|
ติ๊ด.... เสียงติ๊ดบัตร ( Proxy ) เลิกงานของช้างดังขึ้นท่ามกลางสายตาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ( มนุษย์เงินเดือน ) ทั้งหลายที่จับจ้องตาเป็นมัน รีบออกจากที่ที่ให้เงินใช้ทุกเดือน ลงลิฟท์ไปชั้นล่าง อี๋..!! ฝนตก ถนนเปียก แฉะ อับชื้น (อันหลัง ท่าจะเป็นของสงวนที่ส่งกลิ่นนะ.. ) เปลี่ยนรองเท้าจากส้นสูงมาเป็นรองเท้าแตะที่ใส่แล้วทะมัดทะแมงกว่า เดินไปลงเรือที่ประตูน้ำ จากตรงนั้นช้างก็เสียเวลาอยู่กับหลายท่า บางท่าก็แช่ซะนานจนช้างออกอาการอึดอัด บางท่าก็ทำให้ร่างกายของช้างหดเกร็งด้วยความเสียว กว่าจะมาถึงเล่นเอาช้างหมดแรงไปเหมือนกัน ( อ่ะอืม..คนละท่ากับที่กำลังคิดหรอกน่ะ..ท่าเรือ..เข้าใจป่ะ ) ถามว่าช้างจะไปไหนหรอ เดี๋ยวก็รู้...
10 กว่าท่าที่ช้างผ่านมา ( ย้ำว่าก่อนนะว่า..ท่าเรือ ) ด้วยความทุลักทุเลในที่สุดก็มาถึงท่าที่ช้างต้องขึ้นซะที ต่อรถมอไซค์ ไปหาพี่ขวัญเดินพากันไปเข้า ลาดพร้าว 107 แวะเข้าไปเช็คความเคลื่อนไหว อืม...ยังไม่เริ่มอัด จูงกันไปกินข้าวร้านจานใหญ่ที่พี่ขวัญโปรดปราน ไม่นานเก้ที่ไปหลงอยู่ซอยอื่นก็มาร่วมวงกินข้าวด้วย
ในขณะนั้นเองปาล์มก็โทรเข้ามาเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญ!! อ้อ ต้องบอกก่อนนะว่า ในช่วงเช้าก่อนที่พี่ขวัญ ช้างและเก้จะมา สองสาวต่างวัยแต่ใจเดียวกัน พี่แอนและปาล์มเดินทางเอารองเท้าที่ได้รับการเปลี่ยน Size มาให้พี่คิ้มลอง และเอาเสบียงไก่ทอดหาดใหญ่ของพี่แก้วเข้ามาเติมพลังให้พี่คิ้ม
ทั้งสองสาวก็โทรเล่าความคืบหน้าให้พวกเราเรื่อยๆ อะไรเกิดขึ้นบ้างเป็นอันรู้กัน จนพวกเรา 3 คนมาถึงที่เกิดเหตุนั้นหล่ะ ปาล์มก็ยังโทรมาส่งข่าว เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
เอาล่ะ พอปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว ที่สำคัญอิ่มแล้ว เราก็จากร้านข้าวมาสตู เดินเข้าหลังห้องแต่งตัว สวนกับพี่ทินที่กำลังคุยโทรศัพท์แบบ Ost.จีน (Original sound track) นั่งอยู่สักพักนักดนตรี (ทาเคชิ) คนแล้วคนเล่าเดินผ่านไป (เข้าห้องน้ำ) ทักทายกิ๊วก๊าวนิดหน่อยพอเป็นพิธี มองผ่านกระจกขุ่นๆ เห็นพี่คิ้มในชุดม่วงคล้องคอ ถ้าจะบอกว่าสวย.....จะเชื่อกันมั๊ย
ทีมงานเดินมาตามออกไปซ้อมคิว พวกเราก็เดินทะลุกระจก อือ ไม่ใช่แม่มณีจันทร์ เดินทะลุห้องแต่งตัวเข้าสตู ช่วงที่เดินผ่าน แวะยิ้มให้พี่ข้าวตูหน่อย ยิ้มม...ม...ม... อ่าไปได้...
ออกไปถึงไม่มีเนื้อที่ไหนว่างๆให้พวกเรานั่ง นอกเสียจากขอบแสตน พยุงไขมันที่หนักราว 60, 55, 61 (พี่ขวัญ ช้างและเก้) ขึ้นไปนั่งชั้นบนสุด นั่งไปนั่งมาตูดก็พาจะล้นขอบสแตนให้ได้ จนพี่ขวัญต้องเอื้อมมือมาประคองไว้ เงยหน้ามองป้ายที่แขวนอยู่เหนือหัวเราเขียนว่า ฉันรักเธอ.......ฉายวันนี้ ถามได้ความว่า ธีมของวันนี้ คือ เพลงหนังที่ฝังใจ
ส่วนบนเวทีพี่คิ้มกำลังซ้อมร้องเพลง ฉันรักผัวเขา ของพี่นก สินจัย บ๊ะ!! ใครเลือกให้พี่คิ้มร้องเนี่ย เข้ากันได้ดีจนพี่ทินแซว เข้ากับยี่โกวจริงๆ แหม นิดนึงน่ะพี่ทินก็...
เบรกนี้แขกรับเชิญเป็นพี่มัม ลาโคนิค พี่ตั้ม สมประสงค์ และพั้นช์ วรกาญจน์ ที่จะมาขับกล่อมเพลงหนังให้ได้ฟังกัน แทนที่คนที่ซนที่สุดจะเป็นพั้นช์ กลับเป็นพี่มัม ที่ถือไมค์ ร้องเพลงลั้นลา เดินไปเดินมา แซวเค้าไปทั่ว น่ารักและเป็นกันเองดีเหมือนกัน
พอเริ่มอัด พี่มัม ขึ้นไปร้องเพลง เติมใจให้กัน เพลงประกอบละครเรื่อง พริกขี้หนูกับหมูแฮม ที่มีพี่ตุ๊ก จันจิรา จูแจ้ง กับ พี่ขจรศักดิ์ รัตนนิสัย เป็นนักแสดงนำ ความขี้เล่นของพี่มัม เรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้มากโข ต่อจากพี่มัมก็เป็นพี่ตั้ม ร้องเพลงช่างไม่รู้เลย เพลงประกอบหนังเรื่อง เพื่อนสนิท พี่ตั้มนี่มาในมาดเท่ห์ เสียงร้องหนักแน่น หล่อคงเส้นคงวา
ถัดไปก็เป็นพั้นช์ ร้องเพลงเพื่อน ของวงพอง พอง ( วงนี้อดีตบอยแบนด์หน้าใส สมัยช้างยังสาวๆ ..แบร่ๆ แก่ว่ะ) ประกอบหนังเรื่อง รักสามเต้า เอ้ย รักสามเศร้า ( วกมาเรื่องทะลึ่งได้อีกนะ ) ถ้าจะให้พูดถึงพั้นช์ ตัวเล็ก น่ารัก เสียงดี ตาสวย พี่คิ้มดูเอ็นดูเป็นที่สุด
มาช่วงพูดคุยถึงเพลงหนังละครที่ฝังใจ พี่คิ้มเพ้อออกมาเป็นเพลง เถียนมีมี่ เพลงประกอบหนังเรื่อง Comrades, almost a love story เถียนมีมี่ 3650 วัน....รักเธอคนเดียวไม่ทิ้งลายมังกรจริงๆ จากนั้นพี่มัม พี่ตั้ม ก็ฝากผลงานใหม่ล่าสุด กับ Be my guest: Sing aholic กับค่าย ตาล้าลา ของพี่กอล์ฟ เบญจพล ก่อนจะแจกให้ 2 พิธีกรและพั้นช์คนละแผ่น
พอสั่งคัต คนดูออกไปพักข้างนอก พี่คิ้มก็ลงมาเคลียร์เรื่องส่วนตัว ( ที่กลายเป็นเรื่องส่วนรวม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ) กับบางคน ท่ามกลางสายตา 6 คู่ ของเรา 3 คน แต่ความสนใจของพวกเรากลับไหลไปอยู่ที่ปลายเท้า เป็นเพราะรู้ดีว่าอะไรที่คู่ควรกว่าที่จะเอามาใส่ใจ บทสนทนาที่พอจะได้ยินมันช่างระคายหูสิ้นดี ภาพที่บังเอิญเล็ดรอดเข้าตามันแสดงอะไรได้มากกว่าคำอธิบาย ช้างไม่ได้มองว่าตรงนั้นเป็นอากาศธาตุ รู้มั๊ยว่าอากาศธาตุถึงแม้จะไม่มีตัวตน แต่เรารู้สึกได้ และอย่างน้อยก็มีประโยชน์ให้เราได้หายใจเอาความสดชื่นเข้าไป แต่ตรงนั้นช้างกลับมองว่าเป็นมลพิษทั้งทางสายตาและทางลมหายใจ ที่คอยพ่นลมเหม็นๆออกมา ใครสูดเข้าปอดมีหวังคงสำลักความสกปรก ( ของจิตใจ ) ตายก่อนแน่นอน
จริงมั๊ย เปิ้ล พี่คิ้มหันมาพูดกับช้างที่นั่งซุกไซร้เล่นอยู่กับพี่ขวัญ ช้างรับซีดีมาวางที่ตัก ก่อนจะละความสนใจไปเช่นเคย จนมลพิษทางสายตาหายไป พี่คิ้มกลับมาหาพวกเรา ( อีกครั้ง ) พร้อมกันนี้ยังพา พี่โอ๋ มาแนะนำให้ พวกเราใน ฐานะ ตัวแทนJ.Kim Mania ให้ได้รู้จัก ก่อนจะฝากฝังให้พวกเราร่วมกันดูแลพี่โอ๋
พี่โอ๋ พี่สาววัย 33 ปี มีเพชรบูรณ์เป็นทั้งที่ทำงานและที่อยู่อาศัย ชื่นชอบความคิดของพี่คิ้ม มากกว่าชื่อเสียงที่พี่คิ้มมี ติดตามพี่คิ้มตามงานต่างๆ แล้วแต่ที่โอกาสจะเอื้ออำนวย ร้านนั่งเล่น กับครั้งแรกที่พี่โอ๋ได้เห็นตัวจริงของพี่คิ้ม ความซื่อและจริงใจต่อความรู้สึกของตัวเองที่พี่โอ๋มี ด้วยความเป็นคนต่างจังหวัด ( ที่พี่โอ๋ มักพูดติดปาก ) หรืออะไรก็ตาม พี่ขวัญ ช้างและเก้ หรือแม้แต่พี่คิ้มก็รู้สึกและสัมผัสได้
ขณะที่เรากำลังอืออึงอยู่กับการสนทนากับพี่คิ้ม ข้างหลังก็มีอาแอ๊ด สมบัติ เมทะนี คนไทยคนแรกและคนเดียวที่ได้ลง กินเนส์บุ๊ค ว่าเล่นหนังมากที่สุดในโลก มาร้องเพลง เกาะสวาท หาดสวรรค์ ประกอบหนังใหญ่ในยุคเก่าให้เราได้ฟัง แต่ถามว่าเราสนใจมั๊ย....ตอบได้ว่า......ไม่.......
พวกเรา พี่ฝากด้วยนะ พี่คิ้มฝากพี่โอ๋ไว้ในเงื้อมมือ ( มาร ) ของพวกเรา ( ว่ะ ฮ่า ฮ่า..) พี่คิ้มหายเข้าไปหลังเวทีนาน ( มาก ) ปล่อยให้หน้าเวทีเปลี่ยนเป็นอู่ต่อเรือขนาดย่อมๆ ท่ามกลางเสียง โป๊กเป๊กๆ..ของทีมงานที่สรรสร้างเรือไททานิค ไว้ให้พี่คิ้ม พวกเรายังเม้าท์มอยกับพี่โอ๋ไปเรื่อย เป็นการทำความรู้จักไปในตัว
พี่เป็นแฟน Blog หนู ด้วยนะ พี่โอ๋ออกปากคุยเรื่องงานที่ช้างเขียนลงใน Blog แถมยังเอ่ยชื่อสมาชิกในกลุ่มตัวเด่นๆได้เกือบครบ อืม..นานๆไปแล้วพี่โอ๋จะรู้ว่าแสบๆทั้งนั้น
ช่วงรอความพร้อม พี่หนึ่ง จักวาล ก็มานั่งคุยด้วย ส่วนพี่จิ๊บด้วยความรักน้อง ซื้อเป็บซี่มากระป๋องเดียว แต่เรียกพวกเรากิน เอ่อ พี่จิ๊บเล่นอมหัวขวด ( อ่าน ว่า อม-หัว-ขวด อย่าเพี้ยนนะ ขอร้อง ) อี๋..จะให้เรากินต่อ เมินซะเถอะ
บนเวที อาแอ๊ด สมบัติ ( กล้าเรียกอาเนอะ แก่คราวปู่ได้ล่ะ ) กับแม่แดง ฉันทนา มาอัดเพลง ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ ทั้งสองใช้ความพยายามอย่างสูงในการจำเนื้อหา แต่โดยรวมแล้วแม้จะไม่ดีเท่าต้นฉบับ แต่ให้คะแนนความพยายามเต็มร้อย
เปิดเบรกให้แม่แดงออกมาร้องเพลง กลกามแห่งความรัก พลังเสียงสุดยอด ลีลาเป็นเลิศ นี่ถ้ามาพร้อมกับคู่ซี้อย่างแม่เม้าท์ล่ะมันส์ระเบิดเลย ( ถ้าใครเคยไปดูคอนเสิร์ต แดง-เม้าท์ จะเข้าใจ ) แถมงานนี้แม่แดงยังมาร้องเพลงของลูกสาวตัวเอง ( พี่แอม ) ให้ได้ฟังอีกด้วย ลูกไม้หล่นใต้ต้นแท้ๆ
ฮึ่มๆๆ พวกเรากำลังคุยกันเพลินๆ เสียงมอไซค์ ราคาแพงของพี่ทินที่ใช้มาประกอบฉากก็ดังกระหึ่มสตู แถมมาด้วยกลิ่นน้ำมันคละคลุ้ง พาลให้พวกเราต้องอุดปากอุดจมูกกันใหญ่ พี่ทินในมาดหลิวเต๋อหัว สวมเสื้อหนัง ใส่แว่นเพิ่มความหล่อ ก่อนจะเปล่งเสียงขึ้นว่า ล็อตตารี่มั้ยครับ...ล็อตตารี่ เฮ้อ...เวรกรรมหมดกันพี่หลิวของเรา พาให้ขำเรี่ยราดเกิ๊น...
พี่คิ้มออกจากห้องแต่งตัวเห็นเรือปั๊บ แซวทันที เตี๋ยวเรือชามนึง ฮาเกรียวกันทั้งสตู เสียสถาบันไททานิคหมดเลย จากนั้นพี่คิ้มซ้อมร้องเพลง My Heart will go on บนเรือ ซึ่งมองไปมองมาเหมือนอับเฉารูปสิงโตตั้งตระหง่านอยู่บนหัวเรือ แต่นังป่อยป๊อยบอกว่าเหมือนเจ้านางทอหูก ในเรื่องภูตแม่น้ำโขงมากกว่า พี่คิ้มก็ตะเบ็งร้องเพลงทรายกับทะเล สวมบทเป็นพี่ตู่ นันทิดา หาดทรายยังสวย รายล้อมทะเลด้วยรัก คงไว้ด้วยใจแน่นหนัก..... ขี้เล่นอย่างนี้ ยืมไปเล่นที่บ้านได้มั๊ยเนี่ย
พอทีมงานดับไฟ สาดไปทั้งหมดไปที่พี่คิ้ม ข้างหลังเป็นฉากสีดำประดับไฟดวงเล็กๆ คราวนี้พี่คิ้มโดดเด่น ทีมงานเซ็ตให้พี่ทินเป็น Jack Dawson ( ในคราบพี่หลิว ) พระเอกของเรื่อง ไททานิค เข้าไปโอบเอวพี่คิ้ม ที่รับบทโรส โอ้วว...อิจฉาแกมหมั่นไส้ ว่ะ เกือบ 5 ทุ่มการทำงานของวันนี้ก็จบลง คงเป็นเช่นทุกครั้งที่จะลงท้ายด้วยการแยกย้ายกลับบ้าน
เอาของที่ได้รับฝากมาจากพี่เกศ คุณแม่ลูก 2 สมาชิกใหม่ถอดด้ามให้พี่คิ้ม ก่อนจะพากันเข้าไปห้องแต่งตัว รอพี่คิ้มเปลี้ยนชุด เดินออกมาส่งพี่คิ้มขึ้นรถ เราลากันด้วยการกอดเช่นเคย กอดลาครั้งนี้อบอุ่นเหมือนทุกครั้ง แต่คำที่พี่คิ้มกระซิบ เปิ้ล พี่ฝากดูแลสมาชิกใหม่ด้วยนะ เป็นความห่วงใยแนบท้ายมาให้ช้างรับฝากเอาไว้
เจ้ๆ เล่นป่าว พี่แบต มือคีย์บอร์ดอีกคนของ ทาเคชิ วิ่งเอาปะทัดมาหาพี่คิ้ม เฮ้ยๆ ไม่เอา กลัวๆ พี่คิ้มวิ่งหนีด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู พวกเราที่เดินตามหลังมาได้แต่ขำ เอิ๊กๆๆ....
สุดท้าย
ตลอดปีกว่าๆที่ J.Kim Mania รวมตัวกัน ในช่วงรอยต่อของคืนและวัน มักเห็นมีคนเข้ามาเอาเปรียบกับความรู้สึกดีๆที่คนทั่วไปมีกับพี่คิ้ม J.Kim Mania อาจไม่ใช่คนดี แต่พวกเรากลับเป็นคนที่รู้จักจัดการกับความเลวในตัว ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะที่ควร พวกเราจะเป็นคนดีที่สมบูรณ์แบบไปไม่ได้หาก ไม่รู้จักความเลวของตัวเองซะก่อน ซึ่งใครเรียนรู้ได้เร็วกว่าก็ขาดทุนน้อยกว่า เสียเวลาเสียความรู้สึกน้อยกว่า แต่ก็มีคนบางประเภทที่ทำให้มีอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทั้งๆที่ สิ่งที่เป็นมันควรจะอยู่ในความพอดี ช้างนั่งมองและพิจารณาคนประเภทที่กล่าวมาอย่างสมเพชและเวทนาในความโง่เขลาเบาปัญญา แอบเห็นใจเล็กๆว่าทำไมนะ มันถึงไม่รู้เท่าทันความเลวของตัวเอง ซะที คนห่...!@$%#% อะไร เป็นภัยแก่ชีวิตเป็นพิษต่อคนรอบข้างจริงๆเลย ( อย่าได้พยายามทายว่าคนๆนั้นที่ช้างพูดถึงเป็นใคร เพราะความจริง............. คุณน่ะ ทายถูกเป๊ะเลย )
รักแบบไหนที่ใจต้องการ
รักที่ต้องการความเสมอต้นเสมอปลาย อันเป็นการกระทำที่ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่า รักจริง ไม่ทิ้งขว้างกลางทาง หลายคนแรกรักมักจะทุ่มสุดตัว ทำอะไรบางครั้งก็เกินอาการของมนุษย์ทั่วไป ความรักไม่ต้องการให้ทำอะไรแปลกประหลาดอย่างนั้นตลอดไป จงเป็นตัวเราที่อบอุ่น น่ารักและสร้างความสุขในใจแก่คนที่เรารัก จงเป็นตัวหนังสือที่ต้องค่อยๆอ่านทีละบรรทัดให้แตกฉาน แล้วอย่าลืมที่จะเว้นบรรทัด เว้นช่องว่างระหว่างเรากับคนๆนั้นเสียบ้าง อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เพราะจักรวาลนั้นเว้งว้างกว้างใหญ่และลึกลับกว่าที่เราคิด อย่าได้คิดพิชิตแก่นของจักรวาล แต่จงกลายเป็นส่วนหนึ่งที่จักรวาลจะไว้ใจซะดีกว่า
ป.ล. ตอนหน้าพักเรื่องเครียดๆ ไปแอ่วเชียงใหม่กันดีกว่า ติดตามกันว่า ช้างจะไปสร้างวีรกรรมอะไร และไม่ลืมเก็บภาพสวยๆมาฝาก อย่าพลาดความสนุกครั้งต่อไป..กับการแบกเป้เที่ยว เปรี้ยวไปกับช้างน้อย...เร็วๆนี้
รูปคราวนี้อาจจะไม่ค่อยชัดนะคะ ต้องขอโทษด้วยพอดีว่าอุปกรณ์หากินไม่อยู่ก็เลยถ่ายด้วยกล้องเฉพาะกิจ เอาสวยแบบเบลอ ๆ ไปก่อนน๊า
ร้อยเรียงเรื่องราว โดย ช้างน้อย นำเสนอ โดย บูเก้ Apple & Bouquet Productions...
| |
บก. บอกว่าเป็นตอนสั้นๆ แต่อ่านแล้วยาวเชียว(เหน็บแนมยาวเชียว)55++
อืมม..ไว้ใจ เชื่อใจ มั่นใจ เป็นคำที่ทำให้หัวใจพองโตที่สุดเลย เมื่อได้ยิน