bloggang.com mainmenu search
The Horsemen



...คดีฆาตกรรมลึกลับเริ่มต้นจาก ฟันของเหยื่อถูกเลาะทิ้งกลางหิมะ นายตำรวจที่เชี่ยวชาญทันตกรรมถูกตามสืบสวน เขามีปัญหาครอบครัว หลังภรรยาตาย เขาบ้างานจนแทบไม่มีเวลาอยู่กับลูกชายทั้งสองคน

จากเหยื่อรายที่หนึ่ง นำไปสู่ เหยื่อรายที่สองที่ถูกแขวนไว้บนขื่อที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะคาห้องในบ้านตัวเอง ถูกแทงที่อกให้เลือดไหลเข้าท่วมปอดจนเสียเลือดตาย แถมสุดท้ายถูกควักมดลูกที่มีลูกอ่อนออกไป รอบกำแพงเขียนป้ายว่า Come and see และมีหลักฐานว่ามีผู้ประกอบการทั้งหมด 4 คน

นายตำรวจได้รับเบาะแสเพิ่มเติมว่า คดีนี้ กลุ่มฆาตกรทำตามความเชื่อโบราณเกี่ยวกับวันล้างโลก โยงความตามคัมภีร์ไบเบิ้ล

คดีนั้นมืดมน เหยื่อรายถัดไปถูกเปิดเผย ตำรวจไร้เบาะแส

แล้วจู่ๆ ฆาตกรรายแรก กลับมามอบตัว



... บางอารมณ์ของหนัง The Horsemen ให้อารมณ์คล้าย Se7en ตรงที่เน้นความกดดันในจิตใจของตัวละครนำ แต่เพราะวิธีเล่าเรื่องแบบขาดๆเกินๆ ไร้ความต่อเนื่อง บวกกับ บทมันโหวงๆโหว่ๆ ทำให้ ความตั้งใจที่จะเข้มข้นผลที่ออกมาไม่ข้นอย่างตั้งใจ

แต่ยิ่งดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ รายละเอียดยิ่งเปิดเผย ยิ่งทำให้เดาตัวร้ายตัวสุดท้ายได้ง่ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนเฉลยไม่เซอร์ไพรส์เลย แล้วพอถึงฉากสุดท้ายก็เล่นจบแบบห้วนสุดๆ

ที่แย่ยิ่งกว่า คือ เวลาฉายของบ้านเราสั้นกว่าเวลาฉายเมืองนอกเกือบยี่สิบนาที ซึ่งไม่รู้ว่า ถูกตัดตอนหายไปไหน ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียค่าโง่ไปดูหนังพิกล รู้งี้ รอแผ่นผีแบบ uncut ยังจะดีเสียกว่า

แต่สำหรับแฟนคลับจางซี่ยี่ เรื่องนี้เธออาจจะไม่ได้เล่นอะไรมากมาย แต่ ฉากแสดงความร้ายๆเซี้ยวๆของเธอนี่มันช่าง เหมาะกับเธอซะเหลือเกิน


Spoilers alert ตัวหนังสือสีเหลืองถัดจากนี้ บอกตอนจบของหนัง

จุดที่ชอบและเสียดายที่ตัวหนังโดยรวมทำออกมาได้ไม่ดี ทำให้ประเด็นนี้ไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก เพราะ หนังอุตส่าห์โยงปัญหาสังคมที่ว่าด้วย เด็กๆที่กลายเป็นเหยื่อของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ จับมือกันลุกขึ้นมาสู้เพื่อตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เหยื่อของ sexual abuse (พ่อเลี้ยงกับลูกสาว) , เหยื่อของการถูก reject (ครอบครัวรังเกียจลูกเป็นกะเทย) , เหยื่อของการถูก neglect (พ่อบ้างานทิ้งลูก)

ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ถ้าหนังทำออกมาได้ดีๆน่าจะมีส่วนให้พ่อแม่กลับมาใส่ใจ ลูกหลานมากยิ่งขึ้น



Thick as Thieves



... แอนโตนิโอ้ แบนเดอราส เป็นโจรหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ทีกำลังถูกสะกดรอยโดย โจรจอมเก๋า มอร์แกน ฟรีแมน หลังจาก โจรแอนโตนิโอ้ ตัดหน้าปล้นเพชรได้อย่างเร้าใจ

โจรมอร์แกน อยากได้ โจรแอนโตนีโอ้ มาร่วมมือกันปล้นครั้งยิ่งใหญ่กับ ไข่ในตำนานที่ว่ากันว่ามีค่ามหาศาล เพราะคู่หูของโจรมอร์แกนถูกโจรมอร์แกนเป่าเสียชีวิตตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง

ระหว่างการตัดสินใจ โจรแอนโตนิโอ้ ตกหลุมรัก ลูกสาวสุดเซ็กซี่ของคู่หูโจรมอร์แกน และ เรื่องราววุ่นวายมากขึ้นเมื่อมีมาเฟียจากรัสเซียเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย



... หนังโจรหักเหลี่ยมโจรเรื่องนี้ จึงเป็นเหมือนแนว หักมุมทั่วๆไปที่เตรียมจุดหักมุมไว้เซอร์ไพรส์คนดูเป็นระลอกๆ ซึ่ง นักแสดงต่างก็รีดเสน่ห์ตัวเองออกมาได้ดี ติดอยู่ตรงที่ Step ในการเล่าเรื่อง และ Style ของหนัง เหมาะสมที่จะฉายเมื่อเจ็ดถึงแปดปีที่แล้ว จึงจะฮิป ทันสมัย

แต่ ในยุคหนังโจรตัดโจรที่เราเคยชินกับ หนังตระกูล Ocean’s มาเยอะแล้ว Thick as Thieves จึงเข้าข่าย เชย ไปเสียแล้ว

อีกทั้งบทหนังยังขาดความน่าเชื่อถือ เพราะความจงใจหักมุมแบบโต้งๆจนเกินไป เพียงเพื่อหวังสร้างความประหลาดใจ(ที่เดาได้ไม่ยากเย็น)

น่าเสียดายฝีมือผู้กำกับสาว Mimi Leder ที่เคยรุ่งไปในยุคหนังแอคชั่นสุดมันส์ The Peacemaker และหนังโลกแตกเรียกน้ำตาอย่าง Deep Impact ก่อนจะมาดับวูบไปหลังจากส่ง หนังรณรงค์การทำดี Pay It Forward


Righteous Kill



... อัล ปาชิโน่ กับ โรเบิร์ต เดอนีโร สองยอดนักแสดงแห่งยุค พบกันครั้งแรกใน The Godfather 2 หนึ่งในไตรภาคหนังเจ้าพ่อที่ดีที่สุดของฮอลลีวูด และ เป็นหนังภาคต่อที่คนมักยกตัวอย่างเวลาพูดถึง หนังภาคสองที่ทำออกมาดีกว่าภาคแรก เพียงแต่ครั้งนั้น ทั้งคู่ไม่มีโอกาสเข้าฉากร่วมกัน

ยี่สิบปีต่อมา ทั้งคู่ ก็วนเวียนอยู่ในแวดวงอาชญากรรม เมื่อทั้งคู่มาประกบกันแบบเข้าฉากร่วมกันครั้งแรกใน Heat หนังดราม่าอาชญากรรมที่ผมยกขึ้นหิ้ง เป็นหนังที่คอหนังไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง และเป็นหนังที่ดีที่สุดของไมเคิล มานน์

สิบกว่าปีต่อมา คู่อายุอานามก็เข้าขั้นคุณลุง แต่ พอมาแสดงหนังร่วมกันก็ยังหมกมุ่นไม่พ้นวงการหนังอาชญากรรม เมื่อมารับบทตำรวจคู่หูใน Righteous Kill



... หนังเปิดเรื่องด้วยเทปคำสารภาพของ นายตำรวจ เดอ ที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ชื่อแรมโบ้ จากนั้น หนังก็ย้อนเล่าถึงชีวิตการทำงานของคู่หูระหว่าง นายตำรวจเดอ กับ นายตำรวจอัล ในวัยใกล้เกษียณร่วมกันสืบสวนไล่ล่าหาผู้ร้ายใน คดีแรมโบ้ โดยตัดสลับกับคำสารภาพของ นายตำรวจเดอ เป็นพักๆ

แฟนๆของลุงอัล กับ ลุงเดอ ไม่มีผิดหวัง ทั้งคู่ฝากการแสดงระดับ เก๋าตัวพ่อ ได้แบบมือไม่ตก เพียงแต่ว่า ไม่เข้าใจว่าทั้งคู่คิดยังไง ที่อุตส่าห์กลับมาเล่นหนังคู่กันทั้งที ถึงเลือกจะมาอยู่ในหนังเรื่องนี้

คือหนังก็ไม่ได้ถึงขั้นห่วย และ ถ้าเทียบกับ 88 Minutes ผลงานเรื่องที่แล้วของผู้กำกับ Jon Avnet ที่ผมยกให้เป็น 1 ใน 5 หนังที่ไม่ชอบที่สุดของปี 2008 เพราะความป้อแป้ของบท เรื่องนี้ถือว่าดีกว่ามาก

เพียงแต่ Righteous Kill เป็นหนังที่ธรรมดาเอามากๆ ดูไปแบบเรื่อยๆมาเรียงๆ ถ้าไม่ได้รัศมีดาราของสองคนนี้อาจพาลจะเบื่อหนักขึ้น และ ถ้าเทียบกับสองเรื่องก่อนที่ทั้งคู่เคยอยู่ร่วมกันบนจอ คุณภาพของหนังช่างห่างไกลเหลือเกิน

หนังเรื่องนี้ก็เหมือน Thick as Thieves คือ ภาพรวมของหนังเข้าข่าย เชย และ ต่ำกว่ามาตรฐานของหนังยุคใหม่ที่ไปไกลเอามากๆแล้ว

ที่น่าประหลาดใจคือ ผู้กำกับคนนี้มีดีอะไร ถึงทำให้ ลุงอัล ตกปากรับคำมาเล่นหนังคว่ำสองเรื่องติดๆกัน


Spoilers alert ตัวหนังสือสีเหลืองถัดจากนี้ บอกตอนจบของหนัง

มันไม่ค่อยเซอร์ไพรส์เท่าไหร่ เพราะตัวละครลุงอัล ส่อเค้าเหลือเกินที่จะเป็นตัวร้ายตัวจริง และ ตอนเฉลยถึงปมทางจิตใจที่เป็นต้นเหตุให้เป็นฆาตกร ดูไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อยเพราะ

ถ้าตัวละครลุงอัลถูกเขียนให้เป็นวัยหนุ่มยังพอเข้าใจได้ แต่อายุอานามป่านนี้ เก๋ามาถึงขนาดนี้ เจอเหตุการณ์อย่างที่เห็น แล้วเกิดช็อครับไม่ได้ มันไม่ค่อยจะไปด้วยกัน



K-20



... สำหรับคนชอบรหัสคดี น่าจะถูกใจหนังเรื่องที่สี่นี้ เพราะดัดแปลงมาจากหนังสือของ บิดานิยายลึกลับจากญี่ปุ่น เอโดงาว่า รัมโป

K-20พูดถึงจอมโจรยี่สิบหน้าสุดเท่ สวมหน้ากากออกปล้นคนรวย(แต่ไม่ได้ช่วยคนจน) ในยุคที่ ญี่ปุ่น แบ่งคนเป็นสองชนชั้นคือ ชนชั้นสูง กับ ชนชั้นล่าง ทั้งสองชนชั้นไม่สามารถจะแต่งงานกันได้ ใครจนก็ต้องจนไปจนตาย ใครไฮโซก็ได้ไฮโซจนถึงรุ่นหลาน

ทาเคชิ คาเนชิโร่ เป็น นักกายกรรมประจำคณะละครสัตว์เร่ร่อน ที่ถูก K-20 จัดฉากใส่ร้ายให้ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่า เขาคือ K-20 เขาจึงต้องหาทางล้างข้อกล่าวหานี้และเปิดโปงตัวจริงของ K-20 ก่อนที่จอมโจรรายนี้จะประสบความสำเร็จในแผนจารกรรมครั้งประวัติศาสตร์

สิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้คือ งานโปรดักชั่นและด้านเทคนิคพิเศษที่เป็นทีมเดียวกับคนทำ ALWAYS SUNSET ON THE THIRD STREET ดูดี มีคลาสมาก

ข้อเสียสำคัญของหนังเรื่องนื้คือ จังหวะการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างผวาโผสโลว์ซบ จนผมสะลึมสะลืออยู่หลายรอบ ทั้งๆที่ หนังน่าจะทำสนุกกว่านี้ได้ และ น่าเสียดายตรงต้นทุนชั้นดีในประเด็นที่เกี่ยวกับ การต่อสู้ของชนชั้น ที่เป็นซับพล็อตที่น่าสนใจ ยังใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่นัก



... ผมชอบฉากตอนท้ายๆฉากหนึ่งที่ ตัวร้ายชักชวนให้พระเอกมาจับมือร่วมกัน เพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้น ยกเลิกการผูกขาดของคนรวย ซึ่งเป็น คอนเซ็ปท์ที่ดี

ตัวร้ายพูดประมาณว่า “เรามาร่วมกันเปลี่ยนแปลงสังคมดีฝ่า”

ถ้าว่ากันด้วยหลักการ ผมเป็นพระเอกก็คงเห็นด้วยว่า สังคมต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างจริงๆ แต่พอเห็นพฤติกรรมกลโกงในอดีตของตัวร้าย ที่ไม่ได้หวังทำสังคมให้ดีอย่างเดียว แต่ตัวเองก็มีผลประโยชน์เคลือบแฝง ก็อดคิดเหมือนพระเอกไม่ได้ว่า

“ตรูเห็นด้วยว่าสังคมต้องเปลี่ยนแปลง แต่ ถ้าต้องให้คนอย่างแกมาเป็นแกนนำ สู้ให้ตรูรอไปก่อนยังจะดีเสียกว่า เพราะได้แกมามันอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ”




Link บทความที่เกี่ยวข้อง

50 หนังประทับใจ ประจำปี 2008 โดย "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" (ตอน 1)

5 หนังไม่ชอบ + 50 อันดับหนังประทับใจ ประจำปี 2008 โดย "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"

Always: Sunset on Third Street , บางสิ่งที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ

Always: Sunset on Third Street 2 , บางสิ่งที่ไม่สามารถซื้อหา และ มีคุณค่ามากกว่าเงินทอง




"ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ขอฝากหนังสือเล่ม 4 ที่ชวนเพื่อนผู้อ่าน ออกเดินทางสำรวจจิตใจมนุษย์ และ ทำความรู้จัก'คน' ให้มากขึ้น ผ่านโลกภาพยนตร์ ในหนังสือชื่อ มากกว่าที่ตาเห็น - LifeScan วางขายในร้านสือทั่วไป พฤษภาคมนี้จ้า






พื้นที่แนะนำผลงาน{ตัวเอง}

(คลิกที่รูปหนังสือ เพื่อ อ่าน หรือ แสดงความเห็น ต่อหนังสือแต่ละเล่มได้เลยครับ)

ปีนี้ “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ขอฝากผลงานเล่มล่าสุดที่เพิ่งคลอดจ้า อันว่าด้วย 'ความรักและกำลังใจ' ผ่านแรงบันดาลใจจากชีวิตและภาพยนตร์ ในหนังสือที่ชื่อว่า

เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป



และ ผลงานสองเล่มก่อน จากสองปีที่ผ่านมา



"หนังสือรัก" หนังสือที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม กับ องศาที่ 361 หนังสือที่อาสาช่วยคุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยอาศัย'หนัง'เป็นสะพานพาไปเข้าใจตัวเอง


มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป แต่ เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 และ เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป สั่งได้จากในเว็บหรือหน้าร้านซีเอ็ดครับผม






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก

พูดคุยกับเจ้าของ Blog คลิก

เปิดหารายชื่อหนังเก่าๆนอกเหนือจากในหน้าสารบัญ คลิก




ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป
Create Date :14 พฤษภาคม 2552 Last Update :14 พฤษภาคม 2552 11:17:47 น. Counter : Pageviews. Comments :56