http://twitter.com/merveillesxx และ http://www.facebook.com/merpage
Group Blog
 
All Blogs
 
The Scarlet Letter – มนุษยอัปลักษณ์

โดย merveillesxx



(บทความนี้เปิดเผยส่วนสำคัญของหนังอย่างรุนแรง / หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ และคู่แต่งงานใหม่)

หากพูดถึงหนังเกาหลีเรื่อง The Scarlet Letter (2004) แล้ว หลายคนคงคุ้นชื่อมันในฐานะ “หนังเรื่องสุดท้าย” ในชีวิตของดาราสาว ลีอึนจู (นางเอกที่หลายคนประทับใจจาก Lover’s Concerto) ผู้ซึ่งกระทำการอัตวินิบาตกรรมไปเมื่อต้นปี (เรื่องนี้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ในบ้านเราด้วย) สิ่งที่น่าตกใจก็คือ ข่าวบางแห่งระบุว่าความเครียดจากการเล่นฉากวาบหวิวในหนังเรื่องนี้มีส่วนผลักดันให้เธอฆ่าตัวตายด้วย

ในขณะที่หลายคนที่เห็นชื่อหนัง อาจะจะโยงใยมันไปถึงหนัง The Scarlet Letter ฉบับปี 1995 ที่นำแสดงโดย เดมี่ มัวร์ และแกรี่ โอลด์แมน (ซึ่งสร้างมาจากนิยายอีกทีหนึ่ง) อย่างไรก็ตาม หนังฉบับเกาหลีนั้นไม่ใช่การรีเมคจากหนังฉบับฝรั่งโดยตรง หากมันก็ยังมีสิ่งเกี่ยวพันกันอยู่บางๆ

ผมเข้าใจเอาเองว่า ผู้กำกับ Daniel H. Byun (หนังเรื่องที่แล้วของเขาคือ Interview (2000) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “หนังด็อกม่าลำดับที่ 7” ของโลก) คงได้แรงบันดาลใจมาจาก The Scarlet Letter ฉบับนิยายหรือหนังบ้างเหมือนกัน หากยังจำกันได้หนังฉบับเดมี่ มัวร์นั้น มีตอนหนึ่งที่นางเอกถูกประทับตัวอักษร A บนหน้าอกของเธอเพื่อเป็นการประจานต่อธารกำนัล โดยตัว A นี้ก็เป็นอักษรย่อ (ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ Academy Fantasia) มาจากคำว่า adultery อันถือเป็นการคบชู้ขั้นที่รุนแรงที่สุด เพราะมันคือความผิดบาปต่อศีลธรรมจรรยาและบรรทัดฐานทางสังคม …และถ้าลองสังเกตดูก็จะเห็นว่ามีตัวอักษร A อยู่ในโปสเตอร์หนังฉบับเกาหลี รวมไปถึงไตเติ้ลของหนังเรื่องนี้ก็เป็นลวดลายของไม้เลื้อยแบบเดียวกับหน้าปกนิยายด้วย

ดังนั้นแล้ว The Scarlet Letter สไตล์กิมจิ ก็ยังคงเหมือนฉบับก่อนๆ นั่นคือ มันเป็น “หนังชู้” แต่ยุคสมัยในหนังก็ถูกปรับเปลี่ยนปัจจุบันแทนที่จะเป็นหนังย้อนยุค และความสัมพันธ์ของตัวละครก็ถูกทำให้ซับซ้อนชวนสับสนมากขึ้นไปอีก เพราะมันไม่ใช่แค่รักสามเส้า แต่มันเป็นความสัมพันธ์แบบ “ชายหนึ่ง หญิงสาม” (เพราะฉะนั้น บทความต่อจากนี้ไปจะมีชื่อตัวละครประหลาดๆ มากมาย หวังว่าคงจะไม่งงกันนะครับ)

เรื่องราวในหนังว่าถึง คีฮุน (ฮานซุกคิว – พระเอก Christmas in August) ตำรวจนิสัยแข็งกร้าว มุทะลุ แต่เมื่ออยู่บ้านเขากลับทำตัวเป็นแฟมิลี่แมนแสนดีต่อหน้า ซูฮุน-เมียรักที่กำลังท้องอยู่ ถึงกระนั้น คีฮุน ก็ยังมิวายไปคบชู้กับ คาฮี (ลีอึนจู) นักร้องสาวประจำคาเฟ่สุดหรู ที่นอกจากจะสวยรวยเสน่ห์แล้ว เธอยังแต่งเพลงได้ด้วย

พล็อตอีกส่วนหนึ่งที่ควบคู่ไปกับความสัมพันธ์ฉันท์ชู้ ก็คือ การเป็นหนังสืบสวนสอบสวน ว่าด้วยการที่ คีฮุน ต้องไปพัวพันกับคดีที่ สามีของคุงฮี ถูกทุบหัวจนตายอย่างทารุณ คุงฮีถูกสงสัยว่าคบชู้กับมวงซิก และเขานั่นเองที่เป็นคนฆ่าสามีของเธอ แต่เรื่องราวกับวุ่นวายเข้าไปอีกเมื่อฝ่าย คุงฮี บอกกับ คีฮุน ว่ามวงซิกเป็นฝ่ายตามตื๊อเธอข้างเดียว ส่วนด้านมวงซิกก็กลับบอกว่า คุงฮี นั่นแหละที่ยั่วเขาก่อน หนังส่วนนี้นอกจากจะทำให้เราคาดเดาว่า “ใครเป็นฆาตกร” หรือ “ใครกันแน่ที่พูดถึงความจริง” อีกสิ่งที่หนังล่อหลวกเราก็คือ การคาดเดาถึงความสัมพันธ์ของคีฮุนกับคังฮี

ตามจริงแล้ว ผมคิดว่า The Scarlet Letter เป็นหนังที่ค่อนข้างล้มเหลวในฐานะหนังสืบสวน อันด้วยการผูกเรื่องที่สับสน และการคลี่คลายที่ไม่ชัดเจนพอ ส่วนในฐานะหนังอีโรติกชนิดรักสามเส้าก็เช่นกัน ตัวละครมีแรงจูงใจที่น่าเหลื่อเชื่อจนเกินไป โดยหนังเปิดเผยทีหลังว่าแท้จริงแล้ว คาฮี กับ ซูฮุน เป็นเลสเบี้ยนกัน (?!) และซูฮุนก็ยอมลงทุนแต่งงานกับคีฮุน เพื่อไม่ให้เขาไปได้กับคาฮี (โอย ตายแล้ว แม่คนใจเด็ด!)

แต่ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการเป็น “หนังปอกเปลือกมนุษย์” และอาจจะเรียกว่าสำเร็จ ‘จนเกินไป’ ก็ได้ …แต่ก่อนที่จะพูดถึงตรงนั้น เราลองมาดู ‘สัญลักษณ์’ ที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้กันดีกว่า

Only When I Sleep
ลีอึนจู (หรือ ‘คาฮี’ ในหนัง) ปรากฏตัวครั้งแรกในเรื่องนี้ ด้วยฉากที่เธอร้องเพลง เพลงที่เธอร้องคือ Only When I Sleep ของวง The Corrs เนื้อเพลงมีอยู่ว่า…
“…But it's only when I sleep
See you in my dreams
You got me spinning round and round
Turning upside-down
But I only hear you breathe
Somewhere in my sleep
Got me spinning round and round
Turning upside-down
But its only when I sleep…”

ทันใดนั้นสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็น คีฮุน มายืนรอเธออยู่ เธอร้องเพลงต่อไป แล้วไม่กี่วินาทีต่อภาพก็ตัดมาเป็นสองคนนี้กระโจนเข้าหากันอย่างเร่าร้อน หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น คุณคงเดาได้ …แต่ทว่าฉากนี้มันบอกใบ้อะไรกับเราไว้ล่วงหน้าแล้ว เพลงที่คาฮีร้องก็บอกถึงความสัมพันธ์ของเธอกับคีฮุน มันไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน และจะดำเนินไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะเธอจะได้เจอเขาแค่ในยามที่เธอหลับตา

แหวนแต่งงาน
หลายครั้งหลายคราที่กล้องจับภาพไปที่แหวนแต่งงาน แต่สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ แหวนมักจะปรากฏอยู่บนนิ้วของฝ่ายชายเท่านั้น ฉากที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ตอนที่คีฮุนสอบสวนมวงซิก (ชายชู้ของคุงฮี) ทั้งคู่มีสิ่งที่เหมือนกันคือ หนึ่ง-มีครอบครัวแล้ว และสอง-มีชู้ (คีฮุนเป็นชู้กับคาฮี ส่วนมวงซิกก็คิดจะคบเล่นๆ กับคุงฮี) และสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึงในฉากนี้คือ “ความเร้าใจในการคบชู้” ซึ่งชวนให้คิดเหลือเกินว่าฉากนี้เป็นประเด็นทางเฟมินิสต์ และกำลังตบหน้าผู้ชายไปพร้อมๆกัน (หนัง ‘ชู้’ เกาหลีที่ใช้ ‘แหวนแต่งงาน’ เป็นสัญลักษณ์เหมือนกันก็คือ Happy End)

การทำแท้ง
หนังเรื่องนี้มีผู้หญิงถึงสองคนที่ทำแท้ง คนแรกก็คือ คุงฮี ที่ร่ำลือกันว่าเธอทำมาหลายครั้งแล้ว ส่วนอีกคนก็คือ ซูฮุน (เมียของคีฮุน) …คงเคยได้ยินกันใช่ไหมครับว่า ลูกนั้นถือเป็น ‘พยานรัก’ ของสามี-ภรรยา แต่ในเมื่อภรรยาสองคนนี้ไม่ได้ ‘รัก’ สามีของเธอจริง พยานรักที่ว่าจึงต้องถูกทำลายไป

ในกรณีของ คุงฮี ผมเชื่อว่าเธออาจจะเคยรักสามีของเธอ แต่คนที่เธอรักจริงๆ น่าจะเป็นมวงซิกมากกว่า ส่วนกรณีของซูฮุนไม่ต้องสงสัย คนที่เธอรักและต้องการจริงๆ คือ คาฮี

แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบที่ซูฮุนกลับตัดสินใจเก็บลูกเอาไว้ (อาจจะเพราะสัญชาตญาณของความเป็นแม่) เมื่อท้องครั้งที่สอง ทว่าในขณะเดียวกันคาฮีก็ดันท้องลูกของคีฮุนด้วย และเธอก็ต้องการจะเก็บลูกของเธอไว้เช่นเดียวกับซูฮุน …นี่คือ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม



สีแดง
องค์ประกอบด้านสีที่โดดเด่นที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นสีแดง ตามชื่อของหนัง (scarlet แปลว่า ‘สีแดงสด’) สิ่งที่ผมชอบก็คือ สีแดงในหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีตั้งแต่ต้นเรื่อง มันจะค่อยๆ ทวีความเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหนังดำเนินไป และสีแดงก็จะทะลักทลายท่วมจอจนถึงขั้นขีดสุดในฉากตอนท้าย

สีแดงที่ปรากฏอย่างเห็นชัดเจนลำดับแรกก็คือ ห้องของคาฮี ทั้งเฟอร์นิเจอร์ และโคมไฟ ที่สำคัญก็คือ ห้องนี้นี่เอง ที่คาฮีกับคีฮุนใช้ประกอบกามกิจกันเป็นประจำจนมีสถานะไม่ต่างจากโรงแรมม่านรูดสักเท่าไร ดังนั้นในขั้นแรกสีแดงคงจะหมายถึง ‘ไฟราคะ’ ของสองคนนี้

หนังดำเนินมาถึงจุดสูงสุดในตอนท้าย เมื่อคีฮุนกับคาฮี ดันเล่นพิเรนมีเซ็กส์กันท้ายรถ แต่เจ้าฝากระโปรงเจ้ากรรมดันล็อกให้ทั้งคู่ติดอยู่ในนั้น! …และแล้วเพลงโหมโรงของกระบวนการ ‘ปอกเปลือกมนุษย์’ ก็เริ่มต้นบรรเลง

ไม่รู้ว่าด้วยเพราะการติดอยู่ในที่แคบและขาดอ็อกซิเจนหรืออย่างไร คาฮีเลยเอาแต่พูดพร่ำเพ้อพรรณนาแต่ถึงความตายอันแสนสุขของเธอกับคีฮุน เธอบอกว่าการที่เธอกับคีฮุนจะตายไปพร้อมกันในนี้ ภาพของเธอและเขาจะต้องลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ มันช่างเป็นการตายที่สุดแสนจะโรแมนติกเหลือเกิน (?!)

