The Mind Game : Waiting in the Dark
โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
กำกับ: ปัณณทัต โพธิเวชกุล แสดง: ภาวิณี สมรรคบุตร, กีรติ ศิวะเกื้อ (แสดงเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมคำบรรยายไทย)
มันเป็นเรื่องของหญิงสาวที่รับงานเสริมช่วงเย็นเป็นคนพิมพ์ดีดต้นฉบับให้กับนักเขียนหนุ่ม เมื่อเธอก้าวเข้ามาในห้อง ชายผู้มักไม่อยู่ในห้อง หากทิ้งไว้เพียงกาแฟอุ่นในกระติกและ เทป ที่อัดเสียงสั่งการเอาไว้ เธอจะเปิดมัน และระรัวนิ้วไปตามคำพูดของเขา
หากแต่วันนี้เธอกลับรู้สึกแปลกไป ห้องนั้นเป็นห้องเดิม แต่บรรยากาศบางอย่างผิดแผกแปลกไป เธอกดเล่นเทปเช่นทุกครั้ง นักเขียนกล่าวว่าวันนี้เขาจะแต่งเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของชายหญิงคู่หนึ่งที่เค้าเรื่องมาจากเธอและเขา เมื่อฟังเทปนั้นหมุนผ่านไปเรื่อย เส้นแบ่งระหว่างเรื่องจริงและเรื่องแต่งก็พร่าเรือนลงทุกที
นี่คือเรื่องของนิยาย หรือเรื่องของโลกแห่งความเป็นจริงแน่ หนำซ้ำนักเขียนยังรู้ทุกรายละเอียดของเธอ คาดเดาเธอได้ทุกพฤติกรรม หรือว่าเขากำลังเฝ้ามองเธอจากที่อื่น หรือว่าที่แท้เขาแอบซ่อนตัวอยู่ในห้องนี้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไคลแม็กซ์ของเรื่องแต่งดำเนินมาถึง เมื่อถึงฉากที่พระเอกจะฆ่านางเอก แล้วใครกันแน่ที่จะถูกฆ่า...เธอ หรือนางเอกในเรื่อง?
สามย่อหน้าที่กล่าวไปก็เนื้อเรื่องคร่าวๆ (ในความทรงจำอันเลือนรางของผม) จากละครเวทีเรื่อง The Mind Game ครั้งแรกที่ทราบเรื่องย่อ ผมก็ลองเดารูปแบบและโครงสร้างของละครเรื่องนี้ ซึ่งตอนที่ดูไปก็ไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้นัก แต่ปรากฏว่าละครเรื่องนี้ก็มีจุดที่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์มากเอาการอยู่ทีเดียว
ในขณะที่ดูไป ผมก็นึกสงสัยว่าทำไมตัวละครของนักเขียน (ที่ในเครดิตระบุว่าแสดงโดย กีรติ ศิวะเกื้อ) ถึงไม่ออกมาเสียที แต่พอมาถึงช่วงท้าย ผมก็เลยเดาเอาว่าผู้กำกับคงทำเก๋โดยให้ตัวละครนี้โผล่ออกมาตอนฉากสุดท้ายเลย แต่ปรากฏว่าเขาไม่ออกมาเลย (อ้าว!) นั่นคือ นักเขียน (หรือกีรติ) มาแต่ เสียง เท่านั้น
นั่นคือ ตัวของกีรตินั้นจะนั่งอยู่ในห้องปิด (ที่ผู้ชมมองเข้าไปไม่เห็น) จากนั้นก็จะพูดเสียงสดๆ ใส่ไมโครโฟน ตรงนี้จุดที่น่าชื่นชมคือเรื่องของจังหวะและอารมณ์ที่กีรติทำได้แม่นยำมาก (ลองคิดภาพดูว่าเขาต้องนั่งพูดอะไรเออเองคนเดียวอยู่ในห้องเหมือนคนบ้า) และในเมื่อละครเรื่องนี้แทบไม่มีการใช้เพลงประกอบ บทพูดของตัวละครนี้เปรียบเสมือน สกอร์ ที่คอยขับเน้นอารมณ์ของละครให้ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ไปโดยปริยาย (นอกจากนั้นสำเนียงภาษาอังกฤษของกีรติก็ฟังดูมีเสน่ห์มาก)
ในส่วนฉากหน้าที่ผู้ชมได้เห็น ก็แทบจะกลายเป็นการแสดงโซโล่ของภาวิณี ซึ่งมีความยาวชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งในจุดนี้ภาวิณีก็ทำได้ดีมากกับการโฟกัสที่การแสดงของตัวเอง (นี่คือละครเวทีที่ไม่มีการสั่งคัทหรือการตัดต่อเหมือนภาพยนตร์) เธอสามารถค่อยๆ สร้างอารมณ์ที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ และระเบิดกระจายออกมาที่สุดในช่วงท้ายของละครได้อย่างแนบเนียน (ซึ่งส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าอาจจะเล่นใหญ่ไปนิด แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก)
การที่ละครเล่นกันรวดเดียว โดยนักแสดงคนเดียว ก็ค่อนข้างเรียกร้องสมาธิและความเอาใจใส่ของคนดูมากเอาการ เพราะละครเรื่องนี้อยู่ในแนวแบบ ระทึกขวัญ (Suspense) ที่จะหล่อเลี้ยงอารมณ์ของผู้ชมไปทีละนิด ในช่วงแรกๆ ที่ละครยังไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าตื่นเต้น ผู้ชมก็อาจจะ หลุด จากเส้นอารมณ์ของละครได้ (อย่างเช่น ผมที่เพิ่งกิน MK กับเพื่อนมาหมาดๆ จนเกือบเผลอหลับตอนกลางเรื่อง เอ๊ะ อันนี้ความผิดคนดูมากกว่า) อย่างไรก็ดี ช่วงท้ายของละครที่สร้างบรรยากาศละอารมณ์ด่าระทุกและสะกดผู้ชมได้อยู่หมัด
สิ่งที่ชอบอีกอย่างก็คือ การเลือกจบละครแบบปลายเปิด The Mind Game เลืทอกจบที่การปิดไฟและให้ผู้ชมนั่งนิ่งอยู่ในความมืดเป็นเวลายาวนาน ให้ได้คิดคำนึงต่อไปว่าชะตากรรมของหญิงสาวจะเป็นอย่างไรต่อไป หรือว่าสิ่งที่ดูไปนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงฉากหนึ่งจากเรื่องแต่ง
The Mind Game 30 พ.ค. 1 มิ.ย. 2551 เวลา 19.30 (เสาร์/อาทิตย์ เพิ่มรอบ 16.00) Crescent Moon Space สถาบันปรีดี พนมยงค์ บัตรราคา 250 บาท
*อ่านบทสัมภาษณ์แสดงนำทั้งสองได้ ที่นี่
Create Date : 06 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 6 มิถุนายน 2551 4:32:32 น. |
|
1 comments
|
Counter : 2552 Pageviews. |
|
|
|
น่าจะทำเป็นหนัง