bloggang.com mainmenu search



1. ถ้าคิดจะดูหนังเรื่องนี้ ไม่ต้องลังเลว่าจะดูแผ่นหรือดูโรง ควรตัดสินใจออกไปซื้อตั๋วได้เลย เพราะหนังเรื่องนี้หากดูจอที่บ้าน อาจสูญเสียอรรถรสไป 45.28 เปอร์เซ็นต์ เวลาเห็นโลกแตกแบบไม่เต็มตา แถมถ้ารอดูจากแผ่น เวลาซื้อหรือเช่าแผ่นยังมีโอกาสหยิบแผ่นผิดเป็น 2022 อีกต่างหาก

2. เทียบกับบรรดาหนังฟอร์มยักษ์ของ โรแลนด์ เอเมอริช หนังดีกว่าเรื่องล่าสุดอย่าง 10,000 BC มากๆ แต่ยังไม่ดีถึงขนาด ID4

3. ดูหนังเรื่องนี้คิดถึง รถไฟฟ้ามาหานะเธอ คือ ดีประมาณนึง ไม่ได้ห่วย แต่ก็ไม่ได้ดีเหลือหลาย หากแต่จุดเด่นที่ทำให้หนังชนะใจคนดูจำนวนมาก คือ ผู้กำกับมีสายตาเฉียบคมในการมองหาจุดขาย เก่งที่จะนำเสนอ สิ่งที่คนดูอยากดู รู้ว่าผู้ชมต้องการอะไร แล้วก็ใส่มาให้แบบเน้นๆ





4. ปกติตอนดูหนังโลกแตก ไม่ได้สนใจ เนื้อหาในส่วนข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์มากนักว่าจะโม้แค่ไหน คือ ถ้าพอรับได้ไม่ถึงขนาด น้ำแข็งใน 7-11 ละลายจนน้ำท่วมโลก ก็ไม่รู้สึกตะหงิดอะไร

แต่ ถ้าเทียบกับหนังมหันตภัยโลกแตกเกรดA รุ่นพี่อย่าง The Day After Tomorrow , Deep impact ฯลฯ

บทหนังที่ว่าด้วยความเป็นมนุษย์ เช่น สถานการณ์เอาตัวรอด และ เนื้อเรื่องส่วนความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ใน 2012 จัดได้ว่าน่าเชื่อถือน้อยที่สุด ด้อยที่สุด อ่อนยวบที่สุด

หนังอุดมไปด้วย เหตุการณ์สุดแสนจะโม้โอเว่อร์ไประดับเดียวกับฉากแอคชั่นในหนังขี้โม้ประเภท True Lies

คือ จะโม้ก็โม้ได้ หนังไม่ใช่สารคดี แต่ตัวหนังเรื่องนี้น่าจะมีความสมจริงบ้าง ฉากบางฉาก อย่าง ฉากตะบึงรถลีโมปาดซ้ายปาดขวา กระโดดข้ามแผ่นดินแยก หักโค้งหลบตึกถล่ม แล้วขึ้นเครื่องบินตะแคงลอดตึกคู่ ขับชะเวิ้บชะวาบ ในขณะที่คนอื่นตายกันเกลี้ยง ฯลฯ นั่งดูแล้วมันโม้เกินจะเชื่อ แล้วก็คิดว่าถ้าเป็นตัวเองตายเพราะอิฐกระเด็นมาใส่หัว ตั้งแต่จอดรถลีโมหน้าบ้านแล้ว

หรือไม่ก็ในแง่ของความบังเอิญที่ ฟลุ้คเป็นชุดๆ ตั้งแต่ ขับเครื่องบินไปตกในตำแหน่งผิด แต่ดันบังเอิญไปอยู่จุดที่ถูกเพราะโลกขยับ แล้วบังเอิญไปเจอคนมาช่วย แล้วถูกทิ้ง แล้วบังเอิญเจอคนมาช่วย แล้วบังเอิญคนมาช่วย รู้จักคนทำเรือ ฯลฯ

อีกทั้ง การปิดข่าวใหญ่ๆแบบนี้ได้นานขนาดนี้ ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้จริง



5. ผมไม่ชอบ CG ของหนังเรื่องนี้ในหลายๆฉาก คือ ผลงานนั้นดีมาก คนทำ ทำออกมาได้ละเอียดทุกเม็ดจริงๆ อลังการจริงๆ ดูแล้วตื่นตา วู้วว้าว แต่ มันหลอกตา มันไม่รู้สึกว่า ถ้าโลกแตกจริงๆจะเป็นแบบนั้น ดูเหมือนในเกมส์มากกว่าที่ดูแล้วจะ ย้อนกลับมาคิดถึงชีวิตจริง เหมือน หนังโลกแตกเรื่องอื่น

(แต่ที่ชอบคือ ฉากรูปปั้นถล่มที่บราซิล ถึงไม่อลังแต่มันดูขลังๆน่ากลัวดี กับ ฉากสถานีปล่อยเรือตอนท้ายไปจนล่องเรือ มันสวยดี)



6. ประเด็นหลายๆประเด็นในหนังก็ซ้ำๆกับหนังเรื่องอื่น ถ้าดูหนังแนวหายนะสไตล์ Titanic , Poseidon , Deep impact ฯลฯ ก็จะเห็นตัวละครพูดแง่มุมซ้ำๆ ทั้งในเรื่องการเสียสละ ฯลฯ

แต่ที่ชอบเป็นพิเศษในเรื่องนี้ และรู้สึกว่าเรื่องนี้ พยายามจะหยิบยกมาพูด แต่เสียดายแตะแค่ผิวๆ คือ ประเด็นในแง่ moral dilemma และ ว่าด้วย การแก้ปัญหาระหว่าง ความดีแบบอุดมคติ กับ ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับ

ตอนฝั่งคนดี ไปคัดค้านฝ่ายที่ ขายตั๋วให้กับเศรษฐี แล้วถูกอีกฝ่ายตอบกึ่งตอกกลับมาว่า แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างเรือทันละคู๊ณ ถ้าไม่ได้มาจากพวกเศรษฐีเหล่านั้น หรือตอนพระเอกแสดงท่าทีรังเกียจตอนรู้เรื่องซื้อตั๋ว เศรษฐีถามกลับว่า แล้วถ้าเป็นคุณมีเงินจะไม่ซื้อเรอะ

หรือ การตัดสินใจ ช่วยคนตามความต้องการของนักวิทยาศาสตร์คนดี กับ แนวคิดไม่ช่วยเพราะทรัพยาการที่วางแผนไว้มีจำกัดของนักการเมือง

ถ้าหนังตีประเด็นนี้ให้แตกมากขึ้น ไม่โปรฝั่งนักวิทย์ฯคนดีแบบรวบรัดเกินไป เราก็จะเห็นว่า แนวคิดของนักการเมืองมีบางส่วนที่เห็นแก่ตัว เช่น หมกเม็ด , เน้นห้องหรูทั้งๆที่ทำดีๆเพิ่มคนได้อีกเยอะ ฯลฯ แต่ อีกบางมุมมันก็คือ ความเป็นจริงที่จะช่วยให้คนส่วนใหญ่อยู่รอดในระยะยาว

บางเรื่องต้องยอมรับว่า ความดีแบบอุดมคติไม่ได้แก้ปัญหาชีวิตได้จริง แต่ ถ้าเราอยากทำดี ก็ไม่จำเป็นต้องท้อ ไม่ต้องยอมให้กับความชั่วร้าย แต่ต้องพยายามหาวิธีการอยู่ร่วมกันให้ได้

และ การตัดสินใจที่ต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน อย่าง กรณี นักการเมืองในหนัง ขอแค่ ไตร่ตรองดูว่า แนวคิดของตัวเอง ทำเพื่อคนส่วนรวมจริงๆ หรือ เป็นแค่ความเห็นแก่ได้เห็นแก่เงิน

อยากเห็น หนังโลกแตก ที่กล้าเล่นกับประเด็น Moral dilemma มากกว่านี้ หรือ มีโจทย์ที่ท้าทายแบบ The Dark knight โดยไม่ต้องทิ้งฉากขายของประเภท โลกแตกวินาศสันตะโร ให้ออกมาแบบ สาระก็ดี มีความมันส์ไปด้วย

7. มุกแบบตั้งใจฮา เข้าท่า ฮาจริง อย่างเสียงสตาร์ตรถ แต่ บทพูดตั้งใจเน้นดราม่า ความรักพ่อลูก หรือประเภทปลุกใจ ฟังแล้ว ไม่อิน

8. ตัวละคร 'คน' ในหนังเรื่องนี้ ไม่น่าสนใจ(ขนาดประธานาธิบดีดูแล้วยังไม่ขลังเหมือนเรื่องอื่น) ดูแล้วไม่ได้รู้สึกอยากเอาใจช่วย หรือ ผูกพัน แถมตอนท้าย ยังพาลลุ้นให้กลุ่มพระเอกตายหมดอีกต่างหาก เพราะถ้าเป็นตัวเองอยู่บนเรือ คงทั้งโกรธทั้งยั้วะสุดขีด แอบขึ้นเรือไม่ว่า แต่พาตัวเองไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนทั้งหมดนี่ซิ



9. โรแลนด์ เอมเมอริช เหมาะแล้วกับทำหนังวินาศภัยโลกแตกแบบนี้ หนังสเกลใหญ่แบบนี้ ซีจีเล่นกันระเบิดเถิดเทิงทั่วโลกแบบนี้ ให้ผู้กำกับออสการ์มากำกับ ยังอาจเอาหนังไม่อยู่ แต่ความเก่งของเขาคล้ายๆกับความเก่งของ ไมเคิล เบย์ คือ การคุมหนังฟอร์มยักษ์ชนิดรับประกันได้ ไม่ทำให้นายทุนก่ายหน้าผาก อย่างน้อยก็ตอบสนองคนดูในแง่ความบันเทิงได้เป็นวงกว้าง เหมาะอย่างยิ่งที่จะรับฉายา เจ้าพ่อหนังโลกแตก

10. นักวิทยาศาสตร์ , นักธรณีวิทยา ฯลฯ ที่คิดว่าอาชีพตัวเองนั้นต๊อกต๋อย อย่าคิดเช่นนั้น ถ้าดูหนังเรื่องนี้ คุณจะเห็นความสำคัญของอาชีพ และ ทำให้เห็นว่า ทุกอาชีพมีความสำคัญไม่ด้อยกว่ากัน เพียงแต่ โอกาสจะเด่นหรือเป็นฮีโร่ ของบางอาชีพ มันไม่ได้มีบ่อยเท่าอาชีพอื่นๆเท่านั้นเอง

11. ค่าตั๋วหนังเมืองไทยขึ้นกันดื้อๆโหดๆแบบนี้ แย่มาก เทียบกับค่าตั๋วแล้ว การไปดูโรงเลยรู้สึกแค่ เฉยๆ ก็ดี



12. ดูหนังเรื่องนี้จบ ทำให้นึกอยากกลับไปเช่า The Day After Tomorrow กับ Deep Impact มาดูแก้คิดถึง (ในแง่ CG ประเภทประกวดความอลังการ 2012 กินขาดหนังแทบทุกเรื่อง แต่ในแง่ของ ตัวหนังโดยรวม ผมชอบ The Day After Tomorrow กับ Deep Impact มากกว่า 2012)

แอบคิดว่า ถ้า 2012 เล่นประเด็นเกี่ยวกับ มายัน เพิ่มขึ้นตามโฆษณาตอนแรก (เหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องนึงที่เคยอ่านสมัยก่อน ชื่อ MMR อะไรซักอย่าง) อาจจะสนุกมากกว่านี้

12 + 1. 2012 ไม่ได้มี บทที่แย่ถึงขนาดที่บางคนว่า ห่วยแตก เพราะบทหนังก็มีเส้นเรื่องชัด มีประเด็นที่จับต้องได้ และ พยายามนำเสนอแง่มุมใหม่ๆนอกเหนือจากการเสียสละเชิดชูของมวลมนุษย์

แต่ บทหนังก็ไม่ได้ดีเลิศเลอ แถมยังออกจะซ้ำซาก ค่อนข้างขาดชั้นเชิง กับบทหนังสไตล์นี้เรื่องอื่นๆไม่ว่าจะเป็นในแง่ คาแรคเตอร์ของตัวละครหลักๆที่จะมีปมซ้ำๆกันมา และ ทิศทางการดำเนินเรื่องแบบเดาฉากต่อๆไปได้เพราะเราเคยเห็นมาบ่อยๆ

เพียงแต่อ่านกระทู้หลายๆกระทู้ มักจะเห็นความเห็นทำนองว่า จะเอาอะไรมากกับหนังโลกแตก ส่วนตัวแล้ว คิดว่า

จริง ที่ว่า ไม่ควรหยิบหนังเรื่องนี้ไปเทียบกับหนังออสการ์ห้าดาวประเภท Forrest gump , No country for old men ฯลฯ เพราะหนังคนละแนว

แต่ ไม่จริงหรอกที่ว่า หนังโลกแตก แอคชั่นฝุ่นตลบ ไม่จำเป็นต้องมีบทที่ดี มิเช่นนั้น เราคงเห็นเอาลิงชิมแปนซีมาเขียนบทหนังแทน แล้วเอางบที่เหลือไปโปะให้กับ ฉากระเบิดเถิดเทิง

การมีบทที่ดี ไม่ได้แปลว่า ผูกปมตัวละครถึงรุ่นทวด หรือ มีบาปฝังใจลึกล้ำเหลือกำหนด แต่อย่างน้อย ควรจะมีความน่าเชื่อถือ มีบทสนทนาที่ฟังแล้วเป็นธรรมชาติแบบคนจริงๆเค้าพูดกัน ฯลฯ

หนังทุกเรื่องทุกแนวนั้น สามารถมีบทที่ดีได้ ถ้า ผู้สร้างให้ความใส่ใจ ไม่ใช่จะต้องมีเฉพาะ หนังออสการ์คานทอง เพียงอย่างเดียว





Create Date :16 พฤศจิกายน 2552 Last Update :17 พฤศจิกายน 2552 10:36:44 น. Counter : Pageviews. Comments :22