bloggang.com mainmenu search


Blog's talk


1. ระยะหลังๆมานี้ ผมติดซีรี่ส์งอมแงมครับ เรื่องที่จ่ออยู่ตอนนี้ก็ Fringe ผลงานของ คุณเจเจ ที่สร้าง Lost กับ Cloverfield ให้ฮือฮาไปทั่ว และเล็งๆ Ugly Betty หรือไม่ก็ Pushing daisies ต่อคิว

ทั้งๆที่แต่ก่อน ผมติดตามหนังซีรี่ส์ไม่มากนัก เพราะรู้จักตัวเองดีว่าเป็นพวกเสพติดง่ายและอดทนไม่เก่ง ดังนั้นถ้าเล็งเรื่องไหนไว้ ผมจะตั้งหน้าตั้งตารอ ให้ออกมาครบทั้งซีซั่นเสียก่อนเพื่อจะดูรวดเดียวจบในช่วงวันหยุดยาว แต่เดี๋ยวนี้ ไม่รอวันหยุดยาวแล้ว ว่างเป็นดู

ผมเคยเขียนถึงซีรี่ส์ แค่เรื่อง 24 ลงใน blog และ เขียนลงใน Filmax เป็นบทความชื่อ ซีรี่ส์-aholic ซึ่งจะนำมาสานต่อใน Blog ด้วยการคุยถึงซีรี่ส์ที่ได้ดูไป ไล่ไปเรื่อยๆ

ขอประเดิม บทความชุด ซีรี่ส์-aholic ใน blog ด้วย Grey’s anatomy ครับ

2. ผลงานลำดับที่สาม หรือ หนังสือเล่มล่าสุดของ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" เตรียมพบเพื่อนๆแล้วนะครับ เปิดตัวครั้งแรกในงานมหกรรมหนังสือ ที่ บูธ D12 สำนักพิมพ์ 4 Letter word ในโซน Plenary Hall

เจ้าของบล็อกหรือผู้เขียนนี่เอง จะไปพบปะเพื่อนๆและแจกลายเซ็น(หากท่านต้องการ) ใน วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม ช่วง บ่าย 3 - 4 โมงเย็น และ ถ้าหนังสือออกทัน วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม ก็จะไปนั่งแกร่วอยู่ที่บูธ เช่นเดียวกัน

แล้วพบกันครับ กับหนังสือเล่มล่าสุดที่ชื่อว่า






... ปีสองปีที่ผ่านมา ผมเลือกดูซีรี่ส์แค่เฉพาะช่วงวันหยุด ผมจึงมีโอกาสแบ่งเวลาไปเสพติดซีรี่ส์ได้แค่สามเรื่องต่อไปนี้

24 ... ซีรี่ย์ซึ่งดำเนินเรื่องแบบ real-time หนึ่งซีซั่น กินเวลา เท่ากับ หนึ่งวันอันหฤโหดของ แจ๊ค บาวเออร์ ที่ต้องรับมือกับ ภัยก่อการร้ายคุกคามประเทศชาติ อาทิเช่น ระเบิดนิวเคลียร์ , อาวุธเชื้อโรค ,แผนลอบสังหารประธานาธิบดี ฯลฯ จุดเด่นของ 24 คือ มีจุดหักมุมอยู่เป็นระยะๆ

คนดูจะต้องลุ้นว่าใครจะเป็นหนอนบ่อนไส้ใครจะเป็นคนดี ใครจะอยู่หรือใครจะตาย เพราะ 24 เป็นซีรี่ส์แอคชั่นเฉือนคมที่ไม่ปราณีปราศรัยตัวละคร เป็นซีรี่ส์ที่มีตอนจบแบบ Cliff-hanger ที่เจ๋งที่สุดเรื่องหนึ่ง

เคยเขียนถึง 24 ไปแล้วที่นี่htmlentities(' >')> 24 : ชีวิตบัดซบของ แจ๊ค บาวเออร์ + คู่มือเอาตัวรอดเมื่อคุณหลุดเข้าไปอยู่ใน 24


Prison break ... ซีรี่ย์โชว์การใช้สมองอันปราดเปรื่องแก้ปัญหาทีละเปลาะๆของ น้องชายผู้แสนดี ที่วางแผนเหนือชั้นด้วยการเอาตัวเองเข้าคุกเพื่อหาทางช่วยพี่ที่โดนโทษประหารให้แหกคุกออกมา เพราะเชื่อว่า พี่ชายตัวเองบริสุทธิ์ แต่เมื่อได้เข้าไปแล้วก็พบว่า แหกคุก ไม่ง่ายเหมือน แหกตา อุปสรรคต่างๆนานาบีบเข้ามาทดสอบปฏิภาณไหวพริบจนแทบจะเอาตัวไม่รอด

กำลังจะเขียนถึงเร็วๆนี้ เพราะไล่ดูจนตามถึงซีซั่น 4 แล้ว


Lost … นำเสนอเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่งที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกไปติดอยู่บนเกาะลึกลับ พวกเขาต้องผจญกับปรากฎการณ์ประหลาดที่หาคำอธิบายไม่ได้เช่น คนเป็นอัมพาตกลับมาเดินได้ , คนที่ตายแล้วมาช่วยเหลือ หรือ สัตว์ประหลาดที่ไม่เคยเห็นตัวตนมาหลอกหลอน ฯลฯ

ความสนุกนอกเหนือ ‘ความลับของเกาะ’ ที่ชวนให้ตีความได้หลายแง่ หนังยังทำได้ดีในการผูกปม ‘ความลับของแต่ละตัวละคร’ แล้วนำเสนอแบบ Flashback ทำให้เราได้เห็นว่า ชื่อหนัง Lost ไม่ได้แปลแค่ว่า การหลงทางมาอยู่บนเกาะ แต่สะท้อนถึง การใช้ชีวิตแบบหลงทางมามากมายของพวกเขา

เคยคิดว่าจะเขียนแต่หมดไฟไปก่อน ไว้รอแผ่นซีซั่น 4 ออกค่อยว่ากัน


... ผมตั้งใจไว้ว่าจะหยุดตัวเองไว้แค่สามเรื่องข้างต้น แต่แล้ว ผมก็พลาดท่ามาเสพติดซีรี่ย์อีกสองเรื่อง เรื่องแรก คือ

Grey’s anatomy





... เชื่อหรือไม่ว่า หากเราวัดความรักออกมาเป็นหน่วยเป็นยูนิต จะพบว่า สถานที่ที่ความรักลอยตัวอยู่หนาแน่นที่สุดคือ โรงพยาบาล เพราะเมื่อรู้ตัวว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต สิ่งที่เราแต่ละคนคิดคือ การให้อภัยและบอกรักบอกลา มากกว่า จะอาฆาตและเกลียดชัง

ดังนั้น แม้จะอบอวลไปด้วยบรรยากาศเศร้าซึมของภาวะเจ็บป่วย แต่เชื่อเถอะว่า หากลองเดินสำรวจทั่วๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนกเด็กแรกเกิด หรือ แผนกผู้ป่วยระยะสุดท้าย เราก็จะสัมผัสได้ถึงความห่วงใย ความปรารถนาดี และ ความรักที่กระจายอยู่รอบตัวเรา

ด้วยเหตุนี้ หลายตอนใน Grey’s anatomy จึงสำรวจหลากหลายแง่มุมของความรัก ผ่านสถานการณ์วิกฤติในโรงพยาบาล อาทิเช่น

... มีหลายตอนซึ้งๆที่ทำเอาผมน้ำตาซึม เช่น ตอนบอกรักครั้งสุดท้ายของหญิงสาวที่ถูกเลือกให้ต้องเสียชีวิต เพราะ สถานการณ์บังคับให้หมอสามารถช่วยคนไข้ตรงหน้าได้แค่คนเดียว ด้วยเหตุที่ว่า เธอกับชายอีกคนถูกเสาเสียบทะลุร่างติดอยู่ด้วยกัน อาการของเธอสาหัสเกินกว่าจะช่วยเหลือ

การช่วยเธออาจทำให้ต้องตายคู่ แต่ถ้าเลือกช่วยอีกคนจะมีโอกาสอยู่รอดมากกว่า เธอทำได้เพียงส่งคำสั่งเสียสุดท้าย ให้หมอมาบอกคนรักของเธอว่า

“if love were enough , that she’d still be here with you”




