|
๓๕๗ - ผลสะท้อนกลับ
ข้าพเจ้าเคยได้รับฟังมาอย่างนี้ว่า การถวายทานแก่ผู้รักษาศีลบริสุทธิ์ หรือผู้ที่เป็นพระอริยสงฆ์จะมีผล มีอานิสงส์มาก และในขณะที่เดียวกันผู้ที่ประทุษร้ายผู้มีศีลบริสุทธิ์หรือทำร้ายพระอริยเจ้าก็มีผลร้ายแรงมากกว่าการกระทำต่อบุคคลธรรมดาเช่นเดียวกัน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น...
บรรดาพระอริยเจ้าอริยสงฆ์หรือผู้กำลังปฏิบัติสู่ความเป็นพระอริยบุคคลชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือแม้กระทั่งผู้ที่กำลังบำเพ็ญบารมีสู่การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเบื้องหน้า ย่อมเป็นผู้มีคุณธรรมสูง เป็นผู้ที่มีความสะอาดหมดจรดทางจิตใจมีมลทินหรือฝุ่นละอองที่ทำให้เศร้าหมองน้อย เปรียบเหมือนกระจกที่เขาขัดถูจนสะอาดแล้ว ย่อมสะท้อนภาพต่อผู้ที่อยู่ข้างหน้าอย่างชัดเจน ผู้คนจะกระทำการหรือกริยาใด ๆ ต่อหน้ากระจกนั้น ย่อมเห็นภาพสะท้อนชัดเจน ผลลัพธ์จึงย้อนกลับตามกริยานั้น ๆ อุปมาก็เปรียบได้กับการทำบุญและประทุษร้ายต่อพระอริยบุคคลอย่างเดียวกันนี้เอง
หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้ปฏิบัติธรรมมีศีลข้อวัตรที่เคร่งครัด สะอาดหมดจรดทางจิตใจ อุปมาเปรียบได้กับกำแพงที่หนาแข็ง บุรุษผู้มีแรงจะขว้างจะปาสิ่งใดเข้ากำแพง แรงสะท้อนนั้นย่อมย้อนกลับด้วยกำลังและอานุภาพเดียวกัน ต่างจากคนธรรมดาที่หวั่นไหวทางด้านจิตใจและศีลธรรม มีผู้มากระทำทั้งทางบุญและบาปก็ย่อมเห็นผลช้า จะทำบาปก็เห็นผลช้าเลยคิดว่าบาปไม่มี จะทำบุญก็เห็นผลบุญช้าเลยนึกเอาว่าบุญกุศลคุณงามความดีไม่มี สังคมเลยวุ่นวายอยู่จนถึงทุกวันนี้
เรื่องของจิตใจหรือกำลังใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ คนเราหากขาดกำลังใจเสียแล้วต่อให้เป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง มีอวัยวะครบทั้ง ๓๒ ประการก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่อ่อนแอ กระทำการหน้าที่ใด ๆ ก็ยากต่อการสำเร็จผล กำลังใจ กำลังความมุ่งมั่น ที่จะกระทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้สำเร็จผล เป็นชื่อหนึ่งที่ท่านเรียกว่าบารมี ซึ่งทางพุทธศาสนาจำแนกออกเป็น ๑๐ ประการ เริ่มจาก ทานบารมีไปจนถึงอุเบกขาบารมี และยังแบ่งเป็นระดับเป็น Level ตามกำลังจิตกำลังใจอีก ๓ ระดับคือ บารมี (ระดับสามัญ) , อุปบารมี (ระดับรอง) , ปรมัตถบารมี (ระดับสูง)
ขึ้นอยู่กับเราว่าจะทำตัวเป็นกระจกหรือกำแพงประเภทใด การกระทำประพฤติศีลปฎิบัติธรรมแม้จะดูว่าเป็นเรื่องยาก เป็นสิ่งที่ฝืนต่อความต้องการขั้นพื้นฐานของชีวิต (จริง ๆ แล้ว มันเป็นความต้องการของตัวกิเลสมากกว่า) แต่หากเราสามารถทำได้ระยะเวลาหนึ่ง (และปฎิบัติถูกต้อง) ก็จะได้รับผลจากการปฎิบัตินั้น ๆ เหมือนคำ ๆ หนึ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันบ่อย ๆ คือ
"ศีลย่อมคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติในศีล และธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม"
ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าคำผู้สองประโยคนี้จริงแท้แน่นอน แต่เราต้องทำกันจริง ๆ จึงจะเห็นผลจริง ๆ บางที่ไม่เชื่อไม่เห็นผลเพราะยังไม่ได้ลงมือทำอย่างถึงที่สุด อุปมาได้กับการปลูกมะม่วงจากเมล็ด ย่อมไม่สามารถเห็นผลได้ใน ๓ วัน ๗ วัน ฉะนั้นเราจึงต้องหมั่นรักษาดูแลไปเรื่อย ๆ ผลลัพธ์ที่สะท้อนกลับย่อมก็เกิดจนได้ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า ในวันนั้นมะม่วงที่เราปลูกก็จะออกดอกผลให้เรากินอย่างมากมาย
แต่คนสมัยนี้ใจร้อนอย่างได้สิ่งใดก็ต้องได้เลย ซึ่งบางครั้งมันขัดต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ผิดรูปแบบที่มันควรเป็นไปโลกทุกวันนี้จึงได้รุ่มร้อน ร้อนด้วยกิเลสตัณหาของคนนั่นเอง
ก็จึงฝากไว้กับผู้อ่านเล็กน้อย ลองคิดลองปฏิบัติดู การฝึกธรรมะ ไม่ใช่เป็นเพียงรูปแบบนั่งสมาธิ หลับตา เดินจงกรม แต่การฝึกที่แท้จริงก็อยู่ที่ตอนลืมตาและใช้ชีวิตตามปกติทุกวันนั่นเอง เราปรารถนาสิ่งใดหรือกระทำสิ่งใดก็พึงมีสติระลึกรู้ในผลแห่งกรรมนั้น เพราะกรรมนั้นเองมันจะคอยสะท้อนส่งผลมาให้เราในอนาคต ไม่ว่าจะทำบุญหรือบาปผลลัพธ์ย่อมรุนแรงเสมอกัน ตามกำลังใจของเรา และขึ้นอยู่ผู้ที่เรากระทำด้วยนั้นมีคุณธรรมมากน้อยสักเพียงไหน แต่ไม่ใช่ว่าไปพบเจอสัตว์หรือคนที่อ่อนแอกว่าก็จะรักแกได้เพราะคิดว่าบาปน้อย เพราะหากคิดและทำอย่างนั้นก็เชื่อว่ายังประมาทอยู่ จะบาปน้อยบาปมาก ขึ้นชื่อว่าบาปแล้วเราก็ต้องเว้นให้ได้ เพราะบาปนั้นแม้จะเล็กน้อยให้ผลช้า แต่เมื่อถึงความมันให้ผล มันเกิดมีดอกเบี้ยแบบทบต้นทบดอกสะสมในชาติต่อ ๆ ไปละก็...ยุ่งแน่ ๆ
ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //www.oknation.netมากมาย ครับ
สารบัญ
Create Date : 22 มีนาคม 2555 |
Last Update : 22 มีนาคม 2555 21:45:14 น. |
|
2 comments
|
Counter : 522 Pageviews. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 มีนาคม 2555 เวลา:6:02:58 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 มีนาคม 2555 เวลา:5:56:31 น. |
|
|
|
| |
|
|
คำอธิบายในเรื่องนี้
ใช้ได้กับการเรื่องทำกรรมเลยนะครับน้องอัส
เจตนาที่มีขณะประกอบกรรม
ก็คล้ายกับความหนาของกำแพง