A Bittersweet Life หวานอมขมกลืน
โดย merveillesxx
(** บทความนี้เปิดเผยตอนจบของภาพยนตร์ **)
ตอนที่ดูหนังเรื่อง A Bittersweet Life จบ ผมก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ผกก.คิมจีวุน คงเป็นคนที่ชอบ สีแดง เอามากๆ
ถ้าใครได้ดู A Tale of Two Sisters (หรือชื่อแบบไทยๆ ว่า ตู้ซ่อนผี) คงจำได้กับเลือดที่เปรอะไปทั่วโปสเตอร์หนัง, ลายวอลเปเปอร์สีแดงสด หรือกระทั่งการใช้ ประจำเดือน ของสาวแรกรุ่นในเชิงสัญลักษณ์
พอมาถึงหนังเรื่องถัดมาอย่าง A Bittersweet Life คิมจีวุนก็ฉาบหนังของเขาไปทั่วด้วยสีแดง โดยเฉพาะสถานที่เกิดเหตุไคลแม็กซ์นั้นเป็นห้องที่ตกแต่งด้วยสีแดงเกือบทั้งหมด และสีแดงก็ถูกขับเน้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่วงท้ายของหนังจะเต็มไปด้วย เลือด
เหตุที่คิมจีวุนต้องทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็น หนังนองเลือด ก็เพราะว่า มันเป็นหนังฟิล์มนัวร์-แก๊งสเตอร์ ที่อุดมไปด้วยเหล่านักเลงใส่สูทดำ และฉากรุนแรงในระดับต่างกันไป ตั้งแต่ดีกรีอ่อนๆ แค่จับหัวกระแทกกระจกรถจนแหลกละเอียด, แรงขึ้นมาหน่อยในฉากยิงกันจะจะ ไปจนถึงบางฉากที่ชวนอึ้งสุดๆ (แน่นอนว่าผมจะไม่เล่าให้ฟังหรอก เชิญลุ้นเอาเองดีกว่า)
ในความเป็นหนังแก๊งสเตอร์ของมันเองนั้น A Bittersweet Life ก็ดูเหมือนจะเสียดสีพวกแก๊งนักเลงไปในตัวด้วย บางฉากบางตอนทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า ที่จริงแล้วไอ้พวกนี้มันก็ไม่ได้ดูสุขุมลุ่มลึกเหมือนสูทสีทะมึนที่ใส่หรอก หลายครั้งที่พวกมันตัดสินอะไรด้วยการใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง และการกระทำส่วนใหญ่ก็เป็นแบบ พวกมากลากไป เกือบทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นที่การห้ำหั่นกันระหว่างพวกระหว่างฝ่ายเหมือน Infernal Affairs หรือ Election แต่หนังโฟกัสไปที่ ซันวู (รับบทโดย ลีบยุงฮุน) พระเอกของเรื่องมากกว่า
พล็อตของหนังไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากมาย หนังเล่าถึง ซันวู ผู้จัดการโรงแรมหรูหราแห่งหนึ่ง ที่มีตำแหน่งพ่วงเป็นถึงมือขวาของเจ้าพ่อใหญ่อย่างประธานคัง เขาได้รับคำสั่งจากท่านประธานให้ไป เก็บ แฮซู -เมียเด็กของเขา- กับชายชู้ แต่แล้วซันวูกลับตัดสินใจปล่อยทั้งสองไป
การตัดสินใจ (อันผิดพลาด - ในสายตาของเจ้านาย) ทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตไปจนถึงตอนจบของหนัง ซันวูถูกลงโทษอย่างสาหัส แต่ก็รอดมาได้ และเขาก็เริ่มออกแก้แค้นทันที หากแต่การโต้คืนของเขาที่นำความสะใจมาแก่คนดูในช่วงแรกนั้น กลายเป็นความน่าสะเทือนใจอย่างที่สุด
ฉากที่ว่าคือ ตอนที่ซันวูฆ่าล้างบางลูกน้องประธานคังไปเกือบหมดแก๊งค์แล้ว เมื่อท่านประธานถามซันวูว่าทำไมถึงทำแบบนี้ เขาตอบว่า ที่นี่คือที่สุดท้ายของผม ผมไม่มีที่ไปอีกแล้ว
คำพูดนั้นแสดงให้เห็นว่า นักเลงผู้เก่งกาจอย่างซันวูนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ไร้สิ้นหนทางอีกต่อไปแล้ว แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะต้องมาผจญกับชะตากรรมอันน่าสลดใจแบบนี้
นอกจากนั้น หนังยังมีอีกสองประโยคสำคัญที่แทนความรู้สึกของซันวู และเป็นกุญแจสำคัญของหนัง ประโยคแรกคือฉากเปิดเรื่อง ลูกศิษย์ถามอาจารย์ว่า เหตุใดใบไม้จึงไหว เป็นเพราะลมพัด หรือใบไม้ที่เคลื่อนไหวเอง ฝ่ายอาจารย์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แต่หากใจเจ้าต่างหากที่สั่นไหว
ก็เพราะ ใจที่สั่นไหว นี่เองที่เป็นบ่อเหตุทุกอย่างของเรื่อง หนังแสดงให้เห็นว่าแฮซูนั้นสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับซันวูได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทั้งสองพบกัน สิ่งที่น่าเศร้าคือคนที่รู้เรื่องดีที่สุดไม่ใช่ตัวซันวูเอง แต่กลับเป็นท่านประธานที่พูดกับซันวูว่า นายเป็นอะไรของนาย...นี่เป็นเพราะ หล่อน ใช่มั้ย
ในขณะเดียวกันมันก็สะท้อนให้เห็นว่า ประธานคังผู้เย็นชานั้น ไม่ได้ลงโทษซันวูอย่างโหดเหี้ยม ในฐานะ เจ้านาย ที่ต้องการสั่งสอนลูกน้องที่ฝ่าฝืนคำสั่ง แต่เป็นแค่ ตาแก่ ที่หวงเมียเด็ก...ก็เท่านั้น
ประโยคสำคัญที่สอง ปรากฏขึ้นในตอนท้ายของหนัง ...ลูกศิษย์คนเดิมกับตอนต้นเรื่องตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึก อาจารย์จึงเข้าไปปลอบพร้อมถามว่า เจ้าฝันร้ายหรือ ศิษย์กลับตอบว่า หาใช่ ข้านั้นฝันดี อาจารย์จึงแปลกใจแล้วถามต่อ แล้วใยเจ้าจึงร้องไห้เล่า
คำตอบของศิษย์คือ เพราะข้ารู้ว่าฝันนั้นไม่มีวันเป็นจริง
หลังจากประโยคที่ว่า หนังฉายภาพร่างไร้วิญญาณของซันวูที่นอนยิ้มอยู่จมกองเลือด (และคิมจีวุนก็ยังมิวายใส่อารมณ์แดกดันเข้าไปในหนัง เพราะคลับที่ซันวูนอนตายอยู่นั้นมีชื่อว่า La Dolce Vita* หรือ ชีวิตอันแสนหวาน) มโนภาพของเขาก่อนจะตาย ก็คือ แฮซูตอนที่กำลังเล่นเชลโล่ ภาพของหญิงสาวที่ทำให้ใจเขาหวั่นไหว แต่เป็นเพียงคนที่ได้แต่ เก็บเอาไปฝัน
ฉากที่กล่าวไปในข้างต้น เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆ ของการแสดงอันสุดยอดของ ลีบยุงฮุน มันน่าอัศจรรย์ที่เขาเก๊กหน้าขรึมมาตลอดเรื่อง (ตามคำสั่งที่ผู้กำกับบอกมาว่า เรื่องนี้คุณจะต้องดู คูล ตลอดเวลา) แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มในฉากตอนท้ายก็ดูไม่โดดออกจากตัวหนัง เรายังเชื่อว่านั่นคือ รอยยิ้มของซันวู
