ไปเกี้ยวสาว
ไป เกี้ยวสาว

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"คนวังจั่น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปช่วยงานซ้อมข้าว

สมัยเด็กผมอยู่ที่ อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี เมืองโบราณที่มีตำนานมากมาย รวมทั้งเรื่องผีๆ สางๆ ก็ไม่ใช่น้อย เรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับเด็กๆ อย่างพวกผมคือ "ตายใบไม้เหลือง"

พวกผู้ใหญ่เล่าว่า เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบใหม่ๆ เกิดโรคร้ายคือฝีดาษหรือไข้ทรพิษระบาดที่ตำบลหนองสำโรง คนล้มตายเป็นเบือ คนที่เจ็บป่วยแล้วรอดมาได้ก็มีรอยแผลเป็นตามใบหน้าและร่างกาย คนเคราะห์ร้ายกว่านั้นก็ถึงกับตาบอดไปเลย

คนตายมากขนาดต้องเผาศพ แทบทั้งวันทั้งคืน!

เปลวไฟร้อนแรงทำให้ใบไม้เหลืองไปหมด ชาวบ้านสยดสยอง หวาดกลัวจนต้องอพยพครอบครัว อุ้มลูกจูงหลานหนีโรคระบาดไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว กระทั่งโรคร้ายบรรเทาลงจึงได้อพยพกลับมาอีกครั้ง

เมื่อผมแตกเนื้อหนุ่มก็มีเพื่อนรุ่นพี่ชักชวนไปเที่ยวเตร่ อีกทั้งการไปเที่ยวบ้านสาวๆ ตอนกลางคืนอีกด้วย มีพี่ทิดบุญยังกับพี่ทิดแก้ว สองคนนี้เป็นหัวโจก ไปงานบวชบ้าง แต่งงานบ้าง แต่พวกหนุ่มๆ จะชอบงานบวชมากกว่า เพราะเป็นประเพณีที่ต้องจัดงานใหญ่โตเท่าที่จะทำได้

พ่อนาคจะแต่งตัวโพกผ้า ติดเครื่องประดับและใส่แว่นตาดำคล้ายๆ กับประเพณีบวชลูกแก้วของชาวแม่ฮ่องสอน

งานบวชส่วนมากจะจัดกันถึง 4 วัน คือตำขนมจีน 1 วัน, แห่ 1 วัน, เวียนรอบโบสถ์ (หรือบวช) 1 วัน, แถมฉลองพระบวชใหม่อีก 1 วัน

ที่หนุ่มๆ ชอบงานนี้ก็เพราะมีโอกาสได้ไปช่วยสาวๆ หาบน้ำจากพรุมารดข้าวทุกวันเพื่อทำขนมจีน ช่วยสาวๆ ที่มีทั้งพวกเจ้าภาพและเพื่อนบ้านตำขนมจีนกันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย..ได้ โอกาสเกี้ยวพาราสีกันไปด้วย

ไหนจะประเพณีเก็บข้าวไว้ซ้อมตอนกลางคืนอีกล่ะครับ!

บ้านไหนไม่มีลูกสาวก็จัดการซ้อมข้าวตอนกลางวันได้เลย เพราะไม่มีใครมาช่วยซ้อมให้หรอก แต่บ้านที่มีลูกสาวน่ะเป็นอันว่าหายห่วง ตกค่ำก็จุดตะเกียงกระป๋องรอคอยได้เลย

นั่นคือเป็นการส่งสัญญาณ เชิญชวนให้พวกหนุ่มๆ ลูกคางใสให้รีบกุลีกุจอเข้ามาช่วยพลีแรงกาย ซ้อมข้าวให้ฟรีๆ โดยมีการได้เกี้ยวสาวเป็นสิ่งตอบแทน

บรรพบุรุษของพวกเราก็ผูกสมัครรักใคร่ ได้เกี่ยวก้อยกันเข้าหอก็เพราะการช่วยตำขนมจีน ตำข้าวนี่แหละครับ

อ้อ! คำว่า "เกี่ยวก้อย" นี่มีความหมายเป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้ว แต่ที่บ้านผมน่ะทำยังงั้นตรงตัวจริงๆ คือให้เจ้าสาวเกี่ยวนิ้วก้อยกับเจ้าบ่าวขึ้นเรือนหอ โดยถือเคล็ดว่าอย่าให้นิ้วก้อยหลุดจากกัน ไม่งั้นจะเป็นลางไม่ดีในวันหน้า

