ห้องอาถรรพณ์
ห้อง อาถรรพณ์

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"นิดานุช" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกใน โรงแรมที่หัวหิน

ดิฉันไม่ค่อยได้ไปเปิดหูเปิดตาที่ต่างจังหวัด นอกจากจะใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้ว สาเหตุสำคัญที่กล้ายอมรับอย่างไม่อายก็คือ...กลัวผีค่ะ!

คิดดูซิ คะว่าถ้าไปเที่ยวต่างจังหวัดก็ต้องนอนโรงแรม ไม่ว่าจะไปกับญาติมิตรสนิทสนมแค่ไหนก็ต้องนอนโรงแรมวันยังค่ำ...ไม่ว่าจะ โรงแรมชั้นหนึ่ง หรูหราขนาดไหนก็ตาม เมื่อนึกถึงสภาพต่างๆ แล้วขนลุกขนพองยังไงบอกไม่ถูก

ใครต่อใครล้วนแต่เคยมาอยู่ มาหลับนอน รวมทั้งกิจกรรมอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย และไม่ทราบว่าเคยมีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่? รุนแรงน่ากลัวเพียงใด? นอกจากจะไม่สนิทใจแล้วยังรู้สึกผิดที่ผิดทางด้วยค่ะ!

เคย มีประสบการณ์มาก่อนเพราะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ นับครั้งได้ แต่ยังไม่เคยนอนคนเดียวสักครั้ง! อ้อ...ไม่คิดจะลองด้วยค่ะ ขนาดนั้นยังนอนไม่ค่อยหลับ

จนกระทั่งครั้งล่าสุด ดิฉันไปเที่ยวหัวหินกับสามีเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง...

เรา เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน ยอมรับว่ายังมีอารมณ์โรแมนติกตามประสาคนที่รักกัน...ไปไหนก็ไป ยิ่งเป็นสถานตากอากาศชายทะเลระดับคลาสสิค โดยเฉพาะไปกับคนที่เรารักด้วยแล้ว...เรื่องกลัวผีก็กลายเป็นเรื่องรองๆ ลงไปเลย

แต่คืนแรกเท่านั้นเอง ดิฉันก็เจอดีเข้าอย่างจัง!

เรา ได้ห้องพักของโรงแรมชายทะเล แม้ว่าจะค่อนข้างเก่าแต่ก็สะอาดสะอ้าน มีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้ม ครั้นเราลงไปเดินเล่นที่ชายหาดก็รู้สึกเพลิดเพลินกับเสียงคลื่นเสียงลม มองดูหนุ่มสาวเดินคลอคู่กันผาสุก เด็กๆ วิ่งเล่นไล่กัน และบ้างก็ขุดดินขุดทรายอยู่ใกล้ๆ คุณแม่ ส่วนคุณพ่อถ่ายวิดีโออย่างตั้งอกตั้งใจ

หลังจากออกไปหาอาหารที่ ตลาด เราก็กลับมาพักผ่อนหลับนอน กะโปรแกรมที่จะไปเที่ยวน้ำตกป่าละอู ไม่ต้องกลัวภัยจากน้ำป่าเหมือนในฤดูฝน

สามีหลับสนิทอยู่เคียง ข้าง ดิฉันหลับตาอยู่ในความมืดเพราะเราชอบดับไฟนอนตรงกัน...นึกแปลกใจว่าน่าจะ หลับแต่ทำไมถึงไม่รู้สึกง่วงนอนเสียเลย

นอกจากเสียงคลื่นเสียงลมที่ ดังแว่วมา สรรพสิ่งก็เงียบเชียบจนแทบจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ แอร์เย็นฉ่ำกำลังสบาย...พรุ่งนี้ไปเที่ยวน้ำตกป่าละอูแล้วจะไปไหนอีกนะ ตอนกลางวันกินอาหารร้านไหน? ห้องนี้เคยมีเหตุการณ์น่ากลัวเกิดขึ้นมาก่อนไหม? อ้อ...มีผีหรือเปล่าหนอ...

ดิฉัน รู้ว่าตัวเองกำลังคิดฟุ้งซ่าน พยายามข่มใจหลับเต็มที่ด้วยการนับหนึ่งถึงสิบซ้ำไปซ้ำมา...พอความคิดวอกแวก ก็กลับมาเริ่มต้นใหม่หลายครั้ง...จนกระทั่งความรู้สึกเริ่มเคลิบเคลิ้มเข้า สู่ภวังค์...

เสียงหอบหายใจแรงๆ ดังขึ้นใกล้ๆ หูนี่เอง!

สามี เหรอ...ไม่ใช่นี่! มันดังมาจากอีกด้านของเตียงข้างๆ ต่างหากล่ะ แต่มันว่างเปล่านี่นา! ดิฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองฝันไปหรือเปล่า แต่จำได้ว่าค่อยๆ เบือนหน้าไปมอง

คุณพระช่วย หญิงชายคู่หนึ่งกำลังกอดรัดกันแนบแน่น เรือนร�งเปลือยเปล่าเหมือนทารกแรกเกิดทั้งคู่ แม้ว่าจะมีเพียงแสงรางๆ ส่องผ่านม่านเข้ามา ก็ยังเห็นชัดว่าเขากับเธอกำลังปล่อยอารมณ์ให้โลดแล่นไปกับไฟเสน่หาไม่ ยับยั้ง

วูบหนึ่ง ดิฉันชาวาบไปทั้งตัว แขนขาแข็งทื่อหนักอึ้งราวท่อนเหล็กเมื่อเพิ่งนึกได้ว่า...หนุ่มสาวคู่นั้น เข้ามาแสดงความพิศวาสเผ็ดร้อนในห้องพักของเราได้ยังไงกัน?

เสียงหอบ หายใจไม่หยุดหย่อน ดังขึ้น...ดังขึ้นประหนึ่งกลายเป็นเสียงกลองที่กำลังกระหน่ำอยู่ในทรวงอก ดิฉัน เหงื่อกาฬแตกซิกแม้ว่ายังขยับเขยื้อนเนื้อตัวไม่ได้เลย

นัยน์ตา เบิกค้าง ลืมโพลง อยากจะร้องเรียกสามีแต่ก็อ้าปากไม่ขึ้น เหงื่อหยดเผาะ ปากคอแห้งผาก อยากหลับตา อยากร้องไห้ แต่เสียงหอบหายใจยิ่งดังขึ้นราวกับจะกระหึ่มไปทั้งห้อง เกือบพร้อมๆ กับที่หนุ่มสาวคู่นั้นหันขวับมามองดิฉันในพริบตา

แก้วหูลั่นเปรี๊ยะ เพราะเสียงกรีดร้องของตัวเอง สามีลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งเปิดไฟหัวเตียง ดิฉันร้องไห้โฮโผเข้ากอดเขา หลับตาชี้ไปที่เตียงนั้นแต่สามีบอกว่าไม่มีอะไร

ไม่ มีน้ำตกป่าละอู หรือที่ไหนอีกแล้วค่ะ รุ่งขึ้นเราก็บึ่งกลับกรุงเทพฯ ทันที ต่อไปนี้สาบานว่าจะไม่ยอมไปนอนโรงแรมไหนๆ อีกแล้ว ขนหัวลุกค่ะ!


//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREl6TURJMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB5TXc9PQ==



Create Date : 25 เมษายน 2553
Last Update : 25 เมษายน 2553 12:05:42 น.
Counter : 631 Pageviews.

0 comment
แท็กซี่จากปรโลก
แท็กซี่ จากปรโลก

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ไพทูรย์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากแท็กซี่ปีศาจ 0 ผมอยู่แถวซอยร่วมจิตต์ใกล้ๆ ศรีย่านนี่เองครับ วันดีคืนร้ายก็ไปเที่ยวถนนข้าวสารกับเพื่อนเกลอคือเจ้าอู๋ อยู่บ้านติดๆ กัน โดยขึ้นรถเมล์สาย 9 ไปลงบางลำพูพอดี

วันเสาร์ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ถนนข้าวสารคึ่กๆ ตั้งแต่หัวค่ำ ไม่ว่าคนไทยหรือนักท่องเที่ยวทั้งฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน ล้วนแต่ได้ยินชื่อถนนข้าวสารอันโด่งดังระดับโลกมาหลายปีแล้ว เลยแห่มาเที่ยวกันเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะพวกฝรั่งนี่หลายรายถึงกับหอบลูกจูงหลานมาเที่ยว ขนาดลูกเล็กๆ ใส่รถเข็นยังมีนี่นา

ที่ค่อนข้างแปลกหูแปลกตาของพวกเราก็คือ ฝรั่งแก่ๆ ขนาด 60-70 ปีขึ้นไปยังอุตส่าห์หอบสังขารมาเที่ยวถนนชื่อกระฉ่อนกับเขาเหมือนกัน เหลือเชื่อจริงๆ เอ้า!

คนพวกนี้ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักมาตั้งแต่หนุ่มยังสาว เพื่อเก็บเงินเก็บทองเอาไว้เดินทางไปเที่ยวเตร่ เปิดหูเปิดตาต่างแดน ตรงข้ามกับพวกเราที่แก่ตัวเข้าก็มักอยู่บ้านเลี้ยงหลาน หรือไม่ก็เข้าวัดเข้าวาไปเลย

โธ่! แก่ตัวเข้าเรี่ยวแรงก็ถดถอย ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็หอบแฮกแล้ว ผมว่าสู้ไปเที่ยวตอนที่ยังสาวหนุ่มกระชุ่ม กระชวย เรี่ยวแรงแข็งขันยังจะเข้าท่ากว่าเป็นกอง

อย่างว่าละครับ วัฒนธรรมของใครของมัน ไม่ว่ากันอยู่แล้วงานนี้จะหนุ่มสาวหรือเฒ่าแก่ก็ขอให้มาเที่ยวสยามเมืองยิ้ม กันเยอะๆ ก็แล้วกัน เงินทองจะได้ไหลมาเทมา ผู้คนจะได้มีงานบริการทำเยอะๆ พ่อค้าแม่ขายก็จะได้ซื้อง่ายขายคล่อง คนยากคนจนจะได้ลืมตาอ้าปากซะที...เศรษฐกิจตกสะเก็ดมาหลายปีแล้วครับ

การท่องเที่ยวถือว่าไม่ต้องลงทุนลงรอนอันใด รับเนื้อๆ ลูกเดียวเท่านั้น!

อ้าว? ผมก็เผลอไผลติดลมบนไปหน่อย เดี๋ยวก็ลืมเรื่องขนหัวลุกจนได้

บรรยากาศที่ถนนข้าวสารจะสนุกสนาน น่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหนคงไม่ต้องบรรยายให้เสียเวลาก็ได้นะครับ...เรื่องมา เกิดเอาอีตอนที่ผมกับเจ้าอู๋ออกจากร้านเบียร์ที่ตั้งโต๊ะบนฟุตปาธตอนห้าทุ่ม กว่า...เลยไปออกทางด้านใกล้ๆ สี่แยกคอกวัวเพื่อหาแท็กซี่กลับบ้าน เพราะเรากำลังเมาฉ่ำๆ กันทั้งคู่

เชื่อไหมครับว่าแท็กซี่ 5-6 คันที่เปิดไฟสว่าง เลี้ยวจากถนนราชดำเนินมาจอดน่ะ ไม่มีใครยอมรับเราซักคัน!

...พอเปิดประตูหลังเท่านั้น คนขับก็หันมาถามทันทีว่าจะไปไหน? พอบอกจุดหมายก็ส่ายหน้า ออกรถไปทันที! บางคันที่เราเปิดประตูหน้าถามว่าจะไปมั้ย? ก็หันมองด้วยสายตารำคาญ บอกว่าไม่ไป! เจ้าอู๋ชักยัวะเลยถามว่าพี่จะไปทางไหนล่ะ? คนขับก็ยืนยันว่าไม่ไป...ก่อนจะแล่นพรวดออกไปเลย

"มึงจะรับแต่ฝรั่งหรือไงวะ?" เจ้าอู๋ตะโกนตามหลัง... แท็กซี่ที่ขับเลยไปก็คงผ่านถนนสิบสามห้างที่ไม่มีฝรั่ง หรือนักท่องเที่ยวอะไร...คงจะหาทางวกมาล่าเหยื่อรอบ ใหม่

ได้ข่าวว่าตำรวจสน.ชนะสงคราม งานหนักจนประสาทกินไปหลายนายแล้ว ไม่ลองแต่งนอกเครื่องแบบมาสังเกตการณ์มั่งนี่ครับ...อย่าลืมว่าที่แท็กซี่ ไม่อยากรับคนไทยก็มีสาเหตุเดียวคือ...ไม่ได้โขกเงินชนิดขูดรีดเหมือนผู้ โดยสารฝรั่ง

ไม่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวก็อย่าทำลายเลยครับ!

ในที่สุดก็มีแท็กซี่เปิดไฟว่างแล่นเข้ามา เจ้าอู๋โบกมือให้จอดก่อนจะเปิดประตูหลังขึ้นไปนั่งทันทีพร้อมกับบอกจุดหมาย ผมก้าวตามเพื่อนไปติดๆ นั่งรอจะว่าโดนบอกปัดท่าไหน? ยอมรับว่ากำลังเดือดปุดๆ จนแทบหายมึนเบียร์ละครับ แต่ผิดหวังแฮะ...แท็กซี่รับคำแล้วออกรถไปเลี้ยวขวาเข้าถนนพระสุเมรุ ผ่านหน้าวัดบวรฯ เจ้าอู๋บ่นดังๆ ว่าแท็กซี่คันอื่นไม่รู้เป็นไง ไม่ยอมรับเราซักคัน

เสียงหัวเราะหึๆ อย่างอารมณ์ดีดังขึ้น ผมเหลือบดูก็เห็นคนขับเป็นชายชราผมขาวค่อนข้างยาว มุมปากมีรอยยิ้มนิดๆ ขณะเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกวันชาติ แล่นไปตามถนนประชาธิป ไตยที่รถราค่อนข้างโล่งว่าง...ไม่ช้าก็เข้าสู่ถนนนครราชสีมาอย่างรวดเร็ว...

จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง ผมเห็นมิเตอร์ขึ้นเกือบ 70 บาท แต่นึกถึงน้ำใจแกที่ไม่เห็นแก่ตัว บอกปัดผู้โดยสารคนไทยด้วยกัน เลยส่งแบงก์ร้อยให้...บอกไม่ต้องทอน ได้ยินเสียงขอบคุณครับเบาๆ ก่อนที่เราจะลงจากรถ...แล้วต้องยืนตะลึงงันกันทั้งคู่

ท่ามกลาง แสงไฟถนนเยือกเย็น แท็กซี่คันนั้นแล่นไปทางสี่แยกพิชัย...แล้วเลือนรางจางหายไปต่อหน้าต่อตาเรา นั่นเอง...นึกถึงเรื่องนี้ทีไรผมกับเจ้าอู๋ขนหัวลุกทุกทีไป!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREU1TURJMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB4T1E9PQ==



Create Date : 25 เมษายน 2553
Last Update : 25 เมษายน 2553 11:59:54 น.
Counter : 613 Pageviews.

0 comment
วันปล่อยผี
วัน ปล่อยผี

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"สมศรี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยนามบัญญัติ

ถึงแม้ว่าภาพสยองขวัญวัน นั้นจะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่มันก็ติดตาติดใจดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ!

สมัย ก่อน ตรอกนามบัญญัติที่ถนนประชาธิปไตยใกล้ๆกับวัดมกุฏฯ ยังเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว แม้ว่าเข้าไปราว 100 เมตรจะเลี้ยวซ้ายเข้าหมู่บ้าน ซึ่งมีบ้านเล็กเรือน น้อยอยู่ติดๆ กันก็จริง แต่เมื่อเลี้ยวขวาจะไปออกทางด้านหลังวัดอินทร์ จะมีที่รกร้างรอบๆ บึงที่มีต้นอ้อกอพงรกทึบ

ตอนเย็นๆมักจะมีเด็กท่อมๆไปหาปลากัด บ้าง ช้อนลูกน้ำบ้าง...พอตกค่ำก็มีแต่ความเปล่าเปลี่ยวแล้วค่ะ

ผู้คน ในซอยนั้นมักเป็นข้าราชการ หรือไม่ก็ทำงานบริษัทห้างร้าน คนที่อยู่บ้านก็มักหาลำไพ่ด้วยการรับจ้างกะเทาะเม็ดบัวบ้าง ฟั่นธูปบ้าง...ตอนนั้นมีบ้านที่ยึดอาชีพฟั่นธูปขายหลายบ้าน ส่วนมากจะส่งเจ้าประจำที่ปากคลองตลาดเกือบทั้งหมด

ดิฉันเป็นหลานป้า กิมไล้ที่เป็นม่ายสามีตายมาหลายปีแล้ว อยู่เกือบกลางซอยเป็นบ้านไม้สองชั้น ตอนเช้าๆ จะ มีลูกจ้างฟั่นธูปมาจากบ้านในซอยเดียวกันบ้าง มาจากเทเวศร์ บ้าง ชื่อน้าสมรกับน้าบังอรและน้าเดือน...ดิฉันเองชื่อสมศรีค่ะ

นึกถึง ชื่อสมัยนั้นถือว่าเก๋มากนะคะ แต่มาสมัยนี้แทบจะหาคนชื่อแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว...ถือว่าตามยุคตามสมัยก็แล้ว กัน!

บ้านป้ากิมไล้น่ะอะไรๆ ก็ดีหมด ชั้นล่างหน้าห้องดิฉันเป็นที่นั่งฟั่นธูปแล้วปักม้าไม้ที่เจาะรูเอาไว้หลาย สิบ พอธูปเต็มม้าดิฉันก็มีหน้าที่ยกไปตากแดด อาหารการกินมีพร้อม ก๋วยเตี๋ยวหมูที่เจ๊กเตี้ยหาบมาขายตอนบ่ายๆก็อร่อยมาก ...ชามละบาทเดียวเอง

...เสีย อย่างเดียวที่ชั้นบนอันเป็นห้องนอนของป้ากิมไล้ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าจะเปิดหน้าต่างและประตูไปสู่ระเบียงแคบๆ หน้าบ้าน...สาเหตุมาจากรูปถ่ายของอาก๋งที่อยู่บนหิ้งข้างฝานั่นเองค่ะ!

รูป ถ่ายบานใหญ่ของเตี่ยป้ากิมไล้คล้ายจะจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ใบหน้ายาวเรียว หนวดเฟิ้มแทบจะปิดริมฝีปาก นัยน์ตาดุมาก มองเห็นทีไรเล่นเอาดิฉันเสียวสันหลังทุกครั้ง...ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ยอมขึ้นไป ชั้นบนเด็ดขาด

วันเกิดเหตุ ตอนบ่ายแก่ๆ มีฝนพรำแต่ก็เป็นอุปสรรคอย่างแรงสำหรับคนทำอาชีพฟั่นธูป เพราะไม่มีแสงแดดก็ต้องหยุดงาน...หลังจากตั้งโต๊ะผึ่งลมไว้ในบ้าน

แม้ ฝนหยุดแต่แดดไม่ออกก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ได้แต่นั่งคุยกันแก้รำคาญไปเท่านั้น...

พอดีเจ๊กเตี้ยมาตั้งหาบที่ หน้าบ้านตรงข้ามพอดี!

ลูกค้ามีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ยืนเกาะหาบกินก็มี เอาชามมาใส่ไปกินที่บ้านก็มี...ป้ากิมไล้บอกว่ากินก๋วยเตี๋ยวกันดีกว่า ฉันเลี้ยงเอง...สั่งมากินกันเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาล้างชาม!

เสร็พ สรรพป้ากิมไล้ก็เรียกเจ๊กเตี้ยมาเก็บเงิน สั่งให้ดิฉันขึ้นไปเอากระเป๋าสตางค์ชั้นบน...ดิฉันกลัวเจ๊กเตี้ยจะรอก็วิ่ง ขึ้นบันไดไปทันที ก่อนจะหยุดชะงักที่กลางห้อง

กลิ่นควันธูปลอยกรุ่น มากระทบจมูก อากาศเย็นเฉียบจนดิฉันรู้สึกขนลุกซู่ที่ท้ายทอย หันขวับไปเงยหน้ามองรูปเตี่ยป้ากิมไล้บนหิ้งข้างฝาเหมือนมีอะไรดลใจ...ผงะ หน้าด้วยความตกตะลึงในพริบตานั่นเอง

คุณพระช่วย!ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ดิฉันรู้สึกเหมือนตายไปหลายต่อหลายชาติเต็มที!

ใบหน้าผอมซูบคล้ายมี แต่กระดูกในรูปนั้นเคยเห็นแต่หน้าตรง บัดนี้กำลังเคลื่อนไหวช้าๆ เหมือนคนที่มีชีวิตจิตใจ ...หันมามองดิฉันช้าๆ นัยน์ตาดุดันจ้องเขม็งจนกระทั่งกลายเป็นใบหน้าด้านข้าง ปากที่คลุมด้วยหนวดดกหนาอ้าเผยอส่งเสียงออกมาว่า...เข้ามาในห้องข้าทำไม?

ดิฉัน กรีดร้องเหมือนคนบ้า รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ กระโจนออกจากห้องลงบันได แทบจะชนกับป้ากิมไล้ที่วิ่งมาดู...ดิฉันโผเข้ากอดป้าแล้วร้องไห้โฮ... เพิ่งรู้ว่าวันนั้นตรงกับวันพระใหญ่ ซึ่งเขาถือว่าเป็นวันปล่อยผีค่ะ!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREU0TURJMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB4T0E9PQ==



Create Date : 25 เมษายน 2553
Last Update : 25 เมษายน 2553 11:59:21 น.
Counter : 558 Pageviews.

0 comment
ปีศาจ บนโฮปเวลล์
ปีศาจ บนโฮปเวลล์

ขนหัว ลุก

ใบหนาด



"ต้น" เล่าประสบการณ์ขน หัวลุกจาก ก.ม.11

ผมเป็นหนุ่มไฟแรงอยู่ชุมชนภักดีมาหลายปีแล้วครับ บางท่านอาจจะสงสัยว่าอยู่ที่ไหน? ไม่เคยได้ยิน! ก็ถือโอกาสบอกกล่าวว่าอยู่แถว ก.ม.11 ถนนวิภาวดีฯ มีทางรถไฟผ่านหน้าหมู่บ้านด้วยครับ

เนื่องจากผู้คนมากมายขึ้นตามความเจริญของบ้านเมือง หน้าบ้านผมเลยมีสถานีย่อย ก.ม.11 อยู่ระหว่างสถานีบางซื่อกับบางเขนไงครับ

ก่อนถึงสถานีบางเขนก็คือวัดเสมียนนารีที่มีข่าวโด่งดังเรื่องผีๆ สางๆ หวังว่าท่านผู้คนส่วนใหญ่คงจะเคยได้ยินข่าวเรื่องผีสาวคู่หนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นสองพี่ น้องถูกรถไฟทับตาย กลายเป็นผีดุวิญญาณเฮี้ยน แท็กซี่โดนหลอกหลอนหลายรายจนเป็นข่าวดังทั่วเมือง

เรื่องของเรื่องคือมีสองสาวโบกแท็กซี่แถวย่านรัชดาฯ ตอนดึกๆ ให้ไปส่งที่วัดเสมียนฯ น่าขนลุกตั้งแต่บอกปุ๊บก็ไปนั่งที่เบาะหลังปั๊บ ระหว่างทางก็ปรากฏรูปเงาวูบๆ วาบๆ มั่ง ขอให้ไปส่งในวัดมั่ง เล่นเอาแท็กซี่ใจคอไม่ค่อยดี ดึกเปลี่ยวในวัดน่ะชวนหนาวสันหลังอย่าบอกใคร...บางทีถึงจุดหมายก็หายตัวไป เฉยๆ

แท็กซี่ดวงซวยถึงกับเข้าเกียร์มือไม้สั่น ขนหัวลุกตั้งไปทันใด!

บางคนเจอะเจอเรื่องสยองขวัญยิ่งกว่านั้น...คือขับรถผ่านมาตอนดึกๆ เห็นผู้หญิงสองคนคลานไล่กันบนทางรถไฟ พอจ้องมองอย่างลืมตัวก็แทบช็อกตายคาที่...สองสาวนั่นน่ะแขนขาขาด เลือดโชกไปทั้งตัว แถมหันมาฉีกยิ้มเต็มใบหน้าเหวอะหวะอีกด้วย

แถวหน้าบ้านผมก็ไม่หยอกหรอกครับ ไหนจะต้นโพธิ์ต้นไทรร่มครึ้ม ตอนกลางวันก็อบอุ่นดีอยู่เพราะมีร้านค้าทั้งผัดไทย ต้มเลือดหมู ยาดองเหล้า ผลไม้ ข้ามทางรถไฟไปฝั่งโน้นก็มีบะหมี่เกี๊ยว ขนมนมเนย น้ำส้มน้ำหวานมีพร้อม

แต่พอตกค่ำคืนเท่านั้นแหละ ยิ่งดึกยิ่งเปลี่ยว แทบจะหาผู้คนไม่เจอ มีแต่หมาจรจัดเห่าหอนชวนขนลุกชะมัด

ลือกันว่าเคยมีคนโดนรถไฟชนมั่ง คิดสั้นโดดให้รถไฟทับตายมั่ง วิญญาณเจ็บปวดเหล่านั้นก็มักหาโอกาสมาปรากฏตัวให้คนขวัญอ่อนเผ่นอ้าวเป็น ประจำ!

ผมเองน่ะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งเจอะเจอเข้ากับตัวเองจังๆ

คืนนั้นผมขี่มอเตอร์ไซค์ไป รับไอ้โก้เพื่อนซี้ที่ซอยสวนผัก หลังจากนัดแนะกันเรียบร้อยว่าจะไปหาอะไรดื่มกินเพื่อความครึกครื้น ตามประสาหนุ่มโสดที่เงินเดือนออกตุงกระเป๋า...จุดหมายของเราคือพัฒน์พงษ์คน ยากที่สี่แยกสะพานควายไงครับ

ที่นั่นมีผับมีบาร์เรียงรายเป็นสิบแห่ง โชว์เด็ดๆ ปลุกใจเสือป่า ไม่ว่าอะโกโก้ โคโยตี้ รูดเสา จนถึงวาดรูป สูบบุหรี่ เปิดโซดา...โอ๊ย! อย่าให้เล่ารายละเอียดเลยครับ เดี๋ยวจะไม่เหมาะ เอาเป็นว่าย่านนั้น หรือรู้จักกันในชื่อ "รังอีแร้ง" น่ะเป็นชุมทางของนักเที่ยวในย่านนั้นและใกล้เคียงก็แล้วกัน

ขอ ข้ามเรื่องการออฟเด็กไปโรงแรมม่านรูดที่อยู่แถวนั้น ไปถึงเรื่องขนหัวลุกนะครับ!

เราไม่กล้ายุ่งเกี่ยวเพราะกลัวโรคร้าย เดี๋ยวเอดส์จะถามหาเปล่าๆ ราวห้าทุ่มเศษก็จ่ายเงินบึ่งรถกลับรังนอน เพราะรุ่งขึ้นต้องไปทำงานกันทั้งคู่

ลมดึกปะทะหน้าตาอู้ๆ ยังดีที่เราสวมหมวกนิรภัยเรียบร้อย...จนกระทั่งใกล้จะถึงจุดหมายอยู่ร่อมร่อ เมื่อเห็นโครงโฮปเวลล์ตั้งทะมึน...น่าเกลียดน่ากลัวทั้งสองฝั่งทางรถไฟ ...มองเห็นทางข้ามรางรถไฟอยู่ซ้ายมือ พอดีรู้สึกอ้อมแขนของไอ้โก้รัดเอวผมแน่นผิดปกติ พลางส่งเสียงกระเส่าอยู่ข้างหู

"ไอ้ต้น...ไอ้ต้น กูเห็นอะไรไม่รู้บนโฮปเวลล์น่ะ..."

"ไอ้บ้า เห็นอะไรวะ?" ผมหัวเราะเมื่อพารถข้ามทางรถไฟแล้วเลี้ยวขวา

"คนนั่งห้อยขาอยู่บนนั้นว่ะ...หรือจะฆ่าตัวตาย" เสียงไอ้โก้เหมือนคนไข้หนัก "เฮ้ย! ทางฝั่งนี้ก็มี ไม่เชื่อมึงก็เงยหน้าขึ้นมองซี่"

ผมโคลงหัว ตอนนั้นรถชะลอลงแล้ว เลยเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะเย็บวาบไปทั้งตัว...ร่างดำเมื่อมของชายคนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่บนนั้น จริงๆ แต่ขาทั้งสองข้างของมันห้อยยาวลงมาเป็นวา...เล่นเอาหลุดปากร้องเฮ้ย! รถเป๋ไปจนเกือบล้มคว่ำ

พอตั้งหลักได้ผมตะบึงรถผ่านชุมชนภักดีไป ยังสวนผักไม่คิดชีวิต ไอ้โก้กอดเอวผมแน่นจนถึงบ้านมัน...คืนนั้นต้องอาศัยนอนบ้านเพื่อน ขนหัวลุกไปนานเลยครับ!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREUzTURJMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB4Tnc9PQ==



Create Date : 25 เมษายน 2553
Last Update : 25 เมษายน 2553 11:58:44 น.
Counter : 637 Pageviews.

1 comment
เกวียนมรณะ
เกวียนมรณะ

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ป้าแป้น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหน้าโรงพยาบาล

ป้า เป็นเด็กสระบุรี หรือเมืองปากเพรียวโดยกำเนิด จังหวัดนี้ได้ชื่อว่าผีดุสุดๆ ไม่แพ้จังหวัดอื่นหรอกค่ะ เพราะเป็นทางผ่านสำคัญของภาคเหนือกับภาคอีสาน ผู้ใหญ่บางคนเรียกว่า "ประตูป่า" คือเป็นทางเข้าทางออกของดงพญาเย็น

แต่เรื่องที่ป้าจะเล่าสู่กันฟังวันนี้เกิดขึ้นที่หน้าโรงพยาบาลประจำจังหวัดนี่เอง!

สมัย ป้ายังเด็กตัวกะเปี๊ยกอยู่ใกล้ๆ สี่แยกวิทยุ ถ้าเลยไปทางกรมทหารม้าก็จะถึงสุขศาลาก่อน ชาวบ้านจะเจ็บไข้ได้ป่วยมากน้อยแค่ไหนก็หอบหิ้วกันมาที่นั่นแหละคุณ จนกระทั่งได้ฤกษ�ไปสร้างโรงพยาบาลโอ่อ่าขึ้นมาที่ฝั่งแม่น้ำตรงข้าม เลยหน้าวัดทองไปจนถึงหน้าโรงเรียนราษฎร์บำรุง มีถนนลาดยางเข้าไปไม่ไกลนัก

ชาว บ้านใกล้ๆ โรงพยาบาลอย่างบ้านดาวเรือง ห้วยบง พุแค ก็มาใช้บริการกันได้สะดวก เดินมาก็มี ว่าจ้างสามล้อมาก็มาก ขนาดชักเกวียนพาคนไข้มาส่งถึงที่ก็ไม่น้อย

ระยะหลังๆ ถนนชักจะทรุดโทรม เป็นหลุมเป็นบ่อแต่ยังไม่ได้ซ่อมแซมซักที

หลัง จากโรงพยาบาลเปิดได้ราว 4-5 ปี ป้าตอนนั้นยังสาวสะพรั่งก็เข้าไปเป็นผู้ช่วยพยาบาล มีหอพักให้อยู่รวมกัน หรือถ้าออกเวรตอนกลางวันก็จะกลับบ้านไปพักผ่อน ถึงเวลาก็นั่งสามล้อข้ามสะพานอำนวยสงครามมาทำงานต่อไป

คืนหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้นมา!

ตา โต๊ะคนบ้านห้วยบงมีลูกสาวคนเดียว เพิ่งเอาผัวเมื่อปีกลายชื่อทิดซ้อน ไปทำงานถึงกรุงเทพฯโน่น จนกระทั่งพี่แตงอ่อนตั้งท้องขึ้นมา และฝากท้องกับโรงพยาบาลเรียบร้อย ทิดซ้อนก็หมั่นมาเยี่ยมเยียนเมียเดือนละครั้งสองครั้ง เงินทองส่งมาให้ใช้สม่ำเสมอ ดูๆ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรเลย

แต่เมื่อพี่ แตงอ่อนท้องแก่ เกิดเจ็บท้องรุนแรงกลางดึก ตาโต๊ะก็อุ้มลูกสาวขึ้นเกวียนเทียมวัวรีบบึ่งไปโรงพยาบาล.... ขณะที่เลี้ยวเข้าทางตรงเปล่าเปลี่ยว ต้นไม้ร่มครึ้มริมทางได้ครู่เดียวก็เกิดตกหลุมเสียงโครม ท่ามกลางเสียงหวีดร้องกับเสียงแช่งด่าของสองพ่อลูก

เกวียนล้มคว่ำ คะมำหงายลงไปในพงหญ้ารกครึ้ม...เมื่อยามกับพยาบาลเวรดึกวิ่งไปดูก็พบแต่ล้อ เกวียนที่กำลังหมุนช้าลง...สองพ่อลูกกลายเป็นศพอยู่ในเกวียนมรณะนั่นเอง

ทิด ซ้อนกับป้าตาดแม่พี่แตงอ่อนเสียใจแทบเป็นบ้าเป็นหลัง...จนกระทั่งงานศพที่ วัดทองผ่านพ้นไป...เสียงร่ำลือว่าผีสองพ่อลูกเฮี้ยนนักหนาก็ดังกระหึ่มไป ทั้งจังหวัด!

คนที่ต้องเดินผ่านถนนหน้าโรงพยาบาลตอนกลางค่ำกลางคืน มักจะเจอะเจอเรื่องราวขนหัวลุกแทบทุกคน โดยเฉพาะพวกยาม แม่บ้าน พยาบาลและผู้ช่วย จนแทบจะไม่มีใครกล้าผ่านไปมาเพียงลำพัง

ท่ามกลาง แสงไฟเยือกเย็น นอกจากเสียงสายลมคร่ำครวญวู่หวิวกับเสียงแมลงราตรีครางระงม สรรพสิ่งก็เหมือนตกอยู่ในโลกร้าง สายลมหยุดพัด แมลงเงียบกริบ...จู่ๆ ก็มีเสียงล้อเกวียนกระทบกระแทกพื้นถนนโครมคราม แต่มองไม่เห็นเกวียนแม้แต่เล�มเดียว!

แม้แต่พวกพยาบาลที่อยู่ในหอ ก็ยังแว่วเสียงสยองนั้นได้อย่างชัดเจน แต่ไม่มีใครกล้าโผล่หน้าต่างออกมาดู นอกจากนอนคลุมโปงตัวสั่นเทาไปตามๆ กัน

บางคืนมีเสียงทารกร้อง แว้ๆ ออกมาจากป่าละเมาะที่เกวียนมรณะพลิกคว่ำลงไปเค้เก้...นอกจากจะไม่กล้าไปดู แล้ว คนที่ผ่านมาได้ยินเข้าถึงกับวิ่งป่าราบไปเลย

ป้าเองฟังแต่เขาเล่าจนชักจะชาชิน ช่วงหลังๆ ก็ซาไปเลยคิดว่าพวกเขาคงไปผุดไปเกิดแล้วมั้ง?

คืน หนึ่ง เสร็จงานออกจากโรงพยาบาลราวสองทุ่มเศษ ไฟยังสว่าง มองไปที่ถนนใหญ่ก็เห็นรถราแล่นผ่าน...คิดว่าจะเดินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึงบ้านเอง อย่าไปมองหาสามล้อให้ยากเลยป่านนี้แล้ว...แต่เมื่อเดินออกมาได้ครึ่งทางก็ ชะงัก

เสียงเกวียนค่ะ! วูบหนึ่งก็ใจหายเหมือนกัน แต่แล้วก็ถอนใจเฮือกอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเกวียนเล�มนั้นเลี้ยวจากถนน พหลโยธินเข้าซอยมา...คงจะเป็นคนไข้หนักที่ญาติพามาส่ง...จนกระทั่งเกวียนเล �มนั้นพุ่งเข้ามา ตามด้วยเสียงโครม! สนั่นหวั่นไหว

นรกเป็นพยาน! เกวียนอุบาทว์นั่นลอยขึ้นไปทำท่าว่าจะพลิกคว่ำลงที่ป่าละเมาะที่เคยเป็นแดน ตายของตาโต๊ะกับพี่แตงอ่อน...แต่มันหายวับไปต่อหน้าต่อตาของป้าเอง!

แทบจะพริบตานั้นป้าก็หันกลับโกยอ้าวเข้าไปในโรงพยาบาลตามเดิม ขนหัวลุกซีคะ!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREUyTURJMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB4Tmc9PQ==



Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2553 14:06:45 น.
Counter : 644 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend