bloggang.com mainmenu search


... ปกติผมไม่ใช่คอหนังเทศกาล แต่งานนี้ต้องยกให้ทีมจัดจริงๆที่มีทำซับไทยไว้ด้วย ทำให้มีผมผู้ซึ่งขี้เกียจบริหารสมองส่วนแปลภาษาเป็นกลุ่มลูกค้าที่เข้าไปดูเพิ่ม

ส่วนตัวดูได้แค่ สองเรื่องสองรอบ เลือกลิสต์หนังที่คิดว่าน่าจะเข้าทางชอบของตัวเองได้ 4 เรื่อง แต่ Broken Embrace มีกำหนดเข้ารอบปกติ , Antichrist มีแผ่นกุ๊กกู๋แล้ว ดังนั้น สองเรื่องที่ตีตั๋วจึงได้แก่ Dogtooth และ A Prophet


เหตุที่เลือก A Prophet ก็เพราะขอเกาะกระแสคำชมจากที่คานส์เป็นที่ตั้ง บวกกับ ได้ยินว่าฝรั่งเศสเลือกเรื่องนี้เป็นตัวแทนเข้าประกวดออสการ์ก็ลุ้นเอาว่าหนังน่าจะดี และ เหตุผลข้อสุดท้ายคือเคยดู The Beat That My Heart Skipped งานชิ้นก่อนของผู้กำกับ Jacques Audiard แล้วชอบก็เลยคาดว่าเรื่องนี้น่าจะเข้าทางอยู่

... Malik El Djebena ตัวเอกของ A Prophet คือ นักโทษหนุ่มชาวอาหรับที่ได้รับการเลื่อนขั้นจากคุกเยาวชนไปอยู่คุกผู้ใหญ่มีกำหนดต้องขัง 6 ปี ที่นั่น นักโทษเองก็แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นกลุ่มอาหรับ กับ กลุ่ม Corsican

เขาควรจะไปอยู่ในกลุ่มอาหรับ หากมิใช่เพราะถูก César Luciani นักโทษป๋าใหญ่ของฝั่ง Corsican ที่มีเส้นสายอยู่ภายนอก มาบังคับให้เขาแฝงตัวเข้าไปในก๊วนอาหรับเพื่อสังหารนักโทษอาหรับคนหนึ่ง เพราะฝั่ง Corsican ไม่สามารถแอบเข้าไปในกลุ่มคนอาหรับได้

หากเขาทำสำเร็จก็จะได้รับการคุ้มครองดูแล แต่ ถ้าพระเอกไม่ทำ เขาก็จะถูกฆ่าทิ้ง

เหตุการณ์ครั้งนั้นเปลี่ยน พระเอกให้กลายเป็นเสมือนลูกน้องที่คอยรับใช้ แก๊งค์นักโทษฝั่ง Corsican แต่การรวมกลุ่มกับก๊วน Corsican ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะมีความทัดเทียมกับคนในก๊วน เพราะคนกลุ่มนั้นก็มองเขาอย่างเหยียดหยามเหมือนที่เหยียดชาวอาหรับ แต่จะให้ Malik กลับไปอยู่ฝั่งอาหรับก็ไม่ได้ เพราะฝั่งนั้นก็มองเขาอย่างเกลียดชังที่ไปเป็นสุนัขรับใช้ฝั่ง Corsican

ช่วงเวลาที่เหลือคือ การหาทางเอาตัวรอดของพระเอกที่ต้องปรับตัว ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งภายใน(คุก) และ พยุงให้ตัวเองอยู่รอดจนถึงวันที่จะได้เสรีภาพ ในสถานการณ์ที่ไม่มีฝั่งไหนยอมรับเขาเป็นพวกแท้จริงซักฝั่งเดียว



... 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ของ A Prophet ดำเนินเรื่องราวอยู่ในคุก แต่หนังก็ไม่ได้มีสไตล์การเล่าเรื่องเหมือนหนังชีวิตในคุกทั่วๆไปที่เราคุ้นเคย ประเภทที่มีฉากแอคชั่นยกพวกตีกันของคนสองฝั่ง หรือ ฉากดราม่าบีบคั้นอารมณ์จากการถูกกลั่นแกล้ง

A Prophet เกาะติดชีวิต Malik แล้วดำเนินเรื่องไปแบบเรื่อยๆ มีสถานการณ์ใหม่ๆที่บางอย่างก็ดูธรรมดาๆ สอดแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ เช่น การเรียนหนังสือ , เพื่อนใหม่ที่ทำให้เขารู้จักโลกที่กว้างขึ้น ฯลฯ
ซึ่งการให้ Malik เป็นแกนหลัก หนังก็ไม่ได้ทำให้เขาเป็นพระเอก แบบฮีโร่จ๋าๆ เพราะเขาไม่ได้ฉลาดหลักแหลม ไม่ได้เก่งกาจ ไม่ได้เป็นคนดีมากมาย

เขาเป็นแค่คนธรรมดาๆที่เริ่มต้นจากไม่คิดอะไรมาก อยากมีชีวิตรอด และ ใช้สัญชาติญาณเอาตัวรอดไปวันๆ (อันเป็นสไตล์ของ ตัวละครนำ ที่คนดูจะเชื่อและอยากติดตามมากกว่า ฮีโร่ในอุดมคติ ซึ่งหนังฝั่งฮอลลีวู๊ดยุคใหม่ๆเช่น District 9 ก็เริ่มปรับตัวละครนำให้มีคาแรกเตอร์ขาวๆดำๆแบบนี้)

ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ถึงขั้นปลื้มหนังเรื่องนี้มากมายอะไร อีกทั้งก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องความขัดแย้งของชนชาติติดตัวไปก่อนดู แต่ระยะเวลา 150 นาทีของหนังก็ไม่ได้น่าเบื่อเลย

ต้องชมการเล่าเรื่องของผู้กำกับที่มีวิธีการเล่าเรื่องที่ไม่ได้เน้นการโชว์ออฟให้มากเกิน และเนื้อเรื่องบางตอนก็เหมือนเรียบเรื่อย แต่สามารถตรึงคนดูไม่ให้เข้าสู่ภาวะง่วงเหงาหาวนอนตลอดสองชั่วโมงกว่า

อาจมีลูกเล่นของความเหนือจริงเข้ามาปนบ้าง เช่น ภาพหลอนวิญญาณ หรือ การมองเห็นอนาคต แต่สิ่งที่เสริมเข้ามาก็ไม่ทำให้หนังหลุดออกนอกเส้นทางหลัก



...ส่วนที่ชอบที่สุดคือ พัฒนาการระหว่าง ลูกกระจ๊อกวัยละอ่อนอย่าง Malik กับ ปู่ซ่า César Luciani ที่พระเอกเดินหน้าทำตามคำสั่งแบบไม่มีบ่น ทั้งที่ฝ่ายปู่ไม่เคยจะปรานีปราศรัยอะไร

ไม่มีแนวโน้มเหมือนที่เราลุ้นว่าจะได้เห็น ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมมากขึ้นประมาณว่ายอมรับผูกพันกันฉันพ่อ-ลูก กระทั่งตัวละครปู่ซ่าCésar Luciani ยังถามพระเอกในฉากหนึ่งเหมือนรู้ใจคนดูว่า ที่เขายอมทำๆมาไม่คิดไม่อะไรเลยหรือ? (เดาว่า ปู่อาจเริ่มรู้สึกผูกพันแลเอ็นดูที่อยู่มานานแต่ไม่กล้าแสดงออก แต่ไหงเด็กหนุ่มถึงยังมองความสัมพันธ์เป็นนายกับบ่าวเช่นเดิม)

คำตอบสุดท้ายอยู่ในฉากสำคัญที่จัดได้ว่า สะเทือนใจที่สุดในหนัง เมื่อคนที่เคยมีที่ยืนที่มั่นคงที่สุด ค่อยๆไร้ที่ืยืน ครั้นกวักมือเรียกที่พึ่งเดียวที่ตัวเองเริ่มให้ความสำคัญและน่าจะมีความผูกพันเพิ่มมากกว่าขี้ข้ารับใช้ แต่ การกวักมือเรียกครั้งนั้น กลับไม่ได้รับการตอบสนองกลับจากอีกฝ่าย


... เราจะได้เห็นพัฒนาการของพระเอกที่เริ่มต้นจากศูนย์ เป็นคนไม่มีอะไร ไร้ความรู้ ไร้ญาติพี่น้อง แต่อุปสรรคที่ผ่านเข้ามาทำให้เขาเก็บเล็กผสมน้อย เรียนรู้จากคนรอบข้าง พยายามเอาตัวรอด โดยอาศัย’ ความเป็นคนธรรมดาๆ’

แม้หลายครั้งหลายหนสิ่งที่ทำก็ไม่ใช่ สิ่งที่ถูกที่ควร แต่ หนังทำให้เห็นว่านั่นก็คือ ชีวิตจริงของมนุษย์ ที่หลายหนก็ไม่ได้มีทางเลือกในชีวิตที่สวยหรู

จะว่าไปแล้ว กระบวนการตามติดชีวิต Malik ร่ำๆจะเป็น coming of age ของคนคุก ที่ชีวิตไร้ที่ยืนในคุก ผ่านทั้งเรื่องร้าย เรื่องดี แต่ถึงที่สุด เขาก็สามารถสร้าง ชีวิตใหม่ที่มีตัวตนชัดเจนกว่าเก่า มีที่ยืนที่มั่นคง ที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปจากเดิม

ดูจบแล้วคิดเล่นๆว่า ถ้า Malik ไปติดคุกเดียวกับใน Prison break เขาคงได้ออกจากคุกเร็วขึ้น หรือไปติดคุกเดียวกับใน Shawshank เขาอาจกลายเป็นพระเอกคนดีที่มีศีลธรรมมากกว่าที่เป็นอยู่


สรุป ... หนังดี ชอบประมาณหนึ่งแต่ไม่โดนใจมากนัก และ ไม่ได้รู้สึกว่ามันดี’ขนาดนั้น’ ถ้าเทียบกับอีกเรื่องที่ดู โดนกับ Dogtooth มากกว่าเยอะ

แถมด้วย 3 ประสบการณ์นอกจอ

1.ระหว่างรอจ่ายเงิน พนง.ขายตั๋วคนหนึ่ง เดินมาบอกพนง.ที่ขายข้าพเจ้าอยู่ว่า'เฮ้ยหนังแบบนี้ตรวจบัตรด้วยนะ แต่อย่างพี่เค้าดูหน้าก็พอไม่ต้องขอบัตร' (เอิ่ม..)

2. สิบนาทีแรกของ A Prophet ไร้เสียงใดๆออกมา ก็เข้าใจว่าผิดพลาดทางเทคนิคได้ แต่ไม่น่าปล่อยอยู่นานโดยไม่มีคนมาบอกอะไรเลยปล่อยฝรั่งบ่นกันขรม แถมฝรั่งข้างๆก็กด BB ให้แสงแยงตาอยู่เป็นระยะๆที่หนังฉาย (แสดงให้เห็นว่า มารยาทแย่ๆไม่เลือกชนชาติ )


3. ตอนดู Dogtooth พอถึงฉากxx มีเสียงผู้ชายคุยกันเสียงดัง ประมาณว่า"กรูว่าแล้วทำไมคนดูเยอะ ฉากแบบนี้นี่เอง,ว้า มีฉากเดียวเอง ฯลฯ" คนในโรงส่งเสียงชู่วววก็แล้ว หันมามองก็แล้วไม่เจอต้นเสียง จนรู้ในกระทู้พันทิปว่า ต้นเสียงมาจากห้องฉายหนัง เอิ่ม..

ป.ล. จขบ. มี Twitter แล้วเน้อในชื่อ //twitter.com/ibehindu มีกรอบข้อความอยู่ด้านขวาของบล็อกนี้ สนใจ อัพเดตหนัง อัพเดทบทความ หรือเรื่องทั่วๆไป แบบเร็วทันใจ ก็ตามfollowไปด้วยกันกับทวิตเตอร์ได้เล้ยยย








Create Date :27 กันยายน 2552 Last Update :27 กันยายน 2552 23:13:37 น. Counter : Pageviews. Comments :5