...ระยะหลังผมจะอ่านข้อมูลหนังใหม่น้อยมาก คือดูแค่คร่าวๆว่าใครเล่นใครกำกับ แล้วถ้าไม่รู้จักผู้กำกับ ไม่แน่ใจว่าตัวหนังจะออกหัวหรือออกก้อย ก็จะไปประเมินคะแนนจากเว็บเมืองนอกก่อนว่า คุ้มค่าน่าตีตั๋วหรือเปล่า อย่าง
Vantage point ก็รู้เพียงว่า เป็นหนังลอบสังหารประธานาธิบปีที่เล่าผ่านหลายมุมมอง
หนังเปิดฉากที่การรายงานข่าวถ่ายทอดให้เห็น ขบวนรถของประธานาธิบดีเดินทางมาถึงใจกลางเมืองในสเปน ผู้คนมากมายและนักท่องเที่ยวที่รอต้อนรับ เมื่อเริ่มต้นปราศรัย เสียงปืนสองนัดทำประธานาธิบดีกระเด็นจากแท่น ตามด้วยเสียงระเบิดสองลูก จากนั้น ความโกลาหลอลหม่านก็เกิดขึ้น
ช่วงเวลายี่สิบนาทีแห่งหายนะยังไม่ทันเฉลยความจริงใดๆ หนังก็เหมือนถูกกดปุ่ม rewind จากรีโมท แล้วย้อนเหตุการณ์ถอยหลังไปยี่สิบนาทีไปยัง จุดเริ่มต้นก่อนการลอบสังหาร เพื่อเล่าเหตุการณ์เดิมแต่เปลี่ยนมุมมองของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็น บอร์ดี้การ์ดของปธน. , ผู้ก่อการร้าย , นักท่องเที่ยว ฯลฯ
เสียงอุทานในใจที่เกิดตอนหนังย้อนไปรอบแรกคือ
"เจ๋งวะ" เพราะ ปกติ หนังฮอลลีวูดจ๋าๆที่แบกต้นทุนสูงๆมักจะไม่ค่อยกล้าทำอะไรแหวกๆเท่าไหร่ ทั้งที่ว่ากันตามจริงแล้ว การเล่าเรื่องที่เก๋ไก๋สไลเดอร์แบบนี้ไม่ใช่นวัตกรรมใหม่ๆในวงการภาพยนตร์ เพราะหนังคลาสสิคเมื่อสิบกว่าปีก่อนอย่าง
Rashomon ก็เป็นต้นแบบของหนังที่เล่าเรื่องราวการสังหารผ่านมุมมองของคนในเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน
หรือ ปีสองปีก่อนหนังชื่อเรื่องกิ๊บเก๋
11:14 ที่เล่าเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายกับความตายและอุบัติเหตุ /
A Stranger of mine หนังจารกรรมสัญชาติญี่ปุ่นที่แสนสนุกสุดฮา ก็อาศัยวิธีเล่าแบบกดปุ่ม rewind ย้อนหลัง พูดถึงเหตุการณ์เดียวกันแต่ผ่านมุมมองที่แตกต่าง ก็ล้วนเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ
Vantage point หยิบยกจุดเด่นของหนังเก๋ไก๋สไลเดอร์เก่าๆเอามายำให้เข้ากับยุคสมัย โดยนำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองที่แตกต่างจาก
Rashomon ใช้กระบวนการเล่าแล้วย้อนถอยหลังที่จุดเดิมๆ ทุกครั้งผ่านตัวละครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกันใน
11:14 และควบคุมให้เวลาดำเนินไปข้างหน้าแบบ real time เหมือนซีรี่ส์
24 หรือ
phonebooth ...งานกำกับหนังใหญ่ชิ้นแรกของผู้กำกับ Pete Travis ได้โชว์ความสามารถในการคุมฉากแอคชั่นให้ตื่นเต้นฉับไว และ ฉลาดที่จะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้ความเป็นฮอลลีวูด มาผสมผสานกับ ความเก๋ไก๋ของหนังเก่าๆได้อย่างลงตัว นั่นคือ
ใช้ทุนมหาศาลสร้างเหตุการณ์อึกทึกคึกโครม ระดม CG สร้างฉากขับรถไล่ล่าได้ทั้งเว่อร์ทั้งมันส์ สร้างสรรค์ระเบิดหรือจับรถมาชนกันเปรี้ยงปร้างสมจริง ระดมดาราฟอร์มยักษ์ปักหลักประชันบทบาท
(
เดนนิส เควด หลังเลิกกับเม็ก ไรอัน ได้บทเด่นๆและเล่นดีมาตลอด ส่วนแฟนๆของ
หมอแจ๊ค จาก
Lost ก็ได้โอกาสสัมผัสตัวจริงหลังออกมาจากเกาะประหลาดเพื่อมารับจ๊อบเป็นบอดี้การ์ดในหนัง ไม่ใช่แค่นั้นยังมีทั้ง
ฟอเรสต์ วิทเทเกอร์ , ซีกัวนี่ย์ วีเว่อร์ ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนก็มาในบทที่สมทบธรรมดาๆเสียด้วยซ้ำ)
และไม่ใช่ แค่มีทุนหนาเท่านั้น งานในส่วนที่ไม่ต้องใช้เงินมากอย่างตัวบทก็เขียนออกมาได้เด็ดทีเดียว โดยเฉพาะความสามารถในการขยัก(ความลับ)สลับคาย(ความจริง) ที่กระตุ้นเร้าความอยากรู้ของคนดูเหมือนตอนจบของซีรี่ส์ประเภท cliffhanger endings แบบ
24 ที่ชอบทิ้งให้คนดูทุรนทุราย ได้ดีเหลือเกิน ในการปิดตอนท้ายของแต่ละตอนด้วยการให้ ตัวละครเห็นอะไร ตัวละครตัวนั้นกำลังจะทำอะไร แล้วก็ตัดจบให้คาใจคนดู
(ความลับเดียวที่หนังขยักไม่ค่อยดี คือ ตัวร้ายที่ ลับ ลวง พราง ไว้ เพราะบทหนังอ่อยให้ชวนสงสัยเกินไปหน่อย)การเล่าเรื่องแบบ ย้อนถอยหลัง / เล่าซ้ำ / เปลี่ยนมุมมอง นั้นว่ายากแล้ว ที่เด็ดขาดเป็นอย่างยิ่งคือ การกำหนดให้เรื่องราวเป็นแบบ real time ยิ่งต้องพิสูจน์ฝีมือมากยิ่งกว่า สำหรับการที่จะต้อง set เหตุการณ์ set ฉาก set เรื่องราว ให้ไปพร้อมๆกัน แต่หนังก็เตรียมพร้อมมาอย่างดี ไม่มีหลุด
... ถึงแม้การกรอถอยหลังในรอบที่สี่ที่ห้า จะเริ่มเบื่อๆบ้างเพราะหลายช็อตหลายฉากก็ซ้ำๆกับของเดิม แต่ด้วยสไตล์หนังประเภทลักปิดลักเปิดความลับ จึงทำให้ความอยากรู้อยากเห็นไม่ลดน้อยลง นับได้ว่าเป็นเซอร์ไพรส์เรื่องหนึ่งของปีนี้ที่ผมดูด้วยความสนุกสนาน ลุ้นระทึก และ ชื่นชมตัวหนังอารมณ์ใกล้เคียงกับที่ได้ดูหนังแอคชั่นชั้นดีจากฮอลลีวูดอย่าง Bourne ultimatum
แต่ โอละหนอ เอวัง เมื่อหนังเข้าสู่ มุมมองสุดท้าย ความฉลาดของบทเหมือนจู่ๆก็หมดอายุขึ้นมา แล้ว มันก็พาให้หนังไปสู่บทสรุปเดียวกับ หนังฮอลลีวู๊ดเบๆนับร้อยนับพันที่เคยดู
ทั้งๆที่ ความเว่อร์และเหตุบังเอิญทั้งหลายที่หนังเล่ามาตลอดยังอยู่ในระดับที่รับได้ เช่น ตัวละครเอกแต่ละคนล้วนอึดระดับคนเหล็ก , ท่านประธานาธิบดีที่ฮีโร่จ๋าๆบวกการโปรอเมริกันแบบสุดเลี่ยน , รถที่พระเอกขับช่างเกาะถนนอย่างน่าอัศจรรย์ และ กล้องโซนี่แฮนดิแคมก็ยั่วเย้าชวนให้อยากถอนตังค์มามีไว้ติดตัวซักหนึ่งตัว ฯลฯ
แต่ บทสรุปที่ความบังเอิญมาประจวบเจอกันในฉากสุดท้าย เป็นการตั้งใจ จับยัด ทื่อๆ และ มักง่าย ถึงจะไม่ได้ห่วยหรือเลวร้ายเกินรับ แต่ กับความกล้าหาญและชาญฉลาดที่ทำได้ดีเหนือเกินมาตรฐานมาตลอดในตอนต้น เหมือนถูกตอนจบมาทำลายความรู้สึกดีๆเหล่านั้นลง จนอดคิดว่าถ้าให้ตัดฉากจบทิ้งแบบไม่ต้องมีเลยยังอาจจะดีเสียกว่า
สรุป ... เป็นหนังที่ทำดีและสนุกมากมาเกือบ แปดสิบนาที แต่ตกม้าตายและทำร้ายตัวเองในช่วงสิบนาทีสุดท้าย
สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง ได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน
ขอฝาก พ็อกเก็ตบุ้คสองเล่มที่ไม่ใช่ หนังสือวิจารณ์หนังเพราะ "หนังสือรัก" เป็นการหยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม ส่วน องศาที่ 361 หนังสือเล่มล่าสุดที่จะช่วยให้คุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยไม่ต้องมองหาจากผู้อื่น
เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผมชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิกhtmlentities(' >')> หน้าสารบัญ ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ -->
หน้าแรก รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง
ความเห็นของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา
คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน
คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป
ฉากหักรถหลบเด็กหญิงจนคว่ำ ผมว่าช่วยเติมเต็มหนังเรื่องนี้ให้มีมุมมองที่เป็นกลางมากขึ้น ไม่ใช่แค่มีพระเอกผู้ร้าย ไม่ได้มีแค่ฝ่ายผิดฝ่ายถูก ชวนให้เราคิดต่อว่าเรื่องราวนอกเหนือจากหนัง ว่าสหรัฐทำอะไรไปบ้าง จึงทำให้คนธรรมดา ตัดสินใจฆ่าคนมากมายในการนี้ แม้ทุกอย่างจะบังเอิญไปจนเกินงามสักหน่อยก็ตาม
โดย: BLuEMaNiA IP: 203.99.252.249 9 เมษายน 2551 11:43:39 น.
โดย: YoiChi_KunG 9 เมษายน 2551 12:04:49 น.
เป็นภาพยนตร์ที่ถือว่าบทดีรองจากภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงล่าสุด
โดย: nuw IP: 203.155.226.130 9 เมษายน 2551 13:14:13 น.
เปิดมาให้ชวนกรี๊ดดดดดดด
กรี๊ดดดดด
กรี๊ดดดดด
แล้วก็ต้องมากรี๊ดตอนอีกที
เพราะสุดเซ็ง ฮ่าๆๆๆ
โดย: องค์หญิงการะบุหนิง IP: 202.129.0.134 10 เมษายน 2551 12:01:30 น.
ตอนท้ายนี่ พอพี่พระเอกปีนออกมาจากรถก็เริ่มเอ่อ...-_-" ไรว้า โดนชนขนาดนั้น โดดออกมาวิ่งต่อได้ทันทีเลย
อาถรรพ์ฮอลลีวู้ดนี่มันแรงจริงๆ กฎเหล็กที่ว่า พระเอกต้องไม่เป็นอะไรยังมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
โดย: absent-minded IP: 158.108.2.6 10 เมษายน 2551 17:06:00 น.
คนอื่นที่ยังไม่ได้ดูเผลออ่านเข้าไปจะโดนด่าเอานะเออ
ปล.โดยส่วนตัวไม่ชอบตอนจบเรื่องนี้เหมือนกันฮะ
ปล2.ดูเรื่องนี้ที่พาราก้อนแล้วเสียอารมณ์มากๆ มีผู้ชายตัวใหญ่ๆ 2 ตัวมานั่งข้างๆ คุยกันทั้งเรื่อง
ขำมันทุกฉาก (มันขำตรงไหนฟะ???) เสียอารมณ์มากๆเลย
โดย: hAmlet IP: 124.121.138.124 11 เมษายน 2551 0:19:18 น.
ก็คิดแบบว่า เอาละจบตามสูตรแค่นั้น
แต่ที่ตัดไปมาตอนแรกมันก็ดีครับ แต่ก็จริงที่พอผ่านไป4-5 ครั้งก็เริ่มเบื่อ
ตอนนั้นนึกในใจเลยอีกแล้วหรอ แต่พอดีเป็นตัดครั้งสุดท้ายเลยไม่เสียอารมณ์เท่าไหร่
โดย: ลี้คิมฮวง IP: 125.24.13.140 11 เมษายน 2551 1:15:27 น.
โดย: azzurrini IP: 118.174.38.4 11 เมษายน 2551 18:59:15 น.
อเมริกา
โดย: Dorathesis IP: 58.8.127.241 14 เมษายน 2551 0:35:54 น.
เรื่องนี้จงใจด่าสื่ออเมริกันอย่างเต็มที่ ทั้งการนำเสนอของสื่อมวลชน การอวยอเมริกันชนด้วยกัน รวมไปถึงการตอกย้ำ"ศีลธรรมของสื่อ"(ทุกฉากในตู้controlกล้องเห็นได้แจ่มมาก)
...สังเกตไหมว่า 90% ของหนังมีสื่อทุกรู้แบบกระจายอยู่...
ปล.อเมริกันไม่เกลียดหนังเรื่องนี้หลอกค่ะ สังคมอเมริกัน...พี่แกชอบการต่อต้านสงคราม...แม้จะเป็นคนก่อสงครามเองก็ตาม
โดย: goldensandy IP: 61.91.163.31 14 เมษายน 2551 5:01:37 น.
ผมว่าตอนจบลงตัวดีนะ กับการมีตัวละครตั้งแปดคน(หรือมากกว่า)แล้วสามารถขมวดปมทั้งหมดได้อย่างต่อเนื่องและลงตัว ถือว่าเกินมาตรฐานฮอลลีวู้ดไปมากแล้ว(ถ้าเป็นบรัคไฮเมอร์ หรือโจล ซิลเวอร์ อาจไม่มีหนังแบบนี้ขึ้นมาก็ได้) ฉากแอ็คชั่นก็ทั้งยาวทั้งมันส์(แม้ชวนให้นึกถึงบอร์นอยู่เหมือนกั รวมแล้วสนุกและคุ้มดีครับ
โดย: tHecHamp IP: 58.8.100.43 17 เมษายน 2551 2:14:45 น.
แต่พอย้อนกลับหลายๆ รอบเริ่มเบื่อ
ยิ่งตอนจะจบยิ่งเซ็ง แอบลุ้นตลอดให้ผู้ร้าย
ลักพาตัว ปธน ให้สำเร็จ
อีกอย่าง ถ้าเป็น ผู้ก่อการร้ายจริงๆ ฆ่าคนมาทั้งเรื่องแล้ว
กะอีแค่เด็กคนเดียว ไม่น่าปล่อยเอาไว้อ่ะ
โดย: the Memory of Time IP: 222.123.210.250 17 เมษายน 2551 22:44:39 น.
โดย: Mucki_girl IP: 193.24.32.38 18 เมษายน 2551 8:39:45 น.
การที่ช่วงต้นเป็นการดำเนินเรื่องแบบชวนติดตาม
ไม่ได้หมายความว่าตอนท้ายต้องขมวดปมให้มากกว่านี้นี่นา
การที่ตอนท้ายเป็นการคลายปม+ความมันส์ในการไล่ล่า ผมว่ามันก็โอเคนะ
คิดว่าเป็นหนังที่ดูสนุกทีเดียวเรื่องนึงเลย คุ้มค่าตั๋วแน่นอน
ป.ล. แต่ก็เห็นด้วยที่ว่าตัวร้ายใจอ่อนเลยตายตอนจบ
ดูแล้วมันน่าจะเหี้ยมกว่านี้
แต่ก็อย่างที่ว่า "ผู้ร้ายก็มีหัวใจ" :P
โดย: donkiyote IP: 118.173.251.12 18 เมษายน 2551 14:02:56 น.
ผู้กำกับเก่งจังค่ะ
ทำให้หลายๆเหตุการณ์มันมาสัมพันธ์กันได้ขนาดนี้
ว่างๆคงต้องหา ซีรี่ย์ 24 กะ 11:14 มาชมบ้างแล้วละค่ะ
โดย: saviour IP: 58.64.72.199 18 เมษายน 2551 21:12:50 น.
- ชอบช่วงต้นเรื่องมากๆค่ะ ถึงจะย้อนไปมาหลายรอบจนหลายคนในโรงขำ แต่ไม่รู้สิ กุ้งลุ้นอะค่ะ อยากดูมุมมองของคนอื่นๆในเหตุการณ์อีก ค่อยๆลุ้นปมแต่ละปมว่ามันตรงกะที่เราเดาไว้หรือเปล่าแต่ขัดใจตอนจบค่ะ รำคาญเด็กผู้หญิงอย่างแรง มันโง่เกินจริงไปอะค่ะ ที่จริงก็โตพอจะดูรถก่อนข้ามถนนเป็นแล้วและก็มาหยุดอะไรกลางถนนพอดีเนี่ย และผู้ก่อการร้ายก็ใจดีเกินค่ะ กล้ายิงคนได้ตั้งเยอะ แต่ดั๊นมาปรานีต่อเด็กในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานด้วย (ถ้าเป็นช่วงปกติ ข้ามถนนปกติก็แล้วไปอย่าง) แต่โดยรวมถือว่าชอบค่ะ ดูสนุกเอามันส์ได้
โดย: ลิปดา-พิลิปดา IP: 58.9.10.56 18 เมษายน 2551 21:32:28 น.
โดย: บลูยอชท์ 24 เมษายน 2551 16:21:23 น.
ส่วนตัวคิดว่า บทเรื่องนี้ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร
แต่วิธีการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ตะหากที่โดดเด่น
แล้วตอนจบง่ายไปหน่อยอ่ะ
ผู้ร้ายที่วางระเบิดที่แท่นปราศรัย แต่หักรถหลบเด็กคนเดียว..
แล้วพี่เค้าไม่คิดบ้างเหรอว่าระเบิดอันโน้นจะไปโดนเด็กตายกี่คน - -"
โดย: SFFC IP: 125.27.1.76 30 กรกฎาคม 2551 18:03:39 น.
การฆ่าคนตายทั้งเรื่อง ทั้งยิง ทั้งระเบิดเป็นแผนที่วางไว้ล่วงหน้า
แต่จะขับรถชนเด็กนี่มัน เกิดชั่วพริบตา ตัดสินด้วยสัญชาตญาณ ไม่ใช่การวางแผน
ส่วนการจบแบบนี้ เหมือนจะสูตรสำเร็จ แต่มันก็คลายปมแล้ว ไม่ได้ถึงกับตายตอนจบหรอกครับ
โดย: หนุ่ม IP: 125.25.244.77 17 สิงหาคม 2551 2:45:38 น.
โดย: หมาย IP: 171.7.163.12 27 เมษายน 2555 17:23:49 น.