พบกันที่ป้ายรถเมล์
พบ กันที่ป้ายรถเมล์
ขน หัวลุก
ใบหนาด
"การุณ"เล่าประสบการณ์ขน หัวลุกจากป้ายรถเมล์หลังวัดช่องนนทรี
สมัยหนุ่มผมอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านใกล้ๆ สำนักงานเขตยานนาวา มีญาติคนหนึ่งชื่อลุงฉ่ำอยู่ย่านเดียวกัน คือเช่าที่วัดช่องนนทรีปลูกบ้านอยู่ตรงข้ามประตูวัดพอดี...ชาวบ้านเรียกกัน ว่า ประตูใหม่
ลุงฉ่ำเล่าว่าผีวัดนี้ดุฉกาจฉกรรจ์ เคยมีคนเจอดีจนร้องโวยวายมาหลายคนแล้ว เรื่องผีดุนี่จะเป็นรองก็แต่วัดดอน-ยานนาวาเท่านั้นแหละ!
สมัยนั้นยังไม่มียาบ้า ยาไอซ์ เหมือนสมัยนี้ แต่ยาเสพติดที่แพร่หลายกว้างขวางก็คือผงขาวกับสารระเหย (ทินเนอร์) หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า "ดมกาว" นั่นเอง
ทินเนอร์นี่เป็นที่นิยมของพวกวัยรุ่นในชุมชน ขนาดเด็กๆ อายุสิบกว่าขวบก็ริอ่านดมกาวกันแล้ว (ยี่ห้อ 3K เป็นที่นิยมมาก) เพราะเป็นสารเสพติดที่ราคาถูกและหาซื้อได้ง่ายเหมือนซื้อน้ำอัดลม ทาสยาเสพติดพวกนี้แต่งตัวสกปรกมอมแมม ผิวหนังออกสีม่วงหมองคล้ำ บางคนเสพยานานจนผิวแห้งตกสะเก็ดเหมือนหนังงู ยิ่งพวกที่ดมกาวชนิดสูดจากถุงพลาสติกเข้าไปมากๆ จะออกอาการ "เหวอ" เพ้อเจ้อเห็นภาพหลอนต่างๆ นานา
บางคนปีนต้นไม้เพื่อจะไขว่คว้าดวงดาวให้ได้
บางคนสงสัยไม่หยุดว่าทำไมพระจันทร์จึงหล่นลงมาจมอยู่ในน้ำ
บางคนใช้นิ้วขุดหาขุมทรัพย์เหย็งๆ ไม่ว่าใครจะห้ามปรามยังไงก็ไม่ฟังเสียง
ผมเองต้องไปทำงานที่ประตูน้ำ การเดินทางทั้งไปและกลับจึงจำเป็นต้องผ่านวัดช่องนนทรีเป็นประจำ โดยมีป้ายรถเมล์อยู่ด้านหลังวัด ใกล้ๆ กันมีร้านข้าวแกงอยู่ร้านหนึ่งกับข้าวอร่อยหลายอย่างและราคาก็ไม่แพงด้วย
วันไหนผมกลับบ้านค่ำหน่อย พอลงรถก็มักจะเห็นเด็กติดยานั่งๆ นอนๆ อยู่ที่ป้ายรถเมล์ กลิ่นสาบสางฉุนมาเข้าจมูก แต่ผมนึกเวทนามากกว่า...ไม่อยากโทษว่าเป็นความผิดของเด็กจนๆ หรอกครับ นอกจากจะสงสัยว่าจริงๆ แล้วเป็นความผิด หรือความรับผิดชอบของใครกันแน่?
ปัญหาเมื่อ 30 ปีก่อนก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกันยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้!
เช้านั้นผมเห็นเด็กวัยรุ่นผิวดำ ร่างเล็กแกร็นเพราะขาดอาหาร นัยน์ตาแห้งแล้ง เสื้อผ้าสกปรกเหมือนผ้าขี้ริ้ว รู้สึกคุ้นหน้าจากที่เห็นในตอนค่ำๆ แกเข้ามายกมือไหว้พลางบอกเสียงแหบๆ ว่าขอตังค์ไปซื้อข้าวกิน...ไม่ว่าใครก็รู้ว่าแกจะเอาเงินไปซื้อทินเนอร์! ผมเลยบอกว่าถ้าหิวข้าวจริงๆ พี่จะพาไปกินที่ร้านข้าวแกงเอง
เด็กคนนั้นอึกอัก แต่ไม่มีทางเลี่ยงจึงต้องตามผมไปที่ร้านข้าวแกง
เมื่อแกอิ่มหนำเรียบร้อยแล้วก็ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่นัยน์ตาดำๆ มองผมด้วยแววละห้อย เดินตามต้อยๆ มาที่ป้ายรถเมล์อีก ผมนึกยังไงไม่รู้ครับ...คงจะเป็นเพราะความเวทนามากกว่ารำคาญ เลยควักเงินให้แกสิบบาท
วันต่อๆ มาแกก็มารอผมอยู่ที่เดิม จนแกบอกว่าชื่อเก่ง แม่ตายแล้ว พ่อมีเมียใหม่ ถูกพ่อไล่ตะเพิดบ่อยๆ บอกว่าจะไปตายเหมือนหมาข้างถนนที่ไหนก็ตามใจ...ผมได้ฟังยิ่งเวทนาจนพาเก่งไป กินข้าวแกงแล้วให้เงินใช้ครั้งละห้าบาทสิบบาทแทบทุกวัน...บางวันก็มีเสื้อ ผ้าเก่าๆ ไปฝาก จนการแต่งเนื้อแต่งตัวของแกค่อยดูสะอาดสะอ้านขึ้นกว่าเดิม
นัยน์ตาแห้งแล้งของเก่งมองผมเหมือนหมามองเจ้าของ...แต่เมื่อนึกว่าเก่งคงเอา เงินที่ได้ไปซื้อทินเนอร์มาดมแน่ๆ ผมก็ไม่สบายใจเลย...บางทีนึกระแวงว่าแกจะตามมาตื๊อถึงบ้าน แต่เก่งก็คอยพบผมที่ป้ายรถเมล์แห่งเดียว
จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุ!
เก่งมานั่งกอดเข่ารออยู่ที่ป้ายรถเมล์ตามเคย...วันนั้นต้นเดือนพอดี หลังจากกินข้าวอิ่มแล้วผมก็ควักเงินให้แกถึง 20 บาท กำชับว่าเอาไว้ซื้อของกินนะ ห้ามซื้อกาวมาสูดดมเด็ดขาด เก่งก็รับปากอย่างหนักแน่น...แต่ผมรู้ดีว่าคำสัญญาของคนติดยาไร้ค่าจริงๆ
ค่ำนั้นผมลงจากรถเมล์ก็เห็นเก่งนั่งกอดเข่าซบหน้ารออยู่แล้ว...เอ๊ะ! หรือว่า แกไม่ได้รอผมเพราะป้ายรถมันอยู่คนละฝั่งนี่นา! ก็พอดีใบหน้าเล็กๆ เงยขึ้นมา นัยน์ตาหมองคล้ำแห้งแล้งดูวาววับราวกับมีน้ำตาเอ่อคลออยู่เต็ม
ร่างบอบบางลุกขึ้นยืนเงยหน้ามองผมแล้วฝืนยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะเดินจากไปช้าๆ โดยไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว...เลี้ยว เข้าวัดช่องนนทรีหายลับไปขณะที่เสียงหมาหอนดังมาจนขนลุกซ่า...เก่งตายเพราะ เงินที่ผมให้ ดมกาวมากเกินไปจนหัวใจวายครับ!
//www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREUxTURNMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNeTB4TlE9PQ==