|
จิ๊งเอ้ย....มาอาบน้ำเร็ว... สิ้นเสียง จุ๊งจิ๊งหมายักษ์ที่นอนอาบแดดในเวลาเช้าตรู่อยู่หน้าบ้านถึงกับเบิกตาโพลง ในใจคงพลางคิดไปว่า ไม่นะไม่จริงใช่มั๊ย เสียงฝีเท้าแน่นๆของช้างค่อยๆเดินย่างสามขุมเข้าไปอย่างเยือกเย็น ในขณะที่หมาจิ๊งนอนตัวสั่นงันงก เมื่อเดินไปถึงช้างใช้มือสองข้างกึ่งลากกึ่งแบกหมายักษ์ที่ตอนนี้ทิ้งตัวให้หนักกว่าเดิมเพิ่มเป็นสองเท่าพร้อมเสียงกระดูกสันหลังข้อที่แปดลั่นกร๊อบ เล่นเอาร้าวไปทั้งหลังเพราะน้ำหนัก 17 กว่าโล ระหว่างทางไปหมาจิ๊งก็แอบขู่และบ่นงึมงำไปตลอดทาง
ลากเข้าห้องน้ำได้ อาบไปปากก็ต้องชมไปเรื่อย จิ๊งมันหล่อนะเนี่ย , จิ๊งเก่งน้า หมาบ้านนี้ได้ความบ้ายอคนเลี้ยงมาเต็มๆเลย มันเป็นกิจวัตรประจำทุกวันศุกร์ไปแล้วที่ต้องจับอาบน้ำ หมาจิ๊งเองก็ปรับตัวรู้เรื่องรู้ราวว่าวันไหนเป็นวันศุกร์ วันนั้นจะอยู่ห่างจากช้างไปร้อยหลา ข้าวปลาไม่ขึ้นมากิน ถือคติยอมหิวดีกว่าโดนอาบน้ำ 55+
ความสัมพันธ์ระหว่างช้างกับหมาจิ๊งกระท่อนกระแท่นมาเรื่อยๆตั้งแต่จับอาบน้ำถี่ขึ้น ทั้งที่เมื่อก่อนสนิทสนมกลมเกลียวกันเป็นที่สุด อาบน้ำหมาเสร็จก็มาอาบน้ำคนบ้าง วันนี้นัดพรรคพวกสมาคมคนแก่แห่งประเทศเราเอาไว้ แต่ละคนมีเลข 3 กำกับอายุไว้ข้างหน้ากันหมดแล้ว เหลือช้างกับเก้ที่ยังเอ๊าะๆ คริ คริ
ออกจากปริมลฑลโดยมีท่านพ่อมาส่ง ตรงป้ายรถเมล์ มาต่อรถไฟฟ้าที่อ่อนนุช ถึงชิดลมราวๆ 3 โมงพอดิบพอดี ยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ หาอะไรทำดีกว่า ไหนๆ ก็มาถึงถิ่นเดิมทั้งทีแวะไปชื่นใจที่ทำงานเก่าสักหน่อยดีกว่า รู้ว่าเจ็บแต่ก็ยอมนะคนเรา...
สี่โมงกว่าเก้มาถึงชิดลมด้วยอาการกระหืดกระหอบ แม่นางคงเหนื่อยจากการขึ้นบันไดรถไฟฟ้า เดินตรงไปที่งาน เห็นคนแล้วลมจะใส่ แน่นมาก รองเท้าเจ้ากรรมของช้างดันกัดเท้าเลยต้องเดินหาเอาในงาน Praew Charity ซะเลย จนแล้วจนรอดไม่สามารถเบียดคนเข้าไปได้เลย จนต้องนั่งยองๆ คลานเข่าเข้าไปเลือก ได้มาคู่นึงที่บู๊ทคุณนาขวัญ รายนานนท์ ซึ่งมีที่สวยแต่เล็กกระจิ๋วหลิว เท้าช้างยัดลงไปไม่ได้ เสียดายคู่นั้นแสนจะถูกแถมเป็นของ Zara เสียด้วย ถ้าให้ซื้อเองคงไม่มีปัญญาแน่ นี่เขาเอามาลดราคาว่าจะสอยแต่ดันมีอุปสรรค
หันไปหาที่พึ่งจากคนใกล้ตัว บีบน้ำตานิดหน่อยก็ได้คู่สวยจากท้ายรถเบ๊นซ์มาครองสมใจ ได้เกิบที่ใส่สบายกว่าแล้ว ก็หาที่นั่งกินน้ำกินท่ากันดีกว่า เดินหลงกันอยู่พักใหญ่ วนไปวนมาตามประสาคนนอกเมือง ที่สำคัญเราจะเดินขึ้นกะไดเลื่อน (ภาษาบ้านพี่เขา) ไม่ได้อีกแล้ว เพราะท่าทางจะลำบากพี่เจ้าของรองเท้าน่าดู สุดท้ายต้องอาศัยลิฟท์แก้วมาส่งที่ชั้น 6 นั่งร้านป้าแอน ( Auntie ann ) ช้างทิ้งสมาชิกไปทำภารกิจชั่วคราว (แค่ 2 ชั่วโมงเอง)
ระหว่างนั้นก็ไปชุ่มชื่นหัวใจตามเคย สมาชิกที่เหลือทยอยมากันจนครบ ตั้งวงป๊อกเด้งกันในร้านป้าแอน สลับกับโทรตามช้างเป็นระยะๆ ภารกิจสะพานควายเลยถูกยกเลิก ช้างกลับมาสมทบ สมาชิกสะกิดให้ช้างดูโอปอลล์ที่นั่งด้านหลัง Oh my God !! นางใส่กางเกงแบบ Full-Coverage ซ่อนเรียวขาด้วยถุงน่องสีดำ ปกปิดดวงตาด้วยแว่นตาดำ หอบหิ้วถุงช็อปปิ้งพะรุงพะรัง มาเดิน Central World ตอกย้ำในความเป็น fashionista ของนางได้ดีทีเดียว
เวลางวดเข้ามาทุกที ลงจากชั้น 6 สู่เบื้องล่างคนจากที่เยอะเปลี่ยนเป็นเยอะมาก-มากที่สุด แฟนคลับเพียบ !! ป้ายไฟพรึ่บ !! พวกเราต้องยืนหลับหลังเวทีแอบๆตามซอกมุมเล็กๆ นักข่าวสื่อมวลชนร้อยกว่าสำนักมาออกันหลังเวที รอเก็บภาพและสัมภาษณ์จนแน่นขนัด คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกกันให้ห่างจากพื้นที่ การ์ดคอนเปิดทางให้นายแบบนางแบบเดินเข้าไปเตรียมตัว ที่ผ่านสายตามีทั้ง พลอย เณอมาลย์, ชมพู่ อารยา เอ-ฮาเก็ต, พี่นก สินจัย ,จุ๋ย วรัทยา,คุณเยลหลี เจราดีน ,คุณหญิงหมอ พรทิพย์ (กรี๊ด) }แพนเค้ก เขมนิจ ,พี่มาช่า ฯลฯ ฝ่ายชายนำมาด้วย อาหนิง นิรุตต์ (กรี๊ดดด) กลุ่มเราตบตีแย่งอาหนิงกันใหญ่ ผู้ชายอะไรยิ่งแก่ยิ่งหล่อ ที่ช้างแต่งตัวสวยมาก็เพื่ออาหนิงโดยเฉพาะ 5555
ตามมาด้วยพี่ดู๋ สัญญา ควงภรรยามาด้วย พี่ก้อง สหรัฐ ,พี่นก ฉัตรชัย ,บอย ปกรณ์ ,มาริโอ้ ,นิว วงศ์กร,พี่โน้ส อุดม ผู้พันวันชนะ ฯลฯ นี่แค่ส่วนนึงของทั้งหมดที่มาภายในงานนี้ เท่านั้น ยังมีอีกเป็นกะตั้ก เปิดเวทีด้วยมินิคอนเสิร์ตของหนุ่มบีม กวี กับเพลงแฟนใครไม่รู้ จังหวะนั้นเอง เหลือบไปเห็นพี่คิ้มกับพี่โก้ยืนอยู่หลังเวที ไม่รอช้าแทรกตัวเข้าไปยืนหายใจร่วมกับพี่คิ้มทันที
ทันใดนั้นเองพี่โก้ปรี่เข้ามาทัก อัธยาศัยดีเป็นเลิศเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ส่วนพี่คิ้มโน่นโดนนักข่าวหลายสำนักแย่งตัวกันไปสัมภาษณ์ แว่วๆ ถามความคืบหน้าเรื่องคอนเสิร์ต ก็คงได้ดูกันเร็วๆ นี้ หันมาอีกทีแฟนๆ ก็ขอถ่ายรูปกันใหญ่ บางคนก็สมหวัง ในขณะที่บางคนก็ต้องพลาดหวังเพราะพี่คิ้มขอทำสมาธิก่อนขึ้นเวที
เมื่อบีม กวีลงจากเวที พิธีกรที่ประกอบด้วยพี่พอล ภัทรพล และคุณจูน ก็ขึ้นดำเนินรายการ ช่วงแรกเป็นการประกาศเกียรติคุณจากทางแพรวที่ยกย่องและมอบให้กับคนดังหลายๆวงการ อาทิเช่น คุณสรยุทธ์ สุทัศนจินดา พี่มาช่า และพี่โน้ส อุดม รายหลังเขาให้ขึ้นรับเกียรติคุณดันมาโชว์เดี่ยวไมค์โครโฟนเรื่องไปถ่ายแบบกับแพรวที่ฮ่องกง ปรากฏว่าทีมงานที่โน่นไม่เชื่อว่าพี่โน้สจะเป็นนายแบบซะงั้น คุณดูเลยได้กำไรไปเต็มๆ
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ (เว่อร์ตลอด) ที่พี่คิ้มจะขึ้นเวที งานประมาณนี้เท่าที่จำได้พี่คิ้มกับพี่โก้ผ่านมาพอสมควร หากยังจำกันได้งานใหญ่อย่าง Elle Fashion week 2008ห้องเสื้อ Zenithoral งาน Gaysorn Love Carnival ที่แตงโม ปล่อยโฮกลางแคทวอล์ค งานเปิดร้านเสื้อ Suri by Surivipa พี่คิ้มพี่โก้ก็เคยขึ้นโชว์มาแล้ว งานนี้เป็นอีกงานนึงที่แคทวอล์คนี้จะได้อาศัยเสียงเพลงจากพี่ทั้งสองคนมาช่วยทำให้โชว์ออกมาสมบูรณ์แบบ
พี่โก้เปิดแคทวอล์คด้วยเพลง Retro Nuvo ตามมาด้วยเพลงของพี่คิ้ม หลังจากนั้นบรรดานางและนางแบบก็ทยอยออกมาเดินวาดลวดลาย คนเดินก็เดินไป คนดูก็กรี๊ดกันสนั่น ช่างภาพก็รัวชัตเตอร์แบบไม่ยั้ง พี่คิ้มพี่โก้กลายเป็นส่วนนึงบนเวทีที่ไม่ใช่ส่วนใหญ่อย่างที่เคย เพราะทุกคนมุ่งความสนใจกับนายแบบนางแบบ จนไม่มีใครทันสังเกตุด้วยซ้ำว่าพี่คิ้มทำอะไร รอบข้างช้างที่อยู่บนชั้นสอง วิพากษ์วิจารณ์นางแบบนางแบบไปต่างๆนานา ในขณะเดียวกันพี่คิ้มกับพี่โก้มายืนมุมซ้ายของเวที เพลงที่ใช้มันถูกทอนให้สั้นลงเพื่อความเหมาะสม และรวบรัดเอาให้ทันกับเวลาที่มีอย่างจำกัด หลังจากจบโชว์ต่างคนก็ไปคนละทิศละทาง ดาราบางคนก็ยังโดนกองทัพนักข่าวรอดักสัมภาษณ์ อย่างที่มาเป็นคู่ อาทิเช่น นิว-จุ๋ย , แพนเค้ก-เวียร์ เป็นต้น ช้างลงมาจากชั้น 2 เดินสวนกับคุณหญิงหมอพรทิพย์ อารามอยากขอถ่ายรูปแบบว่าเป็นแฟนหนังสือสืบของท่านมานานแล้ว แต่พอเจอตัวจริงเกรงใจอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่ยกมือไหว้ใส่คุณหญิง ทำเอาท่านงงๆอยู่เหมือนกัน ยั่งงี้ทุกทีเจอใครที่ปลื้มทีไรระบบสั่นทำงานทุกที
ช้างลงมาไม่ทันพี่คิ้ม เห็นเพื่อนนักข่าวของช้างบอกว่าพี่คิ้มพี่โก้โกยแน่บกันไปนานแล้ว เนียนยืนกับเพื่อนนักข่าวอย่างน่าไม่อาย ก็ได้มันนี่หล่ะ ช้างเลยเข้าไปโซนของนักข่าวได้ พอพี่คิ้มไปแล้ว ช้างก็ไม่ได้เดินไปหน้าเวทีอีกเลย แต่ได้ยินเสียงแว่วๆ ว่าจะเป็นมินิคอนเสิร์ตของเหล่า The star อย่างหนุ่มสิงโต น้องดิว ขวัญใจช้างที่แอบเชียร์ตั้งแต่อยู่ในบ้าน น้องฟลุ๊ก ที่ช้างไม่ได้เห็นหน้าได้ยินแต่เสียง
หลังจากทุกอย่างสงบ ก็ได้เวลารวมตัวกันอีกครั้ง บางส่วนก็ขอแยกกลับบ้าน เหลือตัวแม่เอาไว้ 4 คน ไปต่อกันที่ร้านบ้านกลมกิ๊ก ในซอยร่วมฤดี ไม่ได้เอารถไปอาศัย Honda เดิน(เท้า) ล้วนๆ กว่าจะถึงร้านเหงื่อโทรมกายกันเลย ภาพแรกที่เห็นโดยรวมบรรยากาศร้านน่านั่งมากๆ เป็นบ้านไม้เก่าที่เอามาตกแต่งด้วยโทนสีขาว ประดับด้วยโคมไฟสีนวล ก่อนถึงส่วนที่เป็นครัวมีต้นลีลาวดีเด่นเป็นสง่าอยู่หนึ่งต้น รวมๆ แล้วร้านถูกออกแบบมาให้เป็นสไตล์บาหลี
ร้านมีสองส่วน สามารถเลือกได้ว่าจะนั่งเป็น Outdoor กินลมชมผนัง หรือจะตากแอร์ให้ปอดบวมด้านในที่มีสองชั้นก็ย่อมได้ วันนี้เราเลือกชั้นล่างเป็นทำเลในการกิน สั่งเมนูแนะนำ ไข่เจียวสุชาดา ปลากะพงทอดน้ำปลา แกงเผ็ดเป็ดย่าง ตำผลไม้และสปาเก็ตตี้ สำหรับผู้ใหญ่สองท่านที่ไม่หม่ำข้าวเป็นมื้อหนัก
อัธยาศัยพนักงานร้านนี้น่ารัก บริการดี มีความเป็นมืออาชีพในการแนะนำเมนูต่างๆ โดยเฉพาะพี่หนวดคนที่รับผิดชอบโต๊ะเราท่าทางจะเป็นคนมีอารมณ์ขันแบบเจ้าของร้านแน่เลย อาหารขึ้นโต๊ะอย่างรวดเร็วไม่ต้องหิ้วท้องรอนาน ลงมือหม่ำกันไปคุยกันไป ถ่ายรูปกันไป หันมาอีกทีพี่กุ้งน้องสาวพี่ซูโม่กิ๊กก็เดินออกมาจากหลังร้าน มาต้อนรับลูกค้า พวกเราจัดการโบกทันที
พี่กุ้งน่ารักมากปล่อยมุขแซวตัวเองตลอด พี่จะเข้าไปได้มั๊ยเนี่ย / พี่มานั่งแล้วน้องดูตัวเล็กลงไปเลยเนอะ ชักภาพร่วมกันกับพี่กุ้งและหลานสาวแสนสวยของพี่กุ้งมาหลายรูป จากโต๊ะเราไปพี่กุ้งก็แวะทักโต๊ะนั้นทีโต๊ะโน้นที อาศัยความเป็นกันเองในการบริการลูกค้า ให้เหมือนเราอยู่บ้านเราเอง
อิ่มแล้วก็เอาเค้กในตำนานของช้างออกมาแกะกิน พี่เก้มันไม่ยักรู้จักเค้กในตำนาน หยิบมาหัยกิน 1 ชิ้นเป็นบุญปาก เค้กแบบนี้สมัยช้างเด็กๆฮิตมาก มันเป็นความอร่อยในราคาบาทเดียว ที่เด็กปริมลฑลจะได้ลิ้มลอง
ระวังเสียค่าเปิดเค้กนะครับ อีตาพี่หนวดเดินเอาช้อนมาให้แถมคำแซวอีกหน่อยนึง นั่นไงบอกแล้วว่าร้านนี้เขากันเอง รสชาติเค้กมันก็คงไม่เอร็ดอร่อยเท่าเค้กราคาแพงๆ ตามโรงแรมหรือร้านดังๆ หรอก แต่อย่างที่บอกว่าสมัยก่อนมันมีให้กินดีที่สุดแค่นี้ ความอร่อยมันเลยเกิดขึ้นโดยไม่จำกัดเงื่อนไขว่าราคากี่บาท จากวันนั้นจนวันนี้รสชาติหวานเค็มมันของเค้กยังติดอยู่ในใจช้างไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้วันนี้ไม่ได้ชิม แม้วันนี้จะกินในราคาบาทเดียวไม่ได้แล้ว แม้ว่าราคาเพิ่มขึ้นเป็นชิ้นละ 3 บาท แต่ก็ยังดีใจที่มันยังขายได้อยู่ ยังมีคนซื้อไปขายให้เด็กรุ่นหลังได้กินต่อ เรื่องของอดีตบางอย่างก็อยากให้มันหายไป แต่บางอย่างก็อยากให้มันคงอยู่ตลอดไป
ก่อนกลับมายืนรอถามหาแม่สุชาดากับพี่กุ้ง ได้ความว่าแม่ชากำลังยุ่งๆ อยู่หลังร้านเลยอดเจอ พี่กุ้งบอกว่าเอาไว้คราวหน้าแล้วกัน แหม..มันเป็นแผนใช่มั๊ยพี่กุ้ง จะหลอกให้มาเสียตังค์คราวหน้าอีกอ่ะ ช้างแซวพี่กุ้งกลับมั่ง พี่กุ้งแกเลยขำ แล้วก็ยักหน้าตอบว่าใช่.......อ้าว !?!