หนึ่งในประโยคมากมายที่เธอพรั่งพรูออกมาก็คือ “ลูกของเราเป็นลูกนอกสมรส (ลูกชู้) เหมือนในหนังเรื่อง The Scarlet Letter เลยนะ” และถ้าโยงไปถึงฉบับหนังฝรั่งแล้ว ก็เพราะลูกคนนี้นี่เองที่ทำให้หญิงสาวต้องถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นนางบาป เพราะเธอไม่ยอมบอกว่าใครคือพ่อของเด็ก

ด้านคีฮุนที่ก่อนหน้าทำทีเป็นเทิดทูนบูชาคาฮีมาตลอด ก็เริ่มปล่อยนิสัยชั่วๆ ออกมา เขาตะโกนใส่เธอว่า “นังบ้า! หุบปากเสียที เลิกพูดถึงเรื่องความตายได้แล้วโว้ย!” และเขาก็ตะกุยตะกายไปทั่ว พร้อมพูดพร่ำกับตัวเองว่า “ฉันต้องรอด ฉันต้องรอด”

แต่แล้วความตายอันแสนสุขของคาฮีก็ต้องพังพินาศ เมื่อจู่ๆ เธอก็มีเลือดไหลออกมาจากตรงนั้น คาฮีตกใจและกรีดร้องแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าตัวเองกำลังจะแท้งลูก เธอร้องตะโกนบอกคีฮุนว่า “ช่วยฉันด้วย! พาฉันออกไปที ลูกของฉันต้องรอด!” แต่สิ่งที่คีฮุนทำก็คือ หัวเราะอย่างเสียสติ และฮัมเพลงซิมโฟนี่ออเครสตร้า (!)

หนังยังคงกดดันคนดูต่อไป เมื่อคาฮีคว้าปืนมาจากคีฮุนหวังจะปลิดชีพตนเองให้พ้นจากสภาพอันน่าสมเพชนี้เสียที แต่สิ่งที่คีฮุนทำคือ แย่งปืนมาจากเธอ พร้อมกับร่ำไห้ว่า “อย่าทิ้งฉันไป! อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว!” แล้วเขาก็ร้องไห้โหยหวนออกมาชนิดที่ไม่เหลือสติสัมปชัญญะใดๆ อีกต่อไปแล้ว

และหลังจากนั้นไม่นาน เสียงปืนก็ดังขึ้นหนึ่งนัด…

อ่านฉากที่ผมบรรยายไว้ข้างบนแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับผมแล้วฉากในท้ายรถ (ซึ่งยาวเอาการ) เป็นฉากที่กดดันผมให้อึดอัดจนแทบบ้า ถ้าจำไม่ผิดผมรู้สึกวิงเวียนศีรษะ แล้วก็อยากจะอาเจียนด้วย!

อย่างไรก็ตาม ฉากที่ว่าก็ส่งผลรุนแรงมาก ในการบอกเล่าถึง ‘สันดานดิบ’ และ ‘ธาตุแท้’ ของมนุษย์ คีฮุนและคาฮีในฉากนี้ไม่หลงเหลือหน้ากากของความเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว พฤติกรรมของทั้งคู่ในฉากนี้ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์เดรัจฉาน (ทั้งนี้คงต้องยกความดีให้กับการแสดงขั้นเทพของ ฮานซุกคิว และลีอึนจูด้วย ฉากหนึ่งที่เธอเล่นได้สุดยอดมากคือ ‘การมีเซ็กส์พร้อมกับร้องไห้ไปด้วย!’)

ส่วนเรื่องสัญลักษณ์สีแดงที่ใช้ในฉากนี้ก็คงทราบกันแล้วใช่ไหมครับว่ามันคืออะไร…ใช่แล้วครับ! มันคือ ‘เลือดมนุษย์’

‘เลือด’ ถูกใช้อย่างสุดโต่งที่สุดตอนบทสรุปของฉากนี้ เมื่อตำรวจไปพบรถของคีฮุนในที่สุด เมื่อเปิดท้ายรถออกมา พวกเขาก็ต้องตะลึงกับสภาพที่เห็น คีฮุนในสภาพที่ท่วมไปด้วยเลือดสีแดงฉานกับร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวที่อยู่ข้างเขา …ฉับพลันนั้นเองคีฮุนก็ฟื้นขึ้น สิ่งที่เขาทำก็คือ วิ่งลงไปในแม่น้ำอย่างเสียสติ กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ดั่งกับว่าต้องการ ‘ล้างเลือด’ ออกให้หมด …แต่เขาก็รู้ดีว่าแม้คราบเลือดจะหลุดลอยไปตามสายน้ำ แต่ ‘ฝันร้าย’ นั้นจะตามหลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิต

ต้องสารภาพกันตรงนี้เลยว่าฉากที่ว่ามาทั้งหมดนั้นทำให้ผม ‘กลัว’ เข้าไปถึงสุดขั้วหัวใจ

แล้ว ‘สีแดง’ ในฉากนี้สื่อถึงอะไร …สำหรับผม ผมคิดว่ามันหมายถึง ‘ความชั่วร้ายของมนุษย์’ และถ้าเราโยงไปถึงประโยคในตอนต้นที่เล่าถึง “ภรรยาที่ค้นพบผลแอปเปิ้ล และเธอก็ชักชวนให้สามีกิน” ซึ่งเหมือนเรื่องเล่าของอดัมกับอีฟที่แอบเข้าไปกินแอปเปิ้ลในสวนอีเดนไม่มีผิด ทั้งสองถูกเนรเทศลงมายังโลกมนุษย์ และมีตราบาปที่ติดตัวไป ก็คือ อดัม (ผู้ชาย) มี ‘ลูกกระเดือก’ และอีฟ (ผู้หญิง) มี ‘ประจำเดือน’ …และการลักลอบกินแอปเปิ้ลสีแดงก็อาจเหตุที่มนุษย์มีเลือดเป็น ‘สีแดง’ ก็เป็นได้ นั่นก็หมายความว่า ความชั่วของมนุษย์ ก่อกำเนิดขึ้นและติดตัวมนุษย์มานับตั้งแต่วันนั้น

แอปเปิ้ลนั้นได้ชื่อว่าเป็น ‘ผลแห่งภูมิปัญญา’ และตัวละครในหนังก็ดูเหมือนจะมีสิ่งนั้นดี พวกเขาและเธอต่างถูกจัดเป็นชนชั้นสูงในสังคม ซูฮุนเป็นนักเชลโล่ คาฮีเป็นนักร้องและนักเปียโน ส่วนคีฮุนก็เป็นตำรวจยศสูง (ยิ่งไปกว่านั้นวันที่เกิดเหตุ ‘ท้ายรถนรกแตก’ เขาก็เพิ่งไปรับ ‘เหรียญเกียรติยศ’ มา) แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้ช่วยยกระดับจิตใจของพวกเขาได้เลย เพราะว่า ‘ภูมิปัญญา’ ของพวกเขากลับถูกกลบมิดไปด้วยอำนาจแห่ง ‘กามารมณ์’

นั่นทำให้ ‘มนุษย์’ ไม่ต่างไปจาก ‘สัตว์’ แม้แต่นิดเดียว

หลังจากดู The Scarlet Letter จบแล้ว ผมนอนไม่หลับ และรู้สึกขยะแขยงมนุษย์อย่างบอกไม่ถูก ความอัปลักษณ์ของมนุษย์ยังคงถูกขับเน้นอยู่ในสมองของผมไปตลอดทั้งคืนนั้น

และมันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อผมคิดได้ว่า ‘เลือดสีแดงฉาน’ นั้น ไหลเวียนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกผู้ทุกคน รวมถึงตัวผมเอง


ข้อมูลอ่านประกอบ
1. อ่านเรื่องของหนัง “ด็อกม่า” ได้ใน PULP ฉบับที่ 23 (หน้าปก Sin City)
2. อ่านเรื่องของ “ชู้” 4 ประเภท (relationship, infidelity, affair และ adultery) ได้ในส่วน บทนำ ของหนังสือ “คนรักของคนรัก” โดย นันทขว้าง สิรสุนทร
3. อ่านบทวิจารณ์หนังเรื่อง Interview ได้ในหนังสือ “วันคืนที่เราใช้จ่ายไปด้วยกัน” โดย นันทขว้าง สิรสุนทร
4. ข้อมูลหนัง The Scarlet Letter //www.imdb.com/title/tt0427411/






REST IN PEACE ~ Lee Eun-Ju (1979-2005)

ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งหลังจากผมดูหนังเรื่องนี้จบก็คือ รู้สึกเสียดายเหลือเกินที่เธอจากเราไปเร็วเกินควร การแสดงของเธอในหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก และมันก็ควรถูกจดจำไว้ตลอดไป…

ภาพนี้มาจากหนังเรื่อง The Scarlet Letter เป็นฉากที่เธอร้องเพลง Only When I Sleep

Lee Eun-Ju’s Filmography
01. If It Snows On Christmas (1998)
02. Virgin Stripped Bare by Her Bachelors (2000)
03. Bloody Beach (2000)
04. Bungee Jumping of Their Own (2001)
05. Lover's Concerto (2002)
06. Unborn But Forgotten (2002)
07. Garden of Heaven (2003)
08. Au Revoir, UFO (2004)
09. Taegukgi (2004)
10. “Bulsae” (2004) TV Series
11. The Scarlet Letter (2004)



Create Date : 11 กันยายน 2548
Last Update : 11 กันยายน 2548 4:50:56 น. 45 comments
Counter : 18871 Pageviews.

 
-- เพิ่งนึกได้ว่าวันนี้ วันครบรอบ 4 ปี เหตุการณ์ 9/11 แล้ว เร็วจังเลย ...จำได้ว่าวันที่เกิดเหตุผมยังอยู่ ม.5 อยู่เลย คืนวันนั้นก็โทรคุยกับเพื่อนไปทั่ว ส่วนใหญ่ก็หัวเราะสะใจไปกับความพินาศของอเมริกา (อืม...หัวรุนแรงตั้งแต่เด็ก) แต่พอดูภาพข่าวมากๆ เข้าแล้วก็ เศร้า เศร้า และ เศร้า ...เฮ้อ

-- แม้จะผ่านมาถึง 4 ปีแล้ว แต่โลกภาพยนตร์ / ดนตรี / วรรณกรรม ก็ยังมีผลงานที่สะท้อนความเห็นต่อเหตุการณ์ 9/11 ออกมาอยู่เรื่อยๆ อย่างที่เพิ่งผ่านไปก็เช่น Land of the Dead (ซึ่งผมไม่ได้ดู)

-- ส่วนหนังที่จะเข้าเร็วๆ นี้แล้วเกี่ยวกับ 9/11 ก็เช่น
Red Eye (2005, เวส คราเวน)
YES (2004, แซลลี่ พ็อตเตอร์)
(อ่านเกี่ยวกับหนังสองเรื่องนี้ได้ใน BIOSCOPE เล่มใหม่)

-- หนังที่เกี่ยวกับ 9/11 ที่ผมชอบที่สุดน่าจะเป็น Land of Plenty (2004, วิม แวนเดอร์ส, A+) ครับ

---------------------------------------

หนังโรงที่ได้ดูช่วงนี้

1. แหยมยโสธร (2005, เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา, B+)
หนังดูสนุก และสีสวยดี ชอบตัวละคร "คุณนายดอกท้อ" ฮามาก

2. Dark Water (2005, Walter Salles, A-)
วอลเตอร์ ซาลเลส (เขาคือ ผกก. Central Station และ The Motorcycle Diaries) ไม่ได้ทำหนังเรื่องนี้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด เพียงแต่ผมอาจจะเบื่อๆ กับหนังแบบนี้แล้วก็ได้

สิ่งที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้ก็คือ ไม่มีมุกผีตกใจจนเกินงาม และไม่มีอีผีผมยาว-ใส่ชุดขาว-คลื่นกระดึบๆ ด้วย (สูญพันธ์ไปซะที)

อีกอย่างก็คือ หนังพยายามใส่แง่มุมทางจิตวิทยาด้วย นั่นคือ ปมวัยเด็กของนางเอก และสภาพสังคมเมืองใหญ่กับหญิงสาวคนหนึ่ง


โดย: merveillesxx วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:5:07:32 น.  

 
เอามาฝากครับ รางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาลหนังเวนิซ

รางวัลใหญ่ถูกใจมากๆ โฮะ โฮะ โฮะ

(หนังที่ได้รางวัลใหญ่ในปีที่แล้วคือ Vera Drake ของไมค์ ลีห์ เพิ่งออก DVD ในบ้านเรา)

**ข้อมูลจาก //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=21669
ขอขอบคุณ ทีมงาน BIOSCOPE ไว้ ณ ที่นี้**

รางวัลสิงโตทองคำ
Brokeback Mountain
หนังคาวบอยเกย์ของผู้กำกับ หลี่ อัน ถ่ายทอดความรัก 20 ปีของเกย์หนุ่มที่รับบทโดย ฮีท เลดเจอร์, เจค จิลเลนฮาล และร่วมแสดงโดย แอน แฮทธาเวย์, มิเชล วิลเลี่ยมส์

รางวัลรองอันดับหนึ่ง
Grand Prix Jury Prize
Mary
ผลงานของผู้กำกับสุดเถื่อน เอเบล เฟอร์ราร่า นำเสนอเรื่องของดาราหญิงคนหนึ่ง (จูลเยต บิโนช) ที่เล่นหนังเป็นนางมารี แมกดาลีน แต่เธอสลัดตัวละครออกจากตัวเองไม่ได้

รางวัลพิเศษ
(เดาว่าเป็น Jury Prize)
Isabelle Huppert for her "outstanding contribution to cinema."
อูแปต์เล่นหนังชิงรางวัลเรื่อง Gabrielle โดยรับบทหญิงวัยกลางคนที่ติดอยู่ในชีวิตสมรสที่จืดชืด แต่การให้รางวัลแบบนี้ แปลว่าให้กับตัวเธอ สิ่งที่เธอทำมาตลอดชีวิต มากกว่าตัวหนัง
(ดีแล้วที่เธอไม่ได้รางวัลนักแสดงนำหญิง ได้รางวัลแบบนี้เก๋กว่า)

รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม
"Les Amants Reguliers" ("Regular Lovers")
ของผู้กำกับ ฟิลลิป การ์เรล นำแสดงโดย หลุยส์ การ์เรล ลูกชายของเขาเอง และพระรองสุดหล่อใน the dreamers หนังเล่าเรื่องยุคเดียวกับเรื่อง the dreamers นั่นคือวัยรุ่นในหัวโค้งการปฏิวัติฝรั่งเศศปี 1968 หนังเรื่องนี้มีความยาวถึง 3 ชั่วโมง

รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
David Strathairn จาก Good Night. And, Good Luck
หนังจากฝีมือการกำกับของ จอร์จ คลูนีย์

รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
Giovanna Mezzogiorno จาก "La Bestia nel Cuore" ("Don't Tell")
เรื่องของหญิงวัยกลางคนที่เคยถูกทำร้ายในวัยเด็ก
หมายเหตุ – จิโอวานน่า เมซโซจิออร์โน่ คือ นางเอกหนังเรื่อง Facing Window ที่เข้าฉายในบ้านเราเมื่อปีที่ผ่านมา

รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
จอร์จ คลูนี่ย์ และ แกรนต์ เฮสโลฟ จาก Good Night. And, Good Luck

รางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยม
"Les Amants Reguliers" ("Regular Lovers")

รางวัล “Marcello Mastroianni” Award มอบให้นักแสดงเด็ก
Menothy Cesar จากหนังเรื่อง Vers le sud ของผกก. Laurent Cantet ที่นำแสดงโดย Charlotte Rampling

ส่วนตากล้องที่ได้รางวัลถ่ายภาพไป คือ William Lubtchansky ซึ่งเคยถ่ายภาพให้ผู้กำกับนิวเวฟฝรั่งเศสทั้งหลาย เช่น อานเญส วาร์ด้า ใน The Creature ฌอง ลุค โกดาณ์ ใน New Wave และ ฌาค ริแวต ใน The Story of Marie and Julien

-------------------------------

ดูรายชื่อหนังสายประกวด / นอกสายประกวด / สายหนังแปลก (?) ได้ที่นี่
//www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=20554

ข้อมูลของหนังบางเรื่องในเทศกาลเวนิซ โดยคุณ แมดเดอลีน อ่านที่นี่
//www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=21513


โดย: merveillesxx วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:5:10:10 น.  

 
อ๊ะ เพิ่งนึกออก หนัง 9/11 อีกเรื่องที่ชอบคือ 25th Hour (A+) ของ สไปค์ ลี จ้า (ชอบพระเอก -เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน- เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย แหะๆ)


โดย: merveillesxx วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:5:13:11 น.  

 
มาติดตามอย่างเหนียวแน่น


ได้แต่อ่านจนถึงก่อนหน้าเนื้อเรื่องค่ะ

คงต้องดูก่อนแล้วจะมาอ่านแบบละเอียดอีกทีค่ะ
(เห็นบทนำและคำเตือนว่าเป็นการเปิดเผยอย่างรุนแรง เลยคิดว่าคงต้องชะลอการอ่านไว้ก่อนน่ะ)



แต่เราดูหนังเกี่ยวกับชู้ทีไรแล้ว เสียน้ำตาทุกที


เรื่องการมีชู้นี่..อย่างที่นันทขว้างเขียนไว้อะนะคะ

ถ้าการมีชู้หมายถึง ฝนตก

เมื่อเห็นเมฆตั้งเค้า คนเราเลือกที่จะหลบอยู่ในบ้านได้ทั้งนั้น

แต่คนรักชอบเล่นกับสายฝนซะด้วยสิคะ

ถึงได้มีคนเจ็บปวดมากมายบนโลกนี้



ขอบคุณที่มาแนะนำหนังน่าดูนะคะ

ว่าแล้วก็เขียนถึงหนังสือของคุณนันทขว้างดีกว่ามั้ยเนี่ย?


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:9:10:22 น.  

 
เพิ่งเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แดงแจ๋ คิดไม่ผิดเลยที่ให้เธอยืมดีวีดีไป ฮิฮิ


โดย: halation IP: 202.5.88.157 วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:12:40:45 น.  

 
เมืองไทยจะได้ดูในโรงใหม๊นี่ หนังเรื่องสุดท้ายของลีอุนจู
โอ้ ดาร์ก วอเตอร์ คุณมาเวล.....ให้ เอลบ หรือเนี่ย สงสัยต้องพิจารณาใหม่ ตอนนี้อยากดู สเกลเลตัน คีย์ มากกว่า ถ้าคืนนี้โชคดี อาจจะได้ไปดู ห้าคูณสอง ฉบับโดนตัดที่เฮ๊าส์


โดย: joblovenuk วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:13:17:13 น.  

 
น่าดูนะ ปกติไม่ค่อยได้ดูหนังจากฝั่งเอเชียเลย เพราะจะชอบหนังฝรั่งเศสมากน่ะครับ พอดีมีโอกาสได้ดูหนังทางฝั่งเอเชียหลายๆเรื่องเมื่อไม่นานมานี้ รู้สึกอินมากครับ เก็ทในหลายๆเรื่องมาก


นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่อยากดูครับ


ขอบคุณครับ


โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:13:58:23 น.  

 
ฉากวาบหวิว ของ Lee Eun-Ju

//www.bigjohnsonshow.com/rip-lee.html


โดย: Mr.K-1 IP: 61.7.135.132 วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:16:42:26 น.  

 
ตอบคุณ สาวไกด์ใจซื่อ

เพื่อนผมคนหนึ่งไม่ชอบดู "หนังชู้" เลยครับ แต่ผมก็อยากจะบอกกับเธอว่า "แกคงหนียากว่ะ"

ตัวอย่างตลกๆ ก็เช่น เมื่อช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. ที่ผมไปดูหนังในเทศกาลหนังยุโรป / หนังฝรั่งเศส หนังบางเรื่องที่ดูจะไม่เกี่ยวกับหนังชู้ๆ อะไรเลย ก็ดันมีพล็อตส่วนนี้เข้ามาจนได้ เรียกได้ว่าได้ดู "คู่ชู้" จนเวียนหัวไปเลย

แล้วตัวละครในหนังเรื่อง Changing Times (2005, อังเดร เตชิเน่, A) ก็สรุปไว้ได้อย่างเด็ดขาดดีว่า "Nowadays, POLYGAMY IS CULTURAL" โอเค เอวัง

-------------------------------------

ตอบคุณ joblovenuk

ตลกมากเลยครับ ที่คุณไกรวุฒิเขียนใน BIO เล่มใหม่ว่า "จริงๆแล้ว หนังเรื่อง 5x2 น่าจะชื่อว่า 4 2/3 x 2 มากกว่า เพราะตัดหนังไป 1/3 ของหนัง" แต่จริงๆแล้ว ฉากที่ตัดไปมันก็แรงน่ะครับ ในเมื่อบ้านเราที่ยังไม่มีระบบเรตหนังชัดเจน ฉากดังกล่าวก็จำยอมต้องหายไป


โดย: merveillesxx วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:17:56:31 น.  

 
ถึง mer

ฮาพี่เต้เหมือนกันที่บอกว่า 5*2 -------> 4 2/3*2

คงต้องรอดูจากดีวีดีละมั้ง (เฮ้ออย่าตัดอีกน่ะ) ไม่งั้นเศร้า

เรื่องระบบเรทหนังก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันต่อไป เพราะคนใหญ่คนโตในบ้านเรามันไม่สนใจ มันสนแต่ว่าการไม่ให้เห็นคือวิธีที่ดีที่สุดที่ไม่ให้ชาวบ้านตาดำ ๆ อย่างเราออกนอกลู่นอกทาง

อย่างเรื่อง 5*2 ฉากที่ตัดไป พี่ว่ามันสำคัญเหมือนกันน่ะ เพราะตัดมาอีกทีเป็นฉากโดนXXX เกือบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันไปโยงกับองก์ที่สอง

เพื่อนที่ไปดูกับพี่ (รุ่นพี่คณะ mer ครับ) มันก็ถามใหญ่เพราะมันดูไม่รู้เรื่องว่าทำอะไรกัน แต่องก์สองก็งงว่าจะเล่าทำไมว่ะว่าไปเที่ยวและได้ตุ๋ยอะไรแบบนี้

ก็ต้องรอกันต่อไปอะน่ะ

ส่วนฉากที่ชอบที่สุดเลยใน 5*2 ก็คงเหมือนกันคนอื่น ๆ (มั้ง) คือฉากสุดท้ายที่ทั้งคู่เดินลงทะเลไป พี่แบบว่าอึ้งแดกมาก คือเรารู้ไงว่าชีวิตเขาเป็นอย่างไรต่อไป แล้วอารมณ์ที่เรารู้สึกกับภาพที่เห็นมันคอนทราสท์กันมาก

ถ้าชีวิตนี้เคยเลิกกับแฟน (ที่ไม่เคยเพราะยังไม่เคยมีใครให้เลิก) คงต่อมน้ำตาค่อย ๆ กระซิก ๆ ไหลที่ละนิดออกมาจากตา

สุดท้าย พี่เต้แกแปลซับได้ใจพี่มาก อ่านแล้วได้อารมณ์เศร้าในรักยิ่งนัก


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:19:18:38 น.  

 
อยากดูหนังก่อนเลยไม่ได้อ่านนะค้า

ชอบลีอึนจูในเรื่อง Lover's Concerto จังเลย
เสียดายจังเลยนะเนี่ย

9/11 4ปีแล้วเหรอเนี่ย วันเวลาในชีวิตชั้นหายไปไหนหมดเนี่ย

ข้อมูลปึ้กเหมือนเคย
ไว้ดูแล้วเจอกันอีกทีจ้า


โดย: quin toki วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:20:03:09 น.  

 
ตอบพี่ เจอกันชาติหน้า

ผมคิดว่าการจะดู 5x2 ได้เข้าถึงที่สุด ต้องเลิกกับแฟนมาแล้วอย่างน้อย 2 คน (ฮา)

ส่วนของผมมันเกินมาตรฐานกำหนดไป 2 คน ดังนั้นดู 5x2 ก็เลยเหมือนดู หนังเรื่อง 5x2x2 (เอาเข้าไป)

---------------------------------------

หนังแผ่นที่ได้ดู

หนังสั้นเหล่านี้ได้ดูจาก VCD THE BEST OF THAI SHORT FILMS 1997-2001 แถมจากนิตยสาร a day เล่มเมื่อนานมาแล้ว

1. The Bug (1997, นวจุล บุญพรรคนาวิก, A+)

2. ตากับหลาน (1998, บุณส่ง นาคภู่, B)

3. Iron Pussy II : Bunzai Chaiyo (1999, ไมเคิล เชาวนาศัย, B+)
ชอบ “ซีเมนกัน” ในหนังเรื่องนี้มากๆ

4. มอเตอร์ไซค์ (2000, อาทิตย์ อัสสรัตน์, A+)
ชอบการถ่ายภาพของหนังเรื่องนี้มากๆ / ดูจบแล้วรู้สึกเศร้ามากๆ คิดถึงเพื่อนๆ ต่างจังหวัดหลายๆคน ที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพ

5. เมืองนางฟ้า City of Angles (2001, ศิรวัชร นาคอินทนนท์ + วิสัน จิรอังกูรสกุล, A+)
การใช้ภาพและดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้ ทำให้ “ซ่อง” เป็นสถานที่ที่น่ากลัวมาก


โดย: merveillesxx วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:22:50:42 น.  

 
ข้อความต่อไปนี้ มาจาก //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=21513

เพลงที่ชอบมากๆ ในช่วงนี้

1. NANA starring MIKA NAKASHIMA : GLAMOROUS SKY
เพลงนี้เป็นเพลง main theme จากหนังญี่ปุ่นเรื่อง NANA ที่ร้องโดย มิกะ นาคาชิม่า (เธอเล่นเป็นนางเอกด้วย) ส่วนทำนองเพลงแต่งโดย Hyde (นักร้องนำวง L’Arc~en~Ciel) ตอนนี้เพลงขึ้นอันดับหนึ่ง Oricon Chart ไปแล้วเรียบร้อย

อัลบั้มซาวด์แทร็กหนังเรื่อง NANA มีขายแล้วในบ้านเรา

มีข่าวแว่วๆ มาว่า Mika Nakashima จะมาโปรโมทหนังเรื่องนี้ในบ้านเราด้วย

(ว่าแล้วก็นึกออกว่า จางมั่นอวี้ ก็เพิ่งมาบ้านเราเหมือนกันเมื่อสัปดาห์ก่อน เธอมาเป็นพรีเซ็นเตอร์งานโชว์นาฬิกาอะไรสักอย่างที่จัดที่เซ็นทรัลชิดลม)

Mika Nakashima ออกอัลบั้มมาแล้ว 3 ชุด ได้แก่ TRUE (2002), LOVE (2003) และ MUSIC (2005) อัลบั้มทุกชุดมีแผ่นลิขสิทธิ์จากค่าย SONY

NANA จะเข้าฉายที่โรงหนัง HOUSE วันที่ 20 ตุลาคม นี้

2. Blissonic : บอกฉันหน่อย
วงอิเล็กโทรนิกป็อปน่ารักวงนี้ เคยออก EP มาเมื่อปี 2002 กับค่าย Missing Link (เข้าใจว่าปิดตัวไปแล้ว) มีเพลงดังๆ (หมายถึงดังที่เดียว ที่คลื่น FAT RADIO) ก็คือ “ครั้งแรก” และ “เช้า”

Blissonic มีสมาชิกสองคน ประกอบด้วย มณีรัตน์ เรเชล ฮุนตระกูล (บิ๋ม - นักร้องนำที่เสียงน่ารักมากๆ) และ พีท ตันสกุล (ดนตรี / โปรแกรมมิ่ง / กีต้าร์)

ปัจจุบันวงนี้อยู่ในสังกัด GENIE RECORDS ในเครืออากู๋ไปแล้วเรียบร้อย …นี่คงเป็นสัญญาณถึงความล่มสลายของค่ายเพลงอินดี้ “รอบที่สอง”

สำหรับผมแล้ว ปี 2002 คือ “ช่วงเวลาที่ดีที่สุด” สำหรับการฟังเพลงไทยนอกกระแส

3. FUTON & อพาร์ตเมนต์คุณป้า : Turn On, Tune In

----------------------------------------

ลืมแปะลิงค์ หน้าปกซิงเกิ้ล Glamorous Sky ครับ ดูที่นี่
//www.cdjapan.co.jp/detailview.html?KEY=AICL-1650

นอกจากเพลงนี้จะแต่งทำนองโดย HYDE แล้ว เนื้อเพลงยังแต่งโดย Ai Yazawa ด้วย (คนเขียนการ์ตูนเรื่อง NANA นั่นเอง)

-- DVD หนังเรื่อง Howl's Moving Castle (2004, ฮายาโอะ มิยาซากิ) จะออกที่ญี่ปุ่นในเดือน พ.ย. แล้วครับ บ้านเราก็คงได้รับอานิสงส์ได้ดูภายในปีนี้ไปด้วยเหมือนกัน เสียดายจังที่การ์ตูนของ GHIBLI ไม่ได้ฉายโรงได้บ้านเราเสียที (เคยได้ยินมาว่าค่าหนังของค่ายนี้ราคาสูงมาก)

DVD ฉบับ Special Edition ของหนังเรื่องนี้ ยอดจอง pre-order ถล่มทลาย จน SOLD OUT ไปแล้วเรียบร้อย
//www.cdjapan.co.jp/detailview.html?KEY=VWDZ-8084

-- หนังเรื่อง Sin City (2005, โรเบิร์ด โร้ดดิเกซ + แฟรงค์ มิลเลอร์, A+) เพิ่งจะเข้าฉายในญี่ปุ่นวันที่ 1 ตุลาคม นี้ครับ (ในขณะที่บ้านเรา DVD ออกแล้ว…ใครว่าอยู่เมืองไทยไม่ดี) โดยเพลงธีมของหนังจะเป็นเพลงของ Namie Amuro ที่ชื่อว่า Violent Source

-- ผลรางวัลหนังเวนิซปีนี้ถูกใจผมมากๆ เลยครับ โดยเฉพาะรางวัลใหญ่ที่ Brokeback Mountain ของอั้งลี่ได้ไป เพราะว่านี่เป็นหนังที่อยากดูที่สุดครับ

-- ช่วงนี้ติดละครซี่รี่ย์ญี่ปุ่น “อยากกู่ร้อง บอกรักให้ก้องโลก” งอมแงมเลยครับ (อันเดียวกับหนังเรื่อง Crying Out for Love, In the Center of the World นั่นแหละครับ) รู้สึกว่าเวอร์ชันซี่รี่ย์กับเวอร์ชันหนังใหญ่จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันพอสมควร และรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบนักแสดงในฉบับซี่รี่ย์เท่าไร โดยเฉพาะ อากิ (นางเอก) หน้าตาเธอเวอร์ชันนี้ดูร้ายๆ ยังไงไม่รู้ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ฉบับละครน่าจะมีเวลาปูเรื่องราว รายละเอียด และความสัมพันธ์ของตัวละครได้มากกว่าฉบับหนังใหญ่ ดังนั้นด้วยความผูกพันที่ผู้ชมมีกับตัวละคร ก็น่าจะทำให้ Crying Out ฉบับละครนี้ยิ่งน่าเศร้าไปกว่าฉบับหนังใหญ่เสียอีก

(“อยากกู่ร้อง บอกรักให้ก้องโลก” ฉายวันเสาร์-อาทิตย์ 12.00-13.00 ทางช่อง ITV เพิ่งเริ่มออกอากาศไปเมื่อ 4 ก.ย. ซีรี่ย์นี้มีความยาว 11 ตอน)

-- เคยสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าตัวเองชอบหนังเรื่อง Crying Out ขนาดไหน แต่มาวันนี้ก็คิดว่าตัวเองน่าจะชอบหนังเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว เพราะแม้แต่จะดูหนังมานานมากแล้ว (ผมดู DVD) แต่หลายฉาก หลายตอนของหนังเรื่องนี้ก็ยังคงอยู่ในหัวสมองของตัวเอง

สิ่งที่ผมอินไปกับ Crying Out ไม่ใช่เรื่องความรักของ ซาคุ กับ อากิ (พระเอก-นางเอกวัยเด็ก) หรือเรื่องประเภทความรักอันยืนยาวอะไรแบบนั้น แต่ผมอินกับเรื่องของตัวละครของซาคุตอนผู้ใหญ่ (ทาคาโอะ โอซาว่า) กับ ริทซึโกะ (โค ชิบาซากิ) แฟนสาวในปัจจุบันของเขาเสียมากกว่า โดยประเด็นที่ผมมีความรู้สึกร่วมมากๆ กับหนังก็คือ “เราจะผ่านพ้นอดีตอันเจ็บปวดนั้นไปได้อย่างไร” และ “เราจะเลือกใครระหว่าง คนในอดีต หรือคนในปัจจุบัน”

ฉากที่ชอบมากๆ ใน Crying Out (ฉบับหนังใหญ่)
1. ตอนที่ซาคุ (ผู้ใหญ่) เข้าไปในโรงยิมของโรงเรียน แล้วเกิดมโนภาพว่าอากิเข้ามาจับมือเขา แล้วซาคุก็โทรไปร้องไห้สติแตกกับเพื่อนว่า “ฉันเห็นอากิ! อากิยังอยู่! อากิเข้ามาจับมือฉัน!”
2. ฉากจบของหนัง

-- แม้ตัวเองจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องประเภท “ความรักนิรันดร์” นัก แต่ลองคิดๆ ดูแล้วหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องประเภท “รักล่าข้ามศตวรรษ” ที่ตัวเองชอบก็มีอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน เช่น

(ตัวเลขท้ายชื่อหนัง คือ ระยะเวลากว่าที่พระนางจะได้สมหวังกัน หรือไม่สมหวัง แต่ความรู้สึกยังคงอยู่)

1. Crying Out for Love, In the Center of the World (2004, อิซาโอะ ยูกิซาดะ, A) ระยะเวลา: 17 ปี

2. Calmi Cuori Appassionati (2001, Isamu Nakae, A-) ระยะเวลา: 10 ปี
//www.imdb.com/title/tt0291753/

หนังเรื่องนี้มีชื่อหลายแบบหลายภาษาจนชวนสับสน ชื่อญี่ปุ่นของหนังคือ “Reisei to Jonetsu no Aida” ส่วนชื่อภาษาอังกฤษคือ “Between Calmness and Passion”

ถ้าหนังเรื่องนี้ไม่มีภาพสวยๆ ของเมืองฟลอเรนซ์ (หนังเรื่องนี้ถ่ายภาพสวย มาก มาก มาก) และเพลงประกอบโดย Enya ผมคงชอบหนังน้อยลงกว่าเดิมสัก 5 เท่าได้

ประโยคที่ประทับใจหนังเรื่องนี้ลูกทุ่งมากๆ แต่ก็ชอบเหลือเกิน พระเอกพูดว่า “ผมจะรักเธอตลอดไป แม้ว่าจะไม่ได้พบหน้าเธออีกเลยก็ตาม”

หนังสร้างจากนิยายเรื่อง BLU & ROSSO (มีฉบับแปลไทยจากสนพ. Image หรือ Bliss ในปัจจุบัน) ที่น่าแปลกก็คือ ผมชอบ BLU (1999, Hitonari Tsuji, A+) มากๆ เพราะมันถ่ายถอดมุมมองของผู้ชายได้โดนใจเหลือเกิน แต่ผมกลับเกลียด ROSSO (1999, Kaori Ekuni, C+) จับใจ เพราะอ่านไปก็ด่านางเอกไป “ยัยผู้หญิงคนนี้ วันๆ ไม่ทำอะไรเลย นอกจากอ่านหนังสือ แช่อ่างน้ำ และก็มีเซ็กส์!” อย่างไรก็ตาม ถึงผมจะชอบ BLU เกลียด ROSSO แต่ผมชอบ BLU & ROSSO ครับ (งงมั้ยเนี่ย?)

3. Millennium Actress (2001, ซาโตชิ ก็อง, A++++++++) ระยะเวลา: ตลอดชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง
ชื่อไทยที่เหมาะกับการ์ตูนเรื่องนี้มากที่สุดก็น่าจะเป็น “รักล่าข้ามศตวรรษ” นั่นแหละครับ

4. Changing Times (2005, อังเดร เตชิเน่, A) ระยะเวลา: 30 ปี

5. Be With You (2004, Nobuhiro Doi, A-) ระยะเวลา: ไม่แน่ใจว่าจะนับเท่าไรดี แต่ตีว่า 6 สัปดาห์ละกัน

สิ่งที่น่าหวาดผวามากก็คือ ฮอลลีวู้ดซื้อหนังเรื่องนี้ไปรีเทคแล้ว และเตรียมออกฉายในปี 2007 นักแสดงนำของหนังฉบับรีเมคคือ …เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์! (ตายห่ะ)

Be With You ฉบับ 2007
//www.imdb.com/title/tt0467165/

6. In the Mood for Love (2000, A++++) ไปจนถึง 2046 (2004, A++++) …เบ็ดเสร็จแล้วคงเป็นระยะเวลาประมาณ 80 ปี! (ฮา)

โดยตัวเลข 80 นี้มีที่มาจาก 80 = 2046 – 1966 (ถ้าจำไม่ผิดเหตุการณ์ใน ITMFL เกิดขึ้นในปี 1966)


โดย: merveillesxx วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:22:53:01 น.  

 
-- พูดถึง U2 แล้ว ผมก็ไม่ค่อยได้ฟังเพลงของวงนี้เท่าไร (ซื้อก็แต่อัลบั้มรวมฮิต) แต่เพลงที่ชอบมากๆ ของวงนี้คือเพลง Walk On ครับ สาเหตุที่ชอบเพลงนี้มากๆ ก็คือ มิวสิกวิดีโอของเพลงนี้ที่มีฟุตเทจภาพของ อองซานซูจี (ในเพลงนี้ Bono ใส่เสื้อสกรีนหน้า อองซานซูจี ด้วย) ส่วนอีกเพลงที่ชอบก็คือ Hold Me, Thrill Me, Kiss Me, Love Me (คาดว่าพิมพ์ชื่อเพลงผิดแน่ๆ)

-- เมื่อวานได้ดูช่อง VH1 มีภาพทัวร์คอนเสิร์ตล่าสุดของวง U2 ด้วยครับ อลังการเลิศหล้านภาลัย มากๆ ชาตินี้เมืองไทยจะมีได้ดูเป็นบุญตามั้ยหนอ

-- ยังไม่ได้ดูหนังเกาหลีโต๊ะผีเรื่อง Uninvited เลยครับ รู้สึกว่าสาเหตุที่ทำให้ตัวเองไม่ไปดูในตอนนั้นก็เพราะทานกระแสด่าทอหนังเรื่องนี้จาก PANTIP.COM ไม่ไหว จนไม่กล้าไปดูในโรง แต่จริงๆว่าไปแล้วถ้าเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างในเวบนี้ เราจะไม่ได้ดูหนังเรื่อง สัตว์ประหลาด, War of the World และหนังดีๆ อีกมากมาย (ฮา)

-- สำหรับผมหนังเกาหลีที่ชอบที่สุดในชีวิต อาจจะเป็นเรื่อง The Classic (2003, กวักแจยอง, A+) ก็เป็นได้ สาเหตุก็คือ หนังเรื่องนี้ทำให้ผมร้องไห้ในแบบที่ชีวิตตัวเองไม่เคยประสบมาก่อน นั่นคือ “ร้องไห้จนไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว” จำได้ว่าตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงหนังสยาม ได้ยินเสียงผู้คนร้องไห้ระงมกันทั่วโรง ต่อจากนั้นก็เป็นเสียง “ซู้ดน้ำมูก” จน ณ ตอนนั้น โรงหนังสยามกลายเป็นมหกรรมขี้มูกขนานใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทยไปเลยกระมัง

-- ดีใจจังครับที่พี่แมดเดอลีนได้ดูหนังเรื่อง Undo (1994, ชุนจิ อิวาอิ, A+) Undo เป็นหนังของชุนจิ อิวาอิ ที่ผมชอบมากๆเลยครับ ผมคิดว่าอิวาอิมีเสน่ห์ตรงที่มือขึ้นกับทั้ง “หนังสว่าง” (April Story, Hana & Alice) และ “หนังมืดมน” (Undo, PicNic, All About Lily Chou-Chou)

-- ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ข่าวคราวของ ชุนจิ อิวาอิ เงียบหายไปเลย เป็นเพราะการเสียชีวิตของ Noboru Shinoda ตากล้องคู่บุญของเขาด้วยหรือเปล่า

Noboru Shinoda
//www.imdb.com/name/nm0793984/

Noboru Shinoda ถ่ายหนังให้ชุนจิ อิวาอิ เกือบทุกเรื่อง ได้แก่ Undo, Love Letter, Picnic, Swallowtail Butterfly, April Story, All About Lily Chou-Chou และ Hana & Alice

หนังเรื่องสุดท้ายที่เขาถ่ายก็คือ Crying Out for Love, In the Center of the World

เขาเคยได้เข้าชิงรางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยมของสถาบัน Japanese Academy Awards ในปี 1997 จากหนังเรื่อง Swallowtail Butterfly และได้รับรางวัลจริงๆ ในปี 2005 จากหนังเรื่อง Crying Out for Love, In the Center of the World …แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อยู่รับรางวัลเสียแล้ว (เขาเสียชีวิตเมื่อ 22 มิ.ย. 2004)

Noboru Shinoda เป็นตากล้องที่ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจมากในเรื่องการเล่นกับ “แสง” ฉากที่น่าประทับใจจากฝีมือของเขาก็ เช่น

1. ฉาก “ขนนกลอยละล่อง” ในฉากจบของหนังเรื่อง PicNic
2. ฉาก “สาวสวย (ทาคาโกะ มัตซึ) กับทุ่งหญ้ายามบ่าย” ใน April Story
3. ฉาก “เล่นว่าวครั้งสุดท้าย” ใน All About Lily Chou-Chou
4. ฉาก “เต้นบัลเล่ต์ กางเกงในตัดขอบฟ้า” ใน Hana & Alice

-- เห็นพี่แมดเดอลีนพูดถึงเพลงประกอบแปลกๆ ฝีมือ PEER RABEN ในหนังเรื่อง BERLIN ALEXANDERPLATZ ก็ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Kikujiro ที่เพิ่งดูไปเหมือนกัน เพราะบางฉากที่ดูฮาๆ ในหนังเรื่องนี้ คิตาโน่กลับใส่เพลงเศร้าๆ ลงไปเสียได้

-- มิวสิกวิดีโอเพลง Enjoy The Silence ของ Depeche Mode ทั้งฉบับเก่า และฉบับปี 2004 น่าจะพูดถึงเรื่องเดียวกันนั่นก็คือ “การอาศัยอยู่กับความเงียบงัน” ครับ

โดยฉบับเก่านั้นเรื่องราวใน MV จะเป็น “พระราชา” องค์หนึ่งซึ่งนั่งเกี้ยวไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายก็ไปหยุดที่ภูเขาหิมะแห่งหนึ่ง โดยรอบๆ ตัวเขาไม่มีใครหลงเหลืออยู่เลย

ส่วนฉบับใหม่ ปี 2004 นั้นจะเป็นคอมพิวเตอร์กราฟฟิก โดยเป็นภาพอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง ที่อยู่ดีๆ “ต้นไม้ปีศาจ” (?) ก็บุกเลื้อยทะลวงเข้ามาในตึกจนพนักงานต้องวิ่งหนีกันออกมาอย่างชุลมุนวุ่นวาย และต้องเรียกหน่วย S.W.A.T มาช่วยในที่สุด (อะไรกันเนี่ย)

บางทีสิ่งที่ MV ฉบับใหม่ต้องการนำเสนออาจจะเป็น “การที่ธรรมชาติร้องเรียกความเงียบสงบของมันคืน” ก็เป็นได้

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ MV ทั้งสองเวอร์ชันมีฉากจบเหมือนกัน คือ จบด้วยรูป “ดอกกุหลาบ” เพียงแต่ว่าฉบับเก่าเป็น “ดอกกุหลาบจริงๆ” ส่วนฉบับใหม่เป็น “ดอกกุหลาบคอมพิวเตอร์กราฟฟิก”

-- ชอบฉาก “ตุ๊กตาเริงระบำกับไฟโลกันต์” ใน Charlie and the Chocolate Factory มากๆ เหมือนกันครับ มีความรู้สึกว่าฉากนี้ใส่มาเพื่อเตือนให้คนดูรู้ว่า “คุณกำลังดูหนังของทิม เบอร์ตัน” …รู้สึกอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า Charlie and the Chocolate Factory เป็นหนังที่ผมเจออาการ “ทั้งโรงขำอยู่คนเดียว” บ่อยมากๆ ทั้งฉากตุ๊กตาที่ว่า, ฉากล้อ 2001: a space odyssey, ล้อ Psycho ฯลฯ

-- อยากดูหนังเรื่อง Flightplan มากๆ เหมือนกันครับ ฟังพล็อตของหนังแล้วอยากรู้เหมือนกันว่าตัวหนังจะดำเนินไปในทางไหน (มีลางสังหรณ์ว่าหนังต้องเกี่ยวกับ 9/11 ด้วยไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง)

-- ขอบคุณมากๆ เลยครับ กับข้อมูลของ Nobuhiro Suwa ยังไม่เคยดูหนังของเขาเลยครับ


โดย: merveillesxx วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:22:54:46 น.  

 
ยูทูเนี่ยวงโปรดผมเลยครับ

Virtigo world tourเนี่ย อยากดูมากกก แต่บัตรแพงมากครับ


โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:23:27:59 น.  

 
กลับมาอ่านอีกรอบค่ะ

แล้วก็อึ้งกับประโยค "การนอกใจ (มีชู้) เป็นวัฒนธรรมไปแล้ว" เลยง่ะ



แต่เราก็ว่ามันเป็นความจริงล่ะค่ะ


คนเราเริ่มทำตามสัญชาตญาณสมัยดึกดำบรรพ์แล้วค่ะ

ไม่ทำตามศีลธรรมอีกต่อไปแล้วล่ะ


เรายังไม่ได้ดูเรื่อง In the Mood of Love เลยค่ะ

ตั้งแต่ไม่ได้อยู่ใกล้ท่าพระจันทร์นี่ หาหนังดีๆ ดูยากมาก

ร้านเช่าใกล้บ้านก็ต้องรู้ชื่อภาษาไทยเท่านั้นถึงจะเช่าได้




สวัสดีวันจันทร์ค่ะ จะรออ่านงานชิ้นต่อไปด้วยใจระทึกยิ่ง


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 12 กันยายน 2548 เวลา:9:16:41 น.  

 
ถึง mer อีกรอบ

ชอบเพลง U2 เพลงเดียวกันเลย เคยแอบดาว์นโหลดโดยใช้คอมของคณะ

สำหรับชื่อเพลงนี้เกือบถูก ผิดไปตัวเดียว ต้องเป็น Hold Me, Thrill Me, Kiss Me, Love Me ----------------> Hold Me, Thrill Me, Kiss Me, Kill Me

เรื่องเพลง Turn on,Tune in ของฟูตองกับอพาร์ตเมนต์คุณป้า ตอนแรกที่ได้ฟัง (ช่วงโอ๋ตอนดึก ๆ แอบเอามาเปิดก่อนช่วงปาล์มกับอุ๋ย) ฟังครั้งแรกก็ Drop Out ไปกับเพลงเลย ชอบเสียงกีตาร์ในเพลงนี้มาก แถมเสียงโมโมโกะก็ชวนขยับแข้งขยับขายิ่งนัก

แฟตเฟสฯครั้งที่ 5 มีขายบ่นี้ ถ้ามีต่อให้ร้อนขนาดไหนก็จะไปยืนต่อคิดรอ

พูดถึง U2 อย่าลืมอัลบั้มต่อต้านสงคราม Help : A day in the life ล่ะ แค่เห็นชื่อศิลปินก็แทบอยากถวายเงินให้ทันที

เห็นคุยกันเรื่อง In the Mood For love (ชอบมากกกกกกกกกกกกกก) เป็นหนังชู้ที่ดูแล้วอึดอัดเป็นบ้าเลย ไม่เคยดูหนังรักแล้วอึดอัดได้ขนาดนี้มาก่อน ตอนดูนึกว่าเวลาผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงแล้ว ที่ไหนได้ เวร นาฬิกากระดิกผ่านมาได้สิบนาที

สุดท้าย mer ฟัง Bjork ยังครับ (เหมือนเห็นผ่านตาว่าเขียนถึงนิดหน่อยแล้ว) พี่ฟังอยู่สามเพลงโดนใจชาวหลอนมาก ว่าแล้วก็ไปซื้อดีกว่า


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 12 กันยายน 2548 เวลา:12:42:26 น.  

 
ตอบคุณ พ่อน้องโจ

เคยได้ยินข่าวเหมือนกันครับเรื่องบัตรคอนเสิร์ต U2 ครั้งล่าสุดที่แพงมากๆ แต่ก็ SOLD OUT ภายในเวลาอันรวดเร็ว

คุณไกรวุฒิ (BIOSCOPE) เคยบอกผมว่าพวก U2 เนี่ย เขาเป็น NGO ดังนั้นเวลามาเล่นคอนเสิร์ตในบ้านเรามันจะไม่มีประมาณ "เบียรสิงห์ / AIS" PRESENT U2 Live in Bangkok หรืออะไรประมาณนี้ ...แบบนี้โอกาสจะได้ดูก็ยิ่งเลือนลางไปอีกนะเนี่ย

พูดถึงคอนเสิร์ตแล้ว ปีนี้ช้ำใจกับคอนเสิร์ตที่ CANCEL ไปแล้ว 2 ราย ก็คือ

1. Marilyn Manson ที่ต้องยกเลิกไปเพราะเกิด TSUNAMI (แล้วทำไม แดน-บีม ตอนนั้นเล่นได้วะ ???)

2. Kylie Minogue อันนี้เพราะเธอตรวจเจอเนื้องอกในมดลูก

ไม่รู้ว่าจะดูจริงๆ เมื่อไรนะเนี่ย ...เฮ้อ

----------------------------

ตอบ คุณสาวไกด์ใจซื่อ

เชียร์ให้หาหนังเรื่อง In The Mood For Love มาดูนะครับ ผมชอบหนังเรื่องนี้มากๆ เลยครับ

จำได้ว่าดูครั้งแรกไม่รู้เรื่องเลย ไม่เข้าใจว่าหนังต้องการสื่ออะไรกันแน่ ....แต่ทิ้งช่วงห่างนานๆ แล้วกลับมาดูอีกที รู้สึกว่าหนังมันเศร้ามากๆ เลยครับ

ใครเคยอ่านหนังสือ "ดูหนังทั้งปี" ของ เควิน เมอร์ฟี่ บ้างครับ หมอนี่แกแขวะ หนังเรื่องนี้ไว้ซะเละเลยล่ะ ("ไม่ว่าผมจะหลับไปสักกี่ตื่น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ยังเห็นนายโจว กับนางโซว เดินสวนไปสวนมาในตรอกแคบๆ อยู่อย่างนั้นแหละ") แต่ผมอ่านแล้วก็ไม่โกรธนะ ตลกดี แล้วมันก็จริงด้วย

ส่วนเรื่อง ชู้

มีหนังเรื่องหนึ่งที่พูดถึง "ความหายนะที่เกิดจากการนอกใจแฟนตัวเอง" ได้น่ากลัวและโดนใจผมมากๆ เลยครับ นั่นก็คือ หนังเดนมาร์กเรื่อง Reconstruction (2003, คริสโตเฟอร์ โบ, A++++++++++++) ผมได้ดูหนังเรื่องนี้จาก BKKIFF เมื่อต้นปีครับ (ตอนนี้ร้านพี่คนนั้นมีขายแล้ว)

เรื่องคร่าวๆ ก็มีประมาณว่า พระเอกของเราคิดจะนอกใจแฟนก็ของตัวเอง (ที่ประหลาดสุดๆ ก็คือ แฟนสาว กับตัวผู้หญิงที่พระเอกไปปิ๊ง ดันเล่นด้วยนักแสดงคนเดียวกัน!) ปรากฏว่าพอพระเอกกลับไปหาแฟน เธอกลับจำเขาไม่ได้ แล้วหลังจากนั้นคนรอบข้างตัวพระเอกก็เริ่มลืมเขาทีละคนๆ (กรี๊ด!!)

ฟังแล้ว ดูน่ากลัวเอามากๆ เลยนะครับ

กลัวอยู่เหมือนกันว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองเข้าสักวัน เพราะผมก็ไม่ใช่คนรักเดียวใจเดียวสุดๆ สักเท่าไร และก็ไม่รักใครแบบ 100% ด้วย

ค่อนข้างมั่นใจว่า Reconstruction น่าจะติดอันดับ 10 หนังในดวงใจประจำนี้นะครับ (ผมเคยเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้สั้นๆ ใน BIOSCOPE ฉบับ 39 หน้าปก Constantine ครับ)

ขอบคุณนะครับ ที่รออ่านงานใหม่ ...แต่คิดว่าคงจะอีกสักพักเลยล่ะครับ อาจจะหลังสอบ FINAL เสร็จเลยมั้งครับ แต่ถ้าไปดูหนังอะไรมา ก็จะคอยมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

------------------------------------------

ตอบ พี่เจอกันชาติหน้า

2 ปีหลังมานี่ไม่ค่อยได้ฟัง FaT เลยครับ รู้สึกว่าตัวเองจะฟัง FaT มากที่สุดก็ตอนปี 2002 น่ะครับ คิดว่าช่วงนั้นมีความสุขกับการฟังเพลงไทยนอกกระแสมากๆ

FaT Festival ก็ประทับใจน้อยลง และซื้อของน้อยลงเรื่อยๆ ครับ ตอนครั้งที่ 2 นี่ซื้อไป 34 แผ่น (ทำไปได้ยังไงเนี่ย) แต่ปีที่แล้ว (ครั้งที่ 4) ซื้อแค่ 11 แผ่นเองมั้ง

อย่างไรก็ตาม Fat Festival 5 ก็คงไปแหละครับ

ยังไม่ได้ฟัง Bjork ชุดใหม่เลยครับ ไม่ได้จังหวะซื้อสักที อยากฟัง Ebola กับ Flure ชุดใหม่ด้วยครับ


โดย: merveillesxx วันที่: 12 กันยายน 2548 เวลา:22:14:29 น.  

 
พี่ได้ข่าวมาว่า In the Mood For Love จะเข้าฉายที่เมืองไทยในเร็วๆ นี้นะครับ


เอ้า กรี๊ดดดดดดด


โดย: คุณน้องเต้ IP: 61.91.69.98 วันที่: 13 กันยายน 2548 เวลา:4:50:34 น.  

 
ได้ดู In The Mood for Love ซึ่งเข้ามาฉายเป็นหนังเปิดเทศกาลหนังบางกอกฟิล์มเมื่อสักสามสี่ปีที่ผ่านมา ดูตอนแรกก็รำคาญ ๆ ว่าพระ-นางเดินสวนกันอยู่นั่นแล้ว(ไม่ใช่เฉพาะในตรอกแคบๆ เท่านั้น ตรงบันได้ด้วย ) แต่เจอฉากจบของหนังก็ชอบหนังเรื่องนี้มาก ที่พระเอกไปพูดอะไรบางอย่างไว้ในในโพรงไม้( ความลับบางความลับ มันควรจะอยู่ในโพรงไม้จริงๆ ) บทกวีในฉากจบขอเงเรื่องก็ชอบมาก รู้สึกว่าแมกเวยxx เคยเอามาเขียนถึงแล้ว

อยากดูหนังของอั้งลี่ Brokeback Mountain ที่ได้รับรางวัลสิงโตทองคำ (ใช่ไหม? เมื่อคืนฟังข่าวอย่างไม่ค่อยตั้งใจว่าได้รางวัลอะไร แต่ชอบประเด็นของหนังมาก ) จากเทศกาลเมืองเวนิส คิดได้อย่างไรหนอความรักของผู้ชายและผู้ชายในสังคมเคาบอย พระเอกและพระเอกในเรื่องนี้จะต้องซ่อนเร้นความรักของเขาอย่างมากมายทีเดียว อยากดูๆ
อีกอย่างชอบงานของอั้งลี่ เป็นการส่วนตัว

หนังอีกเรื่องที่อยากดูจากเทศกาลเวนิซ ที่จอร์จ คลูนี่ย์ มีส่วนร่วม Goodnight and Goodluck (ชอบชื่อหนัง) รู้สึกว่าจะได้รางวัลเกี่ยวกับบท


โดย: grappa วันที่: 13 กันยายน 2548 เวลา:8:49:20 น.  

 
ป.ล. เวนิซ ตัวแรก ไม่ใช่เวนิส พิมพ์เร็วไปหน่อย


โดย: grappa วันที่: 13 กันยายน 2548 เวลา:8:58:55 น.  

 
พี่เต้ เรื่องจริงหรือนี้

อยากจะรอดูในโรงเหมือนกัน เคยแต่ดูวีซีดี

มันจะอึดอัดได้ขนาดไหนนี้


โดย: Thom Yorke (I will see U in the next life. ) วันที่: 13 กันยายน 2548 เวลา:9:53:13 น.  

 
ถ้าเป็นจริงตามที่พี่เต้บอกก็น่ายินดีครับ แต่ว่าเค้าคิดยังไงหนอ ถึงเอามาฉายป่านฉะนี้เนี่ย

ฉากเดินสวนไปมาใน In The Mood For Love นี่ผมว่ามันน่าอึดอัดมากๆ แล้วทำให้คิดถึงเนื้อเพลงท่อนนึงในเพลง "เพื่อนสนิท" ของวง Endophine ที่มันร้องประมาณว่า "ห่างกันเพียงเอื้อมมือ...." อะไรประมาณนี้แหละครับ

พูดถึงเพลง เพื่อนสนิท แล้ว ก็นึกไปถึงหนังเรื่อง "เพื่อนสนิท" ...ได้ดูตัวอย่างหนังแล้ว ก็น่ารักดีครับ ชอบที่เอาคำว่า "เพื่อนรัก" กับ "รักเพื่อน" มาเล่น แต่ก็เป็นห่วงหนังเหมือนกัน ไม่รู้คนจะไปดูกันเยอะมั้ยน้อ

กลับมาที่ ITMFL อีกนิด ใน DVD จะมีตอนจบอีกแบบหนึ่งที่อยู่ในส่วน DELETED SCENE ดูแล้วเศร้าเข้าไปใหญ่เลย (แต่จบแบบตัวหนังจริงๆ ดูขลังกว่า)

-------------------------------------------

ตอบ พี่ grappa

อยากดู Brokeback Mountain เหมือนกันครับ รู้สึกว่าหนังยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีกที่ว่า นอกจากจะพูดถึง เกย์คาวบอย 2 คนแล้ว หนังยังเล่าถึงความรักอันยาวนานตลอด 30 ปี ของคนคู่นี้ด้วย (รักกันจนเหี่ยวไปข้างหนึ่ง)

อีกสาเหตุหนึ่งที่อยากดู ก็เพราะ ชอบ เจค จิลเลนฮาน เป็นการส่วนตัว (เป็นความชอบส่วนตัว ที่ต้องจำยอมแชร์กับคนส่วนรวม) ส่วนราย ฮีธ เลทเจอร์ นี่ไม่ก่อความรู้สึกอันใดๆ แก่ตัวผมทั้งสิ้น

นอกจากนั้น หนังยังมี มิเชล วิลเลี่ยมส์ (เธอเล่นดีมากๆ ในหนังเรื่อง Land of Plenty) และ แอนน์ แฮธาเวย์ (The Princess Diaries)

ส่วน ผกก. อั้งลี่ ผมเคยดูงานของเขาแค่ 2 เรื่องเองครับ นั่นคือ

1. Eat Drink Man woman (1994, A+)
ชอบหนังเรื่องนี้มากๆ เลยครับ รู้สึกว่าหนังเก่งมากนี่ยัดประเด็นเข้าไปประมาณ 23 เรื่อง ได้ในความยาว 2 ชั่วโมง

2. Crouching Tiger, Hidden Dragon (2000, B+)
เรื่องนี้ผมเฉยๆ มากเลยครับ ผมรู้สึกว่าผมเป็นแค่เรื่องราวเกินเหตุของ คุณหนูที่เอาแต่ใจตัวเอง (จางจื่ออี้) จนพาลให้คนรอบข้างฉิบหายกันไปหมด

อย่างไรก็ตาม มีคำพูดที่ผมประทับใจมากๆ ของหนังเรื่องนี้ (ประโยคนี้พูดโดยตัวละครของ โจวเหวินฟะ)

"ข้าขอเป็นปีศาจอยู่เคียงข้างเจ้า เป็นวิญญาณที่ถูกประณาม ดีกว่าไปสู่สวรรค์โดยไม่มีเจ้า เพราะด้วยความความรักของเจ้า วิญญาณข้าจะไม่มีวันอ้างว้าง"

สิ่งที่ดีที่สุด ในหนังเรื่องนี้คือ จางเจิ้น


โดย: merveillesxx วันที่: 13 กันยายน 2548 เวลา:19:37:23 น.  

 
ขออนุญาต ก็อปปี้ข้อมูลหนังเรื่อง Brokeback Mountain ของคุณแมดเดอลีน มาแปะให้อ่านกันนะครับ

ข้อความนี้มาจากกระทู้ //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=21513

13."Brokeback Mountain" (แคนาดา) กำกับโดยอั้งลี่ และนำแสดงโดยเจค กิลเลนฮาล, เฮธ เลดเจอร์, มิเชลล์ วิลเลียมส์ และแอนน์ แฮธาเวย์

อยากดู BROKEBACK MOUNTAIN มากค่ะ มีบางคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วในเทศกาลภาพยนตร์เวนิซแสดงความเห็นในทางบวกอย่างรุนแรงไว้ใน IMDB.COM ด้วย
//www.imdb.com/title/tt0388795/

//www.advocate.com/news_detail_ektid20319.asp
เฮธ เลดเจอร์กล่าวว่า BROKEBACK MOUNTAIN เป็นหนังรักที่ “ถูกต้องเหมาะสม” เรื่องแรกที่เขาเคยแสดง และกล่าวว่า “ผมพบว่าไม่มีความลึกลับหลงเหลืออยู่อีกมากนักในเรื่องราวระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง เพราะเรื่องแบบนั้นได้ถูกสร้างเป็นหนังไปหมดแล้วหรือคนได้ชมกันไปหมดแล้ว ผมพบว่าหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของความรักที่สดใหม่ และในความเห็นของผมนั้น ตัวละครของเราก็มีความซับซ้อนด้วย และก่อนหน้าที่ผมจะได้เล่นหนังเรื่องนี้ ผมไม่เคยมีโอกาสเลยที่จะได้สำรวจความเป็นมนุษย์ในรูปแบบนี้และสำรวจการแสดงออกของความรักในรูปแบบนี้อย่างแท้จริง”

BROKEBACK MOUNTAIN สร้างจากเรื่องสั้นของ ANNIE PROULX ซึ่งอั้งลี่ให้ความเห็นว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการไขว่คว้าหาความรักและความสุขโดยต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคขวากหนาม โดยเขากล่าวว่า “เอนนิสกับแจ็คอยู่ในดินแดนคาวบอยฝั่งตะวันตกของอเมริกา ซึ่งเป็นดินแดนที่มีค่านิยมหัวเก่าและเชิดชูการแสดงออกแบบชายชาตรี ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องเก็บงำปิดซ่อนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขารู้สึกไว้เป็นเรื่องส่วนตัว”

อย่างไรก็ดี เจมส์ ชามุส ผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า จุดประสงค์ของหนังเรื่องนี้ไม่ใช่การประกาศจุดยืนทางการเมืองเรื่องการยอมรับเกย์ โดยเขากล่าวว่า “เราใช้กฎเกณฑ์และธรรมเนียมของหนังโรแมนติกแบบที่เคยใช้กับคู่รักชายหญิงมาใช้ในหนังเรื่องนี้โดยไม่รู้สึกว่ามันผิดแต่อย่างใด เราไม่สนเลยว่าใครจะไม่พอใจกับเรื่องนี้หรือไม่เพราะเราไม่ได้ตั้งใจให้หนังเรื่องนี้มีความเป็นการเมืองเลยแม้แต่น้อย”


โดย: merveillesxx วันที่: 13 กันยายน 2548 เวลา:19:40:23 น.  

 
จำนวนผู้เข้าชมของ mer ถูก reset ไปแล้ว

ว้าก เกิดอะไรขึ้น บล๊อกผมก็หายตรึมเลย


โดย: I will see U in the next life. IP: 58.136.77.108 วันที่: 13 กันยายน 2548 เวลา:20:11:36 น.  

 
ยังคงอยู่ที่หนังเรื่อง Brokeback Mountain ต่อนะครับ

คำโปรยของโปสเตอร์หนังเรื่องนี้คือ

"LOVE IS A FORCE OF NATURE" (กรี๊ดดดดดด)

คำโปรยนี้จะไม่น่าสนใจเลย ถ้ามันเป็นหนังของฮิว แกรนท์ หรืออะไรเทือกนั้นๆ แต่นี่มันหนังเกย์ค่ะ

ดูโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ที่ //www.imdb.com/gallery/ss/0388795/Ss/0388795/BrokebackOneSheet45.jpg?path=gallery&path_key=0388795

ผู้ชมคนหนึ่งใน imdb.com คอมเมนท์ไว้ว่า
"The most uninhibited passionate films I have ever seen"

เกร็ดตลกๆ ของหนังเรื่องนี้
//www.imdb.com/title/tt0388795/trivia

According to reports, Heath Ledger nearly broke co-star Jake Gyllenhaal's nose while filming a kissing scene. (ตายแล้ว...รุนแรงมากก)

เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วว่า หนังเรื่องนี้จะมีฉากจูบที่รุนแรงมากของพระเอกทั้งสอง แต่ก็มีข่าวตามหลังมาว่า อั้งลี่ จะตัดฉากนั้นทิ้ง ไม่รู้ว่าตกลง ตัด หรือ ไม่ตัด กันแน่

ว่าไปแล้วก็ดีใจกับ อั้งลี่ เหมือนกัน เพราะดูเหมือนเขาจะดิ่งเหวไปพอสมควรกับหนังเรื่องที่แล้ว (The Hulk -- ซึ่งผมไม่ได้ดูครับ)


โดย: merveillesxx วันที่: 13 กันยายน 2548 เวลา:20:43:16 น.  

 
counter ถูก reset นี่เคยเจอมาแล้วรอบหนึ่งครับ วิธีแก้คือ เมลไปบอกทางทีมงาน bloggang ที่ bloggang@pantip.com ครับ

เมลไปเรียบร้อยแล้ว คาดว่าตัวเลขเดิมจะกลับมาเร็วๆนี้นะ


โดย: merveillesxx วันที่: 13 กันยายน 2548 เวลา:20:48:31 น.  

 
เจค จิลเลนฮาล ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นเกย์ของหนัง Brokeback Mountain ไว้ว่า "ผมโตมาในครอบครัวที่มีคนใกล้ชิดหลายคนเป็นคู่เกย์ และจริงๆแล้ว ผู้เชายทุกคนก็ต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่คิดว่า พวกเขาสนใจผู้ชายด้วยกัน มาทั้งนั้นแหละ"

----------------------------------

หนังที่ได้ดูวันนี้

1. Seven Swords (2005, ฉีเคอะ, A-)

ประโยคประทับใจจากหนังเรื่องนี้

"พ่อเจ้าสั่งเสียอะไรไว้ก่อนตาย"
"อย่าแก้แค้น"

2. My Date With Drew (A)

-----------------------------------

หนังเข้าใหม่สัปดาห์นี้ (15 ก.ย.)

** = mer's RECOMMEND

** The Brothers Grimm (ตะลุยพิภพมหัศจรรย์)

** Dear Frankie (หยุดหัวใจให้แฟรงกี้)
หนังฉายที่โรงหนัง house เท่านั้น

** Shining Boy & Little Randy (เพื่อนช้าง อาริงาโตะ)
หนังฉบับซาวด์แทร็ก (เสียงญี่ปุ่น / บรรยายไทย) ฉายที่ ลิโด้

Bewitched (บีวิทช์: แม่มดเจ้าเสน่ห์)

นาค รักแท้ / วิญญาณ / ความตาย (Ghost of Mae Nak)

Seoul Raiders (พยัคฆ์สำอาง ผ่ากรุงโซล)
หนังเข้าฉายในระบบ EGV D-CINE

และสัปดาห์นี้ยังมี Cinderella Man รอบพิเศษ (รอบหัวค่ำประมาณ 2-3 ทุ่ม) สำหรับคนใจร้อน อยากดูก่อน (หนังจะเข้าจริง 22 กันยา)

อ้าว...แล้ว RED EYE ของเวส คราเว่น หายไปไหนละเนี่ย ...โธ่ อุตส่าห์อยากดู



โดย: merveillesxx วันที่: 14 กันยายน 2548 เวลา:22:42:06 น.  

 
ฮือๆ
ไม่มีเวลาดูหนังเลยครับ
กะจะดู The Day I Became a Woman
แต่ตอนนี้ก็ดันออกไปแล้ว

My Date With Drew ก็เหลืออีกแค่สองรอบ
ชาร์ลีก็ยังไม่ได้ดู
The Brothers Grimm กับ เพื่อนช้างอาริงาโตะ ที่เข้าอาทิตย์นี้ก็น่าดู

โอว์ ทำไมช่วงสอบ ถึงมีแต่หนังน่าดูๆ อย่างงี้น้า...


โดย: it ซียู วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:18:43:50 น.  

 
....RED EYE ไม่รู้คิดยังไงเลื่อนไปชนกับเพื่อนสนิท ทั้งที่ถ้าเข้าอาทิตย์นี้ ไร้คู่แข่งแข็งๆ แต่ก็ดีทำให้ผมประหยัดเงินไปได้ เอาไปให้ Dear Frankie เรื่องเดียวพอ (จริงๆในใจตอนแรกมี The Brothers Grimm แต่เจอความเห็นแง่ลบเป็นเอกฉันท์ ก็คงต้องบอกลา)

ตอนนี้กำลังฟัง Jem กับ St.Etiene แจ่มจรัสทั้งคู่


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:20:51:19 น.  

 
ปกติถ้าจะดูหนังเกาหลี เคยดูแต่พวกรักใสๆ มากกว่า แนวนี้ไม่เคยดู เคยผ่านๆ จาก adore (จำชื่อไม่ค่อยได้) แต่เฉยๆ ไม่ค่อยชอบน่ะ

แต่เขียนวิจารณ์ละเอียดดีค่ะ ชอบๆ

ป.ล.ตอนนี้เรารอการเข้าฉายของนานะมากๆ (20 ตุลา) ส่วนเพลงประกอบที่ชอบมากที่สุดไม่ใช่เพลงธีม แต่เป็นเพลง atashi no hana


โดย: foneko (fonkoon ) วันที่: 17 กันยายน 2548 เวลา:9:05:00 น.  

 
ตอบ คุณ it

ผมก็สอบปลายเดือนนี้แล้วครับ หลังจากนี้คงต้องเลือกดูแต่เรื่องที่ชอบจริงๆ

แต่ยังไงก็จะไม่ยอมพลาด Way of Blue Sky เด็ดขาด (น้อง mer ชอบกินเด็กญี่ปุ่นฮะ)

-----------------------------------

ตอบ คุณผมอยู่

ผมดู The Brothers Girmm แล้ว ผมว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไรนะครับ ผมชอบครับ มันมีเพี้ยนๆ แอบๆ อยู่เยอะเลย แต่ปัญหาก็คือ หนังอาจจะมีจังหวะที่ค่อยลงตัวเท่าไร ก็บางทีก็เกาะไปตามหนังไม่ทัน

สิ่งที่ชอบคือ โมนิก้า เบลุซซี่ เธอเล่นได้บ้าบอสติแตกมากๆ

ซื้อ St.Etiene มาได้พักนึงแล้วครับ ยังไม่ได้ฟังเท่าไรเลย

--------------------------

ตอบคุณ foneko

อยากดู NANA เหมือนกันครับ


โดย: merveillesxx วันที่: 17 กันยายน 2548 เวลา:16:26:07 น.  

 
จาก //www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3729564/A3729564.html

ความคิดเห็นที่ 4

ตอนนั้นสาเหตุที่นั่งดูเรื่องนี้เีพราะว่าอยากรู้ว่ามันจะโป๊หรืออะไรมากแค่ไหน ถึงทำให้ ลีอุนจูเธอฆ่าตัวตาย(ตามข่าวที่เขาบอกน่ะนะว่า หนังเรื่องนี้เป็นสาเหตุหนึ่ง)
ไป ๆ มา ๆ เราว่าฉากวาบหวิวก็ยังพอดูได้้อ่า
เราอ่ะกลับ อึดอัด กดดัน เครียด กะฉากท้าย ๆ จริง ๆ (ในท้ายรถน่ะล่ะ)
เฮ้ออออ ไม่รู้ดาราเล่นเสร็จ ซัดพาราไปกี่เม็ด
-__-
ปล. เราไม่รู้จะวิจารณ์์ือะไร มาอ่านบทวิเคราะห์คุณ ยามดึก(เช้า) แหะ ๆ

จากคุณ : tae (tae:) - [ 11 ก.ย. 48 04:17:35 ]



ความคิดเห็นที่ 6

เขียนเก่งจัง แต่ยังไง โดยส่วนตัว ก็ไม่ชอบหนังเรื่องนี้ เพราะฉากท้ายรถน่ะแหละ ดูแล้วอึดอัดมาก

ปล. ชอบ Charlie มากๆ เหมือนกัน จอห์นนี่เล่นได้สุดยอด

จากคุณ : N_2605 - [ 11 ก.ย. 48 09:26:42 ]






ความคิดเห็นที่ 7

เป็นหนังที่ดูแล้วอึดอัดมากๆเครียด เฮ้ออ

จากคุณ : cruche - [ 11 ก.ย. 48 09:38:59 ]






ความคิดเห็นที่ 8

The Bow

I should admit before starting this review that I've always had a hard time connecting on an emotional level with the films of Kim Ki-duk. People don't judge movies purely by objective criteria; they are also drawn to particular works because it says something to them personally. For me, the only films by Kim that have been able to do that are Spring, Summer, Fall, Winter and Spring (2003) and Samaritan Girl (2004).

The Bow, I'm sad to say, was an even tougher slog for me than usual, and a critical consensus seems to have emerged that it is not up to the level of Kim's other recent work. Manohla Dargis of the New York Times went so far as to call it "risibly bad", which is about as nasty a term as I can think of. So what went wrong with The Bow, anyway?

The story centers around a man in his sixties who has been raising a young girl since childhood on a ship that floats unanchored off Korea's western coast. Though the borders of her world are obviously quite limited, she seems happy, and the old man plans to marry her the day she reaches legal age. The two make their living by hosting fishermen aboard the boat, and also tell fortunes in a rather bizarre and dangerous fashion, by shooting arrows whizzing past the girl's head into a Buddhist painting on the side of the boat. (This method of fortune-telling appears to have been invented by Kim, though possibly inspired by the common practice of dropping a dart onto a spinning disc)

The film opens in striking fashion with a shot of the weapon that inspired the film's title. When fitted with an additional piece, the bow becomes a stringed instrument. Sadly, however, the instrument doesn't fit into the film's plot beyond providing for occasional mood music. The bow is utilized more often as a means of fending off lecherous fisherman from the young girl, who braves the dead of winter in a flimsy dress, and who (like all the women in Kim's films) is pretty gorgeous. Soon, however, a sensitive male college student shows up on board, and the old man discovers he's going to need more than a bow if he wants to keep the delectable young thing for himself.

One of Kim's most common approaches to storytelling is to set up an isolated or marginalized world (usually a physical space, but sometimes a way of life like in 3-Iron) that operates by its own elaborate set of rules and customs. Examples include the red-light district in Bad Guy, the lake in The Isle, the motel in Birdcage Inn, or the floating temple in Spring, Summer, etc... Part of the pleasure in watching his films comes in exploring and coming to understand these worlds and how they operate. For example, in The Bow we are shown how the girl and the old man defend themselves in a series of repeated scenes. First we are shown the man's skill with the bow, then we see how the girl's spatial knowledge of the boat and archery skills can serve as a second layer of defense. These scenes don't really add much depth to the human characters, but they characterize the "society" of the boat itself.

One of the problems with The Bow is that the basic setup is quite simple, compared to his previous films. The world of the floating temple in Spring, Summer... is just as artificially constructed as the boat in The Bow, but it contains more material, and gives us plenty to think about. The set of attitudes and customs which Kim presents in the film may not be "genuine" Buddhism, but they are worthy of notice in themselves.

In The Bow, however, once the ground rules are established, Kim has little left to fall back upon. The protagonists remain rather one-dimensional, and so the characters' psychology cannot properly sustain the narrative. Also, outside of the girl (Han Yeo-reum, having changed her screen name since appearing in Samaritan Girl) and the old man (Jeon Seong-hwan from Ogu), the acting is horrendous. Working with actors does not seem to be Kim's forte. He can give inherently talented actors space so that they excel (like Suh Jung in The Isle, Jo Jae-hyun in Bad Guy, or Kwak Ji-min and Lee Eol in Samaritan Girl), but he is unable to elevate the work of a less gifted cast such as we have here.

This is compounded by the fact that the two main characters do not speak to each other. It's true that one of Kim's strengths is to be able to tell stories using very little dialogue. The lack of dialogue between the leads in The Isle and 3-Iron worked well because these couples could communicate with each other emotionally, and the absence of words only accentuated their strange bond. However, in The Bow the old man and the girl spend much of the film growing emotionally more detached. Since they don't talk, the only way left for them to communicate is to trade angry stares, which they do, over and over and over again. In this way, the lack of dialogue comes across feeling more like a gimmick than an integral part of the film.

Despite all these weaknesses, the film probably could have been saved with decent music. However the score is sappy, not particularly melodic, and repetitive enough to make this 90-minute film a very frustrating experience. After three straight "hits", I think Kim has to file this in the "miss" category. (Darcy Paquet)

นักวิจารย์ดูจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้
แต่อ่านเรื่องย่อแล้ว ก็ยังอยากดูอยู่ดี
ชอบ Empty House กับ Bad Guy พอๆกัน

จากคุณ : Godlike genius of Sebastian - [ 11 ก.ย. 48 10:46:29 ]






ความคิดเห็นที่ 9

ฉากตอนท้าย ผมนึกว่าพระเอก ตกถังเฮลบลูบอย

จากคุณ : "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" - [ 11 ก.ย. 48 12:35:57 ]






ความคิดเห็นที่ 10

เขียนซะเห็นภาพเลยอ่ะ -_-'' รู้สึกอยากดูขึ้นมาตงิดๆ
เคยโหลดคลิปตอนที่ลีอึนจูร้องเพลงนี้ แล้วตัดภาพสลับกับเรื่อง เธอสวยและเซ็กซี่มากๆ เสียงก็ดีด้วย เสียดายจัง

จากคุณ : คาซาม่า - [ 11 ก.ย. 48 14:02:13 ]






ความคิดเห็นที่ 11

ตอบคุณ Godlike genius of Sebastian

ขอบคุณมากครับ สำหรับบทวิจารณ์ The Bow

รู้สึกว่าคิมคีด็อค รุ่งเรืองมากในสองเทศกาลก่อน (เขาได้รางวัลผกก.ยอดเยี่ยม จากเบอร์ลิน และเวนิซ จากเรื่อง Samaria และ 3-Iron ตามลำดับ) และหลายๆคน (รวมถึงผม) ก็คาดว่า The Bow จะต้องไปผงาดบนเวทีคานส์แน่นอน ผลปรากฏว่าหนังไม่ได้เข้าชิงปาล์มทองคำ แต่ได้เข้าสาย Un Certain Regard แทน ซึ่งก็ยังถือว่าโอเค (แต่ที่งงๆ คือ ทำไม Time to Leave ของโอซองถึงหลุดไปอยู่สายนี้ด้วยหว่า)

แต่แล้วหลังจากหนังฉายออกไป เท่าที่อ่านบทวิจารณ์ดูคร่าวๆ รู้สึกว่าผลออกมาเป็น 'ลบ' เสียส่วนใหญ่ The Bow ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงบนเวทีคานส์ เรียกได้ว่าเป็นสกัดกราฟชีวิตดาวรุ่งของคิมคีด็อค เลยทีเดียว

เท่าที่นึกออกมีนักวิจารณ์ไทยสองคนที่ไปที่คานส์ แล้วได้ดูเรื่อง The Bow ท่านแรกคือคุณก้อง ฤทธิ์ดี ซึ่งถ้าจำไม่ผิดคุณก้องจะไม่ค่อยชอบหนังเรื่องนี้สักเท่าไรนัก (รู้สึกว่าผมจะได้อ่านจากเวบบอร์ดของมุลนิธิหนังไทยนะครับ)

ส่วนอีกคนก็คือ คุณอัญชลี ชัยวรพร ซึ่งดูเหมือนว่าคุณอัญชลีจะชื่นชอบหนังเรื่องนี้พอสมควร อ่านได้ที่นี่ครับ
//www.thaicinema.org/cannes_04thebow.asp

อย่างไรก็ตาม ตัวผมเองก็ยังไม่ได้ดู The Bow ณ ตรงนี้ผมก็ยังคงพูดอะไรไม่ได้มากนัก

หนังเรื่องล่าสุดของคีมคือ Beautiful (ซึ่งได้รับทุน PPP จากเทศหาลหนังปูซานปีนี้ด้วย) เนื้อเรื่องชวนฉาวเหมือนเดิม เพราะว่าด้วย ผู้หญิงที่ต้องเลิกกับแฟนเพราะความสวย และก็ถูกข่มขืนเพราะความสวยเช่นกัน (กรี๊ดดดดดดด...)

นับถึงตอนนี้ หนังที่ชอบที่สุดของคิมคีด็อค คือ Samaria ครับ (CD SOUNDTRACK ของหนังเรื่องนี้เพราะมาก)

จากคุณ : merveillesxx - [ 11 ก.ย. 48 17:49:50 ]






ความคิดเห็นที่ 12

คีฮุน ซูฮุน คาฮี คุงฮี คังฮี ฮืออ ตูจะบ้า ดีนะที่มี มวงซิก

จากคุณ : ถั่วหวาน - [ 11 ก.ย. 48 18:44:11 A:203.113.71.135 X: TicketID:106950 ]






ความคิดเห็นที่ 13

อยากดูค่ะ หาเรื่องนี้ได้ที่ไหนบ้างคะคิดถึง ลีอุนจูอ่ะ

จากคุณ : เดินเล่นนานแล้ว - [ 12 ก.ย. 48 11:37:05 ]






ความคิดเห็นที่ 14

หนังเรื่องนี้ผมยืมคนอื่นมาอีกทีอ่ะครับ แต่รู้สึกว่าเค้าซื้อแถวสีลมมั้งครับ

จากคุณ : merveillesxx - [ 12 ก.ย. 48 21:46:10 ]






ความคิดเห็นที่ 15

ฉากที่อึดอัดที่สุดคงจะเป็นฉาก ที่อยู่ท้ายรถ

สถานการณ์แบบนั้น คล้ายๆกับชีวิตจริงที่ ช่วงแรก การใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ (อยู่ท้ายรถ) กับชู้รัก เป็นเรื่องสนุกและน่าตื่นเต้น สังเกตจาก เสียงที่สนุกสนานและเมามันกับการมีเซ็กส์

แต่หลังจากนั้น เมื่อเวลาผ่านไป หูตาเริ่มสว่าง ความหิว ความอ่อนเพลีย กับการโดนกักขัง ทำให้ชู้รักทั้งคู่เริ่มอยากออกไปจากที่ตรงนั้น แต่ออกไปไม่ได้

การคบชู้ เหมือน การหลบไปอยู่ท้ายกระโปรง
สังคม เหมือน ท้ายกระโปรงรถ
เลือด เหมือน ความราคี ฉาวโฉ่
การยิงปืน เหมือน การระบายอารมณ์ด้วยความรุนแรง

สุดท้าย การปิดฉากความอัปยศ ด้วยการตายของ คาฮี

การเปิดท้ายกระโปรง พร้อมด้วยเลือดเต็มรถ คงคล้ายกับราคีติดตัวตำรวจไปตลอดชีวิต และทำให้เขาต้องลาออกจากราชการ

ในชีวิตจริงส่วนมาก ชู้รักคงจะฆ่าตัวตายด้วยกันไปแล้ว เมื่อไม่มี"ทางออก" ให้กับชีวิต

จากคุณ : close2heaven - [ 13 ก.ย. 48 15:04:43 ]


โดย: merveillesxx วันที่: 17 กันยายน 2548 เวลา:16:31:00 น.  

 
แต่เราดูscarlet letter แล้วรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ สงสัยตัวเองจะไม่เหมาะกับหนังแนวนี้

the brother grimm ไม่เสียดายเงินแต่ไม่ถึงกับชอบมาก


โดย: โทยะ อากิระ IP: 61.91.219.2 วันที่: 17 กันยายน 2548 เวลา:23:05:24 น.  

 
โห.....สุดยอดเลยค่ะ

ถึงยังไม่ได้ดู แต่ก็อยากอ่าน

ติดตามอ่านอยู่เรื่อยๆ นะคะ


โดย: กี๋พกแป้ง วันที่: 18 กันยายน 2548 เวลา:1:53:22 น.  

 
อยากดูนะเฮียเมอร์ฯ เดี๋ยวไปหามาดูจ่ะ

ได้ดู Red Eye ฝรั่งแล้ว ชอบในระดับ A+++++ หนังฉลาดมาก เร็คคอมเม็นด์รุนแรง


โดย: จีง...อ๊ะป่ะ? วันที่: 18 กันยายน 2548 เวลา:15:52:27 น.  

 
แปะเกรดหนังที่ได้ดูช่วงนี้คับ

1.แหยม ยโสธร (B)

2.Red Eye ฝรั่ง (A+++)

3.นาค (C-)

4.Dark Water (C+)

5.Seven Swords (A-)

6.The Dukes of Hazzard (C+)

7.My Date with Drew (A+)

8.Dear Frankie (A+++++) **แวะไปเยี่ยมชมรีวิวได้ในบล็อค


โดย: จีง...อ๊ะป่ะ? วันที่: 18 กันยายน 2548 เวลา:16:31:08 น.  

 
กำลังไล่ดูหนังด๊อกม่าอยู่ แต่ยังไม่ค่อยอินกับหนังประเภทนี้เท่าไหร่

ส่วนเรื่องนี้ยังไม่ได้ดูเลย แอบโหลดมาเก็บไว้ในคลัง แต่ก็ยังไม่ได้เปิดดูซักที (งุ่นง่านแต่กับ Gosford Parkที่จะต้องพรีเซนต์ในเร็ววันนี้)

ช่วงนี้ใกล้สอบแล้ว 460จะกินหัว แต่ยังว่างมานั่งเล่นเนตอยู่เลย แย่แล้ว..

สุดท้ายก็ฝากบทความเกี่ยวกับ X Japanไว้หน่อยแล้วกันนะ

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rynekel&date=18-09-2005&group=1&blog=1


โดย: rynekel วันที่: 18 กันยายน 2548 เวลา:22:03:46 น.  

 
Romeo and Joliet


โดย: 22 กันยายน 2548 IP: วันที่: 12:10:18 เวลา:210.246.163.38 น.  

 
เออ ยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ
ว่าแต่เจ้าของบล๊อกเป็น
นักเขียนป่ะคะ เขียนอะไรได้ยาวมาก



โดย: vodca วันที่: 23 กันยายน 2548 เวลา:17:38:48 น.  

 
แหะ แหะ เป็นนักเขียนสมัครเล่นอ่ะครับ


โดย: merveillesxx วันที่: 24 กันยายน 2548 เวลา:22:03:06 น.  

 
แวะมาเยี่ยม นี่บอกใหม่เรา
//thunska13.exteen.com/


โดย: ปุ่น IP: 61.90.5.51 วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:1:19:37 น.  

 
ใครมีหนังเรื่อง The Scarlet Letter บ้าง ขอซื้อหน่อย อยากรู้ว่าเป็นยังไง ลีอุนจูถึงได้ฆ่าตัวตาย


โดย: วานีรี IP: 202.143.155.54 วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:12:13:33 น.  

 
ขอให้ไปสู่สุคติ


โดย: เด็กเปรต IP: 110.49.68.252 วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:15:15:19 น.  

 
Good post and right to the point. I am not sure if this is in fact the best place to ask but do you guys have any ideea where to hire some professional writers? Thanks in advance :)
cheap Oakley Sunglasses //www.artcomplex.org/volunteers.html


โดย: cheap Oakley Sunglasses IP: 94.23.252.21 วันที่: 2 สิงหาคม 2557 เวลา:7:28:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

merveillesxx
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




สำส่อนทางการดูหนัง ฟังเพลงและเสพวรรณกรรม
New Comments
Friends' blogs
[Add merveillesxx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.