ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๒๐๕-กับสิ่งที่ต้องแลกมา



“ขอโทษครับ แขนซ้ายของคุณ...เอ่อ... ไปโดนอะไรมา” ชายคนหนึ่งถามอย่างสุภาพ ทำให้ชายนักเดินทางรู้สึกสะท้อนใจนิดหน่อย

“ผลของไฟบัลลัยกัลป์ครับ ผมรอดได้มาได้ก็บุญอย่างมากมาย แต่คนรักของผมนี่สิ เธอผ่านออกมาไม่ได้”

“เสียใจด้วยนะครับ” ชายคนนั้นพูด

“ไม่เป็นหรอกครับ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ตอนนี้ผมสามารถปรับสภาพการใช้ชีวิตแบบมีแขนเดียวได้แล้ว”ชายนักเดินทางพูดอย่างอารมณ์ดี

“คุณอยากได้แขนข้างนี้กลับมาหรือเปล่าครับ...” ชายคนนั้นถามอย่างสีหน้าจริงจัง ทำให้ชายนักเดินทางรู้สึกตกใจกับคำถามเล็กน้อย

“เป็นไปได้หรือครับ...” ชายนักเดินทางถามกลับ เพราะเขาคิดว่าแขนของเขานั้นไม่ใช่หางจิ้งจก จะได้งอกใหม่ได้เรื่อย ๆ

“เป็นไปได้สิครับ เพราะดินแดนนี้เป็นดินแดนวิเศษ ที่เราสามารถจะเนรมิตอะไร ๆ ก็ได้ตามใจเราปรารถนา ” ชายคนนั้นอธิบาย

“มีดินแดนอย่างด้วยเหรอครับ ผมเคยได้ยินแต่บนสวรรค์ ว่าแต่ผมต้องทำอย่างไรบ้าง ” ชายนักเดินทางพูด

“เรื่องนี้ง่ายมากครับ คุณแค่สมัครใจที่จะเป็นสมาชิกของที่นี่ แค่นี้คุณก็มีสิทธิ์ที่จะใช้อำนาจ เวทมนต์ได้ทุกอย่าง ตามแต่ใจของคุณปรารถนา...นี่ครับใบสมัคร” ชายคนนั้นพูดพร้อมกับยื่นกระดาษให้กรอกข้อมูลหนึ่งแผ่น

“พันธสัญญา...” ชายนักเดินทางร้องอุทาน

“ใช่แล้วครับ เพียงคุณอ่านพันธสัญญาฉบับนี้ แล้วเซ็นชื่อเท่านั้น คุณก็จะได้เป็นสมาชิกของที่นี่ แล้ว”

“ในพันธสัญญาข้อหนึ่ง บอกว่าผมต้องอยู่ ณ ดินแดนนี้ตลอดไป อย่างนั้นหรือครับ” ชายนักเดินทางถาม

“อ๋อ ใช่แล้ว คุณต้องอยู่ในดินแดนของพวกเราตลอดไป”

“แต่ ผมต้องเดินทางนะครับ ผมมีจุดหมายคือ ดินแดนพระนิพพาน” ชายนักเดินทางบอก

“นิพพานเหรอ ผมไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย เป็นสวรรค์ชั้นไหนเหรอ ” ชายคนนั้นถามกลับ

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ผมรู้แต่ว่าผมต้องเดินทางไปด้วยตัวของผมเอง สักวันหนึ่งอาจารย์บอกว่าผมจะได้ไปถึงครับ”

“ล้อเล่นน่า...คุณจะมัวแต่ไปตามหาดินแดนที่อยู่ในจินตนาการทำไม ที่แห่งนี้ต่างหากของจริง แล้วคุณก็จะได้แขนซ้ายกลับมาด้วย พร้อมทั้งมนต์วิเศษ อีกสารพัด ผมรับรองได้นะครับ ดินแดนแห่งนี้ปลอดภัยจากไฟบัลลัยกัลป์หนึ่งร้อยเปอร์เซนต์”ชายคนนั้นโฆษณาต่อ
ทำให้ชายนักเดินทางรู้สึกลังเล

“งั้นแสดงว่าสถานที่แห่งนี้ก็เที่ยงแท้แน่นอนใช่ไหมครับ มีใครต้องจากดินแดนแห่งนี้ไปบ้างหรือเปล่า แล้วถ้าผมทำผิดในพันธสัญญาจะเป็นอย่างไร” ชายนักเดินทางถามกลับ

“แหม คุณนี่ก็ช่างถามรอบคอบดีจริง ๆ น้อยคนเหลือเกินจะมีคำถามประเภทนี้ คนที่ผ่านมาแต่ก่อน แค่เขาเห็นข้อเสนอ เขาก็รีบยินดีรับเรียบร้อยไปแล้วนะ แต่ก็เอาเถอะ กฎข้อที่แปดของพันธสัญญาคือห้ามพูดโกหก งั้นผมก็จะตอบคำถามของคุณตามความเป็นจริงก็แล้วกัน สถานนี่แห่งนี้แม้จะไกลจากไฟบัลลัยกัลป์ก็จริง และเป็นดินแดนที่เที่ยงแท้แน่นอนไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนนั่นคือ จิตใจของคนที่ได้เข้ามาอยู่อาศัย คนเหล่านั้นได้แบกเอาทั้งความโลภ ความโกรธ ความลุ่มหลง ติดตามมาด้วย แม้ในช่วงแรกจะไม่แสดงอาการออกมา แต่เมื่อเวลาผ่านไปวันหนึ่ง ๆ ข้างหน้า เขาก็จะลืมพันธสัญญา และทำผิดกฎเสียเองด้วยอำนาจของกิเลสที่แฝงซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ ด้วยเหตุนี่เขาก็จะถูกเนรเทศออกไปยังชายแดนของดินแดนแห่งนี้ ตราบเท่าที่จะหมดระยะเวลาการลงโทษจึงจะมีโอกาสกลับมาใหม่ และไม่มีวันที่จะสามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้ จนกว่าจะสิ้นอายุขัย ” ชายคนนั้นอธิบาย

“ถ้าอย่างนั้นผมไม่อยากได้แขนของผมกลับมาแล้วครับ ผมจะเดินทางไปต่อ แม้ยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้า จะได้พบเจอเรื่องราวร้ายดีอย่างไรก็ตาม”ชายนักเดินทางพูด

“เฮ้อ...น่าเสียดายมากครับ เพราะดินแดนของพวกเราต้องการคนอย่างคุณมากมาย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ผมก็ได้ทำหน้าที่ของผมแล้ว คุณก็คงต้องเดินทางไปต่อ โชคดีครับ... ” ชายคนนั้นอวยพร
ชายนักเดินทางได้เดินทางต่อไป และหันหลังให้กับสถานที่แห่งนั้น อย่างไม่ใยดีต่อข้อเสนอที่ได้รับมา

-จบ-

แขนซ้ายเปรียบเหมือนครอบครัวและคนรัก ข้าพเจ้าตั้งใจให้แขนซ้ายของชายนักเดินทางขาด เพื่อเป็นนัยสำคัญตั่งแต่ตอนเริ่มต้นของการเดินทาง ในตอนที่มีชื่อว่า 'ตอรัก' บทที่ ๑๑๑-๑๑๒ เพราะเยื่อใยของตัณหาของมนุษย์นี้ ก็หนีไม่พ้นเรื่องวนเวียนเกี่ยวข้องกับความกามตัณหา หรือ เรื่อง รัก ๆ ใคร่ ๆ สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า ข้าพเจ้าได้ตัดขาดไปจากความรักประเภทนี้แล้ว หากแต่ตรงกันข้าม หลังจากที่ได้ศึกษาเรื่องราวของพุทธศาสนา ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ความรักอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีความละเอียดความรักของปุถุชนคนทั่วไป นั่นคือ ความรักที่ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ความเมตตาไมตรีต่อกัน(ไม่ว่าผองมิตรหรือศรัตรู) และการรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นและตนเอง ให้พ้นไปจากเวรภัยจากกองทุกข์ทั้งปวงครับ

-ขอบคุณรูปจาก //www.oknation.net มากมายครับ




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2552    
Last Update : 15 ธันวาคม 2552 8:42:07 น.
Counter : 460 Pageviews.  

๒๐๔-กำแพงสูงต่างระดับ



“เพื่อนเอย น่าจะมาทำบุญบ้างนะ ตอนเช้า ๆ วันหยุดไม่ได้ทำงาน ตื่นเช้าหน่อยอากาศก็กำลังดี”

ข้าพเจ้าชักชวนเพื่อนคนหนึ่งให้แวะมาทำบุญที่วัดบ้าง เพราะเกรงว่าเขาจะทำงานจนลืมเรื่องบุญเรื่องกุศล เพราะธรรมดาของคนวัยทำงานก็ย่อมคิดเรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว เรื่องหนี้สิน ฯ

ความคิดเรื่องบุญ เรื่องกุศลนั้นก็เลยน้อยลงไป บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าได้เข้าวัดจะเห็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เรื่องธรรมะทุกวันนี้อาจจะกลายว่าเป็นเรื่องที่ ผู้หญิงเข้าใกล้ได้มากกว่า นี่เป็นมุมมองและความคิดเห็นส่วนตัวที่ได้พบประสบมา อาจจะไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของใครก็สุดแล้วแต่กำลังความคิด และประสบการณ์ของคน ๆ นั้น

ที่ข้าพเจ้าเขียนนี่ จริง ๆ แล้ว อยากจะชื่นชมเพื่อนหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยจ้า เธอใคร่ที่จะสนใจสอบถามเรื่องธรรมะ วันหยุด หรือ มีเวลาว่างก็มักจะไปวัดเสมอ ๆ ทั้งที่อุปนิสัยแต่ก่อนนั้นไม่ค่อยได้ใกล้ชิดธรรมะมากมายขนาดนี้

นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาของเขาก็ได้ ทุกคนต่างมีช่วงเวลาที่กรรมนั้นจะสนอง เมื่อกรรมอย่างหนึ่งลดน้อยหรือเบาบางลง ก็มีกรรมอย่างหนึ่งมาให้เราได้เสวยผลของกรรม อย่างเช่นเรื่องเพื่อนของข้าพเจ้าคนนี้ แต่ก่อนข้าพเจ้าเคยพูดเรื่องธรรมะให้ฟังเสมอ ๆ ทุกครั้งที่โทรศัพท์คุยกัน

แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาทนฟังไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่ข้าพเจ้าพูดให้ฟัง ซึ่งข้าพเจ้าเองก็รู้ดีว่า ธรรมะนั้นยังไม่กินใจของเขาเท่าไหร่ ได้แต่รอเวลาเพียงเท่านั้น...

เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบ ๒ ปี

และเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง เพื่อนหญิงคนนั้นก็โทรมาบอกว่า เขาเริ่มสนใจเรื่องการปฏิบัติธรรมมากกว่าแต่ก่อน และเริ่มมองเห็นคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า และพระพุทธศาสนา ศรัทธาอันซ่อนเร้นเริ่มแสดงตัวปรากฎขึ้นมาก เริ่มพูดเรื่องสมาธิ สติ นิพพาน และต่าง ๆ อีกมากมาย และขอโทษข้าพเจ้าที่แต่ก่อนไม่เคยสนใจเรื่องที่ข้าพเจ้าพูดเลย ได้แต่ฟังเฉย ๆ ไม่ค่อยสนใจ แต่ตอนนี้เขาเริ่มเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าแล้ว

วันนั้นข้าพเจ้ารู้สึกดีใจ และอิ่มใจมาก ที่เพื่อนมองเห็นความสำคัญของศาสนา มันเหมือนกับว่าเรามีเพื่อนร่วมเดินทาง และไม่ได้เดินทางอ้างว้างแต่เพียงผู้เดียว อย่างน้อยตอนคุยโทรศัพท์ก็มีเรื่องธรรมะให้ได้พูดนาน ๆ ขึ้น(จริง ๆ แล้วส่วนตัวไม่ค่อยชอบคุยโทรศัพท์)

เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับกำแพงสูงต่างระดับ ซึ่งคนตัวเตี้ย เมื่อยืนอยู่ต่ำกว่ากำแพงก็ย่อมมองไม่เห็นสถานที่ที่อยู่หลังกำแพง ได้แต่ทนฟังคนที่ยืนอยู่สูงกว่านำมาอธิบาย นำมาเล่าให้ฟัง เมื่อฟังแล้วมองไม่เห็น มันก็เลยยิ่งมีข้อสงสัยและไม่แน่ใจ เพราะยังมองไม่เห็นสถานที่ที่อยู่หลังกำแพงนั้นเสียที ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวงกันแน่

แต่คราวใดที่เขาเหล่านั้นได้มองเห็นสถานที่หลังกำแพงนั้นด้วยตัวเอง สิ่งที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้านั้น ก็คงจะทำให้เขาตัดความลังเลสงสัยไปได้ และเชื่อตามอย่างคนที่ตัวสูงกว่าพูด อธิบายมาก่อนหน้านั้น

เรื่องนี้ หาได้อยากเปรียบเทียบหรือต้องการยกยอตัวเองได้สูงส่งในเรื่องอรรถ เรื่องธรรมไม่
เพียงแต่อยากเล่าสู่กันฟังเล็กน้อย เพราะทุกวันนี้ตัวข้าพเจ้าเองก็มีกำแพงที่สูงกว่า รอให้ปีนป่ายไปดูสถานที่ข้างใน แค่ผ่านกำแพงขั้นแรกมาได้ ก็อยากจะอธิบายวิธีปีนแก่คนที่อยู่ข้างหลังบ้างเท่านั้น

เพราะลำพังทุกวันนี้ก็ยังต้องฟัง ครูบาอาจารย์ที่ท่านปีนกำแพงชั้นในสุดมาแล้ว มาเล่าให้ฟังเพื่อจะได้รู้วิธีปีน และไม่ต้องตกลงมาก้นกระแทกพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างที่เป็นมาในอดีต เหตุผลก็เป็นไปอย่างที่อธิบายมานี้...แล


ขอบคุณรูปกำแพงจาก //www.howardgrubb.co.uk very much(มากมาย ครับ)




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2552    
Last Update : 11 ธันวาคม 2552 8:15:31 น.
Counter : 639 Pageviews.  

๒๐๓-มีปัญหากับความโลภ



คนเราทุกคนต่างมีปัญหาของตนของตน บางอย่างเราสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง และอีกมากมายปัญหา ที่ต้องพึ่งพาขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เพราะเราไม่ได้เก่งกันเสียทุกเรื่อง แต่เมื่อได้รับคำแนะนำ หรือ การช่วยเหลือจากผู้อื่น เราก็ต้องรู้จักเรียนรู้ และขวนขวายที่จะลองแก้ไขปัญหานั้นด้วยตัวเองได้บ้าง ไม่ใช่ว่ามีคนมาช่วยแล้วก็งอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเลย

เรื่องเหล่านี้มีพบเห็นได้ทั่วไป ทั้งจากชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน ซึ่งก็พบเจอคนที่เอารัดเอาเปรียบเราอยู่เสมอ

คุณอาจจะมองว่าอย่างนี้เป็นธรรมดาของสังคมยุคสมัยใหม่ ถ้าคิดอย่างนั้น ก็น่าเศร้าใจนัก เพราะหากปล่อยไว้อย่างนี้ สังคมไทยก็จะมีค่านิยมที่ผิด ๆ ขาดการช่วยเหลือจุนเจือกัน ทุกคนก็จะเอาจะทำในสิ่งที่เป็นผลดีแก่ตนเองเท่านั้น ไม่ค่อยสนใจผู้อื่นหรือคนรอบข้าง

ข้าพเจ้ามีเพื่อนผู้ร่วมงานผู้หนึ่ง ที่มักมาสายเกือบทุกวัน และก็มักจะบ่นเรื่องเงินโบนัสเสมอ ๆ ว่าทำไม่ออกเสียที หรือไม่ก็เงินเดือนได้น้อยเกินไป แต่พอถึงชั่วโมงที่จะต้องซื้อหวย ตนเองก็ไม่รู้เอาเงินมาจากไหน ซื้อหวยได้ตั่งมากมายนับพันบาท

หลายคนบอกมันไม่มีทางเลือก ที่จะต้องซื้อหวยหรือเล่นการพนันเพราะลำพังเงินเดือนก็น้อยแสนน้อย ข้าพเจ้าเองก็มีเพื่อนที่เล่นการพนันจนเป็นนิสัย เข้าแม้จะได้เงินมามากก็จริง แต่ก็เป็นหนี้สินมากกว่า เรื่องนี้จึงเป็นวังวนที่แก้ไขกันไม่ตก

คนเราพอได้มีเงินแล้วก็ต้องอยากได้นั่นอยากได้นี่อยู่เรื่อย ไม่มีจุดสิ้นสุด

แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง เมื่อวานก่อนเพิ่งไปซื้อโทรศัพท์มือถือมาใหม่แทนเครื่องเก่า ที่หมดสภาพไปแล้ว เพราะทนใช้งานมากกว่า ๕ ปี ไม่น่าเชื่อเจ้าโทรศัพท์เครื่องนี้มันจะอายุยืนยาวขนาดนี้ แต่ด้วยที่มันแก่มากแล้ว ใครโทรมารับได้ แต่คุยไม่ค่อยไม่รู้เรื่อง เพราะมีเสียงรบกวนจากโทรศัพท์มาก คุยงานก็คุยไม่ค่อยรู้เรื่อง ทั้งเราทั้งเขาก็หงุดหงิดพอกัน ก็เลยได้เวลาที่ต้องปลดประจำการมือถือเครื่องเก่า

พอได้โทรศัพท์ใหม่ เห็นตัวอื่น ๆ ที่ดีกว่าจิตมันก็อยากได้อยากเอาอยากมีอีก

ดูสิดู! โลภะ กิเลส

แม้จะอบรมบ่มนิสัยมันอยู่เป็นประจำ มันก็ยังตื่นขึ้นมาวกวนกวนใจเราเสมอ ๆ แล้วคนที่ไม่อยู่ในข่ายของการปฏิบัติธรรม...ล่ะ เขาจะเป็นอย่างไร
เพราะนี่เราก็ฝึกอบรมอยู่เสมอยังพลั้งเผลอได้มากมายขนาดนี้เลย...เฮ้อ+

*วันนี้มาแบบบ่น ๆ นิดนึงนะครับ


-ขอบคุณรูปสวย ๆ จาก //www.aphonda.co.th มากมายครับ




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2552    
Last Update : 9 ธันวาคม 2552 9:06:27 น.
Counter : 337 Pageviews.  

๒๐๒-ฤดูของจิต



“สภาวะโลกภายนอก มีฤดูกาลเปลี่ยนแปลงได้ฉันใด จิตของสัตว์ในวัฏฏะก็ย่อมมีฤดูกาลได้ฉันนั้น”

วันนี้ยกเรื่องสภาวะของโลกภายนอกมาอธิบายควบคู่ไปกับโลกภายใน เนื่องด้วยทุกวันนี้อากาศมีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลง อย่างคาดเดาได้ยาก บางแห่งร้อน บางแห่งก็น้ำท่วม ทั้งที่ไม่ใช่กาลหรือฤดูที่จะเป็นไปอย่างนั้นเลย

จิตของเรานั้นก็ไม่ต่างกัน มันมีฤดูกาล บางครั้งก็มีความสุข มีความทุกข์ ความเศร้าหมอง มีความแห้งใจ มีความคับแค้นใจ มีความเสียใจ มีความอยากได้อยากมีอยากเป็น(ตัณหา) มีความกำหนัดยินดี มีความซึม มีความเร่าร้อนด้วยอำนาจของโทสะ มีความวิตกวังวล มีความฟุ้งซ่านทั้งในเรื่องอดีตและอนาคต มีความอิ่มใจ ปีติ มีการวางเฉย ฯ

แต่โดยรวมแล้วฤดูกาลของจิตนั้นจะเปลี่ยนไปรวดเร็วมาก บางครั้งหากเราไม่ได้ฝึกการเจริญวิปัสสนา เราแทบจะไม่รู้เลยว่าวัน ๆ หนึ่ง จิตของเราต้องแบกรับอารมณ์อะไรไว้บ้าง มีปริมาณมากน้อยสักเพียงไหน เหตุนั้นเพราะทุกวันนี้เราต่างหลง และขาดการฝึกเจริญเรื่องสติ

การมีสติ ก็คือการรู้ความเป็นไปของจิต ที่แบกรับอารมณ์ปรุงแต่งนั้น ๆ ซึ่งเป็นฤดูกาลของจิตที่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนไปในแต่ละวัน แต่ละเหตุการณ์ บางคนมีความดีใจ เช่น ถูกหวย ความดีใจนั้นก็อยู่กับเรานานหน่อย แต่เมื่อใช้เงินหมดก็ต้องกลับมาเศร้าใจเช่นเดิม หรือบางคนต้องทุกข์ระทมเพราะสูญเสียคนรัก ความรู้สึกเศร้าใจ อาลัยอาวรณ์ย่อมบังเกิดขึ้นในจิตเป็นเวลานานสักหน่อย บางคนทั้งชีวิตก็ไม่อาจจะลืมเลือนความเสียใจนั้นได้

แต่นั่นก็ต้องบอกให้ทราบว่า บนโลกที่เราอยู่ทุกวันนี้ ไม่มีใครที่จะดีใจ เสียใจ ไปได้ตลอดเวลา ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้ตามเหตุปัจจัย กาลเวลานั้นจะเป็นเครื่องย้อมใจเราได้เป็นอย่างดี หากเลวร้ายเกินกว่าจะลืมได้ สังสารวัฏ ก็ส่งความพรากไป นั่นคือ ความตายมาให้เราลืมได้อยู่ดีเมื่อถือกำเนิดใหม่อีกครั้ง แม้เจ้าตัวจะเต็มใจที่จะลืมหรือไม่ก็ตาม

คุณอาจจะลองสำรวจดูจิตของตัวเองบ้างก็ได้ ว่าตอนนี้ เวลานี้มันอยู่ในฤดูกาลอะไร มีความร้อน เย็น มากน้อยแค่ไหน การสำรวจจิตของตัวเองเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญ เพราะธรรมทั้งหลายเกิดจากกระบวนของจิต หากจิตนั้นถูกฝึกฝนจนเกิด สติ ปัญญา รู้เท่าทัน และวิ่งนำกิเลสได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราก็พึงพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารทุกข์นี้ได้เสียที...นะครับ

ขอขอบคุณรูป เศร้า ๆ จาก //cloudking.com มากมายครับ




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2552    
Last Update : 1 ธันวาคม 2552 8:32:52 น.
Counter : 960 Pageviews.  

๒๐๑-ข้อศีล กับ Software เถื่อน



ช่วงนี้ก็เริ่มห่างเหินจากงานเขียนบันทึกไปพักใหญ่ ไปสนใจกับการงานที่เป็นสิ่งแรงบันดาลใจ ให้เราก้าวเข้ามาในสายอาชีพวิศวกรรมากกว่า คือเป็นงานอดิเรก ที่นอกเหนือจากงานประจำ แต่ข้าพเจ้าก็กลับทุ่มเทให้มากกว่างานประจำเสียอีก ดังนั้นเวลาว่างจึงน้อยลงกว่าเดิมมาก หากกระนั้นก็ยังไม่อาจจะทิ้งธรรมะของพระพุทธองค์ไปได้

การปฏิบัติในชั้นของฆราวาส เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ทั้งเรื่องการงานและการดำรงชีพ หากเราไม่ดิ้นรนขนขวาย ก็จะไม่มีกิน แต่ทุกอย่างก็ต้องอยู่บนฐานของ 'สัมมาอาชีวะ' คือการประกอบการงานชอบ ไม่เป็นไปด้วยการเบียดเบียน สร้างความเดือดร้อน หรือ คดโกงใคร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ครั้งหนึ่งเคยฟังพระเทศน์เรื่อง ศีล ในข้อการลักขโมย แล้วท่านก็ชี้ไปที่เรื่องของ Software เถื่อน ซึ่งเป็นการขโมยอย่างหนึ่ง ตอนนั้นข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกใจเสียอย่างมาก
เรารู้สึกว่าอยากกระทำศีลให้บริสุทธิ์ แต่เรื่องนี้ยอมรับว่า Software ที่ใช้มันก็ของ Copy ซึ่งผิดกฎหมายแน่นอน ก็เลยเดือดร้อนขึ้นมาทันที

โชคดีอยู่บ้างที่ตัวเราเองก็มีความรู้เรื่อง Open source Software ซึ่งผู้ผลิตได้อนุญาตให้เรา Download ใช้แบบฟรี ซึ่งคุณภาพก็อาจจะสู้ Software ที่ผลิตในค่ายพันธมิตรของ Microsoft ไม่ได้ แต่ก็ใช้งานได้ระดับหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เลยใช้ Linux มาโดยตลอดเป็นเวลา ๑ ปี กว่า ๆ แล้ว งานเขียน Blog ทุกอย่าง งานเอกสาร Internet ก็ใช้งานผ่าน Software ที่อยู่บน Linux ทั้งหมด

สิ่งที่ได้รับตามมา คือ ความสบายใจส่วนตัว ครับ

เรื่องนี้ข้าพเจ้าเคยเขียนมาแล้วครั้งหนึ่งครับ วันนี้นึกครึ้ม ๆ ใจอยากเอาเล่าใหม่เพื่อเน้นย้ำ ไม่ให้เรามองข้าม แม้เรื่องรายละเอียดเพียงเล็กน้อย ศีลเพียงเล็กน้อย ก็เป็นสิ่งสำคัญที่นักปฏิบัติรุ่นใหม่ ที่มุ่งมั่นต่อพระนิพพานไม่ควรมองข้าม เหมือนดั่งผ้าขาว แม้มีรอยเปลื้อนเพียงเล็กน้อย เราก็มองเห็นและสังเกตุได้ง่าย...ฉันนั้นแล

-ขอขอบคุณ Logo image จาก Sun Microsystem ผู้ผลิด Software Open Office มาให้เราใช้ฟรี ๆ ครับ




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2552 19:48:44 น.
Counter : 410 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.