เผลอๆ คำว่า "เกี่ยวก้อย" ที่ว่าน่ะอาจจะมีต้นตอมาจากบ้านผมก็ได้ ไม่แน่

คืนหนึ่ง พี่ทิดทั้งสองก็มาร้องเน้อๆ ชวนผมไปเกี้ยวสาวบ้านนั้นบ้านนี้ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว เห็นแสงไฟสว่างเรืองที่ใต้ถุนก็เลี้ยวเข้าไปทันที มีหนุ่มอื่นๆ ในตำบลที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเป็นคู่แข่ง

เรื่องนี้เราไม่ว่ากัน ใครดีใครได้ หรือสุดแท้แต่ผู้หญิงเขาจะถูกชะตาคนไหน จะคารมเป็นต่อ-รูปหล่อเป็นรองหรือไม่ ก็ว่ากันไป

บางบ้านค่อน ข้างเงียบเหงาเพราะมีสาวน้อย แถมยังไม่ค่อยสะสวย..จนกระทั่งเราเห็นแสงไฟสว่างที่ใต้ถุนบ้านป้าคำใส พี่ทิดบุญยังรีบนำหน้า เห็นสาวๆ อยู่สามคนกำลังซ้อมข้าว..สองคนเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มให้ อีกคนก้มหน้าง่วงอยู่ที่ครกท่าเดียว

จู่ๆ หมาเจ้ากรรมก็หอนโบ๋วขึ้นมา พี่ทิดทั้งสองสะกิดกันถามว่าใคร? ผมเองก็เอะใจที่เห็นสาวแปลกหน้าทั้งคู่ จนกระทั่งคนที่ก้มอยู่เงยหน้าขึ้นมา เราผงะหงายไปทุกคนเมื่อจำได้ถนัดตา..พี่สายบัว-ลูกสาวป้าคำใสตายไปเมื่อต้น ปีเพราะเป็นไข้ทับระดู

ร่างของสองสาวรางเลือนไปในแสงไฟ เสียงพี่ทิดทั้งสองร้องแต่เฮ้ยๆๆ เหมือนคนบ้า ความมืดสาดพรึ่บเข้ามาแทนที่ ยอดไม้ไหวซ่า ผมหันกลับวิ่งนำหน้าไม่คิดชีวิต ลุ้มลุกคลุกคลานแทบตายกว่าจะถึงบ้าน

บทจะโดนผีหลอกทำให้ลืมเสีย สนิทว่าบ้านนี้ไม่มีลูกสาวอีกแล้ว..ขนลุกครับ!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREEwTURZMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3TkE9PQ==



Create Date : 06 มิถุนายน 2553
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 12:58:23 น.
Counter : 531 Pageviews.

0 comment
บั้งไฟพญานาค
บั้ง ไฟพญานาค

ขนหัวลุก

"ใบหนาด"



"วิสา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากริมแม่น้ำโขง

คิดว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่คง จะเคยได้ยินเรื่อง "บั้งไฟพญานาค" มาแล้วนะคะ ดูเหมือนว่าจะมีที่จังหวัดหนองคายแห่งเดียวเท่านั้น ถ้ามีที่จังหวัดอื่นๆ ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ

ลูกไฟที่โผล่จากแม่น้ำโขงตอนค่ำๆ เหมือนมีใครจุดพลุพุ่งวาบขึ้นไปบนท้องฟ้า ทีละลูกสองลูก รวมแล้วก็หลายสิบลูกนั่นแหละค่ะ ที่เรียกกันว่าบั้งไฟพญานาค

ที่น่า แปลกประหลาดสุดๆ ก็คือ บั้งไฟพญานาคจะเกิดขึ้นในวันออกพรรษาเท่านั้น...เชื่อกันว่าพญานาคสำแดง อิทธิฤทธิ์เพื่อเป็นการร่วมทำบุญร่วมกับชาวพุทธนั่นเอง

เคยมีผู้ กังขาทั้งไทยและเทศว่าคงจะไม่ใช่เรื่องลี้ลับหรือมหัศจรรย์นอกเหนือธรรมชาติ แต่คงจะมีใครอุตริไปจุดพลุอยู่ใต้น้ำแน่ๆ จนมีการส่งนักประดาน้ำลงไปสำรวจทั้งฝั่งไทยและลาวหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบว่ามีใครแอบซุกซ่อนกระทำการที่ว่าแม้แต่คนเดียว

ในที่สุด ก็โมเมว่าคงเป็นก๊าซบางชนิดที่ก่อตัวเป็นแสงเรืองๆ ตามป่าดงที่มีใบไม้ทับถมกันเป็นหญ้าเน่า รวมทั้งตามห้วยบึงต่างๆ ที่เราเชื่อว่าเป็นผีกระสือนั่นไงคะ!

แต่ก็หาคำอธิบายไม่ได้อยู่ดี ว่า เหตุใดบั้งไฟพญานาคจึงปรากฏในวันออกพรรษาตรงเผงทุกปี?

ดิฉันคิด ว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องนี้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาหยกๆ นี่ล่ะค่ะ

ครอบ ครัวเราตัดสินใจหนีความวุ่นวายน่าปวดหัวในกรุงเทพฯ โดยซื้อทัวร์ไปเที่ยวรายการ "อีสานเลาะโขง" กับชัยทัวร์ ตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 15 เมษายน มีกำหนดการไปสู่เพชรบูรณ์, ด่านซ้ายและเชียงคาน จังหวัดเลย เลียบเลาะลำน้ำโขงเรื่อยไปถึงอำเภอปากชม อำเภอสังคม เข้าสู่อำเภอศรีเชียงใหม่ หนองคาย แล้ววกไปนครพนม, มุกดาหาร และอุบลราชธานี ก่อนเดินทางกลับผ่านสุรินทร์และนครราชสีมา

วันที่ 11 เมษายน นั่นเองที่เราเข้าสู่อำเภอศรีเชียงใหม่ แวะชมวัดพัฒนาตัวอย่างอยู่ติดกับริมแม่น้ำโขง มีทัศนีย ภาพสวยงามมาก

นั่น คือวัดหินหมากเป้งอันมีชื่อเสียงเพราะเป็นวัดของท่านอาจารย์เทสก์ เทสรังสี หรือ "หลวงปู่เทศก์" ที่เราๆท่านๆ ย่อมจะรู้จักและเคยได้ยินชื่อเสียงท่านเป็นอย่างดี

เมื่อลงจากบันได หินลงไปสู่ลานวัดก็คลายร้อน เพราะร่มรื่นด้วยกิ่งใบของต้นไม้น้อยใหญ่ มีพระกำลังกวาดใบไม้แห้งบ้าง รดน้ำต้นไม้บ้าง เข้าไปนมัสการท่านก็ได้รับความรู้น่าประหลาดใจ...วัดใหญ่โตแต่มีภิกษุอยู่ เพียง 7 รูปเท่านั้นเอง

ลูกสาวดิฉันจูงมือพ่อแม่วิ่งเข้าไปในศาลาริม แม่น้ำ ลูกทัวร์คนอื่นๆ ก็กระจายกันไปถ่ายรูปบ้าง ไหว้พระบ้าง และมี 4-5 คนมาเกาะระเบียงมองดูลำน้ำโขงที่มีน้ำเปี่ยมฝั่งผิดกับที่อื่นๆ นับว่าน่าแปลกประหลาดเอาการ

เสียงใครพูดแจ้วๆ ว่ามีผึ้งหลวงมาทำรังใหญ่โตที่ต้นไม้ข้างหน้า ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นภาพนั้นจริงๆ พอดีอาจารย์ไสวผู้เป็นนักธรณีวิทยา อายุราว 70 เศษ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดี ชี้ให้ดูฝั่งตรงข้าม เล่าว่าทางลาวเห็นวัดฝั่งเราใหญ่โตน่าเลื่อมใสก็เลยสร้างวัดขึ้นมาประชัน ถึงหน้าเทศกาลงานบุญก็ลงเรือข้ามฟากไปมาหาสู่กันเพื่อทำบุญแบบบ้านพี่เมือง น้อง

ขณะนั้นฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก ลมพัดมาเย็นสบายจนทำให้ดิฉันนึกถึงงานสงกรานต์ที่จะเริ่มต้นพรุ่งนี้แล้ว... พอดีอาจารย์ไสวพูดถึงบั้งไฟพญานาคในแง่วิทยาศาสตร์โดยอธิบายว่า ริมน้ำด้านนี้มีซอกซอยมากมาย เมื่อถึงหน้าน้ำหลากฝูงปลาน้อยใหญ่จึงเข้ามาหาอาหารกินเพลิดเพลินจนลืม ตัว...

เมื่อน้ำลดจึงออกไม่ทัน ตกคลั่กจนแห้งตาย สะสมกันมากเข้ากลายเป็นก๊าซบิวเทนที่ติดไฟง่าย เมื่อถึงหน้าน้ำก็ทะลักทลายออกไป...และนี่คำตอบว่าทำไมจึงเกิดบั้งไฟพญานาค ขึ้นมา!

ทันใดนั้นเอง ลูกสาวดิฉันก็ตะโกนเรียกพ่อแม่จนหันไปมองก็เห็นแกชี้ไม้ชี้มือไปที่กลางแม่ น้ำโขง ร้องเสียงลั่นๆ ว่า...งูยักษ์! ดูงูยักษ์ซีแม่ มีตั้งสองตัวแน่ะ! ดิฉันหันไปมองตามมือแกก็รู้สึกม่านตาพร่าพรายเต็มที ใจสั่นหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม

ท่ามกลางฟ้ามืดครึ้มก็ยังมองเห็นภาพงูยักษ์สองตัว พ่นน้ำคึกคะนองอย่างเลือนราง ได้แต่ครางว่า...พญานาคมีจริงหรือนี่? ขนหัวลุกจริงๆ ค่ะงานนี้!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREF6TURZMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3TXc9PQ==



Create Date : 06 มิถุนายน 2553
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 12:57:59 น.
Counter : 538 Pageviews.

0 comment
โรงจำนำผีสิง
โรง จำนำผีสิง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"นักสู้" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงจำนำ พอถึงเดือนพฤษภาคมอากาศยังไม่คลายจากความร้อนอบอ้าว พ่อแม่ที่มีลูกเต้าเรียนหนังสือจะรู้สึกร้อนอกร้อนใจซ้ำซ้อนเข้าไปอีกหลาย เท่า เพราะต้องวิ่งวุ่นหาเงินทองมา ส่งลูกเรียนน่ะซีครับ

เรื่อง นี้ใครไม่เจอะเจอกับตัวเองน่ะไม่รู้สึกหรอก "อ้อ! รวมทั้งท่านที่มีเงินถุงเงินถังอีกด้วย แต่พวกที่หาเช้ากินค่ำอย่างผมน่ะล้วนแต่ซาบซึ้งเข้าไปถึงหัวอกหัวใจอย่าบอก ใครเชียว

โรงรับจำนำซีครับ ธนาคารคนยากของพวกเรา!

ผมเป็น พ่อค้าเร่อยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ปีกลายต้องเคราะห์หามยามซวยเพราะมีการชุมนุม การประท้วงจนถึงปิดถนนตอนสงกรานต์ รัฐบาลใจเย็นปล่อยตามเรื่องตามราว..คราวนี้ปล่อยให้พวกประตูน้ำ ราชประสงค์ ศาลาแดง สีลม ต้องรับเคราะห์แทน

เฮ้อ..คนจนๆ อย่างพวกผมก็พูดไม่ออก ได้แต่กรอกตา ภาวนาว่าปีหน้าฟ้าใหม่ขออย่าให้เกิดเรื่องราวน่าเศร้าสลดขึ้นอีกเลย เจ้าประคุณเอ๋ย..คนไทยด้วยกันแท้ๆ (ฮา)

เวลาเงินทองติดขัดขาดมือ ผมก็ต้องแวะเอาของไปตึ๊งที่ธนาคาร..เอ๊ย! โรงรับจำนำแถวๆ ใกล้บ้านที่สะพานควายเป็นประจำ

ไม่ใช่แหวนเพชร สร้อยทับทิม หรือทองคำหนักหลายบาทอะไรหรอกครับ มันก็แค่สร้อยข้อมือของเมีย แหวนทองเกลี้ยงๆ ของผม หนักสองสลึงทั้งสองอย่าง แต่เรามักจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันเข้าไป "ฝากคุณอา" ยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ อย่างตอนเปิดเทอม

คือแหวนทองของผมตึ๊งมาสี่เดือนกว่าแล้ว ตอนนี้ต้องถอดสร้อยเมียไปตึ๊งสำหรับจ่ายค่าเสื้อผ้า ค่าสมุดหนังสือของลูกอีก 3 คน ยังไม่รู้ว่าจะพอหรือเปล่า?

ไหน..รัฐบาล บอกว่าเรียนฟรีไงล่ะ? โธ่! อย่าพูดถึงให้ช้ำใจดีกว่าครับ

วันนั้นผม ไปโรงจำนำเอาเย็นมากแล้ว ฟ้าครึ้มฝนพอดี แต่จิตใจน่ะไม่ได้แยแสดินฟ้าอากาศมากไปกว่าการครุ่นคิดว่าจะต่อดอกเบี้ยแค่ สี่เดือนครึ่ง หรือจะผัดผ่อนไปก่อน เดี๋ยวเงินที่ได้จะไม่พอค่าใช้จ่าย..คนจนๆ น่ะต้องยอมเสียทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่แล้ว!

ทำไมหรือครับ? อ้าว..ถ้าผัดผ่อนออกไปเพราะห่วงเงินก็ต้องไปจ่ายค่าดอกเบี้ยห้าเดือนเต็มน่ะ ซีคุณ แถมเสียเวลาหากินมาต่อดอกอีกต่างหาก

ทำไงได้ ใครเขาใช้ให้เสือก..เอ๊ย! ดันเกิดมาจนล่ะ?

ตอนที่เอาแหวนไปตึ๊งน่ะ ได้เจ็ดพันบาท แต่ตอนนี้ทองลงราคาคงจะได้ซักหกพันห้าหรือหกพันก็ยังดี..ถ้าได้หกพันห้าจะ ตัดใจต่อดอกเบี้ยของเก่าซะเลย!

หลงจู๊ที่ตีราคาคุ้นๆ หน้ากัน คิดว่าคงจะพอพูดจากันได้ละมั้ง? แม้บางทีจะสังเกตว่านัยน์ตาตี่ๆ ของแกมักมองดูลูกค้าที่เข้าไปจำนองของจะฉายแววดูถูก บางทีถึงกับเหยียดหยามก็มี..

ยังไงๆ ก็หนีไม่พ้น "คนร้อนเงิน" วันยังค่ำ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว งานนี้น่ะ

ดูๆ ไปแล้วก็ต้องยอมรับละครับ คนที่เข้าโรงจำนำส่วนมากจะดูยากจน มอซอ ไม่มีสง่าราศีใดๆ ล้วนแต่พวกรากหญ้าหาเช้ากินค่ำ หรือไม่ก็ติดยา บ้าหวย..ซวยตลอดศก ดวงตกตลอดชาติก็แล้วกัน

โรงจำนำที่ผมมุ่งหน้ามา ติดป้ายโดดเด่นอยู่ตรงหน้า..จู่ๆ ลมกลุ่มใหญ่ก็พัดฮือเข้ามาจนฝุ่นกระจาย เศษกระดาษปลิวว่อน..ผมรีบผลุบเข้าไปในประตูด้านข้างทันที!

คนน้อยดี แฮะ! นอกจากหญิงชราผอมแห้งผมกระเซิงนั่งหลังงออยู่บนม้ายาว หน้าเคาน์เตอร์ก็มีเพียงชายหนุ่มอีกคนที่ยืนรอ..ไม่รู้ว่าเพิ่งมาถึงหรือรอ ของรอเงินกันแน่? อ๋อ..รอเงิน! เขาพับตั๋วใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะก้าวออกทางประตูด้านหน้า ผมปราดเข้าไปยื่นสร้อยข้อมือของเมีย อำหน้าตาเฉยว่า..สองสลึง-เจ็ดพันตามเดิม!

หลงจู๊หน้าตายสนิท ไม่แยแสคำพูดผมเลย แต่หยิบแว่นมาส่อง แล้วเอาทองไปฝนหิน..ผมใจระทึก เตรียมควักกระเป๋าเอาตั๋วจำนำใบเก่ามาต่อดอกถ้าได้หกพันห้า..

"หกพัน เต็มที่" คำตอบนั้นทำให้ผมกลืนน้ำลาย พยักหน้า ก่อนจะผละไปยิ้มพิมพ์มือก็หันไปมองผู้หญิงคนนั้นก่อนจะถามหลงจู๊ว่าทำไมป้า นั่นรอนานจัง คนก็ไม่มีแล้ว เล่นเอาหลงจู๊อ้าปากค้าง มองข้ามหัวผมไปก่อนครางอ๋อย

"มาอีกแล้วเรอะนี่? ตายห่..ผีหลอกบ่อยๆ เดี๋ยวโรงจำนำอั๊วเจ๊งพอดี"

ผมหันขวับไปมองแต่ไม่เห็นป้าคนนั้น แล้ว เล่นเอาม่านตาพร่าพราย ขนลุกซ่า แทบเดินไปพิมพ์มือไม่ไหว..เดาเอาว่าคงจะหัวใจวายระหว่างนั่งรอเงินน่ะเอง! บรื๋อออ...

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREF5TURZMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3TWc9PQ==



Create Date : 06 มิถุนายน 2553
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 12:57:33 น.
Counter : 697 Pageviews.

0 comment
คนเห็นผี
คน เห็นผี

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ป้าเนย" เล่าประสบการณ์สยองของเด็กตาทิพย์

สมัยเด็กดิฉันอยู่ในซอยสมประสงค์ ใกล้สี่แยกประตูน้ำ ฝั่งตรงข้ามเป็นตลาดโต้รุ่ง ตอนนั้นรถราและผู้คนก็คับคั่งแล้วค่ะ เพราะถือว่าเป็นย่านเจริญแห่งหนึ่ง

กลาง วันพ่อแม่ไปทำงาน ดิฉันก็อยู่กับยายและน้าอ้อน ซึ่งเป็นทั้งแม่บ้านและพี่เลี้ยง เราอยู่ตึกแถวห้องริมสุด เลยจากโรงพิมพ์แห่งหนึ่งไปไม่ไกลนัก ดิฉันชอบออกมานั่งหน้าบ้านบนม้าเตี้ยๆ ตัวใหญ่ ถัดไปเป็นโต๊ะรับแขกและตู้โชว์กั้นห้องกินข้าว ถัดไปเป็นร้านเสริมสวยและร้านชำ ขายทั้งเหล้าเบียร์และน้ำชากาแฟพร้อม

บาง วันก็ออกทางประตูข้าง มีซอยเล็กๆ และบ้านช่องมากมาย เพื่อนในวัยเด็กของดิฉันส่วนมากก็อยู่ในซอยข้างตึกแถวนั่นแหละค่ะ

เย็น หนึ่ง ดิฉันไปยืนเกาะประตูด้านข้าง คิดว่าจะชวนเพื่อนแถวนั้นเข้ามาเล่นกันในบ้าน ก็พอดีเห็นพี่เปีย-ช่างเรียงเดินเข้าซอยมา ดิฉันก็ทักว่าเลิกงานแล้วหรือคะ? พี่เปียยิ้มเศร้าๆ ถามว่าน้องเนยกินข้าวหรือยัง วันนี้พี่ไม่มีขนมมาฝากเสียด้วย ดิฉันบอกโอ๊ย! ไม่เป็นไรหรอกค่ะ บ้านน้องเนยมีเยอะ พี่เปียแวะก่อนซีคะ

พอดีน้าอ้อนร้องถามว่าคุย กับใคร? ก็ตอบว่าคุยกับพี่เปียที่ทำงานโรงพิมพ์ น้าอ้อนร้องว้าย...เปียกินยาตายแล้วนี่นา! ดิฉันชี้ให้ดูพลางยืนยันว่าพี่เปียยืนอยู่ตรงนี้ไง! น้าอ้อนรีบฉุดแขนดิฉันเข้ามาแล้วปิดประตูโครม คุณยายสงสัยดิฉันก็ยืนยันว่าเห็นจริงๆ

วันหนึ่ง ดิฉันอุ้มตุ๊กตาไปนั่งห้อยขาที่ม้าหน้าบ้าน มองคนเดินผ่านไปมา ที่รู้จักก็ทักทายบ้าง แวะเข้ามาคุยบ้าง คนนั้นก็น้องเนย! คนนี้ก็น้องเนย! จนคุณยายค่อนว่าเราอยู่มาก่อนแท้ๆ ยังไม่รู้จักคนเยอะเหมือนแม่คนนี้!

น้า อ้อนหยิบโน่นทำนี่อยู่ไม่ไกล แต่ก็คอยโผล่ออกมาดูบ่อยๆ เพราะคุณยายเตือนให้ระวัง มีข่าวพวกลักเด็กเอารถตู้มาอุ้มไปขาย เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์บ่อยๆ

วันนั้นมีเด็กผู้หญิงตัวโตกว่าดิฉัน หน่อย รูปร่างผอมเกร็ง ผิวดำ ไว้ผมม้า เสื้อผ้าเก่าๆ ค่อนข้างสกปรก เดินเข้ามาหยุดมองหน้าดิฉันนิ่งๆ เลยเชื้อเชิญว่า...เข้ามานั่งคุยกันก่อนซิคะ จะรีบไปไหนล่ะ?

เด็กคน นั้นก็เข้ามานั่งคุยด้วยจริงๆ เขาเล่าว่าตัวเองชื่อดำ บ้านอยู่ก้นซอย มารอแม่ตอนเย็นๆ ทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่งก็โดนมอเตอร์ไชค์เฉี่ยว หัวฟาดพื้นตายคาที่ แล้วเขาก็เปิดผมที่ท้ายทอยให้ดู...โห! เลือดแห้งกรังเชียว ดิฉันถามว่าเจ็บไหมคะ?

ดำพยักหน้า พอดีน้าอ้อนเข้ามาถามว่าคุยกับตุ๊กตาเหรอ? ดิฉันบอกเปล่าค่ะ น้องเนยคุยกับพี่ดำที่เขาอยู่ก้นซอยไง!

น้าอ้อนทำตาโต ยกมือตบอกถามเร็วปรื๋อว่า...ดำโดนรถชนตายไปเกือบปีแล้ว น้องเนยเอาอะไรมาพูด? ดิฉันเลยชี้มือไปที่ดำผู้นั่งเศร้าอยู่ใกล้ๆ บอกว่านี่ไง! พี่ดำนั่งอยู่ใกล้ๆ น้องเนยแท้ๆ ทำไมน้าอ้อนมองไม่เห็นล่ะคะ?

โอย...น้า อ้อนแกร้องว้ายๆๆ จนคุณยายวิ่งออกมาดู ตอนแรกก็ดุใหญ่ แต่พอได้ยินน้าอ้อนบอกเล่าถึงกับอ้าปากค้าง ปราดเข้าอุ้มดิฉันทันที เสียงสั่นๆ ของคุณยายยังติดหูมาจนถึงป่านนี้ "ดำมันตายไปแล้วนี่นา! โธ่..."

ดิฉัน หันขวับไปมอง เห็นดำกำลังลุกขึ้นยืนจ้องมองเศร้าๆ ดิฉันก็โบกมือให้บอกคุณยายกับน้าอ้อนว่า

"นั่นไงคะ...พี่ดำเขายืน อยู่นั่นไง! น่าสงสารออก... เขาบอกว่ามารอแม่จนโดนมอเตอร์ไซค์ชนตายคาที่ เมื่อกี้ยังเปิดแผลให้น้องเนยดูเลยค่ะ"

เสียงร้องอุ๊ยๆ วุ้ยว้ายดังระงมไม่รู้ใครเป็นใคร ไม่รู้ว่ากลัวอะไรค่ะ? ตัวสั่นเสียงสั่นไปตามๆ กัน ยิ่งดิฉันร้องบอกพี่ดำว่า...วันหลังมาคุยกันอีกนะ! คุณยายถึงกับร้องโอย...เป็นลม!

ตั้งแต่นั้น ดิฉันก็ไม่มีโอกาสได้นั่งเล่นคนเดียว ไม่ว่าทางประตูข้างหรือหน้าบ้าน ไม่น้าอ้อนก็คุณยายต้องมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เสมอ

ไม่รู้กลัวอะไร นักหนา ดิฉันเองยังไม่กลัวเลย บางวันร้องทักคนรู้จักกัน ทั้งคุณยายและน้าอ้อนทำท่าสะดุ้งแล้ว พอเห็นหน้าคนที่ดิฉันทักทายจึงได้ถอนใจอย่าง โล่งอก

ขนาดนั่งคุยกับ ตุ๊กตาตามประสาเด็กยังถูกถามว่าคุยกับใครน่ะ?

เมื่อเติบโตเป็น ผู้ใหญ่เต็มตัว ดิฉันก็ไม่เคยพบเห็น ผู้ไม่มีร่างกายอีกแล้ว แต่ถ้ายังตาทิพย์เหมือนตอนเด็กๆ เห็นภาพภูตผีขวักไขว่ มีหวังขนหัวลุกตายแน่ๆ เลยล่ะค่ะ!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREF4TURZMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3TVE9PQ==



Create Date : 06 มิถุนายน 2553
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 12:56:02 น.
Counter : 604 Pageviews.

0 comment
เด็กอุบาทว์
เด็ก อุบาทว์

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"โกมล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมผีสิงผมเป็นคนเชียงรายโดยกำเนิด สมัยหนุ่มใช้ชีวิตร่อนเร่ไปตามอำเภอใจ จนมาปักหลักทำงานในอู่ซ่อมรถยนต์ที่นครสวรรค์ มีเวลาว่างก็ขึ้นรถไฟล่องมากรุงเทพฯ บ้างขึ้นเหนือไปเชียงใหม่ แล้วต่อรถยนต์ไปเชียงรายอีกที

เพราะนิสัยชอบขึ้นรถไฟจับกระดูก นั่งฟังเสียงล้อบดรางกระหึ่มพลางดูวิวทางหน้าต่างแล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ ถูก

ถ้ามีเวลาน้อยก็จะเดินทางไปใกล้ๆ เช่นที่พิจิตรหรือพิษณุโลก บางครั้งหน้าเทศกาลผู้คนแทบจะล้นรถ ผมต้องอาศัยยืนเกาะบันไดบ้าง ขึ้นหลังคาบ้าง..ชีวิตชายโสดไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ทำให้ใช้ชีวิตโลดโผนได้เต็มที่ แสวงหาความตื่นเต้นได้สุดๆ

จน กระทั่งไปเจอะเจอเรื่องสุดหลอนเข้าที่เมืองสองแควเต็มรักเต็มใคร่!

ช่วงนั้นอยู่ในฤดูหนาวพอดี อากาศเย็นสบายไม่เหนอะหนะเนื้อตัวแบบฤดูร้อน เหมาะเจาะกับการท่องเที่ยว ผมจับรถกรุงเทพฯ-พิษณุโลกไปถึงปลายทางในตอนเย็น เข้าพักโรงแรมเล็กๆ หลังสถานีรถไฟนั่นเอง

ใจจริงอยากนั่งรถไฟเล่นมากกว่า พอเปิดห้องที่ชั้นสองอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ลงมาเดินเตร็จเตร่แถวๆ นั้นแหละ ตกค่ำก็กลับไปแวะชั้นล่างของโรงแรมที่มีสุราอาหารพร้อมสรรพ..สั่งเหล้าโซดา กับแกล้ม 2-3 อย่างมานั่งละเลียด พลางมองดูความเคลื่อนไหวที่แปลกหูแปลกตาไปด้วย

แต่ที่สะดุดตาก็ คือผีเสื้อราตรีเริ่มโบยบินออกล่าเหยื่อหนาตาขึ้นทุกที!

ไม่ใช่ว่าไม่เคยสัมผัสเสียที่ไหน สมัยนั้น 20-30 บาทก็ถือว่าใช้การได้แล้ว แต่งหน้าทาปากฉูดฉาดอยู่ในแสงไฟ อกพุ่ง ตะโพกผึ่งผาย นัยน์ตาหยาดเยิ้มยั่วยวนก็มักจะทำให้ผู้ชายที่กำลังมึนๆ มองเห็นพวกเธอเป็นนางฟ้าจำแลงได้ง่ายดาย

หน้าโรงแรมก็มีเดินสูบบุหรี่เตร่ไปมา บางคนก็นั่งไขว่ห้างโชว์ขาอ่อนอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ บางคนก็โฉบเข้ามาขอบุหรี่ ชักชวนขึ้นไปบนห้อง ครั้นผมส่ายหน้าเธอก็หลิ่วตายั่วเย้า..นอนคนเดียวไม่กลัวผีเหรอพี่?!

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่อยากคุยว่า..เกิดมายังไม่เจอะผีซักที!

ตอนดื่มดวดสุราเพลินๆ นี่ทำไมเวลาถึงผ่านไปเร็วนักก็ไม่รู้..แผล็บเดียวสามทุ่มกว่าแล้ว ผมสั่งเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วมากินให้หนักท้อง ตั้งใจว่ารุ่งเช้าจะไปไหว้หลวงพ่อพระพุทธชินราช ต่อจากนั้นจะเดินเที่ยวชมเมืองก่อนจับรถไฟกลับบ้าน

ราวสี่ทุ่ม ผมจ่ายเงินแล้วเดินขึ้นบันไดช้าๆ ผ่านเคาน์เตอร์แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางที่เปิดไฟไว้สลัวๆ บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจชอบกล ผมไม่คิดอะไรมาก ควักกุญแจห้องมาเตรียมพร้อมที่จะไขประตูเข้าไปนอน

เสียงฝีเท้า กึงๆ ดังขึ้นข้างหลัง ผมหันขวับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อไม่เห็นใครเลย..เอ๊ะ! ยังไง? จะว่าหูแว่วก็ได้ยินชัดเจนนี่นา

หรือพิษเหล้าแบนใหญ่จะทำให้หูฝาดเฝื่อนไปเอง?

แต่เมื่อหันกลับจะเดินต่อไปก็ต้องชะงักอีกครั้ง..ขนลุกซ่าไปทั้งตัว!

นั่นคือ เด็กผู้ชายราว 10 ขวบกำลังจูงหมาดำตัวใหญ่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกลนักทั้งๆ ที่เมื่อพริบตาก่อนทางเดินหน้าห้องพักยังว่างเปล่าอยู่แท้ๆ พอดีเด็กเจ้ากรรมนั่นค่อยๆ หันหน้าเชื่องช้ามายิ้มให้..

คุณพระคุณเจ้าทรงโปรดด้วยเถิด! รอยยิ้มคล้ายแสยะดูร้ายกาจ โฉดชั่วน่าขนลุกขนพอง พร้อมๆ กับเดินเหมือนลอยห่างออกไปทุกที

ผมเผ่นอ้าวเข้าไปไขกุญแจมือไม้สั่น ไขผิดไขถูก พิษเหล้าเหือดหายไปหมดสิ้น ก็พอดีมีเสียงกึงๆ อย่างตอนแรกดังขึ้นอีกจากหัวบันได ว่าจะไม่หันไปมองก็อดไม่ได้

นรกเป็นพยาน! เด็กอุบาทว์นั่นกำลังจูงหมาดำตัวมหึมา นัยน์ตาแดงจ้าราวเปลวไฟจ้องเขม็ง.. ได้ยินเสียงหัวเราะแหบโหยสะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวอกหัวใจ..ผมโถมเข้าผลัก ประตูโครม ใส่กลอน เสร็จก็เผ่นขึ้นเตียงอกสั่นขวัญหายแทบจะช็อกตายคาที่

"นอนคนเดียวไม่กลัวผีเหรอพี่?" เสียงของโสเภณีนางนั้นดังแว่วขึ้นในความทรงจำ..อยากจะเก็บของเผ่นออกจากห้อง ก็ไม่กล้า กลัวจะเจอเด็กอุบาทว์กับหมานรกยืนรออยู่หน้าประตูน่ะซีครับ

รุ่งขึ้นไปกราบหลวงพ่อใหญ่ขอพรแล้วบึ่งกลับนครสวรรค์ทันที! บรื๋อออ...

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPRE14TURVMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOUzB6TVE9PQ==



Create Date : 06 มิถุนายน 2553
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 12:55:37 น.
Counter : 682 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend