bloggang.com mainmenu search


...ออสการ์ปีนี้เป็นปีของการขับเคี่ยวระหว่างสองตัวเต็งที่มีความคล้ายคลึงกัน นั่นคือ เป็นหนังที่มีความหนักแน่น เป็นหนังแมนๆให้ผู้ชายเป็นตัวหลัก เปี่ยมไปด้วยความรุนแรง และ ยุ่งเกี่ยวกับความชั่วร้ายในจิตใจคน

No Country for Old Men ส่งตัวแทนความชั่วร้ายที่เหมือนเชื้อโรคอย่าง Anton Chigurhให้แพร่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ที่เขาเดินผ่าน สร้างสังคมให้คนต้องยอมรับว่าความชั่วร้ายมีอยู่จริง และ สิ่งที่เราต้องปรับตัวคือตามให้ทัน ไม่เอาตัวไปข้องเกี่ยว

ส่วน There will be blood จะค่อยๆเจาะลึกเปิดเปลือก ความชั่วร้ายของมนุษย์ ผ่านตัวละครนำสองคน คนหนึ่งใช้ ‘ศรัทธา’บังหน้ามาหากิน ส่วนอีกคนใช้ ‘ความเป็นครอบครัว’ เป็นอาวุธ เพื่อเดินทางไปให้ถึงเป้าหมาย


... เนื้อหาใน There will be blood เปิดฉากด้วยชีวิตของ Daniel Plainview เจ้าของกิจการขุดเจาะน้ำมันที่ทำเป็นอุตสาหกรรมตัวเองขนาดกลางไม่ได้เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ เขาบอกใครๆต่อใครว่ากิจการของเขาเป็นแบบครอบครัว เขาสร้างภาพครอบครัวให้ชัดเจนขึ้นด้วยการกระเตงลูกชายตัวน้อยติดสอยห้อยตามไปทุกสถานที่ Daniel เก่งในการใช้วาทศิลป์และประสบการณ์ล่อหลอก ขุดหลุมพราง หว่านล้อม เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง



วันหนึ่ง Paulเด็กหนุ่มจากแดนไกลเดินทางมาหา Daniel เพื่อยื่นข้อเสนอให้เขามาขุดน้ำมันในท้องถิ่นที่ Paul อาศัยอยู่

เมื่อ Daniel ไปถึงที่หมาย เขาไม่พบ Paul แต่กลับพบ Eli พี่น้องของPaulกับครอบครัว ที่เป็นคนเจรจาเรื่องที่ดิน

Eli ยื่นข้อต่อรองว่าจะขายที่ดินให้ Daniel ก็ต่อเมื่อเขาบริจาคเงินสร้างโบสถ์ และ ช่วยหาโอกาสสร้างสถานการณ์ให้ Eli ได้รับการยกย่องยอมรับจากชาวบ้าน

Daniel รับปากแต่กลับไม่ทำตามข้อตกลง

Eli ผิดหวังแต่เขาก็ยังคงใช้พิธีกรรมทางศาสนาเป็นเครื่องมือ โดยสถาปนาตัวเองประดุจผู้ไถ่บาปที่จะคอยชำระล้างความชั่วร้ายให้กับผู้คน ใช้ศาสนามาบ่มเพาะความงมงายของชาวบ้าน ยิ่งนานวัน ศรัทธา ที่ Eli ใช้ขาย ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยทักษะโน้มน้าวใจที่เขามีติดตัว

...แล้ววันหนึ่ง Eli ก็ได้โอกาสเอาคืน Daniel

เมื่อเกิดอุบัติเหตุในแท่นขุดเจาะทำให้คนงานเสียชีวิต Eli ใช้เหตุการณ์นี้โยงเข้าสู่การหลบหลู่ตัวเขากับพิธีกรรม และ เอาคืนอย่างสาสมเมื่อ หนึ่งในสาวกของ Eli ซึ้งเป็นเจ้าของที่ดินผืนสุดท้ายที่ Daniel ต้องการ ยื่นเงื่อนไขที่จะยอมขายที่ดินให้ก็ต่อเมื่อ Daniel มาทำพิธีชำระบาปในโบสถ์ที่ Daniel แทบจะไม่เคยย่างกรายเข้าไป



...ฉากชำระบาป ที่เกิดขึ้นตามมา จึงเหมือน win-win situation ของนักธุรกิจสองคนที่ไม่เคยมีศาสนาหรือศรัทธาแท้จริงในหัวใจ

Daniel ยอมให้ Eli ใช้เป็นบันไดใต่ให้คนยอมรับมากยิ่งขึ้นพร้อมกับแก้แค้น ส่วน Daniel เองก็คำนวณไว้แล้วว่าคุ้มค่าสำหรับการที่จะได้ครองครองผืนดินสุดท้ายที่ตัวเองต้องการ


...นั่นคือเรื่องราวของ คนสองคน ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย โดยมีความชั่วร้ายในจิตใจ เป็นแรงขับเคลื่อน การกระทำของทั้งคู่สามารถประยุกต์เข้ากับทฤษฎีทางจิตวิทยาที่อธิบายได้ว่า

ถ้าเราทำอะไรตาม หลักความเป็นจริงมีสำนึกผิดชอบชั่วดี(Reality principle) ความรุนแรงในจิตใต้สำนึกก็สามารถเปลี่ยนไป(sublime) เป็น ความทะเยอทยานหรือความขยันบากบั่น ในทางที่ถูก แต่ ถ้าเราทำอะไรตามหลักความพอใจตัวเองเป็นใหญ่(Pleasure principle) ความรุนแรงก็จะระบายออกมาตรงๆ(acting out)โดยไม่แปรรูป เช่น

Eli ออกลายก้าวร้าวรุนแรง ทำร้ายคนในครอบครัว เมื่อเห็นว่าคนในครอบครัวตัดสินใจผิดๆไม่ได้ดั่งใจ เช่นเดียวกับ Daniel พอรู้ว่าลูกชายหมดความสามารถที่จะช่วยเหลือเขาก็เฉดหัวลูกชายไปที่อื่น และ ทวีความรุนแรงไปถึงกับการทำร้ายทุบตีคนอื่น ถึงที่สุดที่การฆ่าคน



...ดังนั้น เมื่อเวลาในหนังเดินหน้าไปเรื่อยๆ ก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปมอง ภาพพ่อที่เป็นห่วงลูกตอนแท่นเจาะระเบิด และ ท่าทีเอ็นดูตั้งแต่เล็ก ว่าแท้จริงเป็นเพราะ รักลูก หรือ เป็นเพียงห่วงสินค้าที่ช่วยเพิ่มราคาให้ตัวเอง จึงต้องดูแลประคบประหงมให้ดี


...Daniel กับ Eli ล้วนเหมือนๆกันคือ ไม่เคยมอง'คน'เป็นคน แต่ใช้'คน'เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และทำทุกอย่างได้โดยไม่รู้สึกผิด ขาดจิตสำนึกที่จะรับรู้ความผิดชอบชั่วดี

... ด้วยเหตุนี้ ฉากเอาคืนทั้งสองฉาก (ในโบสถ์/ในบ้าน) นอกจากจะเป็น ฉากที่น่าจดจำและแสดงความชั่วร้ายในก้นบึ้งจิตใจของคนได้อย่างน่ากลัว ยังเป็น เพียงสองฉากสำคัญที่เราจะได้เห็น Daniel กับ Eli ถูกสะกิดที่ต่อมมโนธรรมหรือสำนึกผิดชอบชั่วดี (Superego)

เพราะถึงแม้จะเป็นการถูกบังคับให้พูด แต่ มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวที่ทั้งสองคนจะได้เฉียดใกล้ ความถูกผิด ผ่านเสียงตัวเองว่า "ข้าทอดทิ้งลูกชาย ข้าคือคนบาป" กับ "ข้าหลอกลวง พระเจ้าที่ข้าใช้อ้างคือความงมงาย" ซึ่งมันคือ ความผิดที่พวกเขาได้กระทำจริงๆ


หนังทิ้งเรื่องราวของ Eli ไปพักใหญ่ๆ เปิดโอกาสให้เรารู้จัก Daniel ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

... คนที่บรรยายตัว Daniel ได้ดีที่สุด คือตัวเขาเองตอนพูดถึงตัวเองให้น้องชายฟัง ถึง ความที่ตัวเองเป็นคนชอบแข่งขัน เกลียดคนที่สามารถแย่งไปถึงเป้าหมาย และ เต็มไปด้วยความเกลียดชังมนุษย์รอบข้าง

ภาพที่เขาบรรยายตัวเอง จะช่วยให้เราเข้าใจ ว่าเหตุผลที่ เขานิยมทำธุรกิจเล็กๆรวบรัดจัดการเพียงผู้เดียว นั่นก็มาจาก เพราะความไม่ไว้วางใจใคร และ คิดถึงแต่ตัวเองเป็นใหญ่

ซึ่งยิ่งเวลาผ่านไป ความชั่วร้ายในตัวเขาก็ค่อยๆเผยตัวตนออกมา และ เริ่มแสดงลักษณะบุคลิกภาพผิดปกติแบบ Narcissistic ชัดเจนขึ้น นั่นคือ ความลุ่มหลงในตัวเองสูง ขาดความผูกพันกับคนอื่น หลอกใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ตัวเอง และ คนประเภทนี้มักจะอ่อนไหวมีปฏิกิริยารุนแรงต่อคำพูดเชิงดูถูกหรือไม่ให้เกียรติ

ตัวอย่างที่เราเห็นคือ ปฏิกิริยาโต้ตอบรุนแรงผิดปกติวิสัยคนธรรมดา ตอนนักธุรกิจเอ่ยถึง การเลี้ยงลูกของเขา เขารู้สึกว่าตัวเองถูกหยาม ซึ่งในความเป็นจริงคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกแม้แต่น้อย หลังจากวันนั้น เขารับลูกกลับมาทันทีแล้วแสดงภาพพ่อให้คนอื่นๆได้เห็น ทั้งที่ผ่านมาไม่มีวี่แววว่าเขาจะไปรับลูกกลับมา

เหตุการณ์นี้ยิ่งช่วยยืนยันว่า ลูก ไม่ได้มีความหมายสำหรับ Daniel ในฐานะ ลูก แต่เป็นแค่ เครื่องมือ ที่ใช้ทำมาหากิน และ เป็นตัวพิสูจน์ คุณค่ากับความสามารถ ของตัว Daniel