ออกมานอกตัวร้าน ให้พนักงานเรียก Taxi เพราะ Honda เดิน (เท้า)ไม่ไหวแล้ว ระหว่างรอก็ถ่ายรูปหน้าร้านเล่นกันเป็นที่สนุกสนาน แยกย้ายกันกลับจริงๆก็สี่ทุ่มกว่าๆ โน่นหล่ะ
30 ปี หากเปรียบเป็นคนหนุ่มสาวก็คงพึ่งก้าวผ่านพ้นและละทิ้งความอ่อนเยาว์ในวันวานลงอย่าเสียไม่ได้ ความขาดเขลาเบาปัญญาดั่งเช่นเก่าก่อนถูกเติมเต็มด้วยวัยวุฒิและวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ สัญญาณบางอย่างบ่งชี้ว่าหลายอย่างในชีวิตจะเข้มแข็งขึ้น เติบโตขึ้นตามวันและเวลา เป็นเพราะความสัมพันธ์เริ่มจากปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อกัน มันมักจะมาในหลายรูปแบบและหลายครั้งมันถูกปะปนมาด้วยความไม่จริง ความสัมพันธ์ที่ดีหากต้องผ่านช่วงเวลา บทพิสูจน์ที่ให้ค่อยตกผลึกออกมาเป็นความจริงใจที่ไม่เจือปนสิ่งใดนอกจากสิ่งดีๆ ที่มีให้กัน กระนั้นก่อนที่เราจะเจอกับเป้าหมายปลายทางที่ดี เราก็ต่างผ่านสิ่งเลวร้ายมาแล้ว อาจมีทั้งเสียงหัวเราะและน้ำตา แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเสียน้ำตา เพราะนั่นคือการพ่ายแพ้ของร่างกายที่มีต่อจิตใจ และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราไม่สามารถรับมือกับจิตใจของตัวเองได้เลย
ป.ล. ขอบคุณพี่น้องทุกคนสำหรับของขวัญที่นำมาให้เนื่องในวันคล้ายวันเกิดที่ผ่านไป วันนี้อาจเป็นการเจอกันทักกันเป็นครั้งแรก ก็หวังเอาไว้ว่ามันจะมีครั้งต่อๆไปที่เรายังจะทักกันอยู่ หากแม้ว่าไม่สามารถทักกันได้อีกแล้ว ก็ไม่เป็นไร ถือซะว่าครั้งนึงเราเคยรู้จักกัน แต่ตอนนี้เราแค่มีเหตุให้ต้องห่างกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด บางครั้งก็ไม่สำคัญหรอก ปล่อยให้มันเป็นไป แบบที่มันควรจะเป็นเถอะ ไม่อยากรู้แล้วล่ะ
ป.ล.(2) กลับบ้านไป ไอ้หมายักษ์มันยังไม่ยอมหลับยอมนอน ได้ยินเสียงฝีเท้าของช้าง มันกระดกหัวลุกมายืนส่ายตูด ทำหูลู่ๆ กระโจนใส่ช้าง เลียไม้เลียมือ เหมือนจากมันไปหลายเดือน อันที่จริงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง ทีตอนเช้าข้าเข้าใกล้เอ็งยังไม่ได้เลย ทีงี้ทำมาเป็นดีใจ รู้นะว่าหวังของกินที่เอามาฝากใช่มั๊ยล่ะ ไอ้หมายักษ์เอ้ย...
ป.ล.(3) ขออภัย ตอนนี้รูปน้อยไปหน่อย ผู้คนเรือนแสน เบียดไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ
ร้อยเรียงเรื่องราว โดย ช้างน้อย นำเสนอ โดย บูเก้ Apple & Bouquet Productions...
| |
บาทเดียวก้อเสียวได้ อุไม่...สุโก้ย !!