... หรือจะเป็น ตอนที่หมอสาวผู้ทนทุกข์กับการมีแม่ที่ป่วยเป็นสมองเสื่อมแล้วจำเธอไม่ได้ เธอจึงพยายามโน้มน้าวภรรยาคนไข้ ไม่ให้ผ่าตัดสมองสามีที่ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อมจากมะเร็งที่เธอดูแล เพราะคิดแทนว่า

ถึงจะช่วยยืดอายุ แต่ ช่วงเวลาที่ยืดออกไปหากคนไข้ที่เป็นสามีสูญเสียความจำก็จะเป็นช่วงเวลาทุกข์ทนของตัวภรรยา

ภรรยาคนไข้แสดงท่าทีไม่ต้องการให้หมอมาคิดแทน และ ตอบกลับมาให้เธอฉุกคิดได้ว่าไม่จำเป็นที่การหลงลืมจะทำให้รักสิ้นสุดลง เพราะภรรยาคนไข้ตอบว่า

“ถึงยังไง ฉันก็จะผ่าตัด เพราะเป็นความต้องการของเขา แล้วถ้าจากนั้น เขาจะจำฉันไมได้ จำไม่ได้ว่าเราเคยเป็นยังไง เขาก็ยังเป็นสามีของฉัน และ ฉันจะเป็นคนจำเรื่องราวของเราสองคนไว้เอง”



...ยังมีอีกหลายๆตอนที่ ตัวละครในหนังได้เรียนรู้ชีวิตผ่านประสบการณ์ชีวิตของคนรอบข้าง เรียกได้ว่า ถึง Grey’s anatomy จะเป็นซีรีย์ที่วนเวียนอยู่กับเรื่องรักๆใคร่ๆของกลุ่มหมอหนุ่มสาวที่วิ่งไล่ความฝันของตัวเอง โดยเฉพาะซีซั่นสองกับสาม ที่ดูจะมั่วเลยเถิดไปซักนิด

แต่ หนังก็ไม่ใช่ละคร ‘สงครามคุณหมอ’ ที่แค่จับตัวละครมาใส่เสื้อกาวน์แล้วตบตีแย่งคู่ บทหนังทุกตอนแฝงข้อคิดในการดำเนินชีวิต และใส่ใจจะลงลึกถึงวิถีชีวิตของคนเป็นหมอ วิชาชีพที่เต็มไปด้วยทางเลือกของการตัดสินใจ ไม่ได้มีสูตรสำเร็จ และจำต้องใช้ศิลปะมาร่วมในการรักษาคน

... จุดเด่นที่ผมชอบอีกจุดในซีรี่ส์นี้คือ เสียงบรรยายจากตัวละคร ที่เกริ่นเริ่มต้นของแต่ละตอน เป็น เอกลักษณ์ที่โชว์ความเจ๋งของคนเขียนบท เพราะ ไม่ได้เป็นแค่คำโปรยที่นำคนดูไปสู่เรื่องราว หากแต่สอดแทรกแง่คิดดีๆอยู่มากมาย และ เมื่อตอนนั้นๆจบ เราก็จะเข้าใจว่า คำโปรย ตอนต้นสนับสนุนเนื้อหาในตอนนั้นได้ดีเพียงไร ก่อนจะมีคำพูดดีๆปิดท้ายอย่างสมบูรณ์


...Grey’s anatomy เป็นซีรี่ย์ที่พร้อมจะทำลายทำนบน้ำตาของคนดูด้วยเรื่องราวที่อบอุ่นอ่อนโยน และเพลงประกอบที่แสนจะไพเราะ แต่ละตอนช่างคัดสรรเพลงที่ช่วยขับเน้นอารมณ์ตัวละครได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองเหลือเกิน ชนิดที่ว่า ถ้าฟังเดี่ยวๆยังไม่เท่าไหร่ แต่พออยู่ในซีรี่ส์เมื่อใด ทำเอาปาดน้ำตาแทบไม่ทัน หนึ่งในนั้นที่เล่นงานผมได้คือ เพลง Breathe ของ Anna Nalick

ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่า คนเป็นหมอ หรือ คนเรียนหมอ ก็น่าจะหาหนังชุดนี้มาดูควบคู่กับการ์ตูนคุณหมอดีๆอย่าง Say hello to black jack และ คุณหมอกะโปโล เพราะ หนังไม่ได้เน้นไปที่ความเก่งกาจของคนเป็นหมอ แต่มีหลายตอนเหลือเกินที่จะสอนคนเป็นหมอให้เข้าถึงความรู้สึกของคนไข้

สื่อเหล่านี้เป็นเสมือนยาชั้นดีที่จะช่วยชะลอยับยั้งไม่ให้คนเป็นหมอ กลายเป็น หมอที่เก่งกาจ แต่ขาด ความเห็นอกเห็นใจ หรือ ไร้ซึ่งมนุษยธรรม

ว่าด้วยตัวละคร




ตัวละครนำชาย Dr. Derek Shepherd หรือ แม็คดรีมมี่ อาจารย์หมอชวนฝัน ทำให้ Patrick Dempsey มีคาแรคเตอร์พระเอกหนุ่มผู้อ่อนไหวแนบแน่นเหมือน กับ ฮิวจ์ แกรนต์ ที่มีภาพหนุ่มอังกฤษซื่อๆขำๆติดตัว



คาแรคเตอร์ที่ผมตกหลุมรักอย่างไม่มีเหตุผล คือ นางเอกของเรื่อง Dr. Meredith Grey ด้วยเสน่ห์บางอย่างที่ไม่อาจอธิบาย แต่ คาแรกเตอร์ที่น่าสนใจของซีรี่ส์คือ Dr. Cristina Yang ที่ถอดบุคลิกของ หมอหรือคนเก่งๆส่วนใหญ่มาได้ครบ



ไม่ว่าจะเป็นลักษณะบุคลิกแบบ Narcissistic คิดแต่จะเป็นที่หนึ่ง คิดถึงแต่เรื่องชัยชนะ และ ไม่ค่อยสนใจ ความรู้สึก ทั้งของตัวเองและคนรอบข้าง คอยเลี่ยงที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับ อารมณ์ เช่น ความสงสาร เศร้า เจ็บปวด เห็นอกเห็นใจ แต่ คนแบบนี้ ก็ใช่จะไร้ความรู้สึก นั่นทำให้ เวลา ที่ ความเจ็บปวดที่เลี่ยงไว้สะสม ถึงขีดสุด เวลาถึงคราวระเบิดหมอหยางจึงน่าสงสารอย่างมาก



ซึ่งตรงกันข้ามกับ Dr. Isobel 'Izzie' Stevens ตัวละครที่หนุ่มๆหลายคนชื่นชอบ รับบทโดย Katherine Heigl ที่กำลังแจ้งเกิดได้ในวงการหนังใหญ่ บุคลิกเธอตรงข้ามกับหมอหยางโดยสิ้นเชิง ด้วยความเป็นคน sentimental ค่อนข้างเซ้นซิถีฟต่อความรู้สึกของคนรอบข้าง



ตัวละครสุดท้ายที่ผมเริ่มมาชอบเอามากๆในซีซั่นสอง คือ Dr. Addison Montgomery ที่คนเขียนบททำให้เธอเป็นตัวละครที่มีมิติหลากหลายมาก

จากที่ทำให้เป็นเหมือนนางร้ายตัวแสบในท้ายซีซั่นแรก แต่พอเข้าซีซั่นสอง เธอค่อยๆเผยให้เห็นความอ่อนแอ ความโก๊ะ ความอ่อนไหว และ ทำให้เห็นว่า คนอย่างเธอ ไม่ได้ร้ายอย่างที่คิด เป็นคนเก่งที่ชวนให้ตกหลุมรักเอาง่ายๆเสียด้วยซ้ำ เสียดายที่ในซีซั่น 3 เธอแยกออกไปอยู่ในซีรี่ส์ spin-off เกี่ยวกับหมอๆอีกเรื่องที่ชื่อ Private Practice





สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง ได้ที่ //vreview.yarisme.com









ขอฝากหนังสือสองเล่มของ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ด้วยค้าบ "หนังสือรัก" หนังสือที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม ส่วน องศาที่ 361 คือ หนังสือจะช่วยให้คุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยอาศัย'หนัง'เป็นสะพานพาไปเข้าใจตัวเอง


เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผม




ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิกhtmlentities(' >')> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง




ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป

Create Date :08 ตุลาคม 2551 Last Update :8 ตุลาคม 2551 11:05:16 น. Counter : Pageviews. Comments :19