Group Blog
All Blog
### ปฎิบัติเพื่อให้ใจตั้งอยู่บนจุดของความสงบของใจ ###









“ปฏิบัติเพื่อให้ใจตั้งอยู่

บนจุดของความสงบของใจ”

ฆราวาสบางท่านก็อาจจะมีสถานภาพคล้ายนักบวช

ก็คือไม่มีภารกิจการงานต่างๆ

ที่จะมาดึงเวลาของการปฏิบัติไป

 เช่นผู้ที่มีพอมีพอกิน

และไม่ได้มีความยากได้ลาภยศ สรรเสริญ

อยากได้ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

พวกนี้เขาก็ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นนักบวช

 เขาก็มีสถานภาพคล้ายนักบวช

 เพราะเขามีเวลาที่จะปลีกวิเวกอยู่ตามลำพัง

เพื่อที่จะได้เจริญสติ เพื่อดึงใจให้เข้าสู่สมาธิเข้าสู่อุเบกขา

 แล้วพอใจเข้าอยู่ในอุเบกขา

แล้วก็คอยรักษาไม่ให้ออกจากจุดนั้นไป

ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์อยู่เรื่อยๆ

เพราะสิ่งที่ใจอยากจะออกไปหาก็คือ

หาสิ่งที่เป็นไตรลักษณ์แต่มองไม่เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์

ไม่คิดว่าเป็นไตรลักษณ์ ไม่คิดว่าเป็นทุกข์ คิดว่าเป็นสุข

 เช่นคนที่เสพยาเสพติดนี้เขาก็ไม่คิดว่าเป็นทุกข์กัน

 แต่คนที่ไม่เสพ คนที่มีสติปัญญา

 ดูก็รู้ว่ายาเสพติดนี้มันเป็นทุกข์ มันไม่เป็นสุข

 เสพไปแล้วเป็นอย่างไร ก็ต้องติดต้องทุกข์

 เวลาที่ไม่ได้เสพและเสพมาเกินไปก็ถึงแก่เสียชีวิตได้

 เพราะว่าไม่มีปัญญาสอนใจว่าเป็นทุกข์

ไม่ใช่เป็นสุขนั่นเอง ฉันใดสิ่งต่างๆในโลกนี้

ก็เป็นเหมือนยาเสพติด เพียงแต่ว่ามีความรุนแรงไม่เท่ากัน

 ยาเสพติดนี้มันรุนแรงที่สุด ส่วนอย่างนี้มันก็ไม่รุนแรงเท่า

ไม่ถึงกลับทำให้ตาย แต่บางครั้งก็ทำให้ตายได้

เช่นพวกที่ติดอะไรแล้วต้องมีเรื่อยๆ

เวลาไม่มีก็ต้องดิ้นรนต่อสู้ แสวงหา

 บางทีก็ถึงกลับต้องไปทำผิดกฎหมาย ทำบาปทำกรรม

ก็อาจจะไปฆ่าผู้อื่นก็ได้

 เพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่ตนเองอยากได้มา

 เมื่อไปฆ่าผู้อื่นก็อาจจะถูกผู้อื่น เขากลับมาฆ่าเราต่อได้

นี่ก็เป็นเรื่องของความอยากทั้งนั้น

 เป็นผลที่เกิดจากการทำตามความอยาก

ความอยากนี้มันไม่มีขอบไม่มีเขต มันจะเอาอย่างเดียว

 เอาให้ได้อย่างเดียว เพราะเวลาอยากแล้วไม่ได้นี้

มันทรมานใจมาก จึงต้องใช้ปัญญา คอยสอนใจ

 เมื่อได้เข้าไปถึงจุดอุเบกขาแล้ว

เวลาใจจะออกจากจุดอุเบกขานั้น

 มาต้องใช้ปัญญาสอนใจอยู่เรื่อยๆ

ว่าอย่าไปหาลาภยศ สรรเสริญ

 อย่าไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 เพราะเป็นการเดินเข้าหาความทุกข์

เดินเข้าหาความไม่แน่นอน เดินเข้าหาความวุ่นวาย

 ถ้าอยากจะอยู่อย่างปลอดภัย อยู่อย่างสงบ อยู่อย่างสบาย

 ก็ต้องดึงใจไว้ให้อยู่ในจุดอุเบกขานี้ไปเรื่อยๆ

 จนกว่าใจไม่หลงกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 พอไม่หลงแล้วไม่มีอะไรที่จะหลอกใจ

ให้ออกจากจุดที่เป็นอุเบกขานี้ได้แล้ว

ภารกิจทางใจก็จะหมดไป

การปฏิบัติเพื่อให้ใจตั้งอยู่บนจุดของความสงบของใจ

 ตั้งอยูบนอุเบกขานี้ก็ถือว่าสำเร็จ ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว

เพราะใจจะไม่มีวันเคลื่อนออกจากจุดนี้อีกต่อไป

ชั่วฟ้าดินสลาย ตราบใดที่มีใจอยู่ ใจก็จะตั้งอยู่บนจุดนี้ไป

 และใจนี้เป็นหนึ่ง ๖ สิ่ง ในสาลกโลกนี้

ที่เป็นสิ่งที่ถาวรถือธาตุทั้ง ๖

ธาตุทั้ง ๖ นี้มีอยู่มาตลอดและจะมีต่อไป

 ธาตุทั้ง ๖ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ

ธาตุอากาศและธาตุรู้ ธาตุรู้ก็คือใจของพวกเรานี่เอง

เพียงแต่ว่าธาตุรู้ของพวกเรามันมีปัญหา

มันไม่ตั้งอยู่บนจุดของอุเบกขา

 มันถูกความหลงหลอกให้ออกไปตั้งอยู่

บนจุดของดินน้ำลมไฟ

ที่มารวมตัวกันแล้วก็แยกกันออกไป

 พอเวลาเขารวมตัวกันก็ดีอกดีใจ

 เวลาเขาแยกทางกันก็เสียอกเสียใจ

แต่ถ้าเราได้พบกับพระพุทธศาสนา

 ได้พบกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เราก็จะได้รู้จักวิธีที่จะดึงใจของเรา

 ให้ออกจากธาตุทั้ง ๕ ออกจากอากาศธาตุด้วย

แล้วก็เข้าไปอยู่จุดอุเบกขาของธาตุรู้

 มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

ที่ชาญฉลาดที่สามารถเข้าถึงความจริงอันนี้ได้

 ไม่มีมนุษย์ใดในโลกนี้ ถึงแม้ในปัจจุบันนี้

 จะมีผู้ที่รับรางวัลดีเด่นทางวิทยาศาสตร์ทางอะไรก็ตาม

 พวกเขาเหล่านี้ก็ไม่รู้ความจริงอันนี้กัน

ต่อให้เขาได้รางวี่รางวัล

ได้เงินได้ทองมามากน้อยเพียงใด

 เขาก็ยังไม่สามารถที่จะทำให้ใจเขาหลุดพ้น

จากความวุ่นวาย หลุดพ้นจากความไม่มั่นใจได้

เพราะเขาไม่ได้มีปัญญาที่จะสามารถศึกษาถึงธรรมชาติ

 ของเขาเอง ว่าทำไมเขาถึงไม่มีความมั่นคง

 ทำไมเขาจึงต้องวุ่นวายกับสิ่งต่างๆ

อันนี้แหละถ้าเราเปรียบเทียบ

แล้วเราถึงจะเห็นความวิเศษของพระพุทธเจ้า

ว่าเป็นหนึ่ง ไม่มีสอง ในความรู้

 โดยเฉพาะความรู้ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ

ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับจิตใจของเรา

ความรู้ที่จะปลดจิตใจของเราให้หลุดพ้น

จากความทุกข์ทั้งหลาย

 ความรู้ที่จะนำให้จิตใจของเราได้เข้าสู่ความสุข

ที่ถาวรที่มั่นคงไปตลอด

มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

ถ้าเราได้มาเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนา

ก็ถือว่า เป็นโชคอันมหาศาล

 เพราะว่านานๆ สักครั้งหนึ่ง

จะมีพระพุทธเจ้ามาปรากฏให้เป็นที่พึ่ง

 เป็นศาสดาของพวกเราได้สักครั้งหนึ่ง

 และโอกาสที่เราจะได้มาเกิด

ในจังหวะที่มีพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เป็นของง่าย

เพราะว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่ละครั้งนี้

ก็เป็นของยาก ตายไปจากภพนี้แล้ว

กว่าจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ก็ไม่รู้อีกกี่ปี

ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการด้วยกัน

ทำบาปก็ต้องไปใช้บาป ในอบาย

ถ้าทำบุญก็จะไปรับผลบุญในสวรรค์

 พอกลับมาก็อาจจะไม่มีพระพุทธศาสนา

 หลงเหลืออยู่ในโลกนี้ แล้วก็ได้

 ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนามาบอกทาง

มาสอนความจริงเกี่ยวกับใจของเรา

 เกี่ยวกับที่ตั้งของใจของเรา

 เราจะไม่มีวันรู้ได้ด้วยตัวเองเลย

 นอกจากเราเป็นคนอย่างพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ที่มีความสนใจศึกษาความจริง ในตัวของเราเอง

 ค้นหาความจริงว่าอะไรทำให้เราสุข

อะไรทำให้เราทุกข์เท่านั้นแหละ

จึงจะทำให้เราสามารถ พบกับความจริงอันนี้ได้

ซึ่งจะมีคนน้อยมากสนใจกับการค้นหาความจริงเหล่านี้

 เพราะจิตใจจะตกอยู่ภายใต้อำนาจ

ของความหลงครอบงำอยู่ตลอดเวลา

ความหลงก็จะหลอกให้ออกไป

หาความจริงภายนอกกัน

เพราะคิดว่าสิ่งต่างๆ ภายนอกใจนั่นแหละ

 เป็นสิ่งที่จะให้ความสุขกับใจ

 ก็เลยไปติดกับอยู่กับของที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

 ไปติดอยู่กับสิ่งที่เป็นไตรลักษณ์

 เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 ก็เลยต้องทุกข์ทรมานใจไปกับสิ่งต่างๆ

ที่ตนเองหลงคิดว่าเป็นความสุข

เป็นสิ่งที่จะอยู่กับตนไปตลอด

 เป็นสิ่งที่ตนสามารถควบคุมบังคับได้

นี่แหละคือใจของสัตว์โลก

ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอย่างพวกเรา

ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอวิชชาโมหะ ความหลง

ความไม่รู้ความจริงของที่ตั้งของใจที่มั่นคงที่ปลอดภัย

 ว่าอยู่ในใจนี้เอง อยู่ในจุดที่เรียกว่าอุเบกขา

ต้องรอให้มีพระพุทธเจ้ามีพระพุทธศาสนา

 แล้วก็ต้องรอให้เรามีความสนใจ

ถ้าเราไม่มีความสนใจ

ถึงแม้จะได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

 ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา

 อย่างคนที่อยู่ในประเทศไทย มีมากมายก่ายกอง

ที่ไม่สนใจที่ศึกษา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถึงแม้จะเป็นชาวพุทธก็เป็นชาวพุทธ ในทะเบียนบ้าน

คือพุทธตามกันมา แต่ไม่ได้พุทธแบบผู้รู้

 พุทโธคือผู้รู้ จะเป็นผู้รู้ได้ก็ต้องศึกษา

 ต้องศึกษาคำสอน ของพระพุทธเจ้า

ถึงจะเรียกว่า เป็นชาวพุทธที่แท้จริง

 เมื่อรู้แล้วก็จะต้องปฏิบัติตามสิ่งที่รู้สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

ถึงจะได้รับประโยชน์ของชาวพุทธได้อย่างแท้จริง

 ตอนนี้พวกเราเป็นชาวพุทธแบบไหน

ถ้าเรายังเป็นพุทธแบบ ตามทะเบียนบ้านอยู่

ก็ขอให้เรามาปรับสถานภาพกัน

เปลี่ยนจากพุทธในทะเบียนบ้านมาเป็นพุทธในการปฏิบัติ

ปฏิบัติกายวาจาใจของเราตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

คือไม่ทำบาป ทำแต่บุญทำแต่กุศล

แล้วก็ชำระใจให้สะอาด บริสุทธิ์ด้วยการกำจัดความโลภ

ความอยากต่างๆ ความหลงต่างๆ

 ที่จะหลอกล่อให้ใจนั้นออกไปจากจุด ที่เป็นอุเบกขา

 การทำความดี การไม่ทำบาป การภาวนา

การเจริญสตินี้ทำใจให้เข้าสู่จุดอุเบกขา

เป็นการกระทำที่จะทำให้ใจเราได้พบกับความสุข

ที่ถาวรความมั่นคง

 ความปลอดภัยจากความทุกข์ทั้งหลาย

 พอเราได้เข้าไปถึงจุดนั้นแล้ว

เราก็ต้องรักษาใจให้อยู่ในจุดนั้น ด้วยการเจริญปัญญา

ทุกครั้งที่ใจถูกความหลงหลอกให้ไปหาสิ่งนั้นสิ่งนี้

ก็พิจารณาสอนใจให้รู้ทันทีว่ามันเป็นไตรลักษณ์

 เป็นอนิจัง ทุกขัง อนัตตา

แล้วใจจะได้หดเข้ามากลับมาอยู่ที่จุดอุเบกขา

เช่นเวลาใจจะออกไปหนีความแก่ หนีความเจ็บ

 หนีความตายก็ต้องสอนใจว่าอย่าไปหนี

หนีแล้วมันจะทุกข์มันไม่สุข ปล่อยวางร่างกาย

อย่าไปยึดไปติดมัน อย่าออกไปจากจุดอุเบกขาจุดที่รู้เฉยๆ

 อย่าออกไปวุ่นวายกับเรื่องของร่างกาย

ร่างกายจะแก่ก็ปล่อยมันแก่ไป

ร่างกายจะเจ็บก็ปล่อยมันเจ็บไป

ถ้ารักษาไม่ได้ก็ปล่อยมันไป รักษาได้ก็รักษาไป

 ร่างกายจะตายถ้าห้ามมันไม่ได้ ก็ปล่อยมันไป

 อย่าไปคัดค้านอย่าไปต่อสู้ อย่าไปวุ่นวายกับมัน

ให้กลับมายืนอยู่ในจุดที่เป็นอุเบกขานี้เท่านั้น

 สักแต่ว่ารู้ รู้ว่าร่างกายกำลังแก่ กำลังเจ็บ กำลังจะตาย

ทำอะไรไม่ได้แล้วก็อยู่เฉยๆ อยู่ในจุดอุเบกขาแล้ว

จะไม่วุ่นวายจะไม่เดือดร้อน

อันนี้แหละคือปัญญาที่เราต้องสอนใจอยู่เรื่อยๆ

 เช่นร่างกายนี้เราต้องสอนใจ อยู่เรื่อยๆ

ว่าต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเราของเรา

 เราไม่สามารถที่จะไปสั่งไปห้ามเขาไม่ให้แก่

ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตายได้ เราต้องยืนอยู่จุดเดียวเท่านั้น

จุดที่ปลอดภัยสำหรับเราก็คือจุดอุเบกขา

จุดของความสงบของใจอย่าไปวุ่นวาย

ดิ้นรนต่อสู้กับการคุ้มครองรักษาร่างกาย

ที่ไม่มีวันที่จะคุ้มครองมันได้

คุ้มครองมันได้ในวันนี้

เดี๋ยวพรุ่งนี้ มันก็จะต้องคุ้มครองแล้วก็ต้องมีสักวันหนึ่ง

ที่จะไม่มีความสามารถที่จะคุ้มครองมันได้

 ดังนั้นอย่าไปเหนื่อย กับการคอยคุ้มครองรักษาร่างกาย

แบบเกินเหตุเกินผล คุ้มครองได้ระดับความสามารถของเรา

ก็คุ้มครองไป กินได้ก็กินไป ดื่มได้ก็ดื่มไป

 หายใจได้ก็หายใจไป กินยาได้ก็กินไป

 ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องไปทำอะไรมันรักษาใจ อย่างเดียว

 เพราะใจเป็นของเราเป็นของถาวร

 แต่ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเป็นของชั่วคราว

อย่าไปยุ่งกับมันต้องคอย เตรียมตัวเตรียมใจคอยสอนใจ

ต้องฝึกซ้อมทำการบ้านอยู่เรื่อยๆ

 เพราะเวลาเข้าห้องสอบเราจะได้ทำข้อสอบได้

ถ้าเราไม่เตรียมตัวเตรียมใจทำการบ้านไว้

 ถึงเวลาเข้าห้องสอบจะสอบตกจะทุกข์ทรมานใจ

นี่คืองานของพวกเราชาวพุทธ

การที่เรามาวัดกันก็เพื่อมาทำงานอันนี้กัน

มาศึกษาวิธีที่จะดึงใจของเรา ให้ออกจากจุดที่ไม่มั่นคง

ให้ไปยืนอยู่บนจุดที่มั่นคง

แล้วก็รักษาให้มันอยู่ในจุดนั้นไปตลอด

ถ้าเราทำได้เราก็ จะปลอดภัยจากภัยอันตราย

 ปลอดภัยจากทุกข์ทุกรูปแบบ

 เราก็จะอยู่อย่างสุขอย่างสบาย

 ไม่หวั่นไหวไม่เดือดร้อน กับสิ่งต่างๆ กับเหตุการณ์ต่างๆ

ที่เรามาสัมผัสรับรู้ จึงขอให้ท่านจงมีความเชื่อมั่น

ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ว่าเป็นคำสอนที่ถูกต้องคำสอนที่เป็นคุณเป็นประโยชน์

กับความสุขของเราเป็นอย่างมาก

 ถ้าเราเชื่อแล้วเราทุ่มเทชีวิตจิตใจของเราให้กับการปฏิบัติ

 ตามคำสอนเราก็จะได้รับผลเช่นเดียวกัน

กับที่พระพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลายได้รับกัน

เพราะท่านก็ต้องศึกษา ท่านก็ต้องปฏิบัติ

ท่านก็ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจ

ให้กับการรักษาใจดวงนี้เหมือนกัน

 อยู่ที่การปฏิบัติ อยู่ที่ความเชื่อมั่น

อยู่ที่การตัดทุกสิ่งทุกอย่างให้ออกไปจากใจ

อย่าให้อะไรมาเป็นอุปสรรค ขวางกั้น

การดำเนินการปฏิบัติของใจเลย

เพราะมันไม่ได้ช่วยเรามันมีแต่จะถ่วงใจเรา

และจะทำให้เราไม่สามารถทำงาน

ที่เราควรจะทำให้สำเร็จได้ เพราะความโลเล

เพราะความเสียดาย เพราะความรัก

ความหวงความห่วงในสิ่งที่จะต้องสูญไปต้องดับไป

อย่าไปเสียดาย อย่าไปหวงอย่าไปห่วง

ขอให้ห่วงใจเรา เพียงดวงเดียว

 เพราะใจนี่แหละเป็นตัวที่ให้ความสุข กับความทุกข์กับเรา

 คนอื่นเขาไม่ได้ให้ความสุขความทุกข์กับเรา

 สิ่งอื่นไม่ได้ให้ความสุขความทุกข์กับเรา

 ใจเราเท่านั้นเป็นผู้ให้ความสุขความทุกข์กับเรา

ถ้าไม่หลงก็จะให้ความสุข ถ้าหลงก็จะให้ความทุกข์

ดังนั้นเราต้องปฏิบัติเพื่อไม่ให้หลง

 เพื่อจะได้มีแต่ความสุขไปตลอด

 อย่างที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายได้มีกัน

 การแสดงก็คิดว่าพอสมควรแก่เวลา

ก็ขอคุณพระศรีรัตนตรัย

และบุญกุศลที่ท่านได้มาบำเพ็ญกันในวันนี้จ

งเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ท่านมีแต่ความสุข

และความเจริญโดยทั่วหน้ากันเทอญ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

ธรรมะบนเขา วันที่ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

“ปรับจุดยืนของใจให้มั่นคง”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 26 กรกฎาคม 2559
Last Update : 26 กรกฎาคม 2559 9:34:45 น.
Counter : 710 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