คืนข้ามปี กับหนังที่คุณเลือก
รวบรวมโดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
(หมายเหตุ: เดิมทีบทความนี้จะลงในนิตยสารฉบับหนึ่ง แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงบางประการ จึงขอมาลงบล็อกแทนนะจ๊ะ)
ถ้าใครยังหลอนกับระเบิดปีที่แล้ว จนไม่กล้าออกไปฉลองปีใหม่นอกบ้าน แทนที่จะนั่งหน้าเหี่ยวเคาท์ดาวน์หน้าจอโทรทัศน์ เราขอเสนอให้หยิบหนังสักเรื่องมาดูดีกว่า ว่าแล้วก็ขอลองไปถามเหล่านักเขียน-นักดูหนังทั้งหลายว่า ถ้าต้องเลือกหนังมาดูในวันขึ้นปีใหม่ พวกเขาจะเลือกเรื่องอะไร
1. คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง (บล็อกเกอร์) Shara (2003, Naomi Kawase, ญี่ปุ่น) หนังจากผู้กำกับหญิง นาโอมิ คาวาเสะ ผู้ได้ชื่อว่าทำหนังงดงามราวบทกลอนไฮคุ หนังเล่าถึง ชุน เด็กหนุ่มที่ยังรู้สึกผิดกับการหายตัวไปของน้องชายตั้งแต่ 5 ปีก่อน เขาตกอยู่ในห้วงทุกข์จนไม่รับรู้ถึงความห่วงใยจากครอบครัวและเด็กหญิงที่แอบชอบเขา หนังถ่ายทำในเมืองที่เงียบสงบอย่างนารา (โดยผู้กำกับให้นักแสดงไปใช้ชีวิตอยู่ก่อนถึง 2 เดือน!) โดดเด่นที่ถ่ายทอดอารมณ์อย่างเรียบง่าย และคลี่คลายอย่างเฉียบคมด้วยฉากไคลแม็กซ์งานเต้นรำประจำปีของหมู่บ้านที่ดูแล้วน้ำตาไหลไม่รู้ตัว หนังบอกกับเราว่ามนุษย์ทุกคนมีบาดแผล แต่ก็ต้องมีชีวิตต่อไป นี่คือหนังที่ผมได้ดูเมื่อวันขึ้นปีใหม่ปีที่แล้วจริงๆ ดูจบแล้วรู้สึกดีมาก เหมือนได้แสงสว่างในชีวิต
2. นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ (นักเขียนนิตยสาร a day) The Skywalk Is Gone (2002, Tsai Ming-liang, ไต้หวัน) ส่วนผสมระหว่างผู้กำกับไฉ้หมิงเลี่ยง, สองดาราประจำอย่างหลี่คังเซิงกับเฉินเซียงฉี และเขต Taipei Main Station แห่งกรุงไทเป แม้ว่าตัวหนังแทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจาก ผู้หญิงยืนมองหาสะพานลอย ผู้ชายที่กำลังจะถ่ายหนังโป๊ และก้อนเมฆลอยอ้อยอิ่งกับเพลงจีนยุคสุนทราภรณ์ แต่การชมหนังสั้น 23 นาทีเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้นั่งฉลองปีใหม่กับกรุงไทเป สถานที่อันมีความผูกพันโดยส่วนตัว เพราะผมเคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ถึงจะเป็นเวลาเพียงแค่ 3 เดือน แต่ทุกภาพและทุกเสียงยังคงติดอยู่ในใจจนถึงทุกวันนี้ ไหนๆเราก็รับ-ส่งความสุขกับคนที่เรารักในช่วงปีใหม่แล้ว เราก็น่าจะฉลองปีใหม่ให้กับสถานที่ที่เรารักด้วยเช่นกัน
3. ชาคร ไชยปรีชา (นักเขียนนิตยสาร Filmax) Birth (2004, Jonathan Glazer, อเมริกา) แม้ผู้กำกับโจนาธาน เกลเซอร์ จะมาจากสายมิวสิกวิดีโอ แต่เขากลับทำหนังเรื่องนี้ได้นิ่งและมั่นคงราวกับเข้าฌานกำกับ จนทำให้เรื่องราวที่เกี่ยวกับ เด็กที่ดูเหมือนผัวกลับชาติมาเกิด ดูมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้กระทบใจมาก (นอกเหนือจากการแสดงอันน่าปูผ้ากราบของนิโคล คิดแมน) คือการปล่อยแทบทุกรายละเอียดของหนังแบบปลายเปิด จนหลายคนดูแล้วอาจด่าพ่อผู้กำกับ แต่ผมคิดว่านี่กลับเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ Birth ดูล่องลอย เคว้งคว้าง รวมถึงตกค้างอยู่ในหัวจวบจนปัจจุบัน และที่สำคัญมันยังทำให้ภาพรวมของหนังดู เหงา เสียเหลือเกิน ก็คิดว่าถ้าต้องให้เปิดหนังดูตอนปีใหม่ แสดงว่าต้องไม่มีใครชวนไปเที่ยว และเหงาน่าดู เลยขอเลือกหนังดีที่โลกลืมอย่าง Birth แล้วกัน
4. เศรณี ทองกร (นักเขียนนิตยสาร Starpics) Swing Girls (2004, Shinobu Yaguchi, ญี่ปุ่น) เราเป็นพวกสุขนิยม ถ้าจะดูหนังวันปีใหม่ก็ต้องเลือกหนังที่มันทำให้เราและคนอื่นมีความสุขนี่แหละ คิดคำนวณแล้ว เรื่องนี้คงทำให้ทุกคนที่ได้ดูกับเราสุขไปด้วยแน่ ถ้าเป็นผู้ใหญ่หน่อย เขาก็คงก็ขำดี ถ้าเป็นเพื่อนผู้ชาย รับประกันได้ว่าต้องหลงเสน่ห์สาวๆเล่นเครื่องดนตรี(อย่าคิดลึก)ในเรื่องนี้แน่นอน ส่วนเพื่อนผู้หญิง ก็จะได้ดูอะไรน่ารัก ใสๆ รวมถึงผู้ชาย(ที่พอดูได้)หนึ่งเดียวในเรื่องก็น่าจะทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยได้ไม่ยาก ส่วนถ้าใครชอบฟังเพลง แต่ละเพลงในเรื่องนี้ก็ทำให้เคลิ้มไปได้ไม่น้อย น่าจะเป็นหนังที่สร้างเสียงหัวเราะตั้งแต่วินาทีแรกของปีทีเดียว
5. ฐิติมน มงคลสวัสดิ์ (นักเขียนนิตยสาร Starpics) AVP: Alien vs. Predator (2004, Paul W.S. Anderson, อเมริกา) แม้ใครจะก่นด่าไม่มีชิ้นดีสำหรับหนังเรื่องนี้ แต่เรากลับชอบมันอย่างประหลาด ด้วยความที่เลี่ยนกับแนว Love is all around ตามประสาหนังแนวปีใหม่ เลยหันมาดูหนังแนว Hate is all around ดีกว่า อะไรจะดีไปกว่าเห็นไอ้สัตว์ประหลาดสองพันธุ์ห้ำหั่นกัน โดยมีมนุษย์หน้าโง่ไปวิ่งกรี๊ดกร๊าดเพราะดันไปอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่ว่าใครจะสู้กันเราก็มีแต่ตายกับตาย (เหมือนสถานการณ์โลกหน่อยๆ) แม้ว่ามันจะสู้กันไม่ค่อยระห่ำเท่าไร แต่ที่ชอบใจกลับเป็นเนื้อเรื่องช่วงหลังที่แอบดูโรแมนติกชอบกลระหว่างนายพรีเดเตอร์หน้าแย่กับสาวมนุษย์ที่ เอ่อ ก็ไม่ได้ดีเท่าไรหรอก กลายเป็นหนังมะลิซ้อนขึ้นต้นเป็นหนังสัตว์ประหลาดปัญญาอ่อน แต่จบแตกใบอ่อนเป็นโรแมนติก ฮ่าๆ
6. Mds (บล็อกเกอร์นักดูหนังชื่อดัง) Turn of the Millennium (1996, Maxi Bade, เยอรมนี) หนังความยาว 4 นาทีเรื่องนี้นำเสนอภาพของแกะฝูงหนึ่งกลางทุ่งหญ้าในยามกลางคืน และผู้ชมจะเห็นตัวเลขบอกเวลาปรากฏอยู่บนจอด้วย โดยเวลาที่ปรากฏอยู่นั้นเป็นเวลาขณะกำลังจะก้าวเข้าสู่ปี 2000 หรือสหัสวรรษใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เคยทำให้หลายคนรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับแกะฝูงนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนหรือหลังสหัสวรรษใหม่ แกะฝูงนี้ก็ไม่ได้แสดงอาการผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม พวกมันยังคงเคี้ยวหญ้าต่อไป และบางตัวก็จ้องมองมาที่กล้องโดยไม่ได้แสดงอาการสำเหนียกแต่อย่างใดว่าสหัสวรรษใหม่ได้มาถึงแล้ว หนังเรื่องนี้คงจะช่วยเตือนสติดิฉันได้เป็นอย่างดีว่าวันปีใหม่มันก็เป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่งในชีวิตของดิฉันเท่านั้น และไม่ได้มีความพิเศษหรือความแตกต่างไปจากวันหยุดวันอื่นๆเลย (Note: ข้างบนนี่ไม่ใช่รูปหนังจริงๆนะ คือหารูปไม่ได้ เลยเอาแกะที่ไหนไม่รู้มาใส่แทนอ่ะ)
7. กัลปพฤกษ์ (นักวิจารณ์ดีเด่นรางวัลหม่อมหลวงบุญเหลือ ปี 2547) Being There (1979, Hal Ashby, อเมริกา) ผลงานสุดวิเศษของ ฮัล แอชบี้ ผู้กำกับอเมริกันผู้ล่วงลับ ที่ได้นักแสดงตลกยอดฝีมือ ปีเตอร์ เซลเลอร์ส มารับบทเป็น Mr.Chance คนสวนจอมสมถะประจำบ้านหลังใหญ่ที่ไม่เคยย่างกรายออกไปนอกรั้วบ้าน แต่รับรู้ความเป็นไปต่างๆ ผ่านการชมโทรทัศน์ วันหนึ่งเมื่อเจ้านายสิ้นลม เขาจึงต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกเป็นครั้งแรกและจับพลัดจับผลูกระทั่งได้พบกับประธานาธิบดี! ไม่มีใครรู้ว่า Mr.Chance เป็นใคร แต่คำพูดอันบริสุทธิ์ซื่อและจริงใจเกี่ยวกับการทะนุถนอมดูแลต้นไม้ให้ผ่านพ้นฤดูกาลที่เปลี่ยนไปในหนึ่งรอบปี ก็กลับกลายเป็นปรัชญาเศรษฐศาสตร์และการเมืองอันคมคายไปได้ภายใต้การตีความมากเล่ห์ของเหล่านักการเมือง! Being There นับเป็นหนังที่สะท้อนถึงคุณค่าแห่งความดีแท้ในจิตใจ ที่ความสกปรกระดับไหนก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้
8. Filmsick (นักเขียนเวบไซต์ open online) Last Days (2005, Gus Van Sant, อเมริกา) หนังที่สร้างโดยมีแรงบันดาลใจจากการฆ่าตัวตายของ เคิร์ท โคเบน นักร้องนำวง Nirvana ที่ผมรัก หนังพาเราไปทอดน่องท่องโลกการรับรู้ที่ปิดตัวเองลงช้าๆ ของคนที่ตัดสินใจตั้งแต่ก่อนหนังเริ่มว่าจะไปจากโลกนี้ ช่วงเวลาที่เหลือคือการอ้อยอิ่งซึมซับ ความนุ่มของขนแมว ความรวดร้าวของการมีลูก ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวภายในตน สัมผัสของเสียงดนตรีเศร้าสร้อย และการดุ่มเดินไปในป่าลึก ด้วยการเล่าเรื่องราวบทกวีแห่งความตาย เหมาะการข้ามพ้นคืนสุดท้ายแห่งปี ด้วยการร่วมรับรู้การคลี่คลายความทุกข์ทนของการมีชีวิตอยู่ แต่ต้อนรับปีใหม่ด้วยความตายอันแสนสุข เพื่อจะเรียนรู้ความตายไปเพื่อการถือกำเนิด (ดังชื่อเพลง Death to Birth ที่ตัวเอกร้องในหนัง) อันเป็นสองด้านบนเหรียญที่มีชื่อว่าความเปลี่ยนแปลง
9. Yuttipung (นักเขียนเวบไซต์ popcornmag) Babette's Feast (1987, Gabriel Axel, เดนมาร์ก) หนังเดนมาร์ก รางวัลออสการ์สาขาหนังต่างประเทศปี 1988 เล่าเกี่ยวกับ บาเบตต์ สาวชาวฝรั่งเศสที่จับพลัดจับผลูมารับใช้สองบุตรสาวของบาทหลวงนิกายหนึ่ง โดยสภาพสังคมช่วงนั้นย่ำแย่ ชีวิตผู้คนเสื่อมถอยลง และบรรดาสาวกก็ห่างเหินศาสนา หันหน้ามาทะเลาะกันมากยิ่งขึ้น แต่บาเบตต์ได้สอนให้เรารับรู้ว่าแท้จริงแล้วศิลปะอยู่ใกล้ตัวอย่างคาดไม่ถึง และชีวิตก็จำเป็นได้รับมันเพื่อสร้างความสุข การสร้างศิลปะในที่นี้ไม่ได้เกิดจากสื่อใดๆ หากเกิดจากการปรุงแต่งรสอาหารชั้นเลิศ ซึ่งทำให้ความดี และความงดงามแห่งโลกมาบรรจบพบกันได้ในหมู่บ้านอีกครั้ง คิดแล้วก็นึกถึงบ้านเมืองเราที่ทุกวันนี้วุ่นวายเพราะเราอาจห่างเหินการมองหาศิลปะในชีวิตก็เป็นได้
10. นลัท ตั้งพรพิพัฒน์ (นักเขียนนิตยสาร Bioscope) The Simpsons Movie (2007, David Silverman, อเมริกา) เลือกเรื่องนี้ เพราะรู้สึกว่าเราสนุกกับแอนิเมชั่นสุดกวนเรื่องนี้ได้หลายแง่มุม ด้วยเนื้อเรื่องแสบสันต์ของสมาชิกแต่ละคนในบ้านก็ทำให้เราฮาได้มากมายอยู่แล้ว แต่หากลองสังเกตบทสนทนาดีๆ จะเห็นว่าคำพูดของตัวละครแอบเหน็บแนมปัญหาใหญ่ๆ ในอเมริกาที่กลายเป็นข่าวพาดหัวอยู่หลายอย่าง และไอ้ทุกอย่างที่ว่านั่นก็เป็นผลจากการกระทำและวิถีชีวิตของพวกเขาเอง ขณะเดียวกัน มันก็เดินเรื่องง่ายๆ ด้วยการเล่าถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว มิตรภาพ และความรัก ความสนุกของหนังเรื่องนี้อยู่ที่การล้อเลียนเสียดสีแต่ไม่ได้จบลงด้วยเสียงหัวเราะที่ทำให้คนดูรู้สึกว่าใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงไปกับหนังขำขันอีกเรื่อง หากแต่ทิ้งความอิ่มเอมไว้ให้เราหันกลับมาคิดว่า ดีจังเลยนะความสัมพันธ์แปลกประหลาดและยุ่งยากที่เรียกว่า ครอบครัว เนี่ย
แล้วสำหรับคุณล่ะ คุณจะเลือกเรื่องอะไร?
Create Date : 23 ธันวาคม 2550 |
Last Update : 23 ธันวาคม 2550 3:42:54 น. |
|
30 comments
|
Counter : 2954 Pageviews. |
|
|
|
ประกาศ
23-27 ธ.ค. เจ้าของบล็อกไม่อยู่ ไปทริปเชียงใหม่กับ Bioscope นะจ๊ะ
สำหรับใครที่อยู่เชียงใหม่ไปเจอกันได้ในงาน Fuse Camp วันพุธที่ 26 ธ.ค. ที่ร้านขันอาษา เวลา 14.00 เป็นต้นไปนะจ๊ะ
แล้วเจอกัน!