สถานีวิจัยทดสอบพันธุ์สัตว์พะเยา จึงได้ศึกษาการใช้ประโยชน์จากเศษเหลือของข้าวโพดมาเป็นอาหารหยาบหลัก สำหรับเลี้ยงโค กระบือ รองรับยุทธศาสตร์การเลี้ยงโคครบวงจรของจังหวัดพะเยา และเป็นการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์เพื่อลดปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมจากการเผาตอซังข้าวโพดแต่เนื่องจากเปลือกข้าวโพดแห้งมีความน่ากินและคุณค่าทางโภชนะต่ำ รวมทั้งมีเยื่อใยสูง จำเป็นต้องปรับปรุงคุณภาพก่อนนำมาใช้เลี้ยงสัตว์โดยนำมาหมักร่วมกับจุลินทรีย์เพื่อผลิตเป็นอาหารหมัก (Silage) ดังนั้นการศึกษาเปลือกและซังข้าวโพดมาหมักจึงเป็นแนวทางหนึ่งในการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรสามารถเพิ่มคุณค่าทางอาหารให้สูงขึ้น โค-กระบือสามารถใช้ประโยชน์ได้ดียิ่งขึ้นแก้ไขปัญหาขาดแคลนอาหารหยาบของโค กระบืออย่างยั่งยืนต่อไป วัตถุประสงค์การผลิตอาหารหมักจากเศษเหลือจากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารหยาบในช่วงฤดูแล้ง
ส่วนประกอบในการทำหัวเชื้อน้ำหมักชีวภาพจากแป้งเหล้า (ส่าเหล้า) เพื่อใช้หมักเปลือกข้าวโพด
1. แป้งเหล้าหรือส่าเหล้า น้ำหนัก 3 ขีด ( 300 กรัม )
2. กากน้ำตาล 5 ขีด ( 500 กรัม )
3. ปุ๋ยยูเรีย 1 ขีีด (100 กรัม )
4. น้ำ 10 ลิตร (1,000 กรัม)
ลำดับขั้นการผสมส่วนผสม
1. ละลายปู๋ยยูเรียในน้ำ คนให้เข้ากันจนปุ๋ยละลายหมดก่อน
2. เติมกากน้ำตาล คนให้เข้ากัน
3. เติมแป้งเหล้าที่บดละเอียดแล้ว คนให้เข้ากัน
4. ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง จะได้หัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้น ใช้สำหรับมักเปลือกข้าวโพด (เปลือกแห้ง)
วิธีการนำไปใช้งาน
- เนื่องจากหัวเชื้อที่ได้มีความเข้มข้นสูง ก่อนใช้ต้องนำไปเจือจางกับน้ำก่อน อัตราส่วนที่ใช้ หัวเชื้อ 1 ลิตร ต่อ น้ำ 10 ลิตร หมักทิ้งไว้ 2 วันแล้วนำไปใช้หมักเปลือกข้าวโพดได้เลย
- หัวเชื้อที่ผ่นการหมัก 2 วัน สามารถนำไปเพาะพันธุ์ขยายเชื้อไว้ใช้งานได้ตลอดไป โดยไม่ต้องกลับไปใช้แป้งเหล้าเป็นหัวเชื้ออีกแล้ว ให้นำไปหมักกับส่วนผสมอัตรส่วนเหมือนตอนแรก แต่ใช้น้ำหัวเชื้อ 1 ลิตรแทนแป้งเหล้า 300 กรัม หมักใช้ต่อไปได้ตลอดกาล
1.หมักหัวเชื้อโดยใช้ แป้งเหล้า3% ยูเรีย 1% กากน้ำตาล 5% ผสมให้เข้ากันทิ้งไว้ ประมาณ 1 ชั่วโมง
2.นำเปลือกข้าวโพดใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดเช่น ถังรียูช ถุงดำ หรือบ่อหมัก
3.รดน้ำพอให้เปลือกข้าวโพดชุ่มน้ำ (ความชื้นประมาณ 60 %)
4.รดหัวเชื้อให้ทั่วเปลือกข้าวโพด
5.อัดไล่อากาศหรือเหยียบให้แน่น
6.หมักไว้ประมาณ 30 วันแล้วเปิดนำไปเลี้ยงโค
ผลการวิเคราะห์เบื้องต้น
การประเมินคุณภาพอาหารหมักจากลักษณะทางกายภาพ (กรมปศุสัตว์,2547)
จากการศึกษาลักษณะทางกายภาพของอาหารหมัก โดยเฉพาะจากเศษเหลือจากการปลูกข้าวโพดพบว่า มีคุณภาพดีถึงดีมาก มีกลิ่นหอมคล้ายผลไม้ดอง เนื้อแน่น และมีสีน้ำตาลทอง
การวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนเบื้องต้นและต้นทุนการผลิต
ตัวอย่าง | วัสดุที่ใช้ทดลอง | วัตถุแห้ง % | เยื่อใย % | โปรตีน % |
1 | เปลือกข้าวโพด +ลูกแป้ง | 94.46 | 29.26 | 4.56 |
2 | เปลือกข้าวโพด +รำหยาบ +ลูกแป้ง | 94.95 | 46.54 | 5.35 |
3 | ผสม+รำหยาบ +ลูกแป้ง | 91.85 | 29.24 | 5.87 |
4 | ผสม+รำหยาบ +ลูกแป้ง +กากน้ำตาล | 96.98 | 28.34 | 13.85 |
5 | หญ้าสด (control) | 96.01 | 28.13 | 8.10 |
ผสม* คือ เปลือก ซังข้าวโพด ฝุ่นข้าวโพด
การหมักเปลือกข้าวโพดผสม (ผสม คือ เปลือก ซังข้าวโพด ฝุ่นข้าวโพด) ร่วมกากน้ำตาล จะได้วัตถุแห้ง 96.98 % ไขมัน 1.20 % เยื่อใย 28.34 % โปรตีน 13.85 % สรุปคือเปลือกข้าวโพดหมัก สามารถนำมาทดแทนหญ้าสดได้ เพราะมีโปรตีนสูง และต้นทุนต่ำ (ประมาณ 50 บาท ต่ออาหารหมัก 100 กิโลกรัม
เมื่อเปรียบเทียบการให้อาหารหยาบระหว่างอาหารหมักจากเปลือกข้าวโพดและฟางข้าวพบว่า โคจะกินอาหารหมักเปลือกข้าวโพดดีกว่าฟางข้าว
กิตติกรรมประกาศ
งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสวทช. (เครือข่ายภาคเหนือ) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ซึ่งได้ข้อมูลและคำปรึกษาจากคณะอาจารย์สาขาเทคโนโลยีชีวภาพและสาขาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา
ระยะเวลาในการกินอาหารหยาบของโคขุน
เมื่อเปรียบเทียบการให้อาหารหยาบระหว่างอาหารหมักจากเปลือกข้าวโพดและฟางข้าวพบว่า โคจะกินอาหารหมักจากเปลือกข้าวโพดดีกว่าฟางข้าว เวลาเฉลี่ยในการกินประมาณ 30 นาที ต่อการให้อาหารในรางอาหาร 1 ครั้ง
ต้นทุนการผลิตอาหารข้นในการเลี้ยงโคขุน ต่อ 1 มื้อ ต่อ 1 ตัว (วัตถุดิบ+รำหยาบ+กากน้ำตาล)
ต้นทุนอาหารข้น (บาท) |
กากเบียร์ | กากมันหมัก | ฟักทองหมัก | เปลือกข้าวโพดหมัก |
30.85 | 20.45 | 18.45 | 15.49 |
กากเบียร์ : ใช้วัตถุดิบคือ กากเบียร์+รำหยาบ+กากน้ำตาล
กากมันหมัก : ใช้วัตถุดิบคือ กากมันหมัก+รำหยาบ+กากน้ำตาล
ฟักทองหมัก : ใช้วัตถุดิบคือ ฟักทองหมัก+รำหยาบ+กากน้ำตาล
เปลือกข้าวโพดหมัก : ใช้วัตถุดิบคือ เศษเหลือข้าวโพดหมัก+รำหยาบ+กากน้ำตาล
การวัดประสิทธิภาพการผลิตโคขุน
การใช้อาหารหมักจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมีประสิทธิภาพในการเพิ่มน้ำหนักโคขุนทัดเทียมกับการใช้กากเบียร์ จึงเป็นแนวทางที่เกษตรกรสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการผลิตโคขุนอย่างยั่งยืนได้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
นายสัตวแพทย์ สมชาติ ธนะ
ดร. มนตรี ปัญญาทอง
ดร. ขรรค์ชัย ดั้นเมฆ
โทรศัพท์ 0-5446-6666 ต่อ 3266 3263
โทรสาร 0-5446-6716
สาขา สัตวศาสตร์ และ สาขา เทคโนโลยีชีวภาพ คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา