bloggang.com mainmenu search


Street kings - ตำรวจชั่ว กับ วัวสันหลังหวะ


...ธีมที่หนีไม่พ้นในหนังที่สร้างจากงานเขียนของ เจมส์ เอลรอย คือ ‘ ฟิล์มนัวร์ กับ ตำรวจชั่ว’ นอกจากนี้ หนังก็มักจะได้ทีมนักแสดงที่คนดูน้ำลายไหลมาประชันกันอยู่เสมอ อย่างเช่น ทีม L.A. Confidential ที่ผู้กำกับเคอติส แฮนเซ่น คุมลูกทีมอย่าง เควิน สเปซี่ย์ , รัสเซล โครว์ , กาย เพียร์ซ , คิม บาซิงเจอร์ หรือ ทีม The Black Dahlia ที่มี จอร์ช ฮาร์ทเน็ตต์ , สกาเล็ตต์ โจฮานสัน , ฮิลารี สแวงค์ นำขบวนโดย ไบรอัน เดอ พัลม่า

ทีมแรกกวาดออสการ์ กวาดคำชม สมกับเป็นหนังอาชญากรรมเปิดโปงแวดวงตำรวจที่ดีที่สุดในรอบสิบปี ส่วนทีมหลังสร้างจากเรื่องจริงที่เกรียวกราวโดยแท้ แต่ กวาดคำบ่น กวาดเกรด C กับ D ใส่กระบุงกลับบ้าน ในฐานะผลงานตกเหวของไบรอัน เดอพัลม่า

...ครั้งนี้ถึงที เดวิด ไอเยอร์ ผู้กำกับหนังที่เพิ่งกำกับ คริสเตียน เบลล์ ในบทเจ้าหน้าที่ถ่อยเถื่อนใน Harsh time หยิบบทของเจมส์ เอลรอย เรื่อง Street kings มาทำเป็นหนัง ก็เท่ากับเราจะได้ดู เจ้าพ่อ ‘ฟิล์มนัวร์+ ตำรวจชั่ว’ สองคนมาเจอกัน ทีมนี้ยกพลคนดังมาทั้ง ฟอเรสต์ วิทเทเกอร์ , คีนู รีฟ , คริส อีวานส์ และ คุณหมอ(ซีรี่ส์)เฮ้าส์ - ฮิวจ์ ลอรี่ย์

...ฟอเรสต์ วิทเทเกอร์ เป็นหัวหน้าก๊วนตำรวจชั่วที่มีประวัติกินจุ๊บกินจิ๊บ แล้วก็ชอบสร้างสถานการณ์เอาหน้า เช่นล่าสุด พระเอกของเราไปฆ่าผู้ร้ายปิดปากแล้วจัดฉากว่ามีการต่อสู้โต้ตอบ จากนั้นหัวหน้าก็มาแถลงข่าวในฐานะฮีโร่ เวลาลูกน้องทำผิดทำไม่ดีก็คอยกลบเกลื่อนให้

มีลูกน้องหนึ่งคนออกจากทีมและวางแผนจะแฉขบวนการนี้ ซึ่งคนนี้ก็เป็นอดีตบัดดี้ของคีนู พอเฮียคีนูตั้งใจจะไปตั๊นหน้าเพื่อนเพราะแค้นที่เพื่อนเราคิดเผาเรือน ก็ดันโดนฆ่าเสียก่อน แถมคีนูก็อยู่ในเหตุการณ์

หัวหน้าก๊วนตำรวจชั่วตามมาคอยอำพรางคดี สร้างหลักฐานเท็จ ปกปิดความจริง และ บอกให้ คีนู ทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย แล้วหนังก็เปิดตัว คุณหมอ house ที่เป็น ก๊วนตำรวจ(น่าจะ)ดี มากระตุ้นต่อมศีลธรรมชักชวนให้ คีนู กลับใจ

...น้ำหนักของหนังเริ่มเทมาใส่ตัวพระเอกเต็มที่ ในการเล่นประเด็นของ คนที่เคยทำผิดเกิดคิดตาสว่าง ว่าจะเลือกเดินเส้นทางไหน เพราะ หนทางใดก็ยากจะสวยหรู ในเมื่อตัวเองเป็น วัวสันหลังหวะ ที่มีชนักติดหลังอยู่เช่นกัน

สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับหนังฮอลลีวูดปีสองปีก่อนอย่าง 16 blocks แต่เรื่องนี้ทำออกมาเข้มข้นกว่า ความสนุกของผมคือการนั่งลุ้นว่า พระเอกของเราจะตาสว่างตอนไหน และ จะคลี่คลายสถานการณ์ที่เหมือนเชือกรัดตัวนี้อย่างไร เพราะสถานการณ์ของตัวเอกเป็นใจให้ ตามืดบอด เสียเหลือเกิน ดูแล้วก็นึกถึงว่า ถ้าตัวเองเป็นคีนู (หมายถึง สถานการณ์ไม่ใช่หน้าตา) เมื่อถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่าง

เอาตัวรอดแต่อยู่อย่างต้องหนีความรู้สึกผิดกับไร้ศักดิ์ศรี กับ สารภาพความจริง แต่ต้องพบบทลงโทษจากกรมตำรวจและความอาฆาตจากทีมเดิมจนอาจไม่เหลือที่ให้ยืน

ถึงตอนนั้น เราจะกล้าพอหรือไม่ที่จะ เลือกเส้นทางหลัง หรือ เราจะขี้ขลาดแล้วทำตัวตาบอดเป็นใบ้ใสซื่อเพื่อเอาตัวรอดต่อๆไป

...ชอบอีกอย่างก็ตรง ประโยคที่เมียเพื่อนพระเอกที่ตายไปบอกเฮียคีนูว่า ในสายตาของสามีเธอ มองพระเอกว่าเป็น คนในก๊วนตำรวจชั่วที่แย่ที่สุด เพราะเป็นคนเดียว ที่ทำตัวมองไม่เห็นอะไรเอาเสียเลย

ซึ่งก็จริง คนอื่นอาจจะทำชั่วเพราะจิตใจไม่เหลือคุณธรรม แต่น่าเสียดายที่บ่อยครั้งคนดีๆแปรเปลี่ยนไปทำผิดมักจะใช้วิธี หลับตา หรือ สภาวะตาบอดชั่วคราว แทนที่จะหันหน้ามาช่วยกัน กำจัดคนเลวให้หมดจากสังคม



... การแสดงของคีนูในหนังเรื่องนี้ ได้มาตรฐานคีนู ไม่มากไม่น้อยกว่าที่ผ่านมา ในเรื่องมีการแสดงที่ชอบจริงๆอยู่สองคน หนึ่งคือ ฟอเรสต์ วิทเทเกอร์ ที่เรื่องนี้พี่แกใส่อารมณ์เข้าขั้นซูเปอร์โอเวอร์แอคติ้ง แต่ มันก็สนุกที่ได้ดูแกโผล่ในทุกๆฉาก เพราะรัศมีความชั่วฝังในของแกแผ่ขยายออกมาได้ร้ายกาจระดับน้องๆตอนที่ได้ออสการ์จาก Last King of Scotland ซึ่งขัดแย้งกับภาพนักท่องเที่ยวจิตใจดีใน Vantage point แบบคนละเรื่อง อีกคนคือ คุณหมอ house-ฮิวจ์ ลอรี่ย์ ที่ดูกวนๆแต่เก๋าโผล่ทีไรขโมยซีนเด่นกลบคีนูทุกที

สกอร์ของหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกจุดที่ชอบ คือเหมือนการแสดงของ ฟอเรสต์ วิทเทเกอร์ ตรงที่ ถึงจะโฉ่งฉ่างแต่มันก็เร่งเร้าปลุกอารมณ์ได้ดีแท้ๆ

... โดยรวมหนังทำออกมาเกือบดีแล้วถ้าไม่ติดตรงที่พอเข้าช่วงกลางๆเรื่อง หนังเริ่มยืดเยื้อเหมือนเนื้อเรื่องมันเบาๆไม่ค่อยจะมีรายละเอียดอะไรแล้วไปเร่งเร้าเอาจากดนตรีประกอบกับท่าทางจริงจังของนักแสดง กว่าจะหาทางออกได้ก็เป็นทางออกที่ดูไม่ค่อยฉลาดของเหล่าตัวละครแต่ละตัวเท่าไหร่

ครั้นถึงคราวคับขัน พระเอกก็ช่างดูโหงวเฮ้งหัวหน้าตัวเองไม่เป็นเอาเสียเลย ทั้งที่เจ้าตัวแสดงออกชัดเจนว่า ‘ข้าคือตัวโกง’ แถมบทจะให้พระเอกรอด หลายๆครั้งก็รอดมาได้แบบเหลือเชื่อ ประเภทยิงเปรี้ยงปร้างในห้องสี่เหลี่ยมตายกันหมดบ้านตัวเองไม่ตาย หรือ ตัวร้ายหัวเราะร่ายิงเล่นๆจนพระเอกคลานเข่าไปตกหลุม แต่สุดท้ายก็ยังทะลึ่งรอดอีก

อ้อ ลืมไป อีกอารมณ์หนึ่งทิ่เกิดขึ้น คือดูแล้วคิดถึงอารมณ์หนังประมาณ Infernal affairs ตรงสถานการณ์ประเภทตำรวจชั่ว-ตำรวจดี มีแฉไปแฉมา จ้องจะหักเหลี่ยมกัน โดยมีหัวหน้าตัวเก๋าคอยคุมลูกน้องฝั่งตัวเอง ดังนั้น ถ้าบทหนังเพิ่มความซับซ้อนและให้ตัวละครฉลาดขึ้นอีกหน่อย รับรองว่า Street kings จะไปโลดกว่านี้เยอะ





รักอหิวาต์ - Love in the Time of Cholera


...ความจริงลังเลใจอยู่ว่าจะเลือกทางโลกหรือทางธรรม นั่นคือ ระหว่าง อรหันต์ซัมเมอร์ กับ รักอหิวาต์ แต่สุดท้ายก็ทำตัวหัวนอก เลือก Love in the Time of Cholera ถึงจะยังไม่ค่อยเห็นคะแนนคนดูมาก่อนหน้าว่าเป็นยังไง

แต่ก็ตั้งใจไว้ว่า ถึงคะแนนวิจารณ์จะแย่อย่างไร ใจก็ยังอยากดูเพราะเห็นว่าสร้างมาจากหนังสือของ กาเบรียล กาเซียร์ มาร์เควซ ชื่อนี้มีโนเบลเป็นการันตี คนเดียวกับที่เขียน ร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ยิ่งได้ ไมค์ นีเวลส์ เจ้าพ่อหนังอังกฤษมากำกับก็ยิ่งน่าดู พอเห็นชื่อไทย 'สัญญา 20,000 วัน แม้สิ้นใจ ไม่ขอลืม' กับโปสเตอร์ก็กะไว้ว่า ซึ้งแน่ แต่พอดูไปก็อุทานในใจ ‘กล้วยทอดแล้ว ไหงมันถึงออกมาแบบนี้’

คือรู้มาก่อนแล้วว่า ตัวนิยายดังมาก เคยไปปรากฏในหนังบุปเพสันนิวาสเป็นตัวช่วยพรหมลิขิตคู่พระนาง ใน Serendipity แต่ตัวผมเองยังไม่เคยอ่าน จึงเดาทางไม่ถูก รู้ก็รู้แค่เรื่องย่อว่า

"พระเอกรักนางเอกมานานตั้งห้าสิบกว่าปี แล้วก็มี อหิวาต์ ... จบ"

...ไอ้เราก็หลงผิดคิดว่า เนื้อหาจะมาในแนว magical realism ตามสไตล์คนเขียนแล้วนำเสนอออกมาประมาณ Amelie หรือ จะมีความซาบซึ้งกินใจเหมือนคำโปรย , ชื่อไทย กับ โปสเตอร์ แต่กลายเป็นว่า นี่เป็นหนังเรื่องที่สองของปีที่ดูในโรงแล้วพูดเต็มปากเต็มคำได้เลยว่า ไม่ชอบ และ เป็นเรื่องแรกของปีที่ดูเวลาว่าเมื่อไหร่หนังจะจบ



เหตุผลที่ไม่ชอบ

1. ไม่สนุก

2. อารมณ์ ... อารมณ์ของหนังให้ความรู้สึกแบบ ยักตื้นติดกึกยักลึกติดกัก คือ ยึกๆยักๆ จะซึ้งก็ไม่ซึ้ง เหมือนจะขำก็ขำไม่ออก

3.Miscast ... เห็นชื่อ ฆาเวียร์ บาเด็ม ในบทนักแสดงนำ กับ Giovanna Mezzogiorno นางเอกจาก Facing window ก็คิดว่าการประชันฝีมือครั้งนี้ต้องน่าทึ่ง แต่กลับเป็นว่า บทสองบทนี้ไม่เหมาะกับพวกเขาอย่างรุนแรง ยิ่งตอนผลัดวัยใช้นางเอกคนเดิมแต่เปลี่ยนคนเล่นเป็นพระเอกยิ่งดูแปลกๆ ทั้งคู้เป็นคู่รักที่ดูยังไงก็ไม่มีเคมีที่เข้ากันแม้แต่น้อย ปัญหา miscast ที่ไม่น่าเชื่อถืออีกคู่ก็พ่อลูกที่ดูยังไงก็รุ่นเดียวกันแท้ๆ แถมบางมุม คุณลูกสาวดูแอบแก่กว่าพ่ออีก


4.การเล่าเรื่อง + บท ... ถ้าไม่เป็นเพราะ ผมมีปัญหาในการรับสารของหนัง ก็คงเป็นการสื่อสารของหนังเรื่องนี้ สอบตก อย่างรุนแรง เพราะ ผมไม่รู้สึกแม้แต่น้อย ว่า ความรักห้าสิบกว่าปีติดค้างในใจของสองตัวละครหลัก นางเอกเหมือนปิ๊งแล้วกระโจนตกหลุมรัก จากนั้นพอพบคนใหม่ก็ไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นว่า เธอมีเยื่อใยเหลือให้พระเอกแม้แต่น้อยเหมือนเป็น puppy love มาแล้วก็ไป แถมตัวเองก็สุขสำราญกับชีวิตครอบครัวใหม่ดี

ส่วนพระเอกก็ถูกบทหนังออกแบบมาได้อย่างไร้เสน่ห์อย่างที่สุด ดู immature เหมือนเด็กๆที่ร้อง “จะเอาๆ” กี่ปีผ่านไปก็ไม่รู้จักโต ครั้นตอนที่ใช้ sex เพื่อบำบัดความเจ็บปวดให้ลืม ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกทำนองนั้น ดูสนุกกับ sex หลากสีสันไปวันๆมากกว่าจะเจ็บปวดแล้วใช้ sex มาเยียวยา

ดังนั้นตอนท้ายที่พระเอกวัยชราแอบเขาบ้านคนอื่นหลังงานศพแบบไร้กาละเทศะเพื่อบอกว่า “ผมรอคุณมา ... ตาละลา บลาๆๆๆ” จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะโดนตะเพิดอย่างที่เห็น

อีกอย่าง อหิวาต์(Cholera) ในหนัง มาเพื่อทำให้เห็นแค่ว่า คือต้นเหตุที่ นางเอกได้พบกับหมอ กับ ใช้เป็นเหตุผลที่ขากลับเรือไม่ต้องแวะข้างทาง เป็นการรับบทแบบไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไหร่ ต้องการจะเปรียบกับความรักของตัวเอกรึ ก็ไม่รู้จะเปรียบยังไง

ซึ่งเดาว่า ตัวบทประพันธ์น่าจะมีอะไรที่มากกว่านี้ ลึกซึ้งกว่านี้ น่าจะเป็นสัญลักษณ์สำคัญขนาดอยู่ในชื่อเรื่อง


5.เมคอัพตอนแก่ ... ที่หน้าของนางเอกดูหลอกตามาก

...ด้วยเหตุผลห้าข้อข้างต้น

ผมจึงไปตระเวนหาหนังสือมาไว้ในครอบครองเหมือนตอนดู No country for old men แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป เรื่อง ‘ไม่มีแผ่นดินให้ตาแก่อยู่’ อยากหาต้นฉบับมาอ่านเพราะอยากรู้ว่า ต้นฉบับดีอย่างไรและดัดแปลงอย่างไรถึงออกมาอย่างที่เขาว่า เจ๋งระเบิดที่เคารพต้นฉบับแต่คงสไตล์ผู้กำกับไว้

ตรงข้ามกับเรื่องนี้ ที่ไปหามาเพราะอยากรู้ว่า ต้นฉบับดีอย่างไรจึงเป็นที่ชื่นชมถล่มทลายหลายแสนหลายล้านเล่ม เพราะถ้าดูจากตัวหนังอย่างเดียวแล้ว ไม่เห็นว่าจะน่าประทับใจตรงไหนเลย ไปเจอที่คิโนฯ พลิกๆดูท่าทางจะอ่านไม่ยาก ราคาสองร้อยกว่าๆ จึงคว้าหมับมาไว้ติดตัว

ไว้อ่านจบจะกลับมาคุยอีกทีครับ(แต่คงอีกนาน)






Happiness - ความสุขของเฮอจินโฮ


...แวบแรกผมคิดว่า เฮอจินโฮ มาแปลก นอกจากจะไม่มี ฤดูกาล ในชื่อหนัง ยังตั้งชื่อหนังซะหวานซึ้งอย่าง Happiness แถมโปสเตอร์ก็ออกมาหวานปาน Il mare กับ Wanee and Junah ทั้งๆที่หนังของตัวเองไม่เคยจะมาอารมณ์นั้นซักครั้ง ที่ผ่านๆมาอารมณ์หวานอารมณ์สุขจะมีอยู่ในหนังในสัดส่วนใกล้เคียงกับ อารมณ์เศร้าอารมณ์ร้าวราย ซึ่ง พอได้ดูจริงๆ ตัวหนังเรื่องนี้ก็ไม่หนีเรื่องเก่าๆซักเท่าไร มีแค่โปสเตอร์ที่หลอกให้ตายใจ

เรื่องของคนป่วยสองคน คนหนึ่งตับแข็ง อีกคนปอดทำงานแค่ 40% ทั้งคู่เจอกันที่สถานบำบัด โชคยังดีที่ ตับ กับ ปอด ไม่เกี่ยวกับ ความรัก ด้วยเหตุนี้หัวใจของทั้งคู่ที่ทำงานได้ดีจึงทำให้พวกเขาได้รักกัน

แต่ ความรัก ไม่ได้บันดาลให้คนพบ ความสุข เสมอไป และ น่าแปลกใจที่เราหลายคนใช้ชีวิตแบบวิ่งหนีความสุขทั้งๆที่รู้ตัว

....งานชิ้นนี้เป็นงานที่ดูง่ายที่สุดของเฮอจินโฮ เพราะสไตล์ 'น้อยแต่มาก' ถูกปรับให้เพิ่ม 'ความมาก' มากยิ่งขึ้นทั้งอารมณ์ที่ชัดเจนทั้งบทสนทนา ทำให้น่าจะเข้าถึงคนดูส่วนใหญ่มากขึ้น หนังเปิดโอกาสให้ตัวละครได้พูดจามากกว่าภาวะนิ่งเนิบเหมือนที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงตรงนี้มีผลทำให้ผมไม่ค่อยจี๊ดกับหนังของเขาเหมือนเรื่องก่อนๆ เพราะรู้สึกว่า การเล่าเรื่องแบบบอกโต้งๆโจ่งแจ้งชัดเจน มีคนทำแบบนี้ได้ดีกว่าเขา

อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังชอบงานของเฮอจินโฮชิ้นนี้อยู่ดี อาจจะน้อยกว่า April snow กับ Christmas in August แต่หนังก็กระทบจิตใจ เป็นแรงบันดาลใจให้อยากเขียนถึงแบบยาวๆ และ ตอนนี้ก็คิดชื่อไว้แล้วว่า ถ้าเขียนถึงจะตั้งชื่อบทความว่า “บางเวลามนุษย์ก็อ่อนแอเกินกว่าจะมีความสุข”

ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เฮอจินโฮ ชอบ จบหนัง ด้วย ภาพหิมะโปรยปราย เสมอ

ป.ล. โปสเตอร์ที่ผมชอบและคิดว่าเหมาะกับหนังเรื่องนี้จริงๆ น่าจะเป็นลายนี้มากกว่า ที่ตอบโจทย์ตัวหนังได้ชัดเจน




สรุป ... สามเรื่องนี้เชียร์ Happiness มากที่สุด แต่ก็เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่น่าผิดหวังสำหรับหนังใหม่



Link บทความที่อ้างอิงถึงใน blog


ออสการ์ กับ หนังที่ 'หนัก แมน แรง ชั่ว' (1) , No Country for Old Men

Facing Windows , หน้าต่างบานนั้นที่ฉันไม่เคยมอง

April Snow , บางครั้งความรักก็เจ็บปวดโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้

Christmas in August , เธอคือภาพถ่ายสุดท้ายในใจฉัน คุณคือแสงสว่างสุดท้ายในใจผม






สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง ได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน









ขอฝาก พ็อกเก็ตบุ้คสองเล่มที่ไม่ใช่ หนังสือวิจารณ์หนังเพราะ "หนังสือรัก" เป็นการหยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม ส่วน องศาที่ 361 หนังสือเล่มล่าสุดที่จะช่วยให้คุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยไม่ต้องมองหาจากผู้อื่น


เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผม




ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิกhtmlentities(' >')> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง




ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป
Create Date :13 เมษายน 2551 Last Update :13 เมษายน 2551 21:51:17 น. Counter : Pageviews. Comments :17