อีกฉากที่ลีบยุงฮุนเล่นได้ดีจนน่าปรบมือก็คือ ฉากจบของเรื่อง มันเป็นเพียงฉากธรรมดาๆ ที่ซันวูกำลังเล่นชกลมอยู่หน้ากระจกของตึกระฟ้า ต่อหน้าวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนแสนสวยงาม ...คงเป็นไม่กี่ครั้งที่คนดูเห็นซันวูดูมีความสุข มันเป็นช่วงเวลาอันหอมหวานของเขาเพียงไม่กี่ตอน เหมือนกับตอนเปิดเรื่องที่เขากำลังละเลียดขนมเค้ก แต่ไม่นานนักก็ต้องไปจัดการ ธุระ ต่อ
ว่ากันว่าชีวิตเรามีทั้งขึ้นและลง ทั้งดีและร้าย และทั้งหวานและขม แต่สำหรับซันวู ความขมนั้นได้ กลืน ชีวิตเขาไปจนหมดสิ้นแล้ว
เชิงอรรถ
* La Dolce Vita (1960) เป็นหนังของผู้กำกับชาวอิตาเลียน เฟเดอริโก เฟลลินี (1920-1993) แม้หนังจะมีชื่อแปลได้ว่า A Sweet Life แต่ความจริงมันถูกใช้ในเชิงเสียดสี เพราะหนังเล่าถึงชีวิตอันฟุ้งเฟ้อ ไร้สาระ และว่างเปล่า โดยหนังเรื่องนี้ได้รางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์มาด้วย
เฟลลินีถือเป็นปรมาจารย์ด้านหนัง surreal หนังของเขาเต็มไปด้วยบรรยากาศเหนือจริง เหมือนอยู่ในความฝัน และยากจะเข้าใจ ผลงานเด่นของเขาก็เช่น La Strada (1954), 81/2 (1963), Satyricon (1969), Roma (1972), Amarcord (1973)
ผกก.คิมจีวุน ให้สัมภาษณ์ว่า เขาทำหนังเรื่องนี้เพื่อทริบิวต์แก่เฟลลินี ...แม้ว่า A Bittersweet Life กับ La Dolce Vita จะไม่ได้มีอะไรเหมือนกันเลย แต่เราก็จะเห็นการเคารพต่อบรมครูของคิมจีวุนได้ในช่วงหลังเอนด์เครดิต
บทความอ่านเพิ่มเติม
01. สกู๊ป A Bittersweet Life (PULP ฉบับที่ 23)
02. บทวิจารณ์ A Bittersweet Life โดย ธีปนันท์ เพ็ชรศรี (PULP ฉบับที่ 27)
03. อ่านเรื่องของ Film Noir (ฟิล์มนัวร์) ได้ใน BIOSCOPE ฉบับที่ 52
04. //www.bitter-sweet.co.kr
05. //www.imdb.com/title/tt0456912/
Create Date : 14 มิถุนายน 2549 |
Last Update : 14 มิถุนายน 2549 0:30:19 น. |
|
19 comments
|
Counter : 13964 Pageviews. |
|
|
|
ส่วนที่ชอบมาก
1.สองประโยคที่ยกมา
2.ฉากจบบนตึก เศร้า+เหงา ดี
ป.ล. ตอนที่เขียนถึงหนังเรื่องนี้ คำแรกที่ผุดขึ้นมาในใจเหมือนกันเลย คือ หวานอมขมกลืน
ฝากลิงค์ไว้แลกกันอ่านครับ เขียนไว้สั้นๆตอนดูนานละ
A Bittersweet Life , หวานอมขมกลืน เคียดแค้นขมขื่น
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=10-2005&date=26&group=7&blog=1