เนินอาถรรพณ์
เนิน อาถรรพณ์

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"จักริน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวงศ์สว่างในอดีต

สมัยเด็กผมอยู่แถววงศ์ สว่างใกล้ๆ อู่รถเมล์สหมิตร บ้านช่องยังไม่หนาตานัก แต่ก็มีมากขึ้นทุกทีเพราะความเจริญมาถึงอย่างรวดเร็ว

เขาลือกัน ว่าแถวนั้นเป็นป่าช้าเก่าครับ!

เท็จจริงยังไงไม่รู้ แต่เด็กๆ อย่างพวกเราก็กลัวกันทุกคน โธ่! เด็กที่ไหนไม่กลัวผีล่ะ ขอถามหน่อยเถอะ ขนาดผู้ใหญ่หลายๆ คนยังกลัวนี่นา คนแก่เฒ่าก็ยังไม่วายกลัวผี ผมเคยได้ยินยายหุ่นขายห่อหมกที่หน้าอู่แกพูดกับหลานบ่อยๆ ว่า

"ถ้า ข้าตายละก็อย่าทิ้งข้าไว้ที่วัดคนเดียวนะ ข้ากลัวผีว่ะ!"

ขนาดคิดว่า ตัวเองตายไปแล้ว กลายเป็นผีไปแล้ว แกยังไม่วายกลัวผี...พวกหนุ่มๆ ปากคะนองบางคนก็หัวเราะขบขัน บางคนยังพูดจาล้อเลียนแกเล่นอย่างสนุกปาก

"ยาย ไม่คิดมั่งเหรอ ว่าผีมันเห็นยายมันก็กลัวตัวสั่นเหมือนกันนะยาย"

ยาย หุ่นด่าโขมงโฉงเฉง พวกเด็กๆ หัวเราะชอบใจ แต่ตกเย็นหรือโพล้เพล้หน่อยก็รีบแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วละครับ

ทาง เข้าหมู่บ้านก็ขรุขระพอๆ กับทางเข้าอู่รถเมล์ แถมยังเปล่าเปลี่ยวกว่าด้วยซ้ำเพราะไม่ได้ติดถนนใหญ่ แสงไฟฟ้าอย่าไปฝันให้ยาก สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ กับพวกไม้ล้มลุก ป่าละเมาะกับพงหญ้ารกครึ้ม...จะมีอะไรซุกซ่อนจ้องมองเราอยู่ก็ไม่รู้

มี เนินโล่งๆ ใต้ต้นมะขามเฒ่า เพราะเนินเจ้ากรรมนี่เองที่ทำให้ชาวบ้านลือกันเป็นตุเป็นตะว่าเป็นหลุมศพ เป็นป่าช้าเก่า...ยืนยันว่าผีดุบรรลัยจริงๆ เอ้า!

คนที่เดินผ่านเนิน มรณะนั่นตอนกลางคืน หรือแม้แต่ตอนเย็นๆ ที่แดดผีตากผ้าอ้อมเหลืองอร่ามก่อนจะจางหาย เคยเห็นภาพชวนขนหัวลุกมาเล่าตรงกันทุกคนเลยครับ

นั่นคือ หันไปมองที่เนินนั่นโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับมีอะไรดลใจ หรือดึงดูดสายตา...เห็นชายคนหนึ่งนั่งยองๆ สูบยาแดงวาบๆ ท่อนบนไม่สวมเสื้อเห็นชัดว่าผอมกงโก้ ท่อนล่างจะเป็นกางเกงขาก๊วยหรือโสร่งก็เห็นไม่ชัด แต่จะนั่งหันข้างให้...ดูโดดเด่นตัดกับทิวไม้ทิศตะวันตกที่ฟ้าแดงฉาน เพราะดวงอาทิตย์เพิ่งจะลับไปหยกๆ

...และแล้ว ใบหน้าที่เป็นรูปเงาดำๆ ก็ค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แสยะยิ้มเห็นฟันขาวแต่ตาแดงจ้าปานแสงไฟ เสียงหัวเราะแหบโหยดังแว่วมากระทบหูบัดดล

วิ่งครับวิ่ง! วิ่งกันไม่คิดชีวิต วิ่งล้มลุกคลุกคลานแทบจะขาดใจไปตามๆ กัน

วัน หนึ่งผมก็เจอเข้ากับตัวเองอย่างจังๆ

วันนั้นผมไปที่อู่รถกับเพื่อน สองคน คือไอ้ห้อยหลานยายหุ่น กับไอ้เอิ๊กลูกป้าอบ แกขายข้าวโพดต้มกับถั่วลิสงต้มที่นั่นเหมือนกัน ป้าอบใจดีให้ข้าวโพดกับถั่วต้มผมกินบ่อยๆ ยายหุ่นก็ให้ไอ้ห้อยเอาห่อหมกไปให้พวกคนขับกับช่างเครื่องแกล้มเหล้าเช่นกัน

หน้า หนาวค่ำเร็ว เราเจอะเพื่อนรุ่นเดียวอยู่แถวนั้นอีกสองคน เลยเล่นหยอดหลุมเอาหนังยางกัน...ผมกินหนังยางจนแทบล้นข้อมือ หันไปเห็นแดดผีตากผ้าอ้อมเหลืองอร่ามอยู่ในม่านฝุ่นสีแดงก็ใจหาย

"กลับ บ้านเถอะโว้ย เดี๋ยวโดนผีหลอก!" ผมร้องแล้วออกวิ่งแจ้น เพื่อนทั้งสองคนวิ่งตึ๊กๆ ตามมาด้วย ส่วนเพื่อนอีกสองคนมันอยู่คนละทางกับเรา

...มารู้ตัวอีกทีก็กำลัง หยุดหอบแฮกๆ ตรงเนินอาถรรพณ์ นั่นพอดิบพอดี!

หันขวับไปมองฟ้าสีแดง เข้มจนเกือบดำ แต่ก็เห็นผู้ชายนั่งกอดเข่า ผมกระเซิงตามแรงลมกำลังสูบยาแดงวาบๆ เข้าบัดดล

"เฮ้ย!..." ใครคนหนึ่งหลุดปากออกมา ขณะที่อากาศเย็นยะเยือกจนขนลุกซ่า ผมอยากจะหันหน้ากลับ อยากจะออกวิ่งต่อไปให้ถึงบ้านเร็วที่สุด แต่แข้งขาแข็งทื่อจนขยับไม่ได้เลย นอกจากอ้าปากค้าง ตาลืมโพลงเหมือนโดนสะกดจิต

ไอ้เอิ๊กกับไอ้ห้อยก็คงไม่แตกต่าง กัน!

ใบหน้าที่แทบจะกลืนหายไปกับความมืดค่อยๆ หันมาอย่างเชื่องช้า แต่แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด! ผมอยากจะร้องไห้ คิดว่าหัวใจกำลังจะหยุดเต้น...จู่ๆ ร่างนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืนตระหง่านทันใด...

เสียงใครร้องจ้าดัง แสบแก้วหู พร้อมๆ กับที่เรากระโจนอ้าวไม่คิดชีวิต

เสียงหัวเราะ ดังไล่หลังมา เราวิ่งลมออกหูรวดเดียวถึงบ้าน...ถึงจะไม่มีอะไรยืนยันว่าที่นั่นเป็นหลุมศพ หรือป่าช้าเก่ามาก่อน แต่ภาพนั้นยังติดตามาถึงทุกวันนี้เลยครับ!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV4TURZMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB4TVE9PQ==



Create Date : 13 มิถุนายน 2553
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 11:57:54 น.
Counter : 569 Pageviews.

0 comment
ผีพยาบาท
ผี พยาบาท

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"กันติชา" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อสาวใช้ไปกำจัดมารหัวขน

สีคำ เป็นคนต่างชาติมาเป็นสาวใช้ของดิฉัน ได้พาไป ทำบัตรแรงงานต่างด้าวเรียบร้อยแล้ว เธอสวยน่ารักและรูปร่างดีจึงมีเพื่อนฝูงมากมาย มีผู้ชายมาจีบเยอะ ส่วนมากเป็นคนชาติเดียวกับเธอที่ทำงานอยู่แถวชานเมือง

ทุกเดือนสีคำ จะขอมีวันหยุดเดือนละ 2 วัน ดิฉันเตือนให้ระวังนะ ถึงจะมีบัตรแต่ไปเที่ยวข้ามเขตไม่ได้ แต่เธอดื้ออยากไปหาเพื่อน ส่วนใหญ่จะขอไปเย็นวันศุกร์ กลับค่ำวันอาทิตย์...เหตุการณ์เป็นเช่นนั้นตลอด จนกระทั่งสีคำตั้งครรภ์

เฮ้อ...เธอกำลังจะมีลูกกับสามีของเพื่อนเธอ เอง!

ตอนที่สีคำมาบอกดิฉันเธอท้องได้ห้าเดือนแล้ว แต่ท้องสาวมันดูไม่ออก...สีคำยังนุ่งยีนส์ใส่เสื้อยืด พุงยื่นนิดๆ แทบไม่ผิดปกติ...เธอปรึกษาว่าอยากเอาลูกออกค่ะ!

ดิฉันใจหายวูบ เพราะเห็นว่ามันคือฆาตกรรมชัดๆ ถ้าไม่อยากตั้งท้องก็ต้องหาวิธีป้องกันไว้ คุมกำเนิดไม่ยากหรอก กินยาก็ได้ ง่ายที่สุด ถ้าไม่ลืมก็รับรองได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าจะไม่มีเด็กในท้อง ไม่มีน้องในพุงเด็ดขาด

พูดถึง เรื่องทำแท้ง ดิฉันบอกสีคำว่า ถ้าคิดจะทำจริงๆ ก็ควรทำตั้งแต่ก่อนสามเดือนโน่น มาถึงตอนนี้สายเสียแล้ว เด็กมีอวัยวะครบถ้วนแต่ตัวนิดเดียว ถ้าไปฆ่าเขาก็น่าสงสารมาก บาปสุดขีดด้วย!

สีคำทำหน้าเฉยๆ ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่...แต่หันไปปรึกษา "น้าต้อย" แทน

ต้อย คือแม่ครัวบ้านดิฉันนี่ละค่ะ อายุตั้งสามสิบกว่าแล้ว แต่คิดเหมือนเด็กๆ

คือ เธอไม่ยอมคุมกำเนิด แต่งงานมาหลายปีแล้ว มีลูกคนหนึ่งอายุเกือบสิบขวบ เธอบอกไม่อยากมีอีกเพราะเลี้ยงไม่ไหว แต่ต้อยก็ตั้งครรภ์เกือบทุกปีเลยค่ะ...ท้องทีก็ไปทำแท้งที เท่าที่รู้นี่ 4 ครั้งแล้วนะคะ...เมื่อเห็นสีคำคุยกับต้อย ดิฉันก็พอเดาออกว่าเธอกำลังคิดทำอะไร แต่ใจก็ยังไม่เชื่อว่าจะทำได้เพราะอายุครรภ์มากแล้ว

หนึ่งเดือนผ่าน ไป สีคำตัดสินใจไม่ถูก แต่ดิฉันโล่งอกว่าเด็กคนนี้ต้องคลอดออกมาดูโลกแน่ๆ และให้คำปรึกษา ว่า ถ้าไม่เลี้ยงอาจจะยกให้ใครไปก็ได้...

วันหนึ่ง เป็นวันที่สีคำตั้งท้องได้เกือบครบเจ็ดเดือน เธอบ่นปวดท้อง ต้อยก็อาสาว่าจะพาไปหาหมอ...ดิฉันไม่เคยคิด เลยว่าจะถูกสองคนนี่เล่นละครตบตาดื้อๆ

ปรากฏว่าสีคำกำจัดลูกของเธอจน ได้ จะด้วยวิธีใดก็สุดรู้ ต้อยพาเธอไปที่ไหนสักแห่ง จ่ายเงินไม่กี่พันแล้วทำให้มันคลอดออกมา...ดิฉันไม่อยากนึกถึงภาพสยดสยอง ของเด็กที่เป็นทารกครบถ้วนบริบูรณ์ ถูกสังหารในครรภ์แม่ แล้วนำร่างไร้ชีวิตออกมาทิ้งเหมือนซากสัตว์!

สีคำทำอะไรไม่ได้ไปสาม วัน แล้วเธอก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ดูสดใสสบายใจอย่างยิ่ง...แต่เป็นความสุขระยะสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์จากนั้น สีคำและต้อยก็ถูกผีทารกหลอกหลอนจนแทบเป็นบ้าไปทั้งคู่

ต้อยซึ่งทำงาน แบบเช้าไปเย็นกลับ จะรู้สึกว่าเห็นเด็กทารกวิ่งแว่บๆ อยู่รอบตัวเธอเกือบตลอดเวลา ทีแรกนึกว่าแมวหรือหนู แต่ต้อยเห็นว่าเป็นเด็กจริงๆ และคนในซอยก็ทักบ่อยมาก ว่ามีเด็กขี่คอต้อยไปไหนมาไหนด้วย

ส่วนสีคำ มันเริ่มจากเสียงร้องเหมือนลูกแมวดังอยู่ในห้องเธอทุกคืน!

จากนั้น เต้านมเธอก็เจ็บคัดแบบแม่ลูกอ่อน เธอเริ่มถูกผีอำและเห็นเป็นทารกปีนขึ้นมากินนม แต่เมื่อรู้สึกตัวจะพบว่ามีเลือดสดๆ พุ่งออกมาแทนน้ำนมขาวๆ เสื้อของ สีคำเกือบทุกตัวมีคราบเลือดเปรอะไปหมด เธอเจ็บปวดมากมาย ในห้องก็มีแต่กลิ่นซากเน่าและคาวเลือด...

สุขภาพสีคำทรุดโทรมลงอย่าง น่ากลัว! แม้จะร่วมมือกับต้อยทำบุญก็แล้ว ทำสังฆทานก็แล้ว แต่ผีทารกไม่ยอมเลิกรา มันเล่นงานจนต้อยไม่สบาย ต้องเข้าโรงพยา บาล...กลายเป็นคนอ่อนแอไม่มีเรี่ยวมีแรง ต้องลาออกจากงานที่บ้านดิฉันไปเลย

ต้อย ฝันร้ายเป็นประจำว่ามีทารกกลุ่มหนึ่ง แย่งกันกอด รัดฟัดเหวี่ยงให้เธอเป็นแม่ให้ได้! ส่วนสีคำก็ลาออกเหมือน กัน เธอไม่สบายด้วยโรคประหลาดที่หมอไม่ทราบสาเหตุ น้ำนมเธอเป็นเลือด แล้วยังปวดท้องทุรนทุรายเหมือนมีใครมาฉีกไส้...

ดิฉันสังหรณ์ใจ ว่าผีทารกยังติดตามไปวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ต้อยและสีคำไม่มีวันเลิกรา จนกว่าจะทวงหนี้ชีวิตได้สำเร็จสาสมใจ!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV3TURZMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB4TUE9PQ==



Create Date : 13 มิถุนายน 2553
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 11:56:26 น.
Counter : 637 Pageviews.

0 comment
วิญญาณเรียกหา
วิญญาณ เรียกหา

ขนหัลุก

ใบหนาด



"วงใจ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคนดวงขาด

ในอดีตดิฉันเป็นครูอยู่ที่ โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งแถวบางซ่อน จากถนนประชาราษฎร์ก็เข้าซอยไป ดิฉันเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนครูใกล้ๆ ทางรถไฟ บ้านเรือนยัง มีน้อย ส่วนใหญ่เป็นสวนเปลี่ยว เจ้าของสวนไม่ค่อยสนใจไยดี ปล่อยตามยถากรรมแทบทั้งนั้น

"น้าน้อย" เช่าบ้านถัดเข้าไปในสวน เธอกับสามีเป็นคนงานก่อสร้าง ตกเย็นเป็นต้องแวะร้านเหล้าด้วยกัน น่าเสียดายที่ทำงานหนักมาตลอดวันแต่เอาค่าแรงไปลงขวดเหล้าเสียหมด

โชค ดีอย่างที่สองผัวเมียไม่มีลูก เขามีชีวิตแบบอยู่ไปวันๆ ไม่มีอันตรายกับใครนอกจากตัวเอง!

ค่ำวันหนึ่ง น้าน้อยเดินร้องไห้เข้าซอยมา บอกว่าสามีเธอไปเมาที่บางโพ โดนนักเลงแทงตายคาที่ในวงเหล้า เพื่อนบ้านได้ฟังก็สยดสยองไปตามๆ กัน

ตั้งแต่ วันนั้นมา น้าน้อยก็ดื่มเหล้าหนักขึ้น การงานไม่ค่อยได้ออกไปทำเพราะลุกไม่ไหว บางคนนินทาว่าเงินช่วยงานศพยังเหลืออยู่แกเลยขี้เกียจทำงาน เอาแต่เมาเหล้าอยู่ที่ร้านกลางซอยบ้าน ซื้อไปดื่มต่อคนเดียวบ้าง พอเมาก็พล่ามพูดเหมือนคุยกับสามีที่ล่วงลับไปแล้ว

บางคืนก็หวีด ร้องโหยหวน เยือกเย็นไปถึงหัวใจของคนที่ได้ยิน!

น้าน้อยวัยสี่ สิบต้นๆ ร่างผ่ายผอมราวกับมีแต่หนัง หุ้มกระดูก ผมหงอกประปราย ชอบนุ่งผ้าถุงสีดำ สวมเสื้อคอกระเช้าแล้วทับด้วยเสื้อแขนยาวปล่อยชาย ถ้ามีผ้าโพกหัวก็จะเหมือนกับชุดที่แกแต่งออกไปทำงานเลยค่ะ

วันหนึ่ง บ้านน้าน้อยเงียบเชียบจนพวกเราเอะใจ บางคนถือไฟฉายเข้าไปดูเพราะเป็นห่วง ปรากฏว่าน้าน้อยนั่งซุกตัวอยู่มุมห้องเหม็นอับ ใช้ผ้าขาวม้าเก่าๆ ของสามีคลุมไหล่ต่างผ้าห่ม เปิดไฟส่องสลัวที่เพดาน หน้าตาตื่นตัว ตัวสั่น บอกว่า...ผีมาหาแกทุกคืน มาชวนไปอยู่ด้วยกัน!

"ผัวเอ็งมาหาใช่ ไหม?" ลุงโต๊ะถาม แต่น้าน้อยส่ายหน้าบอกว่าไม่ใช่ แต่เป็นผีที่ไหนไม่รู้ มาทั้งผู้หญิงผู้ชาย คนแก่ แม้แต่เด็กๆ ก็มี

คืน หนึ่งเดือนหงายราวสามทุ่มเศษ สมัยนั้นถือว่าดึกมากแล้ว ลุงโต๊ะกับตาฉ่ำกลับจากงานศพที่เมืองนนท์เข้าซอยมา เห็นไฟบ้านน้าน้อยเปิดอยู่ก็ตะโกนเรียกแต่ไม่มีเสียงขานรับ พอดีตาฉ่ำเห็นหลังไวๆ หายลับเข้าไปในสวนเลยรีบชวนกันวิ่งตามไปดูทันที

สิ่ง ที่เห็นเล่นเอาเกือบช็อก...ในแสงจันทร์ขาวนวลที่ส่องลงมา เห็นร่างน้าน้อยกำลังใช้ผ้าขาวม้าผูกคออยู่บนกิ่งไม้ ชายชราทั้งสองร้องเฮ้ย! ร่างผ่ายผอมก็ทิ้งตัวลงมาทันใด...เดชะบุญที่ช่วยกันรับไว้ทัน!

น้า น้อยร้องไห้โฮเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เหลียวมองไปรอบๆ กายที่มีแต่ความเปล่าเปลี่ยว แมลงที่เงียบไปเมื่อครู่ก่อนก็กรีดเสียงระงมขึ้นมาใหม่

"เขาชวนฉันมา ที่นี่ ยุให้ฉันขึ้นไปผูกคอบนกิ่งไม้ แล้วจะได้ไปอยู่ด้วยกัน!"

ลุง โต๊ะกับตาฉ่ำขนลุกซ่า รีบดึงแขนหญิงผู้น่าเวทนากลับมาที่บ้าน ช่วยกันพูดปลอบอกปลอบใจว่าเพราะฤทธิ์เหล้าดลบันดาล ไม่มีผีสางที่ไหนมาชวนคนไปตายหรอก! ขอให้เลิกเหล้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แล้วเริ่มต้นทำการทำงานเสียที

ชาวบ้านพูดกันว่า คนติดเหล้าขนาดนี้ไม่มีวันเลิกได้แน่ๆ ไม่ช้าก็ต้องเมาแล้วสติฟั่นเฟือน คิดว่าผีสางมาชวนไปอยู่ด้วย...คนเผลอก็ต้องไปผูกคอตายอีกแน่ๆ

ปรากฏ ว่าทุกคนคิดผิดค่ะ น้าน้อยเลิกเหล้าได้ ออกไปทำงานก่อสร้างตามเดิม ร่างกายเริ่มมีเนื้อมีหนัง หน้าตาผ่องใสขึ้นกว่าเดิมเป็นคนละคน...จนกระทั่งถึงเทศกาลออกพรรษา ทอดกฐินสามัคคีกันครึกครื้น

หมู่บ้านเรามีคนฐานะดีบอกบุญไปทอดกฐิน ที่วัดเก้าชั่ง ริมแม่น้ำจังหวัดสิงห์บุรี มีเรือยนต์มารับที่ท่าน้ำวัดสร้อยทอง ดิฉันกับเพื่อนๆ นึกสนุกก็ไปกับเขาด้วย

ระหว่างการเดินทางมีการร้องรำทำเพลงกันสนุก สนาน ดื่มเหล้าครึกครื้นจนถึงวัด เพิ่งสังเกตว่าน้าน้อยก็ดื่มเหล้าร้องเพลง รำเฉิบๆ กับคนอื่นเช่นกัน

กระทั่งขากลับ พวกผู้ชายคอแข็งก็ดื่มเหล้ากันต่อ น้าน้อยขอยอมแพ้ไปนอนรับลมที่หัวเรือ...ใกล้จะถึงจังหวัดนนท์แล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงร้องกรี๊ดๆ น่าตกใจ เรือเบาเครื่องลง...โซ่ที่กราบเรือขาดโดยไม่ทราบสาเหตุ พุ่งเข้าเสียบอกน้าน้อยจนทะลุหลังตายคาที่

เสียงร้องรำทำเพลง เงียบหาย พวกเราที่รู้เรื่องผีชวนน้าน้อยไปอยู่เมื่อเดือนก่อนมองสบตากัน...เป็น เรื่องบังเอิญหรือผีมารับวิญญาณน้าน้อยกันแน่? ขนหัวลุกน่ะซีคะ!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREE1TURZMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3T1E9PQ==



Create Date : 13 มิถุนายน 2553
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 11:55:56 น.
Counter : 656 Pageviews.

0 comment
คืนสยอง
คืน สยอง

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"คุณโด่ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอาร์ซีเอ ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่กลัวผี แค่คิดว่าวิญญาณอาจมีจริง ร่างกายสลายตายจากโลกไปแล้ว แต่วิญญาณอาจจะยังอยู่ วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่เราก็มักจะมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติมาเล่าสู่กันฟังเสมอ

คืน หนึ่งผมไปเที่ยวอาร์ซีเอกับเพื่อน แม้วัยต้น 40 ออกจะสูงไปสำหรับที่นั่น แต่ไม่เป็นไรน่า ผมมีข้ออ้างว่าที่มานี่เพราะงานครีเอทีฟเกี่ยวกับโฆษณาสินค้าวัยรุ่น..เลยขอ มาซึมซับบรรยากาศให้พลังวัยรุ่นมันซาบซ่านซักหน่อย

พวกเด็กๆ วัยทีนเอจนี่เป็นช่วงชีวิตที่มีพลังสูงและแรงมากๆ นะครับ!

คุณๆ ที่รู้สึกเหนื่อยหน่าย วัยชะแรแก่ชราทั้งหลาย ลองเข้าไปอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นซิครับ จะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าทันที อ้อ! ไม่ได้หมายถึงพวกหัวงู หรือพวก "หูดำ" นะครับ พูดจริงๆ เอ้า (ฮา)

ทำใจให้บริสุทธิ์แล้วร่วมงานกับพวกเขา เช่นในงานกีฬา คอนเสิร์ต คุณจะรู้สึกถึงกระแสพลังบางอย่างที่คุณเคยมีมาก่อน แต่มันหายไปแล้ว เพราะกาลเวลามาเอาคืนไปเมื่อไหร่ก็ไม่ยักรู้ตัว

คืนนั้น พอผมกับเพื่อนฝ่าเสียงบึ้มๆ จากลำโพงเข้าไปนั่งในบาร์ได้ เราก็ดูพวกวัยรุ่นเขามันสะบัดช่อกัน ใจหนึ่งนึกเป็นห่วง แต่เอาเถอะ..สมัยนี้จะให้พับเพียบแต้เป็นเบญจกัลยาณีอยู่กับบ้านก็คงจะอก ระเบิดตาย!

พวกเขามาปลดปล่อยอารมณ์กันสุดเหวี่ยง ใส่เสื้อผ้าบ่งบอกถึงการประกาศตัวเองให้โลกรู้ว่าฉันอยากแหกกฎ เป็นกบฏสังคม! แล้วดูท่าดิ้นปัดๆ ของคุณเธอทั้งหลาย..แหม! ทั้งพลิ้วทั้งกระเพื่อม

สถานที่แบบนี้เหมือนขุมอเวจีที่มันโคตร จริงๆ ทุกตารางเมตรมีแต่ความเร้าใจเคลือบคลุม ซ่อนเร้นอันตรายจนมิดชิด..อันตรายที่ไม่รู้ใครคือผู้ล่า? ใครคือเหยื่อ? แต่เชื่อเถอะว่าต้องมีเรื่องใดเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นได้ทุกนาที

กำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมก็เหลือบไปเห็นเด็กสาวสายเดี่ยว ผอมสูง ผมยาว กำลังบิดตัว ชูแขนเหนือหัว ส่ายตัวตามจังหวะดนตรีราวงูเห่าที่โดนฤทธิ์ปี่ของแขกเล่นกล!

เธอคงมาคนเดียว เต้นปล่อยตัวปล่อยใจอยู่ในกลุ่มคนวัยเดียวกันอีกนับร้อยเหมือนแหวกว่ายสบาย อารมณ์อยู่กลางทะเลมนุษย์..ผมสะกิดให้เพื่อนดูสาวสายเดี่ยวชุดดำคนนั้น เพื่อนถามว่าสนใจจะทาบไปถ่ายโฆษณาเหรอ? ผมสั่นหน้า..เธอดูซีดเซียว ท่าทาง เหมือนอมทุกข์ก้อนโต! เธออาจเป็นเอดส์แล้วปล่อยชีวิตให้ร่วงผล็อยไปตามยถากรรมก็ได้

วัยแค่นี้ น่าจะอยู่ในชุดนักศึกษา สะอาดสะอ้านอยู่กลางแสงตะวันในรั้วมหาวิทยาลัยมากกว่า!

ไม่รู้อะไรมาดลใจ..คิดถึงตรงนี้ สาวน้อยสายเดี่ยว ชุดดำก็สะบัดหน้าขึ้นสบตาผมพอดี..กายเธอยังโยก ส่ายหมุนไปทางโน้น โดยที่ใบหน้ายังหันตรงมาทาง ผม

"เฮ้ย!" ผมร้อง เพื่อนหันมาถามทันที "อะไรวะ?" ผมกะพริบตา ควันบุหรี่และแสงเลเซอร์ทำให้ประสาทจักษุผมเพี้ยนไปปานนั้นเชียวเหรอ?

สาวชุดดำเคลื่อนกายมาทางเรา จะว่าก้าวก็ไม่เชิง มันคล้ายเลื่อนมามากกว่า แต่ผมไม่ได้คิดอะไรมาก เชื่อว่าควันกับแสงกะพริบวาบๆ นั่นคงทำให้เกิดภาพลวงตาขึ้นได้

อึดใจต่อมาผมอยากเข้าห้องน้ำ ซึ่งต้องเดินเบียดกลุ่มนักเต้นไปข้างใน ผมไม่ได้ตั้งใจว่าจะเดินเฉียดเธอ แต่พอรู้ตัวอีกทีสาวน้อยก็อยู่ห่างแค่เอื้อม..วินาทีนั้นเอง ผมโดนวัยรุ่นที่กำลังเต้นสุดสะวิงเซมากระแทกหลัง..หัวทิ่มไปทางสาวน้อยที่ผม ต้องล้มใส่เธอแน่ๆ

ผมล้มใส่เธอจริงๆ แต่มือที่ยื่นออกไปรับแรงปะทะนั้นพุ่งพรวด ทะลุผ่านกระดูกไหปลาร้าด้านขวาของเธอไปเลย แล้วผมก็เซหลุนๆ ไปโดนคนถัดไป..เขาจับผมไว้พลางหัวเราะ ไม่มีทีท่าว่าเห็นสิ่งน่าขนลุกที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา!

ไม่มีเด็กสาวคนนั้นแล้ว เมื่อผมกลับมาเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง เขามองไปที่นั่นพร้อมผม..เด็กสาวสายเดี่ยวยังเต้นเร่าอยู่ตามเดิม เพื่อนหาว่าผมเมา เรานั่งต่ออีกพักใหญ่..เด็กสาวประหลาดหายไปแล้ว

ตั้งแต่ วันนั้นจนวันนี้ ผมระแวงอยู่ตลอดว่าจะเห็นเธออีก..เธอเป็นผีจริงๆ หรือประสาทสัมผัสของผมมันเล่นพิเรนทร์กันแน่หนอ?

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREE0TURZMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3T0E9PQ==



Create Date : 13 มิถุนายน 2553
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 11:55:28 น.
Counter : 686 Pageviews.

0 comment
สองแม่ลูก
สอง แม่ลูก

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"อนงค์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคลองผีสิง

เอ่ยถึงคลองบางระมาด ย่านตลิ่งชัน เมื่อ 20-30 ปีก่อน แทบจะไม่มีใครรู้จักก็ได้ค่ะ แต่มาถึงสมัยนี้บ้านเมืองเจริญขึ้นผิดตา คลองลัดมะยมที่อยู่ใกล้ๆ กันก็ถึงกับติดตลาดนัดเสาร์อาทิตย์ มีของกินของใช้ ไม้ประดับ รวมทั้งผลหมากรากไม้สดๆ จากสวนมาวางขายในสนนราคาย่อมเยา ลูกค้าส่วนใหญ่ขับรถขับรามาจากต่างถิ่นกันทั้งนั้น

พวกผู้ใหญ่ ท่านเล่าว่าชุมชนใหญ่อย่างวัดจำปา ตลิ่งชันนี่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ถือว่าเป็นชุมชนใหญ่ จากวัดโพธิ์เดินไปทุ่งนากลางทุ่งจะเห็นเจดีย์ศรีประวัติ จังหวัดนนทบุรี หรือถ้าขึ้นต้นตาลก็จะมองเห็นภูเขาทองและสนามหลวงได้ชัดเจนทีเดียว

สมัย เด็กๆ ครอบครัวดิฉันก็อยู่ข้างคลองบางระมาดนั่นละค่ะ ไหนจะใช้อาบกิน ทำสวน และอาศัยในการล่องเรือเดินทางเพราะไม่มีถนนตัดผ่านละลานตาเช่นทุกวันนี้

หน้า น้ำพวกเด็กๆ จะสนุกสนานกับการเล่นน้ำจนตัวดำเป็นเหนี่ยง ดำผุดดำว่าย เล่นไล่จับ หมาเน่าลอยน้ำ แข่งกันดำอึดดำทน หรือไม่ก็ข้ามฟากไปถึงตลิ่งโน้นที่มีแต่พงอ้อกอหญ้ารกทึบ ที่ใต้ต้นหว้าริมตลิ่งมีเปลญวนทำด้วยผ้าขาวม้าเก่าๆ ตอนบ่ายถึงเย็นมีเจ้าของเปลคือน้าชื่นกับลูกชายวัย 2-3 ขวบชื่อน้องชัยมานั่งๆ นอนๆ ไกวเปลเล่นเป็นประจำ ทั้งรับลมเย็นๆ กับดูพวกเด็กๆ เล่นน้ำกันอย่างมีความสุข

น้องชัยเคยดิ้นรนจะไปดูพวก เราเล่นน้ำ ส่งเสียงหัวเราะร่าเริง ดังก้องไปในอากาศ...แต่แม่จะคว้าตัวขึ้นมาบนเปลจนได้

น้าชื่นใช้ เชือกผูกโคนต้นไม้แล้วเหนี่ยวให้เปลแกว่งไกวตามใจชอบ พวกเด็กๆ อยากจะไปขอเล่นมั่งก็ไม่ได้ เพราะน้าชื่นกับลูกชายไม่ยอมลงจากเปลจนกว่าจะกลับ

เย็นหนึ่งก็เกิด เหตุร้ายขึ้น!

ขณะที่พวกเราเล่นแข่งว่ายน้ำข้ามฟากกัน เสียงตูม! ก็ดังมาแต่ไม่น่าสนใจเท่ากับเสียงร้องกรี๊ดสุดเสียง...พอหันขวับไปมองก็เห็น น้าชื่นกระโดดน้ำลงมา เรียกหาลูกชายที่กำลังผลุบๆ โผล่ๆ เล่นเอาพวกเราใจหายไปตามๆ กัน ร้องแต่ว่า...น้องชัยตกน้ำๆๆ

ร่าง เล็กๆ นั่นทะลึ่งพรวดขึ้นมาหูตาเหลือกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจมหายไป

พวก เรา 3-4 คนรีบว่ายเข้าไปหา น้าชื่นดำน้ำลงไปแล้วหายไปอีกคน ดิฉันใจเต้นตูมๆ ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ ขณะนั้นเอง ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้ยินเสียงร้องก็วิ่งเข้ามาดู บ้างกระโดดน้ำลงมาช่วย...แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินไป!

ต่างคนต่าง งมหาสองแม่ลูกอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง จึงได้พบศพของน้าชื่นกับน้องชัยจมอยู่ก้นคลอง...

น้าเอิบผู้สูญเสีย ลูกและเมียไปพร้อมๆ กัน บอกกับเพื่อนบ้านด้วยเสียงสะอื้นว่าไม่อาจจะทนอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป... หลังจากทำศพลูกเมียแล้วก็อพยพไปอยู่ที่อื่น

วิญญาณอันเจ็บปวดและทน ทุกข์ทรมานของสองแม่ลูกก็กลับมา!

แม้ว่าจะไม่มีเจ้าของเปลญวนอีก ต่อไป แต่ไม่มีใครกล้าไปนั่งๆ นอนๆ เล่นที่เปลนั้นเลย ได้แต่เมียงมองอย่างหวาดๆ บางครั้งก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเปลว่างเปล่านั้นแกว่งไกวไปมาช้าๆ ทั้งที่ไม่มีสายลมพัดมาเลยแม้แต่น้อยนิด

หนักเข้าก็ไม่มีใครกล้า เฉียดกรายไปใกล้เปลนั่นเลย เวลาจะลงน้ำก็กระเถิบห่างออกไป...มีเสียงเล่าลือว่ามีคนเห็นน้าชื่นกับน้อง ชัยนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในเปล เล่นเอาต้องวิ่งเตลิดเปิดเปิงไปตามๆ กัน

จน กระทั่งวันหนึ่ง...วันที่จะติดตาตรึงใจพวกเราไปจนชั่วชีวิตสลาย!

วัน นั้นราวห้าโมงเย็น เราลงไปเล่นน้ำกันอย่างสนุก สนานประสาเด็ก ลืมเรื่องผีๆ สางๆ ไปชั่วขณะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน แสงแดดจางหายแต่แสงสว่างยังหลงเหลืออยู่ ใครบางคนกำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนตลิ่งอันเป็นที่ตั้งของเปลญวน

สาย ตาทุกคู่มองไปเป็นตาเดียวกัน...คุณพระช่วย! น้าชื่นกับลูกชายกำลังนั่งอยู่ในเปลญวนที่แกว่งไกวไปมาช้าๆ ราวกับยังมีชีวิตอยู่

เสียงแผดร้องแสบแก้วหู พวกเราแตกฮือไปคนละทางสองทาง ต่างตะเกียกตะกายป่ายปีนขึ้นฝั่ง ครั้นหันไปเห็นภาพอุบาทว์นั้นก็ร้องวี้ดว้าย หล่นตูมลงน้ำไปอีก...กว่าจะขึ้นได้หมดก็ทุลักทุเลเต็มที บางคนร้องไห้โฮๆ เหมือนคนสติแตกไปแล้ว

ตั้งแต่นั้นมาเราไม่กล้าไปเล่นน้ำในคลองอีก เลย จนกระทั่งเปลผ้าขาวม้านั้นเปื่อยขาดไปตามกาลเวลา... วิญญาณของสองแม่ลูกก็คงจะพลอยไปผุดไปเกิดแล้วล่ะค่ะ!

//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREEzTURZMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3Tnc9PQ==



Create Date : 13 มิถุนายน 2553
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 11:55:04 น.
Counter : 580 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend