Group Blog
All Blog
###โอกาสที่จะได้ยุติการเวียนว่ายตายเกิด ###












“โอกาสที่จะได้ยุติการเวียนว่ายตายเกิด”

ให้พิจารณาถึงความเสื่อมของสิ่งต่างๆเถิด

แล้วเราจะได้เห็นว่ามันไม่มีความสำคัญอะไรเลย

 ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของไม่ว่าจะเป็นบุคคล

มันต้องเสื่อมต้องหมดไปทั้งนั้น

ต่อให้เราดูแลรักษามันอย่างไร ดีขนาดไหนก็ตาม

เดี๋ยวมันก็ต้องเสื่อมหมดไปอยู่ดี

เหมือนกับเวลาที่เราไปก่อสร้างเจดีย์ทรายที่ชายทะเล

 ต่อให้ก่อสร้างให้มันวิจิตรพิสดาร

สวยงามวิจิตร ขนาดไหนก็ตาม

พอเวลาน้ำขึ้นมา น้ำก็จะซัดกองทรายที่เราก่อไว้

 ให้ล่มสลายหายไปหมดเลย

 ดังนั้นการดูแลสิ่งต่างๆ บุคคลต่างๆ นี้

เป็นการดูแลสิ่งที่จะต้องเสื่อม สิ่งที่จะต้องหมดไป

 ดูแลไม่ดูแลผลมันก็เท่ากัน

คือมันก็ต้องหมดไปเช่นเดียวกัน

แต่ผลที่จะกระทบกับชีวิตเรานี้ มันร้ายกาจมันรุนแรง

 เพราะถ้าเราไปดูแลสิ่งต่างๆ บุคคลต่างๆ

เราก็จะไม่มีเวลามาศึกษามาปฏิบัติ

 แล้วเราก็จะพลาดโอกาสอันยากนี้

โอกาสที่จะได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน

 มีผู้คอยอบรมสั่งสอนชี้บอกทาง

 มีผู้คอยแก้ปัญหาให้ โอกาสนี้ก็จะหมดไป

 โอกาสที่จะได้ยุติการเวียนว่ายตายเกิดนี้ก็จะหลุดมือไป

 เพราะมัวแต่ไปห่วงไปกังวลไปดูแล

 กับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์สารคุณแก่จิตใจ

 และเป็นสิ่งที่ไม่มีสารคุณประโยชน์กับใคร

 เป็นสิ่งที่จะต้องเสื่อมหมดไปอยู่ดี

 จะดูแลหรือไม่ดูแลก็ตามถึงเวลามันก็จะต้องเสื่อมหมดไป

นี่คือสิ่งที่ควรที่จะต้องพิจารณา

เพื่อที่เราจะได้เริ่มการปฏิบัติกันอย่างจริงจังกันเสียที

ไม่งั้นมันก็จะถูกหลอก ให้ผัดไปเรื่อยๆ

พอดูแลคนนี้แล้วเดี๋ยวก็มีคนนั้นมาให้ดูแลต่อ

ดูแลสิ่งนั้นแล้วเดี๋ยวก็มีสิ่งนี้มาให้ดูแลต่อ

มันก็จะดูแลแต่เรื่องของคนอื่น

ไม่เคยมาดูแลเรื่องของตนเองเลย

การได้มาเกิดเป็นมนุษย์

 และการได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ก็เลยไม่เกิดประโยชน์อะไร

 นี่คือสิ่งที่พวกเราควรจะพิจารณาอยู่เรื่อยๆ

 พิจารณาความแก่อยู่เรื่อยๆ

พิจารณาความเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เรื่อยๆ

พิจารณาความตายอยู่เรื่อยๆ

แล้วมันจะกระตุ้น ให้พวกเรานั้นรีบศึกษารีบปฏิบัติกัน

 เพราะว่าเวลาของเรานี้ มันมีแต่จะน้อยลงไป

มันไม่มีมากขึ้นไป แล้วมันจะหมดไปเมื่อไหร่ก็จะไม่มีใครรู้

 เวลามันจะหมดนี้ก็จะต้องเสียอกเสียใจ

 ร้องห่มร้องไห้ ร้องไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

 เสียใจก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

จะไม่สามารถเอาโอกาสเอาเวลาอันมีค่านั้นกลับคืนมาได้

เพราะเราปล่อยทิ้งไปอย่างไม่แยแส

มัวแต่ไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่สำคัญ

นี่คือเรื่องของปัญหาของพวกเราที่ยังไม่ได้ปฏิบัติกันอย่างเต็มที่

 มักจะอ้างสิ่งนั้นอ้างสิ่งนี้ บางทีก็อ้างว่าความสามารถไม่พอ

 บารมีไม่พอ ถ้าไม่พอก็ต้องเติมมันขึ้นมาซิ

สร้างมันขึ้นมาซิ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น

ถ้าบารมีไม่พอก็สร้างมันขึ้นมา

 วิริยะบารมีไม่พอก็สร้างวิริยะบารมีขึ้นมาซิ

 ปัญญาบารมีไม่พอก็สร้างปัญญาบารมีขึ้นมา

 ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น แล้วก็มาบ่นว่าไม่มีบารมี

 บ่นไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เวลานี้เรายังสร้างบารมีได้

 เพิ่มบารมีได้ ถ้าในอดีตเราไม่ได้สร้างมาเราไม่ได้เติมมา

 เราก็มาสร้างกันตอนนี้ก็ได้

 เหมือนกับเราขับรถยนต์ไปแล้ว

เราลืมแวะจอดสถานีบริการลืมเติมน้ำมัน

 น้ำมันก็เหลือน้อยก็แวะจอดเติมได้ ไม่มีใครห้ามไม่ให้เติม

 เห็นเกล์ว่ามันจะหมดแล้วขีดแดงแล้ว

ก็เจอปั๊มน้ำมันที่ไหนก็แวะจอดเติมมันให้เต็มถังได้

ไม่ใช่มีแต่บ่นว่าไม่มีน้ำมัน

 แล้วก็ปล่อยให้รถยนต์จอดวิ่งไม่ได้

อันนี้เป็นเรื่องของกุศโลบายของกิเลสตัณหา

 ที่จะคอยหลอกล่อไม่ให้เรานี้ ทำอะไรไม่ให้เราปฏิบัติ

ไม่ให้เราศึกษาพระธรรมคำสอน

ตอนนี้เราขาดบารมีอะไรเติมเข้าไปซิ

ขาดทานบารมีก็ทำทานไปซิ ขาดศีลบารมีก็รักษาศีลไปซิ

 มีใครมาห้ามเราไม่ให้รักษาศีล มีใครมาห้ามไม่ให้เราทำทาน

 มันเป็นของเราทั้งนั้น เงินทองของเรา

 เราจะไปทำทานใครจะมาห้ามเราได้อย่างไร

 เวลาเราไปซื้อของต่างๆ ทำไมไม่มีใครมาห้าม

 พอเราจะเอาไปทำทานนี้กลับมีคนมาห้าม

มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาที่มีอยู่ในใจเรานี่แหละ

ที่มันจะไม่ยอมให้เราสร้างบุญสร้างบารมีกัน

 แล้วพอเราจะศึกษาปฏิบัติมันก็อ้างว่าไม่มีบุญไม่มีบารมี

ตอนนี้ไม่มีทานบารมีก็ทำทานบารมีไป

ไม่มีศีลบารมีก็รักษาศีลไป ไม่มีเนกขัมมบารมีก็เจริญไป

 เนกขัมมบารมีก็คือการออกจากกาม

 ออกจากการหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

ถ้าเรามีศีล ๕ แล้วขั้นต่อไปเราก็จะสามารถรักษาศีล ๘ ได้

ศีล ๘ ก็คือการออกจากกามนี่เอง

ออกจากการหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 เรียกว่าเนกขัมมะ เราทำได้ไม่มีใครเขาห้าม

ไม่มีกฎหมายออกมาห้ามว่าไม่ให้ทำ

 ใครอยากจะทำ ใครไม่มีเนกขัมมบารมี

 ก็มาสร้างเนกขัมมบารมีกัน

 ใครไม่มีอุเบกขาบารมีก็มาสร้างอุเบกขาบารมีกัน

 อุเบกขาบารมีก็เกิดจากการมีสติอย่างต่อเนื่อง

ทำใจให้รวมเข้าสู่อัปปนาสมาธิเท่านั้นเอง

พอใจรวมเข้าสู่อัปปนาแล้วก็จะเกิดอุเบกขาขึ้นมา

ใจจะเป็นกลาง ใจจะปราศจากความรัก ชัง กลัว หลง

 ปราศจากความโลภ โกรธ หลง แต่เป็นของชั่วคราว

อุเบกขาที่ได้จากสมาธินี้ยังมีโอกาสที่จะเสื่อมลงไป

 และหายไปได้หมดไปได้ เวลาออกจากสมาธิมา

 ถ้าอยากจะรักษาอุเบกขาให้อยู่ต่อไปก็ต้องใช้ปัญญาบารมี

ปัญญาบารมีก็ต้องเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เห็นอสุภะเห็นสิ่งที่ไม่สวยไม่งามต่างๆ

 เช่นอาหารก็เห็นเป็นสิ่งที่สกปรก

อันนี้เห็นเพื่อที่จะได้กำจัดตัณหาความอยากต่างๆ

ที่จะมาคอยทำลายอุเบกขาที่มีอยู่ในใจให้หมดไป

ถ้ามีปัญญาตัดตัณหาความอยากต่างๆ

อุเบกขาใจที่เป็นกลาง ว่าง

 ปราศจากความโลภ โกรธ หลงก็จะคงอยู่ต่อไปได้

นี่คือสิ่งที่พวกเราสามารถปฏิบัติกันได้ในชาตินี้

และเป็นชาติที่ดีที่สุด เพราะว่ามีพระธรรมคำสอนอยู่แล้ว

 มีครูบาอาจารย์ที่เป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

คอยสั่งคอยสอนคอยบอกทางอยู่แล้ว

มีสถานที่ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่จะว่าไม่พร้อม

ทุกอย่างพร้อมหมด สิ่งเดียวเท่านั้นคือตัวเราเอง

 ใจเราเองว่าพร้อมหรือไม่พร้อม

มันก็ไม่น่าจะมีเหตุมีผลอะไรที่จะบอกว่าไม่พร้อม

 ถ้าจะมีก็มีเพียงตัวเดียวเท่านั้นก็คือความหลง

 ความหลงที่ยังหลงติดอยู่กับความสุขทางโลกอยู่นี่เอง

 ยังติดอยู่กับความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายอยู่

 ยังไม่อยากสละความสุขอันนี้ไป

แต่ขอให้รู้ว่าความสุขอันนี้

 มันเป็นความสุขของยาเสพติดดีๆนี่เอง

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนี่แหละคือยาเสพติด

ที่ร้ายกาจที่สุดที่ทำให้จิตใจของสัตว์โลกทั้งหลายนี้

ต้องติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิดในกามภพนี้

 กามภพคือภพของสัตว์โลกที่ยังติดอยู่ในกามนี่เอง

 ก็เหมือนกับพวกที่ติดยาเสพติดก็ต้องเสพยาเสพติดไปเรื่อยๆ

 จนตายไปในที่สุด ตายไปแล้วพอกลับมาเกิดใหม่ก็กลับมาเสพใหม่

นี่แหละคือสิ่งที่เราจะต้องพิจารณาให้เห็นโทษ

ว่าความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายนี้มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง

 มันเป็นความทุกข์ที่ถูกความสุขหุ้มห่อเอาไว้

 เป็นผิวบางๆเหมือนกับยาขมเคลือบน้ำตาลนี่เอง

 น้ำตาลนี้มันเคลือบยาขมผิวบางๆ

พอเราอมเข้าไปใหม่ๆมันก็หวาน

 พอน้ำตาลละลายไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่ความขม

ความสุขที่เราได้รับจากรูป

เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เป็นแบบนั้น

 เวลาได้เสพสัมผัสก็มีความสุข

พอไม่ได้เสพความสุขนั้นก็หายไป

 ปล่อยให้จิตใจอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

 ปล่อยให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดรำคาญใจต่างๆปรากฏขึ้นมา

จนทนไม่ไหวต้องไปเสพใหม่

 เพื่อที่จะได้ดับอารมณ์หงุดหงิดรำคาญใจต่างๆเหล่านี้ไป

 แต่เสพเท่าไหร่อารมณ์เหล่านี้จะไม่มีวันหมดไป

และมันมีแต่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆและต้องเสพมากขึ้นไปเรื่อยๆ

 จนในที่สุดร่างกายก็จะไม่สามารถทนกับพิษ

 ของยาเสพติดได้ ก็ต้องตายไป

 สิ่งที่เราเสพกันคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนี้

ก็เหมือนยาเสพติด เพียงแต่ว่ามันไม่รุนแรงเท่ากับยาเสพติด

 มันไม่ได้ทำให้ร่างกายนี้ตายไปแบบยาเสพติด

 แต่มันก็มีผลคล้ายๆกัน เช่นโรคภัยต่างๆ

ที่เกิดจากการเสพรูป เสียง กลิ่น รสมากจนเกินไป

 คนที่ดื่มสุรายาเมาก็จะเกิดโรคทางกระเพาะ

ทางลำไส้ ทางตับ ทางไต

 คนเสพสูบบุหรี่ควันบุหรี่ก็จะมีผลกระทบ

กับทางปอดทางลมหายใจ

 คนที่เสพของหวานของเค็มของมันอะไรมากๆเกินไป

ก็มีผลกระทบต่อระบบการทำงานของร่างกาย

 ระบบอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดโรคไขมันอุดตัน โรคหัวใจวาย

 โรคอะไรต่างๆตามมา อันนี้ก็เป็นผลที่เกิดจาก

การเสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะแบบไม่มีขอบไม่มีเขต

แต่ถ้าได้มาบำเพ็ญได้มาปฏิบัติธรรม

แล้วพบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้

ใจจะเกิดความอิ่มขึ้นมา จะไม่หิวโหย

กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

จะไม่ต้องใช้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะมาให้ความสุข

 เมื่อไม่ต้องใช้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะมาให้ความสุข

 ผลที่กระทบต่อร่างกายก็จะไม่มี

ร่างกายก็จะอยู่เป็นปกติสุขปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

 นี่คือเรื่องของผลดีผลเสียระหว่างการปฏิบัติธรรม กั

บการเสพกามกับการหาความสุข

จากการเสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

มีความแตกต่างกันอย่างฟ้ากับดิน

ทั้งในขณะที่มีชีวิตและหลังจากที่ตายไปแล้ว

ผลที่ได้รับต่อจิตใจก็ต่างกัน

 ผู้ที่เสพกามก็ยังจะมีกามตัณหา ติดอยู่ภายในใจ

ที่จะเป็นตัวฉุดให้ไปเวียนว่ายตายเกิดในกามภพต่อไป

ผู้ที่ไม่เสพกามก็จะเป็นผู้ที่ได้หลุดพ้น

ออกจากการเวียนว่ายตายเกิด

 ผู้ที่เสพความสงบจะไม่ต้องกลับมาเกิดแก่เจ็บตายอีกต่อไป

 อย่างพระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

ท่านเลิกเสพกามแล้ว ท่านไม่หาความสุขจากทางร่างกายแล้ว

 ท่านตัดตัณหาทั้ง ๓ให้หมดไปจากใจได้แล้ว

ตัดกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ให้หมดไปจากใจได้แล้ว

ใจของท่านจึงมีแต่ความสงบ มีแต่ความอิ่มความพอ

มีบรมสุขตลอดเวลา จึงไม่มีความจำเป็น

ที่จะต้องไปหาร่างกาย เพื่อมาใช้เป็นเครื่องมือ

ในการหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายอีกต่อไป

ไม่ต้องมาทุกข์กับความแก่ ทุกข์กับความเจ็บไข้ได้ป่วย

 ทุกข์กับความตาย ไม่ต้องมาทุกข์กับการพลัดพราก

 จากสิ่งที่รักจากบุคคลที่รักอีกต่อไป

นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเรา ถ้าเราหมั่นพิจารณาโทษ

ของการเวียนว่ายตายเกิด พิจารณาความแก่ ความเจ็บ

ความตายที่เป็นผลที่จะตามมาถ้ามีการเกิดขึ้น

เหตุที่ทำให้มาเกิดก็คือตัณหาความอยากต่างๆ

 เช่นกามตัณหา ความอยากในรูป เสียง กลิ่น รส

 ภวตัณหาความอยากมีอยากเป็นอยากได้

วิภวตัณหาความอยากไม่มี อยากไม่เป็นอยากไม่ได้

ในสิ่งที่ไม่ชอบ อยากได้ในสิ่งที่ชอบสิ่งที่ไม่ชอบก็อยากไม่ได้

 ถ้ามีความอยากเหล่านี้อยู่ภายในใจ

 ใจก็จะดิ้นรนกวัดแกว่งไม่ตั้งอยู่ในความสงบ ไม่เป็นอุเบกขา

 ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด.


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๘

“โอกาสหลุดพ้นจากวัฏฏะ”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 25 พฤษภาคม 2559
Last Update : 25 พฤษภาคม 2559 10:56:34 น.
Counter : 857 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