ตะลุยเทศกาล 4th World Film Festival (PART 3)
โดย merveillesxx
PART 1
PART 2
19 OCT 2006
หนังที่ได้ดูวันนี้
1. Chicha tu Madre (2006, Gianfranco Quattrini, Peru, B+)
เฉยๆ กับหนังเรื่องนี้ แต่มีฉากหนึ่งที่ฮามากๆ คือตอนที่พระเอกไปดูระบำโป๊ แล้วอยู่ดีๆ มีการการแสดงชุด Madeleine the Electric (!!??) ไฮไลท์ของโชว์นี้อยู่ที่นางระบำเอาปลั๊กไฟเสียบจิ๋มตัวเอง
2. Close to Home (2005, Dalia Hager + Vidi Bilu, Israel, A+)
//www.imdb.com/title/tt0478999/
ไปๆมาๆ เทศกาลเวิลด์ฟิล์มปีนี้แทบจะกลายเป็น ไตรภาคอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ไปแล้ว เพราะมีหนังที่พูดถึงประเด็นนี้ถึง 3 เรื่อง ได้แก่ Close to Home, More Than 1000 Words และ The Accord ความน่าสนใจก็คือ แต่ละเรื่องดูมีความเชื่อมโยงถึงกันหมด แต่เล่าเรื่องคนละประเด็น (ทหารหญิง / ช่างภาพสงคราม / สนธิสัญญาเจนีวา) และด้วยวิธีที่ต่างกัน (หนังดราม่าที่เต็มไปด้วยตัวละครผู้หญิง / สารคดีที่เต็มไปด้วยเทคนิคแพรวพราว / สารคดีที่ดูจริงจัง)
หนังเรื่องนี้ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ของตัวเอง เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในประเทศอิสราเอลผู้หญิงต้องเกณฑ์ทหารด้วย และจุดที่ชอบมากๆ ก็คือ ตัวละครหญิงแต่ละคนในเรื่องมี ความแรง ไม่แพ้กัน (เพราะฉะนั้นเวลาพวกเธอตบกัน มันเลยไม่น่าเบื่อ เพราะเดาไม่ถูกว่าใครจะชนะ) โดยตัวละครที่ชื่อ ดาน่า เธอแรงดี และดูคล้ายๆ Tilda Swinton ในบางมุม
เหตุการณ์ช่วงท้ายและตอนจบของหนังเรื่องนี้น่าสะเทือนใจมาก และยิ่งทำให้ความหมายของคำว่า Close to Home ยิ่งดูลึกซึ่งเข้าไปอีก พอดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว ประโยคแรกที่ลอยมาก็คือ ไม่มีบ้านอยู่จริง สำหรับโลกแห่งความเกลียดชัง
เพลงตอน end credit ของหนังเรื่องนี้คือเพลง First Breath After Coma ของวง Explosions in the Sky อยู่ในอัลบั้มชุด The Earth Is Not a Cold Dead Place (2003) นอกจากนั้นวงนี้ยังมีอัลบั้มชุดแรกชื่อเก๋ๆ ว่า Those Who Tell the Truth Shall Die, Those Who Tell the Truth Shall Live Forever (2001) (ยาวจังนะ แต่ยังสู้อัลบั้ม When the Pawn Hits the Conflicts He Thinks Like a King... บลา บลา บลา ของ Fiona Apple ไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ )
บทวิจารณ์อัลบั้มชุด The Earth Is Not a Cold Dead Place //www.allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=10:whuk6j4371l0
คลิปเล่นสดเพลง First Breath After Coma https://www.youtube.com/watch?v=3h-wB8BzaXE
** Close to Home ฉายอีกที 21 ต.ค. รอบ 18.00 (Grand EGV) **
3. Thai Indie Short Film: LIGHT
//www.thaiindie.com/archives/events/worldfilmweb.html
3.1 Take a Messege (2005, เมธัส ฉายชยานนท์, B)
หนังน่ารักดี แต่โชคร้ายว่าตัวเองดันเดาตอนจบได้ (ไม่ใช่ความผิดของหนัง)
3.2 ?Before / ?ก่อน (2005, สามารถ สุวรรณรัตน์, A+)
ชอบภาพเสาไฟ (หรือเสาอากาศ เสาสัญญา เสาอะไรก็ช่างเถอะ) แยกออกเป็น 2 อันมากๆ / เป็นหนังที่ชอบที่สุดในชุด LIGHT
3.3 The Table's Space / เหตุผลที่เราทะเลาะกัน (2006, ณิชา จุไรรัตนาภรณ์, B+)
ขอมอบรางวัล นักแสดงหน้าใหม่ตรึงใจ ให้น้องผู้หญิงแว่นในเรื่อง (เสียงน้องโหดมาก)
3.4 The Massage / นวด (2006, ธวัชพงศ์ ตั้งสัจจะพจน์, A-)
3.5 Painless Sex? / เซ็กซ์ไม่เจ็บ? (2005, ชูเกียรติ วงศ์สุวรรณ + นฤมล ใจสะอาด, A)
เคยดูไปแล้วทีนึงในงานหนังม่านรูด วันนี้เลยชอบน้อยลง แต่ก็ยังชอบบรรยากาศและการถ่ายภาพของหนังเรื่องนี้
3.6 Upper Story (2005, ปฐมพล เทศประทีป, B)
3.7 Yuriem est le mari d'un e'trangere / ยุเรียมเป็นผัวฝรั่ง (2006, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, A)
คุณนวพลกรุณามารับรางวัลกับผมด่วน เพราะนอกจาก SEE จะเป็น (ว่าที่) หนังสั้นที่ผมชอบที่สุดในปี 2006 แล้ว หนังเรื่อง Yuriem est le bla bla bla
กำลังจะได้รางวัล หนังเสียสติ แห่งปีจ้ะ
ตอนแรกเข้าใจว่าล้อหนังไฉ้หมิงเลี่ยง เพราะเห็นว่าผกก.ชอบพี่ไฉ้ แต่พอมีตัวละครเริ่มพูด เลยรู้ว่าไม่ใช่แล้ว (ฮา)
3.8 You are where I belong to / ปลายทาง (2006, ธัญสก พันสิทธิวรกุล, A-)
หนังที่ยืนยันว่า ผกก. เป็นคนตาไวมาก
3.9 Different Degree / องศาที่ต่างกัน (2006, มนต์ชัย ฉัตรบำรุงสุข, A-)
ดูแล้วรู้สึกดีกว่าตอนที่ดูในงาน Fat วิเคราะห์ดูแล้ว อาจเป็นเพราะวันนั้นหนังเรื่อง SEE มันกินไปหมดทุกอย่าง นั่นก็คือ ไม่ใช่หนังเรื่องไหนดีกว่ากัน เพียงแต่ว่า SEE กระทบจิตใจตัวเองมากกว่า เพราะแฟนผมทุกคนยังอยู่ดีกินดี (ถึงแม้บางคนจะอยากฆ่าให้ตายคามือเสียเหลือเกินก็ตาม) แต่ผมเคยปล่อยให้พ่อกินข้าวคนเดียว
แต่วันนี้ดู Different Degree แล้วแอบน้ำตาซึมนิดนึง อาจจะเพราะนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเจอมาเร็วๆ นี้ กล่าวคือ พยายามจะจีบผู้หญิงคนหนึ่ง คุยไปคุยมาเลยได้รู้ว่าแฟนเก่าเธอตายไปแล้ว โดยวันที่ตายผู้ชายคนนั้นโทรมาหาเธอจากต่างจังหวัดบอกว่าจะกลับกรุงเทพแล้วนะ หลังจากวางโทรศัพท์ได้ไม่นานผู้ชายคนนั้นก็ประสบอุบัติรถยนต์ วันนั้นเลยตัดสินใจกับตัวเอง 2 อย่าง หนึ่ง-หยุดจีบผู้หญิงคนนี้ เป็นเพื่อนกันดีกว่า สอง-ความตายของเราไม่น่ากลัว แต่ความตายของคนอื่นน่ากลัว
4. Isabella (2006, Pang Ho-Cheung, Hong Kong, A+++++)
//www.isabellathemovie.com/
//www.imdb.com/title/tt0499141/
นี่คือหนังที่จะแย่งชิงอันดับหนึ่งของงานอีกเรื่อง (เป็นหนังที่อยากดูที่สุดเรื่องหนึ่งในงานเพราะนางเอก อิซาเบลลา เหลียง แท้ๆ)
หนังเรื่องนี้ได้รางวัล Best Music จากเบอร์ลินปี 2006 (ฝีมือของ Peter Kam) ซึ่งดนตรีในหนังเรื่องนี้ก็ดีจริงๆ และบางทีมันดีเกินไปจนข่มตัวหนัง แต่เพลงตอน end credit ก็เพราะมากๆ ชื่อเพลง O Gente da Minha Terra ร้องโดย Mariza (เธอเป็นนักร้องชาวโปรตุเกส / เข้าไปฟังเพลงนี้ได้ในเวบ official) แล้วยังมีเพลง Dream Mate ของเหมยเยี่ยฟาน (ถ้าเข้าใจไม่ผิดคือเพลงที่นางเอกร้องตอนเมาเหล้า) ผกก.บอกว่าเลือกเพลงนี้เพื่อทริบิวต์ให้เหมยเยี่ยฟาน ผู้มีฉายา Queen of Canto-Pop ซึ่งของสังเกตก็คือ อิซาเบลล่า เหลียง เป็นนักร้อง Canto-Pop เหมือนกัน
ดูหนังเรื่องนี้ก็แอบคิดถึง Happy Together (1997, Wong Kar-Wai, A+) ที่พูดถึงการคืนเกาะฮ่องกงจากจีนสู่อังกฤษในปี 1997 ส่วน Isabella ก็พูดเรื่องการคืนเกาะมาเก๊าจากโปรตุเกสสู่จีนในปี 1999 ต่างกันที่ Happy Together ใช้ฉากหลังเป็นอาร์เจนติน่าเพื่อแสดงความรู้สึกกลับไม่ได้ ไปไม่ถึง + แปลกแยกโดดเดี่ยวของตัวละครเอกทั้งคู่ ส่วน Isabella ใช้ฉากหลังเป็นมาเก๊าโดยตรงเพื่อแสดงผลกระทบต่อชีวิตของพระเอก
ตอนที่นั่งดูหนังเรื่องนี้ยิ่งดูไปก็ยิ่งชอบ เพราะยิ่งความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอกยิ่งมากขึ้น มันก็ทำให้ตัวเองยิ่งสงสัยว่าตกลงแล้วนางเอกคิดแบบไหนกับพระเอกกันแน่ แบบพ่อหรือแบบอื่น ซึ่งคิดว่าผู้กำกับเก่งดีที่ทำให้ปริศนาตรงนี้ดูมีเสน่ห์ และไม่ทำให้ผู้ชมกระอักกระอ่วน (ด้วยระบบศีลธรรมพื้นฐานในใจ) ที่จะคิดอะไรเลยเถิดไปตามจินตนาการ
ดูหนังเรื่องนี้แล้วร้องไห้ 3 ฉาก 1. ฉากที่นางเอกพูดกับพระเอก เกี่ยวกับ Isabella 2. ตอนที่พระเอกพูดว่า ถ้าฉันกลับมา เธอต้องเลิกบุหรี่นะ 3. ฉาก แผ่นหลังของนางเอก ตอนใกล้จบ (ขอกราบเท้า ผกก. คิดได้ไงเนี่ย) สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในหนังคงหนีไม่พ้น นักแสดงนำทั้งสอง คือ แชปแมน ตู้ (ปกติเล่นแต่บทตลก) และ อิซาเบลลา เหลียง (เธอเล่นบทเด็กอายุ 18 แต่ความจริงเธอ 28 ฮ่าๆๆๆ) โดยเฉพาะรายหลัง หนังเรื่องนี้เปลี่ยนเธอจาก Anna Faris เป็น Meryl Streep เลย (ฮา) เพราะแต่ก่อนเธอเล่นมาแต่หนังโสๆ ทั้งนั้น อาทิ The Eye10, Bug Me Not, Dragon Squad, A Chinese Tall Story (ดูแต่ละเรื่องสิ) นอกจากนั้นหนังเรื่อง Isabella ยังประกาศให้โลกรู้ว่าดาราที่ชื่อ อิซาเบลลา เหลียง มีช่วงขาที่น่าหลงใหลที่สุดในโลก
Pang Ho-Cheung เคยทำหนังเรื่อง Beyond Our Ken (2004) ที่เพิ่งลาโรงจากลิโด้ไป (เสียดายมากๆๆ ไม่ได้ดู) ** Isabella ฉายอีกที 20 ต.ค. รอบ 15.30 (Paragon) **
20 OCT 2006
รู้สึกวันนี้เป็นวันของ หนังวิพากษ์สังคม เพราะหนังยาว 3 เรื่องที่ได้ดูวันนี้ล้วนเป็นหนังสังคมทั้งสิ้น
หนังที่ได้ดูวันนี้
1. The Right of the Weakest (2006, Lucas Belvaux, Belgium, A+)
ช่วง 10 นาทีแรกดูหนังเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องเลย เพราะดูเหมือนทางโรงหนัง Grand EGV จะลืมปิดเพลง (รู้ตัวเพราะในหนังมีฉากโรงงาน แล้วคงไม่มีหนังเรื่องไหนบ้าบอพอขนาดจะใส่เพลงประกอบฉากโรงงานด้วยอัลบั้มสไตล์ Cafe de Moc หรอกนะ)
จริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ธรรมดามากๆ แต่ชอบที่ถึงหนังจะพูดเรื่อง ความอ่อนแอ ของตัวละคร แต่หนังก็ไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้อย่างฟูมฟาย หรือกระทั่งช่วงท้ายที่หนังพูดถึง ความซวยเหลือทน หนังก็ไม่ได้ทำให้ตัวละครนั้นน่าสงสารจนเกินไป แต่ก็สร้างความสะเทือนใจกับคนดูในระดับหนึ่ง
ชอบฉากจบเรื่องนี้ที่ถ่ายภาพด้วยกล้องจากเฮลิค็อปเตอร์ หนังอีกเรื่องหนึ่งที่ใช้เทคนิคแบบนี้ในฉากจบแล้วชอบมากๆ ก็คือ Eureka (2001, Shinji Aoyama, A+)
2. Thai Indie Short Film: Strong
2.1 Sleeping Beauty (2006, จุฬญาณนนท์ ศิริผล, A)
รู้สึกว่าผู้กำกับเก่งดีในการ เลือกภาพ มาใส่ในหนัง / ชอบฉากไนท์ช็อตที่ถ่ายตอนนอนมากๆ / ดูฉากที่อาบน้ำให้คุณย่าแล้วรู้สึกเหมือนคุณไกรวุฒิว่าถ้าแก่ตัวไปเราจะเป็นยังไงกันนะ / ความซวยของหนังอยู่ที่หนังใช้เพลงของวง ละอองฟอง ซึ่งเป็นวงที่ผมไม่ชอบเลย (กล่าวให้ชัดคือ ผมชอบนักร้องนำ แต่ไม่ชอบเสียงนักร้องนำ) แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของหนังเช่นกัน
2.2 บ้านทรายทอง / Golden Sand House (2006, จุฬญาณนนท์ ศิริผล, A+)
เป็นหนังที่ดูแล้วมีความสุขมาก / คิดว่าการให้ความหมายกับคนพม่าในหนังเรื่องนี้ ก็คล้ายๆ กับการให้ความหมายในหนังเรื่อง สุดเสน่หา
2.3 See (2006, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, A+)
ดูหนังเรื่องนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว แต่วันนี้ก็ยังร้องไห้อยู่ดี และยังคงเป็นว่าที่หนังสั้นที่ชอบที่สุดในปีนี้
2.4 Breeze (2006, สถิตย์ ศัสตรศาสตร์, A+)
เคยดูหนังเรื่อง Space ของผกก.คนนี้แล้วให้เกรดไม่ได้ เนื่องจากดูไม่ทัน / เห็นด้วยกับคุณปุ่นว่าหนังเรื่องนี้ต้องดูในโรง โดยเฉพาะฉากเครื่องบิน / ชอบมุก Star Wars มากคิดได้ไง / บทสนทนาในความมืด ของหนังทำให้คิดถึงนิยายเรื่อง โลกของจอม ของ ทินกร หุตางกูร / นี่เป็นหนังที่ชอบที่สุดในโปรแกรม Strong
2.5 งานศพ / The Funeral (2006, อุรุพงศ์ รักษาสัตย์, B+)
ดูแล้วนึกถึงหนังญี่ปุ่นเรื่อง The Funeral (1984, Juzo Itami, A-) ซึ่งถ่ายทอดกระบวนการของงานศพอย่างละเอียดเช่นกัน แต่ งานศพ ถ่ายทอดด้วยบรรยากาศจริงๆ ส่วน The Funeral เป็นหนังตลกร้าย (ร้านพี่แว่นมีหนังของ Juzo Itami ทุกเรื่อง)
3. Seeds of Doubt (2005, Samir Nasr, Germany, A-)
เป็นหนัง Post 9/11 ที่แสดงภาพของโลกแห่งอคติ, ยุคแห่งความเกลียดชัง และการล่มสลายของครอบครัวในยุค Post 9/11 Era ได้ดีมากๆ เรื่องนึง แต่ตอนจบของหนัง คลี่คลาย ไปในทางที่ตัวเองไม่ค่อยชอบ และดูง่ายไปหน่อย (และที่จริงแล้วตอนจบที่ผมแอบปรารถนามันเลวร้ายกว่าในหนังอย่างสิ้นเชิง)
ชอบ sound design ของหนังเรื่องนี้มากๆ
คิดว่าหนังเหมาะกับการดูควบกับเรื่อง Ae Fond Kiss (2004, Ken Loach) ที่กำลังฉายอยู่ที่ House
** Seeds of Doubt ฉายอีกที 21 ต.ค. รอบ 15.30 (Major Central World) **
4. Ode to Joy (2005, Anna Kazejak + Jan Kosama + Maciej Migas, Poland, A)
หนังเรื่องนี้แบ่งเป็น 3 ตอน กำกับโดยผู้กำกับ 3 คน ทุกตอนพูดเรื่องเดียวกันคือ เรื่องของคนที่ไม่อยากอยู่ในที่เดิมอีกต่อไปแล้ว และอยากไปจะให้ไกลเหลือเกิน ทั้ง 3 ตอนอาจแบ่งความชอบได้ดังนี้
4.1 Part I: Silesia (Anna Kazejak, A-)
เหมือนเป็นหนังที่ต่อเนื่องจากจาก Short Working Day ของคริสตอฟ เคียสลอฟสกี้
4.2 Part II: Warsaw (Jan Kosama, A+)
เป็นตอนที่ชอบมากที่สุด ชอบอารมณ์อันรุนแรงในช่วงท้ายมากๆ อาจจะติดตรงที่ฉากจบดูฟูมฟายไปหน่อย แต่ก็รู้สึกดีว่าโฆษณาประกันชีวิตชุด แล้วทำไมคุณไม่พาพ่อไปหาหมอเอง ประมาณ 100 เท่า (เกลียดโฆษณานี้มากๆ รวมถึงเกลียดโฆษณาพวกประกันชีวิตบีบน้ำตาเกือบทุกตัว มันเป็นสิ่งยืนยันว่าบ้านเรากำลังอยู่ในยุค สื่อไร้สติ)
4.3 Part III: Pomerania (Maciej Migas, A-) ชอบบรรยากาศริมทะเลของตอนนี้ แต่รำคาญนิสัยกลับไปกลับมาของพระเอก แต่ชอบนิสัย ทำร้ายคนอื่น ของเขามากๆ
โดยสรุปเทศกาลนี้มีหนังสะท้อนภาพของประเทศโปแลนด์ทั้งสังคมเมืองอันเลวร้าย (Ode to Joy) ชนบทอันหลอกหลอน (The Lovers of Marona) รวมถึงโปแลนด์ทั้งในยุค Communist และยุค Post Communist
** Ode to Joy ฉายอีกที 21 ต.ค. รอบ 18.00 (Major Central World) **
อ่านต่อ PART 4
กระทู้คุยกันเรื่องเวิลด์ฟิล์ม (ภาค 1) //www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=46247
กระทู้คุยกันเรื่องเวิลด์ฟิล์ม (ภาค 2) //www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=46574
Create Date : 20 ตุลาคม 2549 |
Last Update : 23 ตุลาคม 2549 9:20:06 น. |
|
15 comments
|
Counter : 2964 Pageviews. |
|
|
|
GM ฉบับเดือนตุลา
-------------------------------------
Isabella Leong นางเอกในดวงใจของน้องเมอร์รายล่าสุด