bloggang.com mainmenu search




...ชื่อ โอลิเวอร์ ไฮรช์บิเกล เป็นที่รู้จักในวงกว้างจากงานที่เข้าชิงออสการ์ ชื่อ Downfall หนังที่เผยบั้นปลายสุดท้ายของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในวันสุดท้ายของเขาก่อนจะจบชีวิตลงในบังเกอร์ ซึ่งข้อมูลที่นำมาเสนอจัดได้ว่าน่าเชื่อถืออยู่อักโข เพราะหนังดัดแปลงมาจากบทบันทึกของ Traudl Junge เลขาคนสุดท้ายที่ได้ทำงานให้กับฮิตเลอร์

บอกเล่าถึง วันเวลาก่อนที่พรรคนาซีจะล่มสลาย เบอร์ลินเป็นเมืองหน้าด่านที่กำลังถกถล่ม นายทหารหลายคนเกลี้ยกล่อมให้ถอยหรือยอมแพ้ แต่ฮิตเลอร์ยืนยันว่าจะอยู่ที่เบอร์ลิน เมื่อทหารรัสเซียประชิดเข้ามามากขึ้น เขาก็ตัดสินใจปิดฉากชีวิตตัวเองพร้อมคนรักและบอกนายทหารคนสนิท ให้เผาไม่เหลือซาก เพื่อไม่ให้มีใครเอาศพของเขาไปใช้ในเชิงผลประโยชน์จากสงคราม

เวลากว่าสองชั่วโมงของหนังมีเนื้อหาหลักๆเพียงเท่านั้น และ หนังก็ไม่ได้ถึงกับสนุกชวนติดตาม ยิ่งหากคนดูไม่มีความรู้หรือไม่สนใจประวัติศาสตร์มากมาย อาจจะไม่ชอบเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับหนังที่เล่าเรื่องราวของพลพรรคนาซีมีหนังสองเรื่องในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันที่สนุกชวนติดตามมากกว่าอย่าง Sophie Scholl และ Black book



...หนังใส่ใจให้รายละเอียดกับ ตัวฮิตเลอร์ ตั้งแต่สรรหานักแสดงที่เทียบกับภาพจริงแล้วถือว่าใกล้เคียงมาก แถมยังสร้างท่วงท่าบุคลิกของเขาให้ดูน่าเชื่อถือ เช่น การขยับและสั่นของมือตามข้อมูลที่ว่า ฮิตเลอร์ ป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ซึ่งตัวละครก็สั่นได้เหมือนโรคนี้จริงๆ


จุดเด่นของ Downfall คือ หนังทำให้ตัวละครฮิตเลอร์ มีตัวตนจับต้องได้ หนังไม่ได้ทำให้ฮิตเลอร์ดีงามจนเราเอาใจช่วย แต่ก็ไม่ได้วาดภาพให้เขาเป็นเหมือนกับปีศาจหรือตัวร้ายชนิดเลวสุดกู่เหมือนตัวโกงในหนังสือการ์ตูน เราจะเห็น ความเป็นผู้นำที่มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ที่สามารถทำให้คนทั้งรักและศรัทธาถึงขั้นยอมตายตาม และ ทำให้คนเกลียดชังแม้จะตายมาแล้วหลายปี ผ่านแนวคิดของเขาในหนึ่งวันของ Downfall

สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดของ Downfall ไม่ใช่ชีวิตของฮิตเลอร์ แต่เป็น ฉากแสนสะเทือนใจ ที่ความเชื่อแบบฝังใจของผู้ใหญ่ต้องไปทำลายชีวิตเด็กๆที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่พวกเขากลับไม่มีสิทธิเลือก กับ ฉากสุดท้ายของผู้หญิงหนึ่งคนและเด็กหนึ่งคนที่จูงมือกันเดินผ่านกองทหารรัสเซีย เป็น คนสองคนที่เลือกจะเสี่ยงตายมีชีวิตอยู่สืบต่อไป ตัดสลับกับคนอีกลุ่มหนึ่งที่กำลังตัดสินใจว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อหรือตายตามหัวหน้าพรรค

และแน่นอนว่า เมื่อแจ้งเกิดได้ การขยับเป้าหมายไปอยู่ที่ใหญ่กว่าอย่าง ฮอลลีวู้ด เป็น อะไรที่ผู้กำกับในยุโรปที่ประสบความสำเร็จกับหนังในบ้านเกิดตัวเอง อยากจะโกอินเตอร์เพื่อพิสูจน์ฝีมือตัวเองในโลกที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งมาควบคู่ความถึงพร้อมของทั้งทุนสร้างและนักแสดงชื่อดัง โดยมีกลิ่นความสำเร็จที่เย้ายวนอยู่ไกลๆ แต่ หลายคนคงแปลกใจว่าการโกอินเตอร์ของ โอลิเวอร์ ไฮรช์บิเกล แทนที่จะสร้างหนังที่ มีอะไรดีๆใหม่ๆ เขากลับเลือกไปหยิบหนังเก่าๆที่เคยสร้างมาแล้วสองสามครั้ง และ พล็อตหลักๆของหนังถูกดัดแปลงสร้างมาแล้ว นับสิบๆครั้ง กับ พล็อตตระกูล มนุษย์ต่างดาวแฝงกายยึดครองร่างมนุษย์



.... หากมองโลกในแง่ดี การตีตั๋วไปดู The Invasion ก็เท่ากับเราได้ดูหนังจากสามผู้กำกับชื่อดัง คือ โอลิเวอร์ ไฮรช์บิเกล จาก Downfall แล้วยังมี สองผู้กำกับวาคอร์สกี้ จาก The Matrix พ่วงด้วย เจมส์ แมนทีค จาก V for vendetta แต่หากมองโลกในแง่ความเป็นจริง สองชื่อหลังไม่ได้มากำกับร่วม แต่ถูกตามตัวมาจากผู้บริหารค่ายหนังให้มาดัดแปลงแลถ่ายซ่อมบางส่วนของหนังเรื่องนี้เสียใหม่ จนทำให้เสียงวิจารณ์ล่วงหน้ากระจายออกมาในเชิงลบ และเมื่อเปิดตัวจริงๆ หนังก็นิ่งสนิทตามคาด

แต่เมื่อมีโอกาสได้ดูตัวหนังจริงๆ ผมเองกลับไม่ได้รู้สึกย่ำแย่อย่างที่อ่านคำวิจารณ์ล่วงหน้าว่าไว้ อาจเพราะตัวเองทำใจไว้แล้วล่วงหน้าทั้งในเรื่องคำบอกกล่าวที่ย่ำแย่เสียเต็มประดา บวกกับเตรียมใจล่วงหน้าที่จะพบมนุษย์ต่างดาวแข็งทื่อ เพราะ The invasion ไม่ใช่ หนังเอเลี่ยนยิงกัน จนเทพีสันติภาพระเบิดเหมือน ID4 หรือ มีตัวประหลาดหางยาวเขี้ยวฝังหัวแบบ Alien แต่จะเป็น

...มนุษย์ต่างดาวที่เข้ามาอาศัยยึดครองร่างมนุษย์ในรูปแบบเซลล์ยืดหยุ่น ซึ่งเมื่อมนุษย์รับมันเข้าไปในร่างกายจะทางการดื่มกิน หรือ สูดเข้าไปทางอากาศ มันก็จะเข้าไปฝังตัวใน DNA และ เปลี่ยนแปลงกระบวนการของยีนส์ที่เรียก Gene expression ในช่วเวลาที่มนุษย์คนนั้นเข้าสู่กระบวนการหลับลึกหรือ Rem sleep

วิธีการอยู่รอดหลังได้รับเชื้อไม่ให้ต้องกลายเป็น มะนาวต่างดุ๊ตในคราบมนุษย์ตัวทื่อ มีเพียงวิธีเดียวคือ ห้ามหลับ

นางเอกของเรื่องเป็น จิตแพทย์ ที่เริ่มพบความเปลี่ยนแปลงนี้จาก คำบอกเล่าของคนไข้ที่มาบอกว่า สามีของเธอไม่ใช่สามีคนเดิมอีกต่อไป และเธอเองก็พบเหตุการณ์แปลกๆนี้กับตัวเองเมื่ออดีตสามีจะมาขอพบลูก และ สามีของเธอนั้นก็ดู ดีเกินไป ต่างจากคนเดิมที่เธอรู้จัก

จำนวนคนที่เปี่ยนไป๋ เริ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ จิตแพทย์สาวนางเอกของเรื่องก็ดันโชคร้ายได้รับเชื้อไปด้วย เธอเองจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไมให้ตัวเองหลับ และ ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูกและชีวิตตัวเองให้หนีรอดไปจากเมืองที่มนุษย์ต่างดาวกำลังจะครองเมือง




....หากจะมีอะไรผิดพลาดมากที่สุด ของเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ ส่วนตัวแล้วคิดว่าน่าจะเป็นการตัดสินใจตั้งแต่แรกเริ่มสำหรับ การรีเมครอบที่สองที่สามของหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกด้วยพล็อตเดิมที่เข้าข่าย เชยสะบัด และ อย่างที่เกริ่นไว้ คนดูได้ดูหนังพล็อตประมาณนี้ทั้งแบบรีเมคเป็นเรื่องเป็นราว หรือ แบบดัดแปลงตัวไอเดียมาเรียกได้ว่า เป็นสิบๆเรื่องแล้ว ที่เราจะเห็นการถูกยึดครองร่างกายจากมนุษย์ต่างดาว จนเปลี่ยนสภาพ คนเดิมที่เคยเป็นให้เปลี่ยนบุคลิกนิสัยไปอีกแบบ

เมื่อ มนุษย์ ถูกยึดครอง ก็จะเปลี่ยนสภาพกลายเป็น คนไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึก ไม่ใช้ความรุนแรง เดินทื่อๆอือๆไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็ดูแล้วน่าจะดี เหมือนที่ตัวละครตัวหนึ่งในหนังพูดถึง สังคมในอุดมคติ เป็นสังคมที่มนุษย์ไม่มีความรุนแรง ที่ มนุษย์ต่างดาว เปรียบเปรยว่าจะเป็น สังคมแห่งความสุขต่างจากโลกปัจจุบัน

แต่สังคมเช่นนั้น จะยังคงเป็น สังคมมนุษย์อยู่อีกหรือไม่ แล้วที่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ เคยบอกไว้ว่า มนุษย์ทุกคนถือกำเนิดควบคู่มากับความรุนแรง ดังนั้น หากมนุษย์ที่ถูกตัด ความรุนแรง ออกจากชีวิต จะยังถือว่าคนๆนั้นมี ความเป็นมนุษย์ อยู่อีกหรือไม่

...ส่วนตัวแล้วคิดว่า คำตอบของคำถามนี้ไม่ได้สำคัญอยู่ที่ การ มี หรือ ไม่มี ความรุนแรง แต่สำคัญตรงประโยคที่นางเอกที่ในเรื่องเป็น จิตแพทย์ ตอบกลับท่านทูตในงานเลี้ยงกลับไป ถึง วิวัฒนาการ

มนุษย์ ต่างจาก หุ่นยนต์ ก็ตรงที่เราสามารถบันทึกโปรแกรมอะไรเข้าไปก็ได้ในตัวหุ่นยนต์ แล้วเป็นไปตามนั้น ไม่มีความผิดพลาด ไม่มีจุดบกพร่อง แต่ หุ่นยนต์ในท้ายที่สุดก็ต้องถูกกำหนดการมีชีวิตอยู่โดยมนุษย์ และ หุ่นยนต์ก็ไม่สามารถสร้าง จิตสำนึก หรือ เข้าใจถึง มนุษยธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึง ความเป็นมนุษย์ ได้มากกว่า ความรุนแรง

และในตัวมนุษย์เองนั้นก็มีวิวัฒนาการ เราเรียนรู้ เติบโต และ แก้ไข อาจจะยังมีจุดอ่อนมีจุดบกพร่อง แต่ก็เป็นอย่างที่ นางเอกบอกว่า ถ้าเทียบกับเมื่อหลายพันล้านปีก่อน เราก็ดีกว่าแต่เดิมมากมายนัก

... ในตัวต้นฉบับ หนังเอเลี่ยนบุกยึดครองโลกในยุคนั้น มักจะมีนัยยะแฝงควบคู่มากับหนังเสมอทั้งโดยตั้งใจและไม่เจตนา แต่ ในยุคปัจจุบันการจะแฝงเรื่องราวของ คอมมิวนิสต์ หรือ สงครามเย็น คงจะไม่เข้าที ในเวอร์ชั่นนี้ การเปรียบกับโรคระบาดและการปิดบังประชาชนที่หนังนำเสนอ ยังมิได้สื่อให้เห็นชัดเจนว่า หนังเรื่องนี้มีเจตนาที่จะแฝงสารอะไรออกมาให้กับคนดู เพราะเท่าที่มีดูก็จะเป็นแค่สอดแทรกมาแค่แกนๆ

ถึงจะรู้ว่ามีชื่อผู้กำกับสามสี่ชื่อมาอีนุงตุงนังในโปรเจคต์นี้ ก็ไม่รู้ว่าช่วงไหนใครกำกับอยู่ดี แต่ถ้าให้ผมเลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดของหนัง คือ ช่วงเวลาตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องไปจนถึงตอนนิโคลตามไปเจอลูกