bloggang.com mainmenu search


... ผมต้องออกตัวก่อนเขียนเกี่ยวกับบอนด์ทุกครั้งว่า ผมไม่ใช่แฟนหนังที่ชอบหนังบอนด์ คือ หยิบบอนด์ตอนเก่าๆมาดูทีไรก็ไม่ใคร่สนุกตามเท่าไหร่นัก , บอนด์ที่ใครๆสนุกกันสุดแบบ GoldenEye ผมก็รู้สึกเว่อร์เกินสนุก ,บอนด์ที่คนชมชอบกันอย่าง เพียซ บรอสแน่น ผมก็ไม่นิยมเพราะชอบ บอนด์แบบ คอนเนอรี่ หรือ ทิโมธี ดัลตั้น มากกว่า

เอกลักษณ์ของ บอนด์ บ้าสาว พราวอาวุธอุปกรณ์ไฮเทค ขับรถราคาแพง ทั้งหลายทั้งปวงนั้นผมชอบ แต่ที่ดูหนังบอนด์แล้วไม่สนุกเพราะ หนังบอนด์มักจะมีรูปแบบหรือสไตล์ที่ซ้ำๆกันเกินไปจนเหมือนเข้าไปดู เหล้าเก่าในขวดใหม่ และ บังเอิญว่า เหล้าเก่านั้นก็ไม่ได้ถูกปากมากมายนัก

ยิ่งมาเป็นบอนด์ ยุคเพียซ บรอสแน่น ยิ่งไม่สนุก เพราะ บอนด์คนนี้ชวนเชื่อถือในแง่ที่พิชิตใจสาวเก่ง มากกว่าจะชวนเชื่อว่า เป็นสายลับที่เก่งพิชิตเหล่าร้ายได้ ยิ่งพล็อตขยายความเว่อร์ไปเป็นรถล่องหนบนถนนน้ำแข็ง ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยสนุกตาม เพราะเริ่มเห็นแววบอนด์ว่าจะเป็น ซูเปอร์ฮีโร่ เสียมากกว่า


... ครั้นได้ยินว่า จะมีการปฏิวัติบอนด์ใหม่ ใน Casino royale ทำให้ผมสนใจใคร่อยากดูเป็นพิเศษ ยิ่งผู้สร้างใจถึงไปดึงนักแสดงที่ไม่ได้หล่อเหลาเหมือนคนก่อน อย่างแดเนี่ยล เคร้ก จนเกิดกระแสต่อต้านรุนแรง ยิ่งอยากดูเข้าไปใหญ่

บอนด์ใน Casino royale ไม่ได้เป็น เฮียเครียดแบบหดหู่เกินเหตุแบบ ทิโมธี ดัลตั้น แต่ก็ยังไม่ได้ไต่ระดับเป็นสิงห์สำอางประมาณ คอนเนอรี่ และ โรเจอร์ มัวร์

บอนด์เคร้ก คือ บอนด์ สายลับน้องใหม่ ใจร้อน มุทะลุ ดิบ เถื่อน และ ยังอ่อนไหวกับความรัก

ตัวหนังประสบความสำเร็จในการฉีก บอนด์ ให้ต่างไปจากเดิม แดเนี่ยล เคร็ก ชนะใจคนดู หนังทำให้แฟนเก่าๆอาจขัดใจบ้างแต่ก็ยังยอมรับได้ ประการสำคัญ การสร้างปมในใจให้บอนด์ถือว่าน่าสนใจ เพราะทุกสิ่งที่หนังภาคนี้ผูกเอาไว้ สามารถอธิบายได้ในอนาคตว่า เพราะอะไร บอนด์จึงกลายเป็น สายลับที่ใช้ผู้หญิงทิ้งราวกระดาษทิชชู่ และ เป็นที่ไว้วางใจในการปฏิบัติงานเสมอมา




... Quantum of Solace เป็นหนังที่สมควรดูต่อเนื่องจาก Casino royale ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน และ ผมยังคิดว่า ถ้าเอามาฉายดูติดๆกันไปเลย คนดูจะอินไปตามอารมณ์ระห่ำเพราะแค้นของบอนด์ มากกว่าที่ไปดูในโรงหลังจากหลงๆลืมๆเรื่องราวในภาคก่อนไปเยอะแล้ว

เข้าใจว่า นี่น่าจะเป็น ตอนแรกที่ บอนด์ ดำเนินเรื่องต่อเนื่องเสมือนภาคต่อ เพราะ ที่ผ่านๆมา ถ้าจะมีความต่อเนื่องก็อาจเป็นที่ตัวละคร เช่น ตัวร้ายตัวเดิม หรือ มีความเกี่ยวพันกัน

แต่ งวดนี้ เป็น การดำเนินเรื่องแบบ พล็อตเรื่องมีความต่อเนื่องกัน แถม timeline ก็ต่อมาจากภาคก่อน ที่ผมเข้าใจว่า ห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง หลังจากไปยิง มิสเตอร์ไวท์ที่ขา แล้วพาขึ้นรถมาในสภาพบาดเจ็บ

เป็นหนังภาคต่อที่เหมือนหนังเรื่องเดียวกัน แบบ LOTR หรือ Kill Bill ที่ฉายต่างช่วงเวลา โดยที่ช่วงเวลาในหนังแทบจะตามต่อกันเสมือนหนังเรื่องเดียว

ดังนั้น ต่อให้บอนด์มาครบทุกภาค แต่ หากไม่ได้ดู Casino royale มีแนวโน้มที่จะงง สับสนว่าใครเป็นใคร และ ไม่อินไปกับพฤติกรรมหรืออารมณ์ของเฮียบอนด์ ยิ่งตัวหนังภาคนี้ ไม่มีการปูอดีตอะไรให้มากความ ดำเนินเรื่องต่อเนื่องจากภาคก่อนแบบติดๆกันเลย




...มาร์ก ฟอสเตอร์ ได้รับมอบหมายให้มาสานต่อ บอนด์เวอร์ชั่น สายลับมือใหม่ เขาเป็นผกก. ที่ผมชื่นชอบฝีมือมากๆในตอนที่เขาทำหนังที่ดูแล้วอิ่มอุ่นหัวใจเหลือเกินอย่าง Finding neverland และที่ผ่านมาเขาก็หมั่นสร้างผลงานเครียดๆมาตลอดเช่น Monster's Ball , The Kite Runner

มาร์ก ฟอสเตอร์ ยังเป็นผู้กำกับที่น่าสนใจ ตรงที่ขยันสร้างความหลากหลายให้กับตัวเองไม่ว่าจะเป็น

Stay - หนังที่กึ่งๆ Surreal เป็นเหมือนหนังฝึกหัดสำหรับคนที่อยากจะดูหนังของ เดวิด ลินช์ ให้รู้เรื่อง อันว่าด้วย ชีวิตของตัวละครที่เกิดในโลกอีกใบที่เขารู้สึกว่า มันมีอะไรต่างไปจากเดิม ก่อนที่ความลับจะมาเฉลยในตอนท้ายให้คนดูต้องอยากย้อนไปตามเก็บสิ่งที่หนังทิ้งร่องรอยไว้อกครั้ง

หรือ

Stranger Than Fiction - หนังที่ให้ตัวละครในนิยาย จู่ก็เกิดคิดขึ้นมาเองได้ว่า ไม่อยากมีชีวิตตามที่ผู้เขียนกำหนดให้อีกแล้ว เป็น หนังที่พล็อตหนังเลิศล้ำสร้างสรรค์อีกเรื่องของปีที่ผ่านมา


จุดเด่นอีกข้อของ มาร์ค ฟอร์สเตอร์ คือ เขาสามารถคุมดาราใหญ่ให้มารวมกันในหนังโดยไม่ให้ใครเด่นกลบใคร และ สามารถดึงฝีมือการแสดงของกลุ่มนักแสดงให้เล่นออกมาเป็นทีมเดียวกันได้ดี

ดังนั้น การเลือก มาร์ค ฟอร์สเตอร์ มาทำหนังบอนด์ คงเกิดจากผู้สร้างเล็งเห็นว่าเขามีแววว่าน่าจะใส่มิติให้ตัวละครได้ดี จึงถูกเลือกมาสานต่องานในภาคนี้ เมื่อพิจารณาจากพล็อตหนังที่วางไว้ที่เน้น มิติทางลึกในจิตใจของตัวละคร มากไปกว่า ความยิ่งใหญ่ของวายร้ายที่ต้องรับมือ




... Quantum of Solace มีความเป็น ภาคขยายต่อจากภาคที่แล้ว มากกว่าจะเป็นหนังภาคใหม่

เป็นภาคขยายที่สร้างขึ้นมาสำหรับการสะสางความรู้สึกที่อยู่ในใจของบอนด์ ไม่ว่าจะเป็น ความโกรธจากความคิดว่าถูกคนที่รักสุดหัวใจหักหลัง ความแค้นที่อยากเอาคืน บวกกับ เป็นการเปิดตัวหน่วยงานที่มีแววจะเป็น องค์กรใหญ่ เหมือน องค์กรชุดดำในการ์ตูน โคนัน ที่พร้อมจะมีอะไรให้เล่นต่อไปอีกซัก สองร้อยกว่าภาค หากคิดจะสร้างต่อไปเรื่อยๆ

หนังภาคนี้สำหรับผม จึงเป็นเหมือน สะพาน ที่จะเปิดศักราชไปสู่บอนด์เวอร์ชั่นบ้าอุปกรณ์สาวหลงอย่างที่เราๆคุ้นเคย




...หนังมีฉากที่ดีมาก หลายๆฉาก เช่น ฉากเปิดเรื่องขับรถสุดมันส์ (ที่ขยันตัดต่อเร็วๆเคลื่อนกล้องเร็วๆทำคนแก่ๆเวียนหัวไปหน่อย) , ฉากเผชิญหน้าในงานชมอุปรากรสุดเท่ ที่เล่นกับดนตรีประกอบตามด้วยความเงียบยามเผชิญหน้า แล้วตัดสลับละครบนเวทีกับฉากแอคชั่น (คิดถึง The Godfather ขึ้นมาซะงั้น) หรือ ฉากที่บอนด์สนทนากับแมธธิสบนเครื่องบินสื่อสารความเจ็บปวดแบบแมนๆที่ไม่พูดให้มากความ

อีกทั้งหนังยังทำให้ ตัวละคร ดูสามารถจับต้องเป็นมนุษย์มนามากยิ่งขึ้น ผ่านฉากบางฉากที่ดูง่ายๆแต่ก็เชื่อว่า ไม่บ่อยนักที่จะเห็น M มานั่งผัดหน้าเช็ดเครื่องสำอางไปคุยไป คือประกอบกิจวัตรเหมือนคนธรรมดาๆบ้าง มิใช่ตัวละครจะโผล่มาเท่กันอย่างเดียว

แต่

ฉากที่ดีมากๆ หลายฉากนั้น ยังไม่สามารถมาประกอบรวมกันแล้วกลมกล่อมคือ ไม่ลงตัวเป็นเนื้อเดียวกัน ดูเป็นฉากแยกๆจะรู้สึกทึ่งมากกว่า(ลองนึกถึงตอนดูหนังตัวอย่างที่ อู้วว้าววว แต่มาอยู่ในหนังใหญ่ไม่ได้อารมณ์ขนาดนั้น) ซึ่งต้องโยนความรับผิดชอบไปให้ ตัวผู้กำกับเอง และ ถ้าสังเกตจากงานก่อนๆของ มาร์ค ฟอร์สเตอร์

ปัญหาอารมณ์หนังไม่ถึงที่สุดมีอยู่เรื่อยๆ ประมาณดูแล้วเรารู้สึกว่า มันน่าจะอื้อหือ มันน่าจะอีกนิดนึงจะเจ๋งมาก หรือไม่ก็ Stay ที่ไอเดียอะไรก็ดีแต่มันยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่

และที่แสดงออกชัดเจนผลงานเรื่องหลังสุดของเขาอย่าง The Kite Runner ที่ผมรู้สึกอารมณ์ประมาณนี้เหมือนกัน คือ หนังดีถึงดีมาก แต่ผกก.เล่าเรื่องได้เรื่อยๆเนือยเกินไปแบบไม่จำเป็น หนังสามารถที่จะสนุกหรือลึกซึ้งได้มากกว่านี้


... นั่นทำให้ Quantum of Solaceเป็น หนังแอคชั่นที่ดีมากอีกเรื่องหนึ่งเมื่อเทียบกับมาตรฐาน หนังแอคชั่นทั่วๆไป แต่ถ้าเอาไปเทียบกับ Casino royale ภาคนี้ยังมีความด้อยกว่า โดยเฉพาะปัญหาที่ผมเสียดายเอามากๆที่ผมว่าไว้ คือ หนังภาคนี้ไม่สามารถเร้าอารมณ์คนดูในช่วงท้าย แต่เหมือน ค่อยๆแผ่วปลายไปจนจบ

ฉากปิดท้ายที่โรงแรมดูตูมตามแต่ไม่ค่อยตื่นเต้น และ หนัง พาคนดูไปไม่ถึงพีคทั้งๆที่ หนังตั้งท่าให้ความคาดหวังจากตอนต้นมาเสียดิบดี



... จะไม่พูดถึง สาวบอนด์ ก็คงจะไม่ครบรส เพราะ นี่เป็นปัจจัยที่ดีที่สุดที่ปรากฏในบอนด์ยุค แดเนี่ยล เคร็ก คือ การคัดเลือกนักแสดงที่น่าจดจำและมีคาแรคเตอร์ที่ไม่ดูนุ่มนิ่มอย่างนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์สุดอึ๋มของ เดนนิส ริชาร์ด

แน่นอนว่า เอวา กรีน ขึ้นหิ้งไปแล้วสำหรับการติดกลุ่ม สาวบอนด์ยอดเยี่ยม ส่วน โอลก้า คูรีเรนโก้ ที่มาในภาคนี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่ามาตรฐานสาวบอนด์แต่อย่างใด(จะติดก็ตรงที่ผมเริ่มเฝือๆกับเธอแล้ว จากที่นั่งดูเธอรับบทคล้ายๆกันสามเรื่องติดในปีเดียว คือ เลือกมาเป็น สาวคนรักของนักฆ่า จาก Hitman และ MaxPayne)

เพียงแต่ว่า คาแรคเตอร์ของโอลก้า เป็น สาวบอนด์ที่ถูกเขียนบทมาน่าสนใจ อยู่ตรงที่เป็น สาวบอนด์ที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อรองรับเรื่องเพศ ไม่ต้องขึ้นเตียง แถมจูบเสร็จแล้วชิ่งหนี เธอเป็นเหมือนเพื่อนร่วมชะตากรรมที่มาแบ่งปันความโกรธแค้น และ ช่วยให้บอนด์เติบโตยิ่งขึ้น



จะว่าไปแล้ว ผมกลับชอบ Gemma Arterton เสียมากกว่า และ อยากให้มามีบทบาทเยอะๆ เพราะถึงเธอจะออกมาไม่นาน แต่ ดูสวยและร้ายแบบน่ารักดี ดูเคมีก็น่าจะเข้ากับ เคร็ก ได้ไม่เลวเลย

มาติเยอ อมัลริค ผู้มารับบทเป็นตัวร้ายในภาคนี้ จัดได้ว่าเป็นตัวร้ายที่ดีมากๆ ถ้าบทหนังจะหาอะไรให้เล่นมากกว่านี้ ฝีมือไม่เป็นปัญหา ตัวผมเองยังติดตาฝีไม้ลายมือของเขาจากตอนที่รับบทอัมพาตในหนัง ชุดประดาน้ำกับผีเสื้อ(The Diving Bell and the Butterfly) ชนิดที่ ทำให้ มองตาในหนังเรื่องนี้ทีไร ก็มีภาพของ ฌอง โบบี้ ในหนังเรื่องนั้นผุดตามมาตลอด




.. ประเด็นเด็ดๆที่ ทั้งนักวิจารณ์นอกและในบ้านเรา รวมไปถึงคอหนังทั่วๆไป ถกกันอย่างเมามันส์หลังดูหนังจบว่า บอนด์ในภาคนี้ละม้ายน้องบอร์น จนเกินไป และ มันจะเป็น หนังบอนด์ อยู่อีกหรือ บ้างก็ว่า บอนด์ ภาคนี้ทิ้งความเป็นบอนด์ไปเสียหมดจนสิ้นเสน่ห์

ตกลงมันจะ บอนด์ หรือ ไม่บอนด์ ?


ประเด็น บอนด์ หรือ ไม่บอนด์ ? ผมคิดว่า ต้องมาถกกันยาวเพื่อสาวความเข้าใจใน ความเป็นบอนด์ ให้ตรงกันว่า ความเป็นบอนด์ ที่แต่ละคนคุ้นเคย ยึดเอาต้นแบบมาจากใคร จาก เพียซ บรอสแนน หรือ จาก โรเจอร์ มัวร์ หรือ จากนิยาย

เพราะสำหรับผม เคยอ่านหนังสืออยู่หนึ่งตอน ผมก็มองว่า บอนด์ของบรอสแนน ดูมี ความเป็นบอนด์ ห่างจากนิยายอยู่หลายขุม บอนด์ของเคร้กยังดูจะเข้าเค้ากว่า

ดังนั้น เถียงกันให้ตายก็คงไม่จบถึง 'ความเป็นบอนด์' หากจูนไม่ตรงกัน


...ความเป็นบอนด์ ที่ผมมองว่าสำคัญกลับเป็น ในส่วนเปลือกนอกเช่น แต่งกายดี , มี gadget หรืออุปกรณ์ไฮเทคเก๋ๆ , ใช้รถเท่ๆ กับ มีสาวๆมาเกี่ยวพัน เก่งอาจและมีอารมณ์ขัน ซึ่งมันอาจจะดูไม่ลึกซึ้งไม่สำคัญ แต่ ผมคิดว่าพึงต้องมี เพราะเอกลักษณ์ผิวเผินที่ว่ามานี้สามารถใช้แยก บอนด์ ออกจากหนัง สายลับทั่วๆไป

ส่วน ในแง่ บุคลิกนิสัย จะขี้หลี กรุ้มกริ่ม ขี้โมโห หน้าหงิกหน้างอหน้าเหี่ยวหน้าย่น อันนี้ ผมมองว่า ขึ้นกับผู้กำกับจะตีความว่า จะอ้างอิงเอาจากใคร


... สำหรับผมแล้ว Quantum of Solace ไม่ได้สูญเสีย ความเป็นบอนด์ ไปเลยแม้แต่น้อย

เพียงแต่ ต้องไม่ลืมว่า หนังภาคนี้เป็นเหมือนปฐมบท ที่จะเปิดตัว บอนด์ ดังนั้น ภาวะดิบห่าม ไร้ความทันสมัย เป็นสิ่งที่เข้าใจและยอมรับได้ การที่ยังไม่สั่งเครื่องดื่มที่คุ้นเคย ยังไม่มีประโยคที่คุ้นหู ไม่มีฉาก gun barrel sequence ที่คุ้นตา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากมองที่เจตนาของหนัง

บวกกับ การแสดงของ แดเนี่ยล เคร้ก มีหลายจุดที่เราจะสามารถจูนไปกับภาพของ ฌอน คอนเนอรี่ ติด คือ ดูแล้วพอเชื่อได้ว่า บอนด์เคร็ก กับ บอนด์คอน เป็นคนเดียวๆกันที่ต่างกันที่วัยวุฒิ

และ เสน่ห์ของหนังบอนด์ ก็ไม่ได้ถูกทอดทิ้ง หนังเริ่มต้นใส่อุปกรณ์ทันสมัยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่นภาคนี้มีระบบที่ ใช้นิ้วเลื่อนๆดูเท่ดี น้องๆระบบของ Minority Report หรือ ฉากนอนตายในคราบน้ำมันที่ถอดแบบการตายในคราบสีทอง แสดงออกถึงยังคงเคารพต้นฉบับ Goldfinger และเคร็กก็เริ่มหว่านเสน่ห์ออกมาให้เห็นบ้างแล้ว

เพียงแค่ ต้องเข้าใจด้วยว่า ภาคนี้เป็นตอนต่อเนื่องจากภาคก่อนไม่กี่ชั่วโมง ไม่ใช่ ตอนเอกเทศที่แยกมาต่างหาก ดังนั้น อารมณ์บุ่มบ่ามห่ามมุทะลุก็ควรไม่ต่างจากภาคก่อนให้มากเกินไป

แต่เอาเป็นว่า ถ้าภาคหน้า บอนด์ยังคงย่ำอยู่กับที่โดยไม่มีพัฒนาการ ผมเองคงจะร่วมผิดหวังไปด้วยอีกคน เพราะผมเองก็เชื่อว่า ภาคหน้า คนดูคงไม่อยากดูที่มาของ สายลับมือใหม่แล้ว แต่อยากดูปฏิบัติการงานจริงมากกว่า และ อยากดูว่า เมื่อเข้าโหมดสุขุมนิ่งหลี แดเนียล เคร็ก จะเชื่อมบุคลิกห่ามๆเข้าไปกับบุคลิกบอนด์ที่คนดูคุ้นเคยได้ดีแค่ไหน

ภาคหน้า จึงจัดได้ว่า เป็น บอนด์ภาคที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง



สรุป .. จะบอนด์หรือไม่บอนด์ ก็เป็นหนังแอคชั่นที่เท่และดูสนุก เมื่อเทียบกับหนังทั่วๆไป เป็นหนังบอนด์ที่ผมชอบมากกว่าของ เพียซ บรอสแน่น ทุกเรื่อง

ตัวหนังไม่ได้สนุกถึงขนาด ชวนดูซ้ำ แต่ เป็นหนังที่ดูจบ แล้วชวนให้อยากหยิบ Casino royale มาดูอีกรอบมากกว่า


ป.ล. บอนด์ มี โรงดิจิตอล สำหรับคอหนังที่ชอบภาพใส เสียงกิ๊ง และ คนที่ใช้ AIS ก็สามารถใช้ส่วนลดเหลือ 60 บาทได้เช่นกัน



ขอชวนเพื่อนๆมาร่วมสนุกชิงเสื้อสุดเก๋ หรือ อีกนัยหนึ่ง ขอความช่วยเหลือในการปฏิวัติ blog ครับผม ตามรายละเอียดที่นี่เลยครับ --> คลิก

และ

ชวนเพื่อนๆมาลองปฏิวัติ เจมส์ บอนด์ รูปแบบใหม่ ได้ที่นี่เลยครับ --> คลิก




Link ของ บทความที่อ้างอิงถึง และ เกี่ยวข้อง

007 : Casino Royale , นี่ซิ เจมส์ บอนด์

City of ember + Max payne , ภาวะศรัทธาหน้ามืด กับ ความเท่ที่มาช้าเกินไป

Hitman , ไม่ได้ถึงกับแย่ แต่ก็ไม่น่าจะ ฮิต

สุดยอด ห้ามพลาด ฉลาด สมจริง หนึ่งในหนังที่ดีที่สุดของปี








สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง ได้ที่ //vreview.yarisme.com




พื้นที่แนะนำผลงาน{ตัวเอง}

(คลิกที่รูปหนังสือ เพื่อ อ่าน หรือ แสดงความเห็น ต่อหนังสือแต่ละเล่มได้เลยครับ)

ปีนี้ “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ขอฝากผลงานเล่มล่าสุดที่เพิ่งคลอดจ้า อันว่าด้วย 'ความรักและกำลังใจ' ผ่านแรงบันดาลใจจากชีวิตและภาพยนตร์ ในหนังสือที่ชื่อว่า

เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป



และ ผลงานสองเล่มก่อน จากสองปีที่ผ่านมา



"หนังสือรัก" หนังสือที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม กับ องศาที่ 361 หนังสือที่อาสาช่วยคุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยอาศัย'หนัง'เป็นสะพานพาไปเข้าใจตัวเอง


มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป แต่ เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผม






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิกhtmlentities(' >')> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง




ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป
Create Date :10 พฤศจิกายน 2551 Last Update :11 พฤศจิกายน 2551 11:33:17 น. Counter : Pageviews. Comments :16