Springdays's Firstpage J.Kim's webboard ETC's webboard
ช้างน้อย…ชวนคุย ตอน Slow Life

lozocat




“ ถอดเสื้อนอกกับเสื้อในออกครับ ” ชายคนนึงพูดให้ฉันถอดเสื้ออย่างสุภาพ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่ก็ถอดตามที่เค้าสั่งโดยไม่ขัดขืน จัดการกับเสื้อตัวเองเสร็จ ฉันก็เดินตามชายคนนั้นเข้าไปในห้องมืดสลัว ความหวาดกลัวกระโจนเข้ามาในหัวฉันทันที เบื้องหลังประตูสีน้ำตาลบานนั้นจะมีอะไรรอฉันอยู่บ้าง

ฉันรวบรวมความกล้าทั้งหมด เดินผ่านเข้าไป กวาดสายตารอบๆเห็นมีแสงไฟดวงเล็กจากมุมห้อง ส่องให้ฉันพอเห็นทาง “รวบผมขึ้นให้หมด ” ชายคนเดิมออกคำสั่งกับฉันอีกครั้ง ฉันรวบผมตามที่เขาสั่ง

“ กอดอก ยืนชิดๆ” คำพูดของเขา ทำให้ตัวฉันสั่นเกร็ง เขาเดินอ้อมไปด้านหลังฉัน แล้วเริ่มแผดเสียงย่างแข็งกร้าว
“ หา..ย......ใจ.......เ..ข้า....” หางเสียงเขาลากยาวเสียจนฉันเริ่มอึดอัด “หายใจออก” ฉันผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ เขายังอยู่ข้างหลังฉัน ภายในห้องมีเพียงแต่เราสองคน ฉันไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับฉันอีก สิ่งที่ฉันทำได้ และทำได้ดีตอนนี้ คือ ตามใจเขาให้มากที่สุด ฉันแค่อยากออกไปจากห้องนี้เร็วๆ

“เสร็จแล้วครับ” เสียงเขาเริ่มผ่อนคลายกับฉันมากขึ้น อย่างน้อยเขาคงพอใจที่ฉันไม่ขัดขืน และเชื่อฟังที่เขาสั่ง “เปลี่ยนเสื้อได้แล้วครับ” เขาเดินไปเปิดประตู ฉันก้าวออกมาสู่แสงสว่างอย่างโล่งใจ “นั่งรอผมแป๊บนึงนะครับ”
เขาเดินจากฉันไปเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อย มานั่งรออย่างใจจดใจจ่อ

ชายคนนั้นเดินกลับมาอีกครั้ง คราวนี้เขาพาฉันเข้าไปอีกห้องที่สว่างจ้า ผู้ชายอีกคนนั่งรอฉันอยู่นานแล้ว
“ทำตัวตามสบายนะครับ เจ็บนิดเดียวเอง” อะไรกันเนี่ย วันนี้ฉันต้องผ่านความตื่นเต้นถึง 2 ครั้ง แถมผู้ชายไม่ซ้ำหน้ากันด้วย ฉันตกอยู่ในอำนาจของชายคนใหม่อย่างง่ายดาย แล้วเขาก็เริ่มปฏิบัตการทันที

เขาพันธนาการ ฉันเอาไว้แน่น และค่อยๆเอาบางสิ่งเข้าไปในร่างกายฉัน ฉึก..!! ทันทีที่มันอยู่ในตัวฉันๆเจ็บแปลบทันที แต่ฉันก็กัดฟันเอาไว้แน่น ไม่ปริปากร้องให้ใครสงสาร ไม่แม้แต่จะมองหน้าชายที่อยู่ตรงหน้าฉัน เลือดไหลซึมออกมา แล้วเขาก็ถอนเจ้าสิ่งนั้นออกไป

“เดี๋ยวไปตรวจฉี่นะครับ” ชายคนใหม่ หรือ คุณหมอ ปลุกฉันจากภวังค์ แหม...คิดอะไรกันน่ะ ฉันแค่ไปตรวจสุขภาพ
ไม่ได้ไปทำอะไรหวาดเสียวขนาดนั้นซะหน่อย ฉันถูก บริษัทต้นสังกัดส่งมาตรวจสุขภาพประจำปี บริษัทคงกลัวว่าเชื้อบ้าจะแล่นเข้าสู่หัวใจ แล้วฉันจะกำเริบบ้าหนักกว่าเดิม เลยต้องส่งตรวจกันบ้าง



โอ้ย..หิวจังเลย อดข้าวอดปลามาตั้งแต่เมื่อคืน น้ำท่าก็ยังไม่ได้กิน กว่าจะมาถึงโรงพยาบาลก็สายโด่ง ร้อนก็ร้อนแสบเนื้อแสบหนังไปหมด พอถึงหน้าประตู แอร์เย็นๆก็ปะทะหน้าบานๆของฉัน “อ่า....สวรรค์” บ่นกับตัวเองในใจ
หลังจากตรวจปอดที่ต้องถอดเสื้อแล้ว ฉันก็เดินมาตรวจเลือด หมอเสียบเข็มเล็กๆ เข้าไปในเส้นเลือดปุดๆของฉัน
แล้วก็สูบเลือดออกไป เมื่อ 1 ปีที่แล้วกับโรงพยาบาลเก่าที่ชื่อไปพ้องกับโรงเรียนชายล้วนแห่งนึง คุณพยาบาลจิ้มแขนฉันซะพรุนกว่าจะได้เลือดไป แขนเขียวไปหลายวัน แต่โรงพยาบาลในปีนี้จิ้มทีเดียวก็ได้เลือดแล้ว

ฉันไม่รู้หรอกว่ามาตรฐาน โรงพยาบาลมันตัดสินด้วย ISO หรือ ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ สำหรับโรงพยาบาลที่ฉันมาวันนี้ ภายนอกดูเก่าไปหน่อย แต่พอเดินเข้ามา บุรุษพยาบาลจะตรงเข้ามาบริการอย่างเต็มที่ด้วยรอยยิ้ม อาจจะเป็นเพราะ เป็นโรงพยาบาลของเอกชนก็ได้ ถ้าเป็นโรงพยาบาลของรัฐ แล้วยิ่งคุณใช้บริการเสริม บัตร 30 บาท การบริการจะดูไม่ใส่ใจทันที ฉันเคยไปโรงพยาบาลของรัฐ แล้วเห็นพยาบาลคนนึงตวาดคนไข้ที่นั่งหน้าซีดเผือด ซมพิษไข้
เหตุเพราะคนไข้ใช้บัตร 30 บาท

ทำไมมันช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฉันได้แต่สงสาร ถ้าเขามีเงินมากพอ เขาคงไม่อยากได้รับบริการแบบนี้แน่ๆ เงินเลยเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้คนเอามาใช้เป็นเครื่องมือแบ่งแยก คนเหล่านั้นเขาผิดรึเปล่าที่เกิดมาจน???



กลับมาที่การตรวจสุขภาพของฉันต่อ หลังจากที่จัดแจงเก็บตัวอย่างฉี่ไปให้หมอตรวจเรียบร้อย ฉันก็ออกมานั่งรอ หน้าห้องมีทีวีจอยักษ์ เอาไว้กันคนไข้เซ็ง พอดีเปิดซีรีย์เกาหลีเรื่องนึง เป็นฉากที่นางเอกโดนผู้ร้ายจับตัวไป ผู้ชายคนนึงที่รักนางเอกก็เข้ามาช่วย กลายเป็นสถานะการณ์สร้างวีระบุรุษไปโดยปริยาย

ถ้าเอาความเป็นจริง ผู้ชายสมัยนี้จะมีสักกี่คนที่จะทำอย่างนั้น ขนาดข้ามถนนมันยังวิ่งหน้าตั้งไปคนเดียว ทิ้งผู้หญิง (อย่าง..กรู) ไว้กลางถนนซะอย่างงั้น ปล่อยให้เดินงกๆเงินๆข้ามมาเอง ฉันเลยไม่ค่อยคาดหวังอะไรกับมนุษย์เพศชาย
มากนัก เพราะมันเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่มันเลือกที่จะเกิดมาเป็นผู้ชายแล้วล่ะ

“คุณวันวิสาข์ เชิญคะ”คุณพยาบาลเรียกฉันเข้าไปในห้อง จัดแจงตรวจความดัน ซักประวัติ วัดสายตา จากนั้นก็เดินพาฉันไปพบหมออีกคนนึง “เดี๋ยวขึ้นไปนอนบนเตียงเลยคะ” ฉันขึ้นไปนอนบนเตียง คุณหมอสาวสวย เดินมากดที่พุงฉัน พอสาแก่ใจก็เลื่อนเอาหูฟังไปกดที่หน้าอกต่อ

“ทุกอย่างปกติดีนะคะ” ฉันลงจากเตียงมานั่ง ให้หมอวินิจฉัย “มีอะไรจะถามหมอมั๊ยคะ” หมอก้มหน้าก้มตาอยู่กับผลตรวจของฉัน “เอ่อ....หมอน่ารักจังเลย” คำถามกวนๆของฉัน เรียกอาการหน้าแดงจากหมอได้ทันที คุณพยาบาลที่ยืนข้างหลัง ถึงกับปล่อยก๊าก... คงไม่มีใครนึกว่าจะเจอคนไข้บ้าๆบอๆ ถามคำถามที่มันไม่เกี่ยวกับโรคภัยแบบฉัน

ตรวจทุกอย่างเสร็จ คุณพยาบาลก็แจ้งว่าผลตรวจะส่งไปให้ที่บริษัท ฉันเดินตัวเบาออกจากโรงพยาบาล แอบนึกในใจว่าผลตรวสุขภาพฉันจะเป็นยังไงบ้าง การกินการอยู่แบบสังคมเมืองที่เร่งรีบ ทำให้สุขภาพฉันแย่ไปบ้างหรือเปล่า
การขาดการออกกำลังกาย จะทำให้ฉันป่วยง่ายบ้างมั๊ย ฉันทำงานวันละ 9 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ทุกวันฉันจะมาถึงที่ทำงานตอน 6.30 น. ในตอนนี้ฉันจะเริ่มกิจวัตรในการเขียนหนังสือ เพราะเป็นเวลาเดียวที่ Office เงียบ หลังจาก 7.30 น.
ไปแล้วความวุ่นวายจะทำให้ฉันเขียนหนังสือไม่ออก อีกอย่างมันเป็นเวลาที่ฉันกินเงินเดือนของบริษัท
ฉันจะไม่ค่อยเขียนหนังสือเวลางานเท่าไร นอกเสียจากถูกทวงและต้องเขียนส่งจริงๆ ฉันถึงจะเบียดเบียนเวลางาน
คนส่วนใหญ่คงยุ่งอยู่กับชีวิตที่ยากเกินเข้าใจ แต่ก็หนีไม่ได้ ในขณะที่วันๆฉันนั่งอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ( เย็นจนหนาว ไม่รู้เค้ากลัวพนักงานเน่ารึเปล่านะ ) จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มันพูดคุยกับฉันไม่ได้เลย ฉันชะโงกหน้าลงไปมองจากชั้น 8 ของตึกที่ทำงานอยู่ ฉันเห็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนท่ามกลางแสงแดด ร้อนเปรี้ยง พวกเขาทำงานกันอย่างแข็งขัน ฉันรู้ว่าเขาเหนื่อย แต่ก็ไม่มีทางเลือกมากพอที่หยุดทำงาน หันกลับมามองตัวเอง แม้ว่าฉันจะรู้สึกว่า ชีวิตฉันโชคดีที่มีปริญญาติดตัว มีงานดีๆในบริษัทข้ามชาติทำ

แต่งานที่ฉันทำก็เป็นสังคม office ที่มีปฏิสัมพันธ์ กับแค่เพื่อนรอบโต๊ะ พอข้ามแผนกก็จะดูแปลกแยกไปทันที
ดูคนข้างล่างนั่นซิ ฉันเห็นเขาล้อมวงกินข้าวกัน รอยยิ้มท่ามกลางเหงื่อโทรมกาย เป็นภาพที่ขัดแย้งกันโดนสิ้นเชิง
แต่ดูแล้วทำให้ฉันมีความสุขใจ อย่างบอกไม่ถูก “ Slow Life ” คือ การทำให้ชีวิตช้าลง เป็นการเข้าใจพื้นฐานความต้องการของชีวิตมนุษย์ และเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างเท่านั้นความอยากจากใจตน เพราะยิ่งเร่งรีบก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งอยากมีก็ยิ่งหา
ยิ่งไขว้คว้าก็ยิ่งจากไป คนเราจะเหนื่อยได้เท่าที่ใจเราบอกว่าเหนื่อย ไม่มีความเหนื่อยไหนที่จะอยู่กับเราตลอดไปหรอกนะ เมื่ออยู่กับมันมากพอแล้ว ก็ลองหยุดนิ่ง พักซะหน่อย แข็งแรงเมื่อไร ค่อยออกเดินต่อ พรุ่งความเหนื่อยยังรอเราอยู่เหมือนเพื่อนเก่า ออกไปพบและทักทายมันหน่อยละ บางทีเราก็จะได้รู้ว่าความเหนื่อยก็ไม่ได้แย่ไปซะหมด หากเรามีจุดหมายว่าเราเหนื่อยเพื่อใคร

ร้อยเรียงเรื่องราว โดย ช้างน้อย นำเสนอ โดย บูเก้
Apple & Bouquet Productions...






Create Date : 27 กรกฎาคม 2551
Last Update : 1 สิงหาคม 2551 22:19:07 น. 1 comments
Counter : 511 Pageviews.

 
อ่านแรกๆนี่ติดเรท น. ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำนะ 55++


โดย: Bell_Syd IP: 119.11.8.202 วันที่: 1 สิงหาคม 2551 เวลา:23:31:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

whitebouquet
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]










ภารกิจนี้ ปังคุงและเจมส์
เอ้ยยย ไม่ใช่
Apple&Bouquet จะทำสำเร็จหรือไม่ ???
ติดตามได้ที่
ขำกลิ้ง เปิ้ลกะเก้ ภารกิจเพื่อป้า !!!


+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+
ขอบคุณแอปเปิ้ล(ช้างน้อย)เพื่อนรัก
สำหรับงานเขียนดี ๆ ใน Blog ของเราสองคน
และทุกงานที่ผจญภัยร่วมกัน
ขอบคุณ "พี่น้องผองเพื่อน" ที่น่ารัก
สำหรับสิ่งดี ๆ ที่ให้กันทุกครั้งที่เจอ

ขอบคุณค่ะ
+
-+-+-+-+-+บูเก้-+-+-+-+-+
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
27 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add whitebouquet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.