...กระนั้นก็ดี ลูก ก็ยังเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ Daniel หลงเหลือ ความเป็นคน เป็นตัวแทนของ สามัญสำนึก สังเกตได้จาก ตั้งแต่ต้นจนจบ ช่วงเวลาที่มีลูกอยู่ด้วย เขายังคุมอารมณ์คุมสัญชาติญานดิบตัวเองได้ แต่ ช่วงเวลาที่ไม่มีลูก คือ ช่วงเวลาที่เขาฆ่าคนตายทั้งสองครั้ง



... เมื่อหนังใกล้ปิดฉาก หากเราลองมองย้อนตั้งแต่ต้นเรื่องมาถึงตอนวัยชราของDaniel สิ่งที่น่าสนใจคือเราจะพบว่า เขาไม่มีคู่รักหรือเพื่อนสนิทเคียงข้างเลยไม่ว่าจะเป็นเพศใด ยิ่งบวกกับการบรรยายว่าตัวเอง เกลียดชังผู้คน มันแสดงถึงปัญหาในระดับพัฒนาการพื้นฐานของการสร้างความไว้วางใจผู้อื่น (trust-mistrust) และส่งผลกระทบให้ คนเช่นนี้กลายเป็นคนที่ไม่สามารถจะมีความสุขใดๆในชีวิต ได้แม้ว่าสุดท้ายจะร่ำรวยเพียงใด

เพราะแค่เมื่อลูกบอกจะไปมีกิจการของตัวเอง ปมในจิตใจที่ Daniel มีก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา กลัวว่าจะถูกทรยศ กลัวว่าลูกจะเป็นคู่แข่ง สุดท้ายก็ขับไสลูกไป จนไม่เหลือใครเคียงข้าง และ ไม่เหลือความเป็นคนอีกต่อไป นำไปสู่ฉากสุดท้าย ที่เขากลายร่างออกมาไม่ต่างจากสัตว์ป่าคือ ทำทุกสิ่งตามใจตามสัญชาติญาณดิบของตัวเอง

แน่นอนว่า เมื่อ สัตว์ป่า กระโจนเข้าหาเหยื่อของตัวเอง เมื่อนั้น There will be blood อย่างไม่ต้องสงสัย

(blood ในหนัง ยังสามารถหมายถึง โลหิตของพระเยซู ที่หนังเอ่ยถึงในฉากชำระบาปได้อีกด้วย)




..There will be blood เป็นหนึ่งในหนังที่ต้องใช้ความอดทนในการติดตามสำหรับคนที่ไม่ชินกับหนังที่ดำเนินเรื่องอย่างเนิบนิ่ง เพราะแค่สามสิบนาทีแรกที่ไร้บทสนทนาก็อาจจะพาให้บางคนหลับสนิทไปเสียก่อน แต่หากมาพร้อมกับมีสมาธิเพียงพอ จะพบอัจฉริยภาพของ Paul Thomas Anderson ผู้กำกับหนุ่มที่โชว์ทักษะการเล่าเรื่องขั้นอ๋องในการร้อยเรียงภาพนิ่งๆของหุบเขา ภาพเหตุการณ์ขุดเจาะน้ำมัน เสียงดนตรีประกอบควบคู่ไปกับความเงียบตามด้วยเสียงเด็กร้อง สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ ขับเคลื่อนตัวละครกับเรื่องราวไปข้างหน้าอย่างทรงพลัง และทำให้เราไม่อยากจะคลาดสายตาเพราะกลัวว่าจะพลาดอะไรไป

.เสียงพิมพ์ดีดสลับดนตรีประกอบใน atonement ว่าเจ๋งแล้ว แต่เสียงดนตรีประกอบใน There will be blood ก็เจ๋งไม่แพ้กัน ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่หนังแช่กล้องไว้ที่หุบเขาแล้วเปิดดนตรีให้อารมณ์หลอนจนนึกว่านั่งดูซีรี่ส์ Lost

ดนตรีประกอบในหนังเรื่องนี้ไม่ได้ไพเราะ แต่ ทั้งหลอน ทั้งชั่วร้าย และ แทนจิตใจตัวละครได้ดีเลิศ (ความเกรี้ยวกราด ความไม่น่าไว้วางใจ ฯลฯ) มิหนำซ้ำยังช่วยสนับสนุนอารมณ์ของเหตุการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม (เช่น ฉากอุบัติเหตุที่แท่นขุดเจาะ)

จุดเด่นในตัวหนังไม่ใช่แค่เสียง แต่ การกำกับภาพก็น่าประทับใจเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะฉากแท่นขุดเจาะระเบิดทำออกมาดูสมจริงและน่าตื่นตะลึงมากๆ

... แน่นอนว่า Daniel Day-Lewis สมควรได้ขึ้นตระเวนเหมารางวัลกลับไปนอนกอดที่บ้านอีกครั้ง กับการแสดงที่เปลี่ยนแปลงตัวเองจนกลายเป็นตัวละครได้เนียนสนิทใจ เหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา เขาไม่เคยเล่นได้แย่ มีแต่จะดีมากหรือดีน้อย สังเกตจากการเลือกรับงาน เล่นหนังไม่พร่ำเพรื่อ และ ทุ่มเทให้กับการแสดงในแบบเมธอด ผลตอบรับที่ออกมาคือ ถ้าปีไหนเขาเล่นหนัง ใครเล่นดีแค่ไหนก็เตรียมหนาวๆร้อนๆได้เลยที่จะมีคู่แข่งตัวสำคัญเข้ามาท้าชิง

ในเรื่องด้วยบุคลิกหลังโกงๆและสีหน้าแววตาเลือดเย็น เขาค่อยๆเพิ่มเลเวลความชั่วร้ายไปถึงที่สุดในนาทีสุดท้ายของหนัง ที่ไม่บ้าคลั่งแต่ชราภาพและน่าขยะแขยงเลวร้ายปานประหนึ่งซาตานที่น่าจะหลีกหนีให้ไกล ซึ่งถ้าใครได้เห็นภาพนอกบทตัวจริงที่คุณพี่ชอบยิ้มเผล่ๆเหมือนคุณลุงคนซื่อ จะยิ่งทึ่งนึกว่าในหนังนั้น คุณลุงโดนของหรือผีเข้านานสองชั่วโมง

... ผมแอบขี้โกงไม่ซื้อหนังสือแต่ไปเปิดอ่านตัวบทประพันธ์ Oil ที่เป็นต้นฉบับของหนังเรื่องนี้ (แล้วสุดท้ายก็ซื้อ No Country for old men มาแทนเพราะ Oil หนากว่า ดูท่าว่าจะอ่านไม่จบ) ก็พบว่าเนื้อหาถูกดัดแปลงไปพอสมควร เช่น เรื่องราวในหนังสือจะเล่าผ่านตัวละครที่เป็นลูกชายของ Daniel และ หนังไม่ได้จบลงตรงการตายเหมือนในหนัง

ประการสำคัญ Paul กับ Eli ในหนังสือแยกกันชัดเจน แต่ในหนังดูเหมือนจะเป็นลูกเล่นในการเล่าเรื่องของ Paul Thomas Anderson ที่ควบทั้งผู้กำกับและคนเขียนบท มีเจตนาจะไม่ให้ Paul กับ Eli ปรากฏกายพร้อมกัน แถมยังเลือกนักแสดงคนเดียวกันมาเล่น

นั่นแปลว่า อาจต้องการให้หมายถึง ตัวละครสองคนนี้เป็นฝาแฝด หรือ อีกนัยหนึ่งก็ทำให้สามารถตีความได้ว่า Paul กับ Eli อาจจะเป็นคนเดียวกันที่มีลักษณะบุคลิกภาพแตกแยกเป็นสองบุคลิกภาพ เสียดายที่หนังลดบทบาทของพอลกับ Eli หายไปพักใหญ่ๆ ทั้งๆที่มีอะไรที่น่าจะเล่นได้มากกว่านี้

ไม่ว่าจะมี Paul เป็นคนอีกคน หรือ เป็นอีกบุคลิกภาพหนึ่งของ Eli เราก็รู้ได้ว่า Eli อิจฉา Paul ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด การที่ Daniel เย้ยหยัน Eli ในตอนท้าย จะเป็นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่า Paul เป็นอีกบุคลิกภาพหนึ่ง หรือ Paul เป็นอีกคนจริงๆ แต่ก็เห็นได้ว่าสามารถทำลายความภาคภูมิใจของ Eli ลงได้อย่างยับเยินพร้อมๆกับข่าวร้ายที่เขาได้รับ



การเลือก Paul Dano มารับบทนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีอย่างเหลือเชื่อ เขามอบการแสดงที่ไม่เพียงแค่ไม่ถูกกลบ แต่ยังพร้อมจะข่ม Daniel Day-Lewis กลับในทุกฉากที่เข้าประกบได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะช่วงเวลาองค์ลงแล้วเอาคืนในโบสถ์น่าจดจำมากๆ นับเป็นการแสดงที่มีพัฒนาการต่อเนื่องจาก Little miss sunshine ที่เล่นดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปอีกมาก หากได้บ่มเพาะฝีมือต่อไป น่าจะมีโอกาสได้เข้าใกล้เวทีล่ารางวัลต่อๆไปในอนาคต


...ทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่ผมชื่นชมมากที่สุดในหนังเรื่องนี้คือ Paul Thomas Anderson ที่กล้าอยู่เสมอในการจะเล่าเรื่องตามวิธีการของตัวเองอย่างมั่นใจในหนังทุกๆเรื่องที่ผ่านมา ซึ่งในหนังเรื่องนี้ หากการเล่าเรื่องช้าๆ , การแช่กล้องไปที่หุบเขานานๆ , การไม่มีบทสนทนาเกือบครึ่งชั่วโมง ฯลฯ ไปอยู่ในมือคนที่ไม่แม่นภาษาหนัง ย่อมออกมาเละเทะสะเปะสปะ หรือ ไม่ก็ชวนหาวหวอดดูจบก็ไม่ได้อะไรกลับไป

เขาทำให้สองชั่วโมงกว่าๆของหนังดำเนินเรื่องไปอย่างแน่วแน่มีเป้าหมาย เรียบง่ายแต่ทุกๆฉากล้วนตรึงให้คนดูอยู่ติดที่นั่ง และ พาไปสู่จุดจบที่อึ้งฝังใจคนดู เหมือนเอาสิ่วมากะเทาะเปลือกความชั่วร้ายของมนุษย์ให้เห็นแล้วกระแทกแรงๆใส่สมองของคนดู

เขาพิสูจน์ให้คนดูได้เห็นแล้วว่า Magnolia ไม่ใช่ผลงานบังเอิญเจ๋ง และ ก็ไม่ใช่ว่าใครจะจับโน่นจับนี่มาเล่าเรื่องแบบแปลกๆได้ แต่คนๆนั้นต้องรู้จริงมากพอหรือไม่ก็บังเอิญเกิดมาพร้อมพรสวรรค์โดยแท้จริง


สรุป ... การที่หนังคว้าออสการ์มาได้แบบจิ๊บๆ มิได้แปลว่า หนังด้อยคุณภาพแต่เป็นอย่างที่เคยเขียนไว้ในบล้อกที่แล้วไว้ว่า หากไม่นับ Juno ที่ยังไม่ได้ดู และ ตัด Micheal clayton ทิ้งไป ปีนี้หนังที่จูงมือกันมาสามเรื่องที่เหลือ ล้วนอยู่ในระดับ'เขี้ยวลากดิน' ที่ไปประกวดปีไหน ก็อาจจะกวาดรางวัลมามากมายเสียด้วยซ้ำ แต่ปีนี้ดันทะลึ่งมาชนกันเอง

โดยเฉพาะ No Country for Old Men กับ There will be blood คู่ชิงสองเรื่องสุดท้ายที่ perfect แบบไร้ที่ติ และ สามารถคว้าออสการ์ได้อย่างคู่ควร แถมยังดีกว่าหนังออสการ์อีกหลายๆปีทีได้รางวัลเสียด้วยซ้ำ

There will be blood เป็นหนังที่นิ่งเนิบ ทรงพลัง (เวลามีคนถามว่า ทรงพลัง เป็นอย่างไร ให้นึกถึงภาพโกคู ใน dragonball ยืนเฉยๆแล้วรอบตัวเหมือนมีออร่าพร้อมระเบิดออกมา โดยที่ว่ายังไม่ต้องออกท่าปล่อยแสงหรือโชว์ลีลาให้มากมาย) และที่ผมชื่นชมแบบสุดๆจากหนังเรื่องนี้ คือดนตรีประกอบที่บรรยายความรู้สึกของตัวละครและเหตุการณ์ในเวลานั้นได้อย่าง สุดยอด สุดยอด และ สุดยอดดดดดด



ป.ล. ความบังเอิญของหนังเรื่องนี้ที่เก๋ดี คือ นักแสดงชื่อ Paul รับบทเป็น Paul โดยมีผู้กำกับและคนเขียนบทชื่อ Paul เช่นเดียวกับมีนักแสดงชื่อ Daniel รับบทเป็น Daniel





Link บทความที่อ้างอิงถึงจากใน blog

ถ้าออสการ์อยู่ในมือคุณ (Best picture nominee : mini review)

ออสการ์ กับ หนังที่ 'หนัก แมน แรง ชั่ว' (1) , No Country for Old Men

ขอสวมหน้าม้ามาอาสาเชียร์htmlentities(' >')> Atonement
  • Comment
    *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
  • เสียงพิมพ์ดีดใน atonement ว่าเจ๋งแล้ว(ชอบมาก) แต่พี่หมอชื่นชมขนาดนี้ ต้องลองครับอย่างเดียวเท่านั้น เขียนดีมากครับทรงพลังมัก
    โดย: adente IP: 124.120.220.17 26 กุมภาพันธ์ 2551 1:41:20 น.
  • + สำหรับประเด็น พอล กับ อีไล ที่ใช้นักแสดงคนเดียวกัน ก็อาจเป็นได้ตามที่คุณ จขบ. ตีความคือ เป็นฝาแฝด (ดี - เลว) หรือเป็นคน 2 บุคลิก ... แต่เบื้องหลังที่เคยอ่านมา ผมคุ้นๆ ว่าเดิม P.T. แอนเดอร์สัน เลือกพอล ดาโน มารับบทพอล ผู้มาบอกข่าวคนเดียว และมีนักแสดงหน้าใหม่อีกคนนึงรับบทเป็นอีไล แต่พอถ่ายทำๆ ไป เค้ารู้สึกว่าคนที่เป็นอีไล เล่นได้ 'ไม่ถึง' ระดับที่เค้าคิดไว้ ก็เลยแก้ไขบท ตะเพิดตาอีไลคนเดิมพ้นกองถ่าย แล้วเอา พอล ดาโน มาเสียบแทนเป็น อีไล ด้วยอ่ะครับ (ซึ่งนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ )

    + มายืนยัน คำว่า 'ทรงพลัง' ด้วยอีกคนครับ ทั้งตัวหนัง, บทภาพยนตร์, การกำกับ และฝีมือการแสดงของตัวเอกทั้งสอง (สำหรับดนตรีประกอบ หูผมไม่ค่อยถึงเท่าไหร่ เลยฟังแบบแยกแยะไม่ค่อยออก แต่ก็ยอมรับว่าสร้างความระทึกได้ดี) ... ตอนดูจบ ทำเอาผมมึนไปเลยเหมือนกัน (ดีนะที่ผมดูเรื่องนี้ต่อจากนี้ No country ... เพราะถ้าดูเรื่องนี้ก่อน ผมคงดูเรื่องอื่นต่อไม่ไหวแน่) กับเปลือกแห่งความชั่วร้าย ในจิตใจของคนกักขฬะอย่างแดเนียล เพลนวิว ที่ค่อยๆ ถูกกระเทาะออกมาทีละชั้นๆ จนมาระเบิดอย่างรุนแรงในฉากสุดท้าย (ที่อาจทำเอาคนดูหลายคนอึ้งไปตามๆ กัน) ... ทำให้ตัวละครตัวนี้ เป็นคาแรคเตอร์ที่น่ารังเกียจ น่าสะอิดสะเอียน ไม่น่าเข้าใกล้เป็นที่สุด คู่ควรแก่ออสการ์นำชายตัวที่ 2 ของเค้าแล้วอ่ะครับ

    + จริงๆ หนังเรื่องนี้ ค่อนข้างหนักและชวนอึดอัดเวลาดู (สำหรับผม - เพราะมันไม่มีอะไรให้ลุ้นแบบหัวใจจะวายเหมือน No Country) และรู้สึกว่าน่าจะมีประเด็นต่างๆ ให้ตีความได้อีก แต่ประเด็นที่ชัดที่สุด ก็คงเป็นที่ คุณ จขบ. ว่าไว้ ... ฉากชำระบาปในโบสถ์ และฉาก 'เอาคืน' ในลานโบว์ลิ่งที่บ้าน ช่างเล่นกันได้บ้าบอน่าขนลุกดีแท้
    โดย: บลูยอชท์ 26 กุมภาพันธ์ 2551 11:24:35 น.
  • หาโรงดูยากสุดๆ สงสัยต้องรอแผ่นตามฟอร์ม
    โดย: YoiChi_KinG IP: 125.24.212.47 26 กุมภาพันธ์ 2551 15:08:01 น.
  • เข้ามาประชุมที่กรุงเทพพอดี เลยแวะมาหาลิโด้เพื่อนคนเดียวในกรุงเทพที่ผมจะต้องมาเยี่ยมเค้าทุกครั้ง
    ผมดู NCOM และ TWBB สองวันติดกัน ในใจนึกเชียร์ TWBB ให้ได้ออสการ์มากกว่าพอสมควร เพราะแม้ทั้งคู่จะเป็นหนังที่สุดยอดทั้งคู่ แต่รู้สึกไม่ชอบ No Country ในบางฉาก ที่ดูจงใจและเฉิ่มเชยเอามาก ๆ (ฉากที่ขอซื้อเสื้อทั้งสองฉาก....คือมันน่าจะมีวิธีนำเสนอที่ดีกว่านี้ สองฉากนั้นมันดูง่าย จงใจ เชยยังไม่รู้บอกไม่ถูก)

    There will be blood หนังดูสนุกนะครับ เนื้อเรื่องดูเข้าใจง่าย เดินไปข้างหน้าตลอด มีจุดพลิกผันตลอดเวลา และคนดูก็น่าจะได้แรงบันดาลใจอะไรบางอย่างจากหนังเรื่องนี้ด้วย แต่หลาย ๆ คนพูดเหมือนมันชวนหลับ ไปสร้างภาพให้มันเป็นหนังดูยากซะงั้น ซึ่งอันที่จริงผู้ชายทุกคนควรได้ดูหนังเรื่องนี้นะครับ มันมีอะไรหลายอย่างที่จะสะกิดต่อมในตัวเราให้ตื่นและตระหนักถึงบางสิ่งที่เราอาจลืมคิดไปได้น่ะ

    คุณหมอเขียนบทความนี้ได้ดีจนน่าใจหายครับ อ่านจบแล้วอยากไปดูหนังอีกรอบจัง
    (ขณะพิมพ์นี้ นั่งอยู่ที่ร้านเน็ตข้างๆ ที่ขายตั๋วลิโดครับ)

    โดย: คนไทยในต่างมุม IP: 58.10.64.26 26 กุมภาพันธ์ 2551 15:26:52 น.
  • Paul Thomas Anderson คือผู้กำกับ Magnolia เหรอคะ สารภาพว่าซื้อ DVD Magnolia มาดูไปได้ครึ่งเรื่อง แล้วก็ไม่ได้ดูต่ออีกเลยค่ะ (ไม่ค่อย get ว่าต้องการสื่ออะไรหว่า + ยังไม่มีแรงจูงใจจะดูต่อเลยค่ะ)
    โดย: azzurrini 26 กุมภาพันธ์ 2551 20:26:09 น.
  • ยังไม่ได้ดูนะ แต่ทึ่งกับพอล ดาโน่ที่มาได้ไกลขนาดนี้ เคยเห็นเล่นเป็นเด็กเนิดร์อยู่2-3เรื่อง 1ในนั้นก็มีGirl next doorหนุ่มน้อยนักฟันดาบ^^ ตอนได้เล่นLMSน่าจะเป็นการล้างภาพได้ดีอยู่หรอก แต่เห็นเวลาไปออกงานที่ไหนก็ไม่เคยเปลี่ยนลุคของตัวเองสักที เหอๆ
    โดย: the red IP: 203.155.247.18 26 กุมภาพันธ์ 2551 20:51:12 น.
  • ยังไม่ได้ดูเหมือนกันครับ

    แต่ดูท่าจะมันส์หยด
    โดย: prezcot 26 กุมภาพันธ์ 2551 22:41:34 น.
  • จากความเห็นส่วนตัวนะคะ ชอบเรื่องนี้มากกว่า NCFOM ค่ะ ชอบในความนิ่งและเนิบแต่เปี่ยมด้วยพลังอย่างที่ว่าไว้ ได้เห็นว่าจากคนธรรมดา ๆ แต่พอความชั่วร้ายกิเลสและความโลภในตัวสะสมเกาะกุมชีวิตและจิตวิญญาณมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้สุดท้ายแล้วคนโลภธรรมดา ๆ คนหนึ่งกลายร่างเป็นซาตานในท้ายสุดของเรื่อง และนับถือการแสดงของนักแสดงนำทั้งสองของเรื่อง ทั้ง Daniel ที่ไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้วคนนี้ แค่ชื่อก้อการันตีแล้ว ส่วน Paul นั้นน่าจับตามองอย่างมาก ว่าอนาคตในฐานะนักแสดงจะฉายแววเจิดจรัสในเร็ววันนี้ค่ะ เพราะต้องถือว่าเก่งมากที่แสดงประกบกับนักแสดงระดับ Daniel แต่ไม่ถูกกลบรัศมีไปเหมือนคนอื่น ๆ และสุดท้ายอย่างที่จขบ.ว่าไว้ ดนตรีช่างหลอนได้ใจมาก ๆ โดยเฉพาะครึ่งชม.แรก ช่างหลอนดีจริง ๆ ฟังแล้วทำให้รู้สึกแปลก ๆ ดีค่ะ
    โดย: aorengja IP: 203.144.213.3 26 กุมภาพันธ์ 2551 23:56:28 น.
  • + โหมดช่วยตอบ : คุณ azzurini #5
    ... แม่นแล้วครับ P.T. Anderson คือ ผกก. เรื่อง Magnolia (1999) นั่นเอง ... และตอนผมดูเรื่องนี้ในโรง จำได้ว่าไม่ค่อยรู้เรื่องและเก็ทสารที่ได้จากหนังไม่ค่อยหมดเหมือนกัน แต่ที่โดนใจอย่างแรงก็คือความประหลาดโลกของเนื้อหา ... แต่ทุกวันนี้ พอย้อนกลับไปคิดถึงจริงๆ ผมว่า Magnolia เป็นหนังอีก 1 เรื่องที่ถึงแม้พล็อตจะแหวกแนว แต่ก็ทรงพลัง และจับใจมากๆ อ่ะครับ
    โดย: บลูยอชท์ 27 กุมภาพันธ์ 2551 11:43:52 น.
  • สุดยอดครับ
    การกำกับของ พอล โทมัส
    การแสดงเทพๆของแดเนียล เดย์ + พรสวรรค์ของพอล ดาโน
    เข้ากับบทสุดๆ

    แต่ต้องยอมรับว่า No Country 4 Old Men เฉือนไปได้อย่างหวุดหวิด
    ตอนนี้รอ Juno , La Vie En Rose อยู่ เพราะอยากไปอุดหนุนที่โรงหนัง
    โดย: Bestkop IP: 203.146.116.24 27 กุมภาพันธ์ 2551 14:18:29 น.
  • รู้สึกว่า คุณผู้รีวิว จะลำดับเหตุการณ์ผิด (สปอยล์สำคัญเลย ใครยังไม่ได้ดูอย่าอ่าน)

    ผมไม่ได้อ่านหนังสือเรื่องนี้นะ แต่เอาตามหนังนะ

    ที่แดเนี่ยลไปรับลูกกลับมามันเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ไถ่บาปที่โบสถ์ และก็เป็นเหตุการณ์หลังจาก Partner ตาย เพราะงั้นเหคุการณ์ที่บอกว่ารับลูกกลับมาทันทีหลังจาก โดนถามเรื่องลุกนั้นไม่ถูกต้อง

    ซึ่งอาจมองได้ 2 แบบ

    1.เอาลูกมาบังหน้าเนื่องมาจากเหตุการณ์สารภาพบาปที่โบสถ์

    2.เอาลูกกับมาเพราะ Partner เขาตายแล้ว ซึ่งผมชอบอันนี้มากกว่า

    อีกเรื่อง ผมว่าเด็กน่า...... เพราะนิสัยเหมือนแดเนียลเลย เรื่องขี้อิจฉาที่ 1
    ถอดแบบกันมาเปี๊ยบ
    ตอนโดนส่งไปที่อื่นก็ยังหาเด็กรุ่นเดียวกันมาเป็น Partner ร่วมห้อง

    ที่ตอนหลังแยกไปเพราะได้ภริยาเป็น Partner ใหม่แล้ว



    โดย: Gentleman IP: 58.8.156.19 28 กุมภาพันธ์ 2551 10:46:08 น.
  • แต่ผมกลับรู้สึกว่า จากสถานการณ์ และจากอารมณ์ที่พุ่งขึ้นมาของDaniel ในฉากที่H.W. มาบอกลา ถ้าเป็นคนอื่น ป่านนี้คงกลายเป็นศพไปแล้ว

    แต่พอเป็นH.W. Danielทำแค่พูด "แขวะ" ให้เจ็บใจเล่น แล้วหลังจากH.W.จากไป Daniel "หมดสภาพ" แบบเห็นได้ชัด ผมว่า ลึกๆแล้วDanielน่าจะ "รัก" ลูกชาย แต่เขาไม่รู้ตัวเอง

    ที่ทึ่งที่สุดคือ "เสียง" ของ Daniel Day-Lewisครับ ปกติผมจะรู้สึกว่า Day-Lewis เป็นคนที่เสียงน่าฟังมาก แต่เสียงของเขาที่ได้ยินในหนังเรื่องนี้เล่นเอาผมไมเกรนขึ้น(โชคดีที่กลับมาได้ยินเสียงเพราะๆของเขาอีครั้งในงานออสการ์ ไม่งั้นหลอนไปอีกนาน)


    โดย: Atticus Finch IP: 61.7.172.247 1 มีนาคม 2551 23:03:08 น.
  • เรื่องนี้ดูวันเดียวกันกับ No Country for Oldmen
    แต่ไม่หลับเลยครับ(เพราะดูก่อนนั่นเอง555)

    ชอบ P.T Anderson ในผลงานเขาทุกเรื่องครับ จะว่าเป็นแฟนคลับก็ว่าได้
    ส่วนเรื่องนี้ออกจะหนักข้อ ในเรื่องนิ่งเนิบกว่าเรื่องก่อนๆ เยอะ
    แต่ผมว่ามันดูสนุกดีนะ โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์ในโบสถ์/ในบ้าน ผู้กำกับเก่งจริง สองฉากนี้หัวเราะออกมาได้อย่างสะใจ แต่ก็หดหู่ในใจไปพร้อมๆ กัน.......

    เง้อ อยากดู Atonement ยังจะทันไหมน๊อ
    โดย: คำห้วน เฉือนคำรัก IP: 124.120.163.77 2 มีนาคม 2551 11:19:50 น.
  • เพลงประกอบภาพยนตร์ นี่เป็นฝีมือของมือกีต้าร์วงเรดิโอเฮด

    หายสงสัยเลยว่าทำไมถึงเจ๋งอย่างนี้
    โดย: AIRBAG IP: 58.8.203.102 2 มีนาคม 2551 23:43:11 น.
  • พระเอก Daniel Day Lewis แสดงได้โหด แบบนิ่ง ๆ ทรงพลังจริง ๆ ค่ะ แค่สายตาก็สะกดคนดูได้แล้ว มาเฉย ๆ แบบว่าพร้อมจะตายในมือเขาได้ทุกเมื่อ

    อีกส่วนหนึ่งที่ชอบคือ ดนตรีประกอบกับภาพแท่นขุดเจาะน้ำมันที่สวยและสมจริงมากค่ะ
    โดย: Tai-Sarunya IP: 203.107.202.42 9 มีนาคม 2551 0:56:00 น.
  • อาทิตย์ก่อนดู No Country for Old Men เพิ่งจะได้ดู There will be blood อาทิตย์นี้เอง

    ส่วนตัว อยากมอบออสการ์ให้เรื่องหลังมากกว่าอาจจะเพราะฉากจบที่ดูทรงพลังกว่ามาก คือเป็นฉากสำคัญของการปะทะกันระหว่างแดเนียลกับอีไล แล้วก็จบเลยทันที ทำให้ความรู้สึกเหมือนขึ้นที่สูงแล้วยืนอยู่ตรงนั้น... อา สุดยอดดดดดดด

    แต่ No Country ตอนจบก็เหมือนอย่างที่คุณหมอบอกแหละค่ะ มันรู้สึกว่า อะไรวะ จบแล้วหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย... ต้องทิ้งเวลาแล้วมาคิดต่อ ถึงจะค่อยอินทีหลัง
    โดย: แก้มน้อยคอยรัก IP: 61.90.144.101 10 มีนาคม 2551 8:07:09 น.
  • ดนตรีประกอบเรื่องนี้ทรงพลังดีเยี่ยม.. ประกอบกับการแสดงอันน่าทึ่งของ Daniel Day-Lewis ทำให้หนังยาวสองชม.ครึ่งเรื่องนี้ ผ่านไปไวราวกับโกหก.. Paul Dano ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี.. ไม่รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้น่าเบื่อเลย.. ออกจะดูเพลินเอามากๆ
    โดย: ShanKy IP: 137.195.26.197 23 มีนาคม 2551 2:47:59 น.


  • สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม
    หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง
    ได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน
    โดย: ป๋องแป๋ง IP: 124.120.0.136 24 มีนาคม 2551 17:27:23 น.
  • เพิ่งไปดูเรื่องนี้มาเมื่อวาน สนุกๆมากเลยค่ะ
    ผืดคาดเลย นึกว่าจะหลับแต่ไม่เลยค่ะ
    ดนตรีประกอบหลอนมากๆ

    โดย: MoMolita IP: 58.9.114.150 30 มีนาคม 2551 15:00:28 น.
  • เพิ่งได้ดูวันนี้เอง
    แรงสะใจดีครับ
    แถมดูง่ายกว่าโนคันทรี่ฟอโอลเมนอีก
    โดย: blackholesun IP: 124.120.173.5 18 ตุลาคม 2551 23:56:58 น.