี้




1. Chicha tu Madre (2006, Gianfranco Quattrini, Peru, B+)

เฉยๆ กับหนังเรื่องนี้ แต่มีฉากหนึ่งที่ฮามากๆ คือตอนที่พระเอกไปดูระบำโป๊ แล้วอยู่ดีๆ มีการการแสดงชุด Madeleine the Electric (!!??) ไฮไลท์ของโชว์นี้อยู่ที่นางระบำเอาปลั๊กไฟเสียบจิ๋มตัวเอง





2. Close to Home (2005, Dalia Hager + Vidi Bilu, Israel, A+)

//www.imdb.com/title/tt0478999/

ไปๆมาๆ เทศกาลเวิลด์ฟิล์มปีนี้แทบจะกลายเป็น “ไตรภาคอิสราเอล-ปาเลสไตน์” ไปแล้ว เพราะมีหนังที่พูดถึงประเด็นนี้ถึง 3 เรื่อง ได้แก่ Close to Home, More Than 1000 Words และ The Accord ความน่าสนใจก็คือ แต่ละเรื่องดูมีความเชื่อมโยงถึงกันหมด แต่เล่าเรื่องคนละประเด็น (ทหารหญิง / ช่างภาพสงคราม / สนธิสัญญาเจนีวา) และด้วยวิธีที่ต่างกัน (หนังดราม่าที่เต็มไปด้วยตัวละครผู้หญิง / สารคดีที่เต็มไปด้วยเทคนิคแพรวพราว / สารคดีที่ดูจริงจัง)

หนังเรื่องนี้ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ของตัวเอง เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในประเทศอิสราเอลผู้หญิงต้องเกณฑ์ทหารด้วย และจุดที่ชอบมากๆ ก็คือ ตัวละครหญิงแต่ละคนในเรื่องมี “ความแรง” ไม่แพ้กัน (เพราะฉะนั้นเวลาพวกเธอตบกัน มันเลยไม่น่าเบื่อ เพราะเดาไม่ถูกว่าใครจะชนะ) โดยตัวละครที่ชื่อ “ดาน่า” เธอแรงดี และดูคล้ายๆ Tilda Swinton ในบางมุม

เหตุการณ์ช่วงท้ายและตอนจบของหนังเรื่องนี้น่าสะเทือนใจมาก และยิ่งทำให้ความหมายของคำว่า Close to Home ยิ่งดูลึกซึ่งเข้าไปอีก พอดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว ประโยคแรกที่ลอยมาก็คือ “ไม่มีบ้านอยู่จริง สำหรับโลกแห่งความเกลียดชัง”

เพลงตอน end credit ของหนังเรื่องนี้คือเพลง First Breath After Coma ของวง Explosions in the Sky อยู่ในอัลบั้มชุด The Earth Is Not a Cold Dead Place (2003) นอกจากนั้นวงนี้ยังมีอัลบั้มชุดแรกชื่อเก๋ๆ ว่า Those Who Tell the Truth Shall Die, Those Who Tell the Truth Shall Live Forever (2001) (ยาวจังนะ แต่ยังสู้อัลบั้ม When the Pawn Hits the Conflicts He Thinks Like a King... บลา บลา บลา ของ Fiona Apple ไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ )

บทวิจารณ์อัลบั้มชุด The Earth Is Not a Cold Dead Place
//www.allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=10:whuk6j4371l0

คลิปเล่นสดเพลง First Breath After Coma
https://www.youtube.com/watch?v=3h-wB8BzaXE

** Close to Home ฉายอีกที 21 ต.ค. รอบ 18.00 (Grand EGV) **



3. Thai Indie Short Film: LIGHT

//www.thaiindie.com/archives/events/worldfilmweb.html




3.1 Take a Messege (2005, เมธัส ฉายชยานนท์, B)

หนังน่ารักดี แต่โชคร้ายว่าตัวเองดันเดาตอนจบได้ (ไม่ใช่ความผิดของหนัง)





3.2 ?Before / ?ก่อน (2005, สามารถ สุวรรณรัตน์, A+)

ชอบภาพเสาไฟ (หรือเสาอากาศ เสาสัญญา เสาอะไรก็ช่างเถอะ) แยกออกเป็น 2 อันมากๆ / เป็นหนังที่ชอบที่สุดในชุด LIGHT





3.3 The Table's Space / เหตุผลที่เราทะเลาะกัน (2006, ณิชา จุไรรัตนาภรณ์, B+)

ขอมอบรางวัล “นักแสดงหน้าใหม่ตรึงใจ” ให้น้องผู้หญิงแว่นในเรื่อง (เสียงน้องโหดมาก)





3.4 The Massage / นวด (2006, ธวัชพงศ์ ตั้งสัจจะพจน์, A-)





3.5 Painless Sex? / เซ็กซ์ไม่เจ็บ? (2005, ชูเกียรติ วงศ์สุวรรณ + นฤมล ใจสะอาด, A)

เคยดูไปแล้วทีนึงในงานหนังม่านรูด วันนี้เลยชอบน้อยลง แต่ก็ยังชอบบรรยากาศและการถ่ายภาพของหนังเรื่องนี้





3.6 Upper Story (2005, ปฐมพล เทศประทีป, B)





3.7 Yuriem est le mari d'un e'trangere / ยุเรียมเป็นผัวฝรั่ง (2006, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, A)

คุณนวพลกรุณามารับรางวัลกับผมด่วน เพราะนอกจาก SEE จะเป็น (ว่าที่) หนังสั้นที่ผมชอบที่สุดในปี 2006 แล้ว หนังเรื่อง Yuriem est le bla bla bla… กำลังจะได้รางวัล “หนังเสียสติ” แห่งปีจ้ะ

ตอนแรกเข้าใจว่าล้อหนังไฉ้หมิงเลี่ยง เพราะเห็นว่าผกก.ชอบพี่ไฉ้ แต่พอมีตัวละครเริ่มพูด เลยรู้ว่าไม่ใช่แล้ว (ฮา)





3.8 You are where I belong to / ปลายทาง (2006, ธัญสก พันสิทธิวรกุล, A-)

หนังที่ยืนยันว่า ผกก. เป็นคนตาไวมาก





3.9 Different Degree / องศาที่ต่างกัน (2006, มนต์ชัย ฉัตรบำรุงสุข, A-)

ดูแล้วรู้สึกดีกว่าตอนที่ดูในงาน Fat วิเคราะห์ดูแล้ว อาจเป็นเพราะวันนั้นหนังเรื่อง SEE มันกินไปหมดทุกอย่าง นั่นก็คือ ไม่ใช่หนังเรื่องไหนดีกว่ากัน เพียงแต่ว่า SEE กระทบจิตใจตัวเองมากกว่า เพราะแฟนผมทุกคนยังอยู่ดีกินดี (ถึงแม้บางคนจะอยากฆ่าให้ตายคามือเสียเหลือเกินก็ตาม) แต่ผมเคยปล่อยให้พ่อกินข้าวคนเดียว

แต่วันนี้ดู Different Degree แล้วแอบน้ำตาซึมนิดนึง อาจจะเพราะนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเจอมาเร็วๆ นี้ กล่าวคือ พยายามจะจีบผู้หญิงคนหนึ่ง คุยไปคุยมาเลยได้รู้ว่าแฟนเก่าเธอตายไปแล้ว โดยวันที่ตายผู้ชายคนนั้นโทรมาหาเธอจากต่างจังหวัดบอกว่าจะกลับกรุงเทพแล้วนะ หลังจากวางโทรศัพท์ได้ไม่นานผู้ชายคนนั้นก็ประสบอุบัติรถยนต์ วันนั้นเลยตัดสินใจกับตัวเอง 2 อย่าง หนึ่ง-หยุดจีบผู้หญิงคนนี้ เป็นเพื่อนกันดีกว่า สอง-ความตายของเราไม่น่ากลัว แต่ความตายของคนอื่นน่ากลัว





4. Isabella (2006, Pang Ho-Cheung, Hong Kong, A+++++)

//www.isabellathemovie.com/

//www.imdb.com/title/tt0499141/

นี่คือหนังที่จะแย่งชิงอันดับหนึ่งของงานอีกเรื่อง (เป็นหนังที่อยากดูที่สุดเรื่องหนึ่งในงานเพราะนางเอก – อิซาเบลลา เหลียง แท้ๆ)

หนังเรื่องนี้ได้รางวัล Best Music จากเบอร์ลินปี 2006 (ฝีมือของ Peter Kam) ซึ่งดนตรีในหนังเรื่องนี้ก็ดีจริงๆ และบางทีมันดีเกินไปจนข่มตัวหนัง แต่เพลงตอน end credit ก็เพราะมากๆ ชื่อเพลง O Gente da Minha Terra ร้องโดย Mariza (เธอเป็นนักร้องชาวโปรตุเกส / เข้าไปฟังเพลงนี้ได้ในเวบ official) แล้วยังมีเพลง Dream Mate ของเหมยเยี่ยฟาน (ถ้าเข้าใจไม่ผิดคือเพลงที่นางเอกร้องตอนเมาเหล้า) ผกก.บอกว่าเลือกเพลงนี้เพื่อทริบิวต์ให้เหมยเยี่ยฟาน ผู้มีฉายา Queen of Canto-Pop ซึ่งของสังเกตก็คือ อิซาเบลล่า เหลียง เป็นนักร้อง Canto-Pop เหมือนกัน

ดูหนังเรื่องนี้ก็แอบคิดถึง Happy Together (1997, Wong Kar-Wai, A+) ที่พูดถึงการคืนเกาะฮ่องกงจากจีนสู่อังกฤษในปี 1997 ส่วน Isabella ก็พูดเรื่องการคืนเกาะมาเก๊าจากโปรตุเกสสู่จีนในปี 1999 ต่างกันที่ Happy Together ใช้ฉากหลังเป็นอาร์เจนติน่าเพื่อแสดงความรู้สึกกลับไม่ได้ ไปไม่ถึง + แปลกแยกโดดเดี่ยวของตัวละครเอกทั้งคู่ ส่วน Isabella ใช้ฉากหลังเป็นมาเก๊าโดยตรงเพื่อแสดงผลกระทบต่อชีวิตของพระเอก

ตอนที่นั่งดูหนังเรื่องนี้ยิ่งดูไปก็ยิ่งชอบ เพราะยิ่งความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอกยิ่งมากขึ้น มันก็ทำให้ตัวเองยิ่งสงสัยว่าตกลงแล้วนางเอกคิดแบบไหนกับพระเอกกันแน่ แบบพ่อหรือแบบอื่น ซึ่งคิดว่าผู้กำกับเก่งดีที่ทำให้ปริศนาตรงนี้ดูมีเสน่ห์ และไม่ทำให้ผู้ชมกระอักกระอ่วน (ด้วยระบบศีลธรรมพื้นฐานในใจ) ที่จะคิดอะไรเลยเถิดไปตามจินตนาการ

ดูหนังเรื่องนี้แล้วร้องไห้ 3 ฉาก
1. ฉากที่นางเอกพูดกับพระเอก เกี่ยวกับ “Isabella”
2. ตอนที่พระเอกพูดว่า “ถ้าฉันกลับมา เธอต้องเลิกบุหรี่นะ”
3. ฉาก “แผ่นหลังของนางเอก” ตอนใกล้จบ (ขอกราบเท้า ผกก. คิดได้ไงเนี่ย)

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในหนังคงหนีไม่พ้น นักแสดงนำทั้งสอง คือ แชปแมน ตู้ (ปกติเล่นแต่บทตลก) และ อิซาเบลลา เหลียง (เธอเล่นบทเด็กอายุ 18 แต่ความจริงเธอ 28 ฮ่าๆๆๆ) โดยเฉพาะรายหลัง หนังเรื่องนี้เปลี่ยนเธอจาก Anna Faris เป็น Meryl Streep เลย (ฮา) เพราะแต่ก่อนเธอเล่นมาแต่หนังโสๆ ทั้งนั้น อาทิ The Eye10, Bug Me Not, Dragon Squad, A Chinese Tall Story (ดูแต่ละเรื่องสิ) นอกจากนั้นหนังเรื่อง Isabella ยังประกาศให้โลกรู้ว่าดาราที่ชื่อ อิซาเบลลา เหลียง มีช่วงขาที่น่าหลงใหลที่สุดในโลก

Pang Ho-Cheung เคยทำหนังเรื่อง Beyond Our Ken (2004) ที่เพิ่งลาโรงจากลิโด้ไป (เสียดายมากๆๆ ไม่ได้ดู)

** Isabella ฉายอีกที 20 ต.ค. รอบ 15.30 (Paragon) **





20 OCT 2006

รู้สึกวันนี้เป็นวันของ “หนังวิพากษ์สังคม” เพราะหนังยาว 3 เรื่องที่ได้ดูวันนี้ล้วนเป็นหนังสังคมทั้งสิ้น

หนังที่ได้ดูวันนี้




1. The Right of the Weakest (2006, Lucas Belvaux, Belgium, A+)

ช่วง 10 นาทีแรกดูหนังเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องเลย เพราะดูเหมือนทางโรงหนัง Grand EGV จะลืมปิดเพลง (รู้ตัวเพราะในหนังมีฉากโรงงาน แล้วคงไม่มีหนังเรื่องไหนบ้าบอพอขนาดจะใส่เพลงประกอบฉากโรงงานด้วยอัลบั้มสไตล์ Cafe de Moc หรอกนะ)

จริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ธรรมดามากๆ แต่ชอบที่ถึงหนังจะพูดเรื่อง “ความอ่อนแอ” ของตัวละคร แต่หนังก็ไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้อย่างฟูมฟาย หรือกระทั่งช่วงท้ายที่หนังพูดถึง “ความซวยเหลือทน” หนังก็ไม่ได้ทำให้ตัวละครนั้นน่าสงสารจนเกินไป แต่ก็สร้างความสะเทือนใจกับคนดูในระดับหนึ่ง

ชอบฉากจบเรื่องนี้ที่ถ่ายภาพด้วยกล้องจากเฮลิค็อปเตอร์ หนังอีกเรื่องหนึ่งที่ใช้เทคนิคแบบนี้ในฉากจบแล้วชอบมากๆ ก็คือ Eureka (2001, Shinji Aoyama, A+)



2. Thai Indie Short Film: Strong




2.1 Sleeping Beauty (2006, จุฬญาณนนท์ ศิริผล, A)

รู้สึกว่าผู้กำกับเก่งดีในการ “เลือกภาพ” มาใส่ในหนัง / ชอบฉากไนท์ช็อตที่ถ่ายตอนนอนมากๆ / ดูฉากที่อาบน้ำให้คุณย่าแล้วรู้สึกเหมือนคุณไกรวุฒิว่าถ้าแก่ตัวไปเราจะเป็นยังไงกันนะ / ความซวยของหนังอยู่ที่หนังใช้เพลงของวง “ละอองฟอง” ซึ่งเป็นวงที่ผมไม่ชอบเลย (กล่าวให้ชัดคือ ผมชอบนักร้องนำ แต่ไม่ชอบเสียงนักร้องนำ) แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของหนังเช่นกัน





2.2 บ้านทรายทอง / Golden Sand House (2006, จุฬญาณนนท์ ศิริผล, A+)

เป็นหนังที่ดูแล้วมีความสุขมาก / คิดว่าการให้ความหมายกับคนพม่าในหนังเรื่องนี้ ก็คล้ายๆ กับการให้ความหมายในหนังเรื่อง “สุดเสน่หา”





2.3 See (2006, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, A+)

ดูหนังเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว แต่วันนี้ก็ยังร้องไห้อยู่ดี และยังคงเป็นว่าที่หนังสั้นที่ชอบที่สุดในปีนี้





2.4 Breeze (2006, สถิตย์ ศัสตรศาสตร์, A+)

เคยดูหนังเรื่อง Space ของผกก.คนนี้แล้วให้เกรดไม่ได้ เนื่องจากดูไม่ทัน / เห็นด้วยกับคุณปุ่นว่าหนังเรื่องนี้ต้องดูในโรง โดยเฉพาะฉากเครื่องบิน / ชอบมุก Star Wars มากคิดได้ไง / “บทสนทนาในความมืด” ของหนังทำให้คิดถึงนิยายเรื่อง “โลกของจอม” ของ ทินกร หุตางกูร / นี่เป็นหนังที่ชอบที่สุดในโปรแกรม Strong





2.5 งานศพ / The Funeral (2006, อุรุพงศ์ รักษาสัตย์, B+)

ดูแล้วนึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่อง The Funeral (1984, Juzo Itami, A-) ซึ่งถ่ายทอดกระบวนการของงานศพอย่างละเอียดเช่นกัน แต่ “งานศพ” ถ่ายทอดด้วยบรรยากาศจริงๆ ส่วน The Funeral เป็นหนังตลกร้าย (ร้านพี่แว่นมีหนังของ Juzo Itami ทุกเรื่อง)





3. Seeds of Doubt (2005, Samir Nasr, Germany, A-)

เป็นหนัง Post 9/11 ที่แสดงภาพของโลกแห่งอคติ, ยุคแห่งความเกลียดชัง และการล่มสลายของครอบครัวในยุค Post 9/11 Era ได้ดีมากๆ เรื่องนึง แต่ตอนจบของหนัง “คลี่คลาย” ไปในทางที่ตัวเองไม่ค่อยชอบ และดูง่ายไปหน่อย (และที่จริงแล้วตอนจบที่ผมแอบปรารถนามันเลวร้ายกว่าในหนังอย่างสิ้นเชิง)

ชอบ sound design ของหนังเรื่องนี้มากๆ

คิดว่าหนังเหมาะกับการดูควบกับเรื่อง Ae Fond Kiss (2004, Ken Loach) ที่กำลังฉายอยู่ที่ House

** Seeds of Doubt ฉายอีกที 21 ต.ค. รอบ 15.30 (Major Central World) **



4. Ode to Joy (2005, Anna Kazejak + Jan Kosama + Maciej Migas, Poland, A)

หนังเรื่องนี้แบ่งเป็น 3 ตอน กำกับโดยผู้กำกับ 3 คน ทุกตอนพูดเรื่องเดียวกันคือ เรื่องของคนที่ไม่อยากอยู่ในที่เดิมอีกต่อไปแล้ว และอยากไปจะให้ไกลเหลือเกิน ทั้ง 3 ตอนอาจแบ่งความชอบได้ดังนี้




4.1 Part I: Silesia (Anna Kazejak, A-)

เหมือนเป็นหนังที่ต่อเนื่องจากจาก Short Working Day ของคริสตอฟ เคียสลอฟสกี้





4.2 Part II: Warsaw (Jan Kosama, A+)

เป็นตอนที่ชอบมากที่สุด ชอบอารมณ์อันรุนแรงในช่วงท้ายมากๆ อาจจะติดตรงที่ฉากจบดูฟูมฟายไปหน่อย แต่ก็รู้สึกดีว่าโฆษณาประกันชีวิตชุด “แล้วทำไมคุณไม่พาพ่อไปหาหมอเอง” ประมาณ 100 เท่า (เกลียดโฆษณานี้มากๆ รวมถึงเกลียดโฆษณาพวกประกันชีวิตบีบน้ำตาเกือบทุกตัว มันเป็นสิ่งยืนยันว่าบ้านเรากำลังอยู่ในยุค “สื่อไร้สติ”)





4.3 Part III: Pomerania (Maciej Migas, A-)

ชอบบรรยากาศริมทะเลของตอนนี้ แต่รำคาญนิสัยกลับไปกลับมาของพระเอก แต่ชอบนิสัย “ทำร้ายคนอื่น” ของเขามากๆ

โดยสรุปเทศกาลนี้มีหนังสะท้อนภาพของประเทศโปแลนด์ทั้งสังคมเมืองอันเลวร้าย (Ode to Joy) ชนบทอันหลอกหลอน (The Lovers of Marona) รวมถึงโปแลนด์ทั้งในยุค Communist และยุค Post Communist

** Ode to Joy ฉายอีกที 21 ต.ค. รอบ 18.00 (Major Central World) **





อ่านต่อ PART 4


กระทู้คุยกันเรื่องเวิลด์ฟิล์ม (ภาค 1)
//www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=46247

กระทู้คุยกันเรื่องเวิลด์ฟิล์ม (ภาค 2)
//www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=46574




Create Date : 20 ตุลาคม 2549
Last Update : 23 ตุลาคม 2549 9:20:06 น. 15 comments
Counter : 2964 Pageviews.

 



GM ฉบับเดือนตุลา

-------------------------------------




Isabella Leong นางเอกในดวงใจของน้องเมอร์รายล่าสุด


โดย: merveillesxx วันที่: 20 ตุลาคม 2549 เวลา:3:39:42 น.  

 



กรี๊ด! กรี๊ด! กรี๊ด!

ข้างบนผมให้ข้อมูลผิดนะฮะ ที่บอกว่า น้องอิซาเบลล่า เหลียง แกอายุ 28 ความจริงน้องเค้าอายุ 18 เองครับ (เด็กสมัยนี้เก่งจริง ) คือเวบ imdb.com มันมั่วว่าเกิดปี 1978 แต่จริงน้องเค้าเกิดปี 1988 (มั่วที 10 ปีเลยนะ เวบนี้) น้องจากนั้นน้องเค้าเกิดที่มาเก๊าด้วยครับ

อิซาเบลลา เหลียง สูง 172 ซม. หนัก 45 กก. (พระเจ้าช่วย!!) ถึงน้องเหลียงจะไม้กระดานขนาดแอ่งบางตะเขียดเรียกพี่ แต่ก็ขาสวย เอ๊ย! เล่นหนังเก่งดี ลองอ่านตามเวบบอร์ดไปเรื่อยๆ แฟนคลับชอบเปรียบเทียบ อิซาเบลลา เหลียง กับ จางป๋อจือ ไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าใครน่ารักกว่า (เพราะบางรูปน้องเหลียงก็ผอมจนน่ากลัว) แต่ที่แน่ๆ น้องเหลียงเล่นหนังเก่งกว่าจางป๋อจือ (ฮา)

//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9490000113177

//www.eegmusic.com/artists/details.aspx?CTID=909f9847-06e4-4e60-8ef9-4584758d3b76


น้องเหลียงทำให้ผมรู้สึกดี เธอดูไม่ใช่ผู้หญิงสวยไร้สมอง หรือเป็นดาราแบบ "ตุ๊กตา" แต่ก็หวั่นใจอยู่เหมือนกัน เพราะตามสูตรแล้วพวกไอดอลที่หันมาจับหนังอาร์ต หลังจากนั้นจะร่วงเสมอ (อ้าว...)


โดย: merveillesxx วันที่: 20 ตุลาคม 2549 เวลา:4:32:19 น.  

 
เอ่อ สวัสดีครับ
พี่ครับ เขาบอกให้ผมมารับรางวัลครับ หิหิ

เฮ้ย มี comment เพิ่มเติมก็บอกได้อีกนะ (ชอบ/ไม่ชอบ/เกลียด blah blah )จะนำไปประดับความรู้ต่อไป

แล้วสุดท้ายก็ยังไม่ได้คุยกันตัวเป็นๆ again

และท้ายสุดก็ขอบคุณที่เข้ามาดูโปรแกรมนี้นะครับ


โดย: visuallyyours IP: 58.8.106.172 วันที่: 20 ตุลาคม 2549 เวลา:9:36:23 น.  

 
อิซาเบลา เหลียงสวยดีง่ะ

ดูมีเสน่ห์ดึงดูดจัง

น่าสนใจแฮะ

มาแวะหา ไม่ได้มาคุยด้วยตั้งนาน


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 20 ตุลาคม 2549 เวลา:11:00:57 น.  

 
หุ ๆ เมื่อวานพี่เจ้ยโทรมา บอกว่าเขาชอบหนังอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งในนั้นคือ ของเต๊อหนุ่มขี้โอ่นะจ๊ะ หุหุ เอ๊ะแล้วตรูมาบอกในนี้ทามมาย

จะมาบอกเจ้าของบลอกต่างหากว่า เมื่อคืนซื้อจีเอ็มแล้ว หุหุ แต่ยังไม่ได้อ่านเลย เพราะเมื่อคืนไมเกรนกิน แล้วเย็นนี้วันศุกร์ก็ว่าจะไปแร่ดสักหน่อย ไวอ่านไงจะมาบอกอีกทีนะ

อ้อเพิ่งรุ้ว่าจีเอ็มนี่มัน 90 บาทแล้วอ่ะ แพงจัง เงินเท่ากัน ซื้ออิมเมจได้ดูเป้าตุง ๆ หลาย ๆ ดุ้นดีกว่าอีกเหอ ๆ ๆ


โดย: thunska.exteen.com IP: 124.120.74.23 วันที่: 20 ตุลาคม 2549 เวลา:11:54:33 น.  

 
อ้อ ลืมบอกไป แล้วอย่าลืมซื้อ จีเอ็มพลัส ฉบับพ.ย.นะจ๊ะ คิคิ


โดย: thunska.exteen.com IP: 124.120.74.23 วันที่: 20 ตุลาคม 2549 เวลา:13:02:12 น.  

 
นัดกันลงหนังสือเลยนะครับ ทั้งต่อและทั้งพี่ปุ่น

พี่ซื้อบัตรดู Battleship Potemkin อย่างน้อยก็คงได้อินเทรนด์กับเขาตั้งเรื่องหนึ่งแหน๊ะ

ป.ล. เด็กสมัยนี้เด็กจัง


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 20 ตุลาคม 2549 เวลา:13:38:23 น.  

 
หนังที่ได้ดูเมื่อวาน

1. Isabella (2006, Pang Ho-Cheung, Hong Kong, A+)
หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องของคนสองคน ในช่วงที่มาเก๊ากำลังจะถูกส่งคืนให้กับจีน ได้อย่างน่าหลงใหลมากๆ ครับ มันมีความน่าหลงใหล ทั้งในแง่ของตัวแสดงอย่าง Isabella Leong – ที่ในเรื่อง เธอต้องแสดงอารมณ์ทั้งใสซื่อ-เจนโลก-และดูมีความลับบางอย่าง ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเธอก็แสดงออกมาได้ดีมากๆ โดยเฉพาะฉากขี่มอเตอร์ไซค์ตอนท้ายๆเรื่อง สีหน้า-แววตาที่เธอแสดงออก มันดูสดใส และชวนให้น่าหลงใหลจริงๆ (ตอนดูหนังจบ เจอรุ่นพี่คณะคนหนึ่ง เห็นพี่เค้าบอกว่า ที่ตัดสินใจดูหนังเรื่องนี้ก็เพราะน้องนางเอกคนนี้แหละ ...อิอิ แสดงว่าเธอน่าหลงใหลจริงๆ)

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าหลงใหล เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก็คือ “มาเก๊า” ครับ จะว่าไป มาเก๊าก็เปรียบได้กับตัวละครตัวหนึ่งในหนังเรื่องนี้ เพราะมันเป็นทั้งสถานที่แห่งความทรงจำ -และในขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นสถานที่ที่มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สำคัญเกิดขึ้นอีกด้วย ....ในหนัง ช่างภาพสามารถถ่ายเกาะมาเก๊าออกมาได้อย่างละเมียดละไมและน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากครับ ทุกๆ ครั้งที่กล้องจับภาพไปที่บ้านเก่าๆ – อาคารที่มีสถาปัตยกรรมแปลกตาต่างๆ- มันทำให้ผมรู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์เสียเหลือเกิน คิดดูสิ ขนาดภาพในห้องแถวเก่าๆ ยังดูน่าหลงใหล, ขลัง และน่าอยู่มากๆ เลย

สิ่งสุดท้าย ที่ทำให้ผมรู้สึกหลงใหลในหนังเรื่องนี้ ก็คือ เนื้อหาครับ ...อย่างที่น้อง mer ว่าไป มันมีความคลุมเครือระหว่างความสัมพันธ์ของคนทั้งสองว่าจะเป็นไปในรูปแบบไหน – รักแบบหนุ่มสาว หรือ พ่อลูก ? ซึ่งประเด็นนี้ คล้ายๆ กับหนังเรื่อง The Ballad of Jack and Rose ครับ (Rebecca Miller, 2005) แต่ต่างกันตรงที่ The Ballad ฯ จบด้วยเรื่องราวอันแสนเศร้า ...ในขณะที่ Isabella จบด้วยภาพที่ยังคงมีความหวัง

ป.ล. ดูเรื่องนี้แล้วก็แอบนึกถึงหนังของเฮียหว่องเหมือนกันครับ เพราะมีทั้งภาพสวยๆ และเพลงเพราะๆ (แต่ต่างกันนิดนึง ตรงที่เฮียหว่องใช้เพลงละติน แต่ Pang Ho-Cheung ใช้เพลงโปรตุเกส ซึ่งผมชอบอย่างหลังมากกว่าครับ เพราะรู้สึกว่า มันให้อารมณ์ของการโหยหาความรักได้ดีมากๆๆๆๆๆๆ)

ป.ล. 2 ชอบตอนที่คนเป็นพ่อพูดว่า “พ่อไม่หนีหรอก ....มีแต่พวกอันธพาลเท่านั้นแหละที่จะหนี” โห เท่ห์ได้ใจจริงๆ :)

ป.ล. 3 ช่วงนี้รู้สึกตัวเองซวยๆ ยังไงไม่รู้ครับ ตอนดูเรื่อง Isabella ก็นั่งติดกับคนที่เพิ่งสูบบุหรี่มา (กลิ่นเหม็นหึ่งมากๆ) ตอนดูหนังจบ ก็ดันมาเจอฝนตกอีก ยัง ..ยังไม่พอ กลับไปบ้าน ก็พบว่า Macbook ของข้าพเจ้ามีรอยแตกตรงที่รองมือ (กรี๊ดดดดด หนูป่าวทำเครื่องตกนะ ไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย ฮือๆ ไม่รู้ Maccenter จะรับเคลมรึเปล่า เศร้าใจจริงๆ)


โดย: it ซียู IP: 202.57.156.151 วันที่: 20 ตุลาคม 2549 เวลา:17:43:00 น.  

 
ต่อ
ดีใจที่เดาถูกว่าต้องมาดูหนังของไทยอินดี้เเน่ เเต่ก็ไม่ได้เจอกันอยู่ดี อัพบ่อยๆ นะอ่านหนุกดี

พี่เต๋อ
ถ้าตัวละครในการ์ตูนคุโรมาตี้อุตริอยากทำหนังสั้น มันจะออกมาเป็นหนังเรื่องนี้เเน่นอน ทำหนังไปเรื่อยๆ นะ สนุกดี


โดย: บุรุษลึกลับ จุนโนะสึเกะ IP: 124.120.201.30 วันที่: 20 ตุลาคม 2549 เวลา:23:38:46 น.  

 
-- กรี๊ดดดดดดดด!!!
The Battleship Potemkin ที่ฉายจะไม่มีสกอร์ของ Pet Shop Boys จริงๆ เหรอเนี่ย กรี๊ด กรี๊ด ฮือๆๆๆๆๆ โอ๊ย เสียดายจังเลย (สงสัยคงต้องใช้วิธีตาดูหนัง แล้วหูฟัง iPod เอาละมั้งเนี่ย)



-- ขอแสดงความยินดี และอิจฉาต่อทุกคนที่ได้ดูหนังเรื่อง Sanctuary Rhapsody และ Silence Will Speak ครับ อ่านความเห็นของหลายๆ คนแล้วรู้สึกว่าหนังทั้ง 2 เรื่องน่าสนใจมาก หวังว่าคงได้ดูนะ



-- ตอบ พี่ Dr.Syntax

หนังเรื่อง The Battleship Potemkin ก็มีบรรยายเป็นพักๆ นะ แต่ก็ไม่ได้มากอะไร รู้สึกผู้กำกับจะเน้นที่มัดกล้ามของเหล่าลูกเรือมากกว่า (เซอร์ไก ไอเซนสไตน์ ผกก.เรื่องนี้เป็นเกย์) / ยินดีที่ได้ DVD Glastonbury ไว้ในครอบครองจ้ะ



-- ตอบ คุณปุ่น

วันนี้ต้องขอโทษคุณปุ่นด้วยที่ไม่ได้อยู่ฟัง Q&A ตอนจบ Thai Indie: Strong เพราะว่าเราต้องไปดูหนังต่อที่เซ็นทรัลเวิลด์นู่นเลย (วิ่งไป เหนื่อยมากๆ ขอบอก) จริงๆ เราก็บอกคุณปุ่นไปในโรงแล้วล่ะ แต่ดูเหมือน ณ ตอนนั้นคุณปุ่นจะไม่รับรู้อะไรแล้ว (ฮ่าๆๆ)

ขอบคุณด้วยที่ซื้อ GM เราเองก็ยังไม่ได้อ่านละเอียด ส่วนราคาหนังสือ 90 บาท ก็ให้เพื่อนๆ เราไม่ซื้อหนังสือเล่มนี้อ่ะ (ฮือๆๆ)

ว่าแต่ไปทำอะไรใน GM Plus ล่ะนั่น แต่เห็นคุณปุ่นในสารกระตุ้นแล้ว (ที่เขียนเรื่องหนังสั้น) ตอนนั้นพี่โอ๊ทส์ (บก.สารกระตุ้น) เค้าโทรมาหาเราอ่ะ ถามเราว่ามีใครที่รู้เรื่องหนังสั้นเยอะๆ มั้ย เราก็เลยบอกชื่อคุณปุ่นไป พอวางโทรศัพท์ยังคิดเลยว่าฉันคิดถูกหรือเปล่านะที่บอกชื่อคุณปุ่นไป (ฮ่าๆๆๆ ล้อเล่นนะ)



-- ตอบ คุณเต๋อ นวพล

รู้สึกว่าตอนนี้หนังเรื่อง Yuriem est le mari d'un e'trangere จะมีหลายชื่อเหลือเกินทั้ง ยุเรียมเป็นผัวฝรั่ง, ยุเรียมมีผัวฝรั่ง, ยุเรียมให้มีผัว ฯลฯ

ขอบคุณคุณเต๋อที่วันนี้มาทักทายกัน (ได้คุยกันตัวเป็นๆ สมใจอยากแล้วสินะ) พร้อมมาขอรับรางวัล ต้องอภัยที่วันนี้ไม่ได้เตรียมของรางวัลเอาไว้ให้ (ไม่นึกว่าจะหน้าด้า...เอ๊ย! จะมาเอาจริงๆ)

เพิ่มเติมก็คือ ชอบหนังเรื่องนี้นะ อย่างที่บอกมันเสียสติดี ตอนแรกๆ ที่หนังมันนิ่งๆ แช่กล้องนานๆ เราก็นึกว่าคราวนี้จะมาแบบอาร์ตจ๋า แต่พอมีตีฉิ่งฉับ มียากระต่ายขาว ก็เริ่มเก็ทละว่าหนังกำลังล้ออะไรอยู่ (จริงๆ เราเริ่มเอะใจตั้งแต่เห็นคำว่า ANAL+ แล้ว) เราชอบที่ผู้กำกับกล้าทำหนังเรื่องนี้ออกมา เราคิดว่าหนังเรื่องนี้มันเสี่ยงนะ ต่อการถูกด่าว่า “มิงทำอะไรของมิง” อย่างที่เราบอกไปหน้าโรงวันนี้ว่า “บางทีเราอาจทำแบบขำๆ แต่คนอื่นไม่ขำกับเราด้วย” อย่างไรก็ดี สำหรับเราแล้วมันเป็นหนังที่คุ้มค่าต่อการเสี่ยง และเป็น “หนังขำขำ” ที่ไม่ใช่เพื่อดูให้ “ขำขำ” เหมือน “หนังขำขำ” ทั่วไป (อ่านแล้วงงมั้ย ถ้างงก็อ่านใหม่อีกทีแบบขำๆ นะ)



-- ตอบ คุณ it ซียู

ดีใจมากๆ เลยครับที่คุณ it ซียู ชอบหนังเรื่อง Isabella (เวลาพูดชื่อหนังเรื่องนี้ต้องพูดด้วยสำเนียงแร่ดๆ) หนังเรื่องนี้นอกจากจะทำอิซาเบลลา เหลียง ยกระดับตัวเองจาก “ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต” เป็น “สยามพารากอน” แล้ว ยังทำให้ แชปแมน ตู้ ดูเท่มากๆ

อีกอย่างก็คือ รู้สึกว่าหนังเรื่อง Invisible Waves ถ่ายทอดความ exotic ของมาเก๊าออกมาไม่ได้เท่าไร ไม่เหมือนกับ Isabella ที่ฉากหรือสถานที่ต่างๆ ดูโดดเด่นมาก (อย่างไรก็ดี Invisible Waves อาจไม่ได้ต้องการเน้นจุดนี้)

ความแสดงความเสียใจกับความซวยที่เกิดขึ้น แต่เราว่านั่งข้างคนเหม็นบุหรี่ ยังดีกว่าที่เราเคยเจอ...นั่งข้างคนแขก! (กลิ่นข่มหนังค่ะ งานนี้)



-- ตอบ พี่สาวไกด์

ไม่ได้คุยกันนานเลยเนาะ คิดถึงนะจ๊ะ



-- ตอบ พี่ดอง

สงสัย เรือโปเทมกินภาคทริปเปิ้ลเกย์ของเราจะล่มไปแล้ว เพราะเทศกาลเค้าได้ฟิล์มมาผิดม้วน ซึ่งน่าจะไม่มีสกอร์ของ PSB (แล้วตูจะดูทำไมเนี่ย)



-- ตอบ บุรุษลึกลับ

โห ไม่ได้คุยกันพักนึงเลย เป็นไงบ้าง สบายดีป่าว เราก็ดูหนังจนเหี่ยวเลย วันนั้นไปดูหนัง Thai Indie ด้วยเหรอ ไม่เห็นเลย แล้วคุยกันนะ



โดย: merveillesxx วันที่: 21 ตุลาคม 2549 เวลา:3:49:36 น.  

 

ฮ่าๆๆๆๆๆ โอ๊ย อย่างฮา

ไม่น่าเชื่อ มีข้อมูลของร้าน "จีฉ่อย" ใน Wikipedia ด้วย!

//th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%89%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2


จีฉ่อย คือร้านขายของชำแถวสามย่าน เด็กจุฬาทุกคนต้องรู้จัก (ข้าพเจ้าเรียนสาธิตจุฬา เลยรู้จักไปด้วย) ร้านนี้มีขายทุกอย่างตั้งแต่ โค้ก, รองเท้านักเรียน, สบู่, ไม้ที, ใบลงทะเบียน, เมนบอร์ดคอมพิวเตอร์ ไปจนถึง บัตรคอนเสิร์ตไมเคิลแจ็กสัน!

เคยมีคนท้าร้านนี้ถามเจ๊คนขายว่า "มีเปียโนขายมั้ย" ปรากฏว่าภายในชั่วเวลาแวบหนึ่ง เจ๊ก็ไปหยิบแคตตาล็อกเปียโนมาให้

ร้านจีฉ่อยมักเป็นกระทู้ในตำนานของเวบ pantip.com เสมอ


โดย: merveillesxx IP: 161.200.255.162 วันที่: 21 ตุลาคม 2549 เวลา:11:14:47 น.  

 
อ่านบล็อคแล้วอยากออกไปดูหนังเทศกาลหลายๆเร่องเลย แต่ไม่รู้ว่าจะได้ไปดูสักเรื่องหรือเปล่า เฮ่อ


โดย: Job IP: 58.10.84.12 วันที่: 21 ตุลาคม 2549 เวลา:15:04:26 น.  

 
-- อ่านเกี่ยวกับเรื่อง The Battleship Potemkin ที่พี่ Dr Syntax ว่าไว้ แล้วแอบรู้สึกเซ็งมากๆ เลยครับ ...ฮือๆ อุตส่าห์ซื้อตั๋ว เพื่อมาฟังเพลงของ PSB โดยเฉพาะเลยนะเนี่ย เซ็งจิงๆ :(

ตอบคุณ merveillesxx
- แหะๆ อายจัง เขียนชื่อหนังผิด จริงๆ มันต้องเป็น "ยุเรียมเป็นผัวฝรั่ง" ใช่ป่ะครับ (ชื่อช่างแปลกดีแท้ อิอิ)

หนังที่ได้ดูวันศุกร์ที่ 20
1. Ode to Joy (2005, Anna Kazejak + Jan Kosama + Maciej Migas, Poland, A-)
เข้าไปดูหนังเรื่องนี้แบบไม่มีอะไรอยู่ในหัวสมองเลยครับ ตอนดูช่วงแรกๆ เลยงงๆ ว่า "เอ๊ะ ทำไมมันขึ้นว่า Part 1 หว่า" พอดูไปเรื่อยๆ ถึงเข้าใจว่า อ๋อ หนังแบ่งเป็น 3 องค์ เพื่อสื่อถึง 3 ปัญหาที่โปแลนด์กำลังประสบอยู่ในขณะนี้นั่นเอง โดยเรื่องแรก สื่อถึงปัญหาระหว่างนายจ้าง - ลูกจ้างในยุคทุนนิยมครองโลก และการที่หนุ่มสาว หนึออกไปใช้ชีวิต ณ ต่างแดน, เรื่องที่สอง สื่อถึงความแตกต่างระหว่างคนสมัยใหม่ (Rap & Hip-Hop Era) กับคนสมัยเก่า (ที่ยึดมั่นในเรื่องของการมีงานทำที่มั่นคง), และเรื่องสุดท้าย พูดถึงการที่บางตัวละคร (พ่อพระเอก) ยังยึดติดอยู่กับวันเวลาเก่าๆ (ช่วง Communist) และไม่สามารถจะปรับตัวให้เข้ากับยุค Post Communist ได้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ทั้งสามเรื่องนี้ ก็ไปมีจุดจบอยู่ ณ ที่เดียวกัน นั่นคือ การอพยพออกนอกเมือง!

โดยตัวหนัง มีวิธีนำเสนอที่ค่อนข้างน่าสนใจมากๆ ครับ เพราะพอจบในองค์ที่ 1 ปุ๊บ หนังก็จะตัดฉับเข้าองค์ที่ 2 ทันที โดยไม่ปล่อยช่วงเวลาให้ผู้ชมซาบซึ้งไปกับตอนนั้นๆ เลยแม้แต่น้อย ซึ่งผมค่อนข้างชอบวิธีการตัดต่อแบบนี้นะครับ เพราะมันทำให้หนังดูไม่เยิ่นเย้อ และฟูมฟายมากเกินความจำเป็น

ข้อดีอีกอย่างที่ผมค่อนข้างชอบในหนังเรื่องนี้ ก็คือ หนังถ่ายสภาพบ้านเมืองของโปแลนด์ออกมาได้หลากหลายดี มีทั้งชนบทสุดขั้วไปจนถึงบ้านเมืองสมัยใหม่ที่เห็นกันทั่วไปในปัจจุบัน คิดๆ ดูแล้ว ก็อดนึกถึงเรื่อง 4 ที่ได้ดูใน World Film ปีที่แล้วไม่ได้ เพราะจะว่าไป สองเรื่องนี้ก็มีประเด็นบางอย่างที่คล้ายๆ กัน ...โดย 4 แสดงภาพหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ที่มีทั้งคนเมือง และคนชนบทสุดๆ (แบบคุณยายนรกทั้งหลาย) ส่วน Ode to Joy สื่อให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง (โดยคนรุ่นใหม่ พากันหนีออกนอกประเทศ) อย่างไรก็ดี หวังว่า คนในโปแลนด์จะไม่หนีออกนอกประเทศกันหมดนะ เพราะกลัวว่า ถ้าหนีออกไปกันเยอะๆ เดี๋ยวสภาพบ้านเมืองจะกลายเป็นแบบเรื่อง 4 ในช่วงครึ่งหลัง (ฮา)

ป.ล. เป็นที่น่าสังเกตว่าหนังโปแลนด์ที่ฉายในเทศกาลนี้ มักพูดถึงประเด็นทางสังคมด้วยกันแทบจะทุกเรื่อง ทั้งหนังของเคียสลอฟสกี้ / เรื่องนี้ / รวมถึง The Lovers of Marona ด้วย (ที่พูดถึงคนที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ / คนที่ถูกละทิ้งทั้งหลาย อย่าง คนป่วย, คนแก่, และเด็ก)

ป.ล. 2 รู้สึกว่า นับวันเพลงแร็พจะแผ่ขยายไปทั่วทุกมุมของโลกแล้วครับ ขนาดโปแลนด์ยังฮิตเพลงแร็พเลย ....เซ็งจริงๆ

ป.ล. 3 เสาร์-อาทิตย์นี้ งดดูหนังชั่วคราวครับ ขอนอนหลับอยู่กับบ้านดีกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า ดูอีกที วันจันทร์โน่นเลย (แต่เศร้าจังเลยอ่ะ อดฟังเพลงของ PSB ฮือๆๆๆๆๆๆ)


โดย: it ซียู IP: 161.200.255.162 วันที่: 21 ตุลาคม 2549 เวลา:18:22:08 น.  

 
ชอบตรงที่พี่กัด โฆษณาประกันชีวิตว่ะ ไร้สติ นี่เหนด้วยโคตรๆ ฟูมฟายว่ะ โดยเฉพาะหลังๆนี่อ่ะ แต่บางตัวก็ cool นะ เช่นอันที่ดีดเปียโนอ่ะ หนูชอบ

อย่างโฆษณา ตัวที่ "พ่อรักลูก พ่อก็รักลูกของลูกด้วย" เนี่ย กลายเปนประเด็นกระทู้ซ้ำซากของพันทิพย์ ไปพักนึงเลยอ่ะ

วันนี้กลับจากไปดูโชว์เชียร์กีฬาสาธิตมาอ่ะ ก็อลังการเหมือนเคย หนุก แต่หนูไม่เคยขึ้นโชว์เชียร์เลยอ่ะ เป็นนักกีฬาตลอด จะบอกว่าของสาธิตจุฬาสวยดีอ่ะปีนี้ (ทำเป็นคอนเซปต์ ประมาณrockยุค70อ่ะ) คัทเอาต์โดดเด้งดี แล้วก็ร้องเพลงอาไรไม่รุ ที่มัน u ...call me baby อะฮ้าๆ อ้ะ ฟังตั้งนานไม่รุเลย

เออ แต่ได้ถ่ายรูปกะแพนเค้กด้วยว่ะ (พี่ชอบแพนเค้กป่ะ)


โดย: โทยะ อากิระ IP: 124.121.35.218 วันที่: 21 ตุลาคม 2549 เวลา:22:53:16 น.  

 
อ่อ มาเพิ่มข้อมูลนิดนึง
นอกจาก wikipedia จะมีบทความเกี่ยวกับจีฉ่อยแล้ว
แต่ก่อน (เน้นว่าแต่ก่อน) มีบทความที่พูดถึง Mr.Fusion ด้วย (ฮา)
รู้สึกจะเขียนประมาณว่า Mr.Fusion คือบุคคลลึกลับ ที่คาดว่าจะเป็น bot เนื่องจากจะตอบเพียงแค่ "เข้ามาดู" ทุกกระทู้ ...อะไรประมาณนี้แหละ

แต่เสียดาย ที่โดนลบข้อมูลไปแล้ว
แย่จังเลย เหอ ๆ


โดย: it ซียู IP: 161.200.255.162 วันที่: 22 ตุลาคม 2549 เวลา:11:40:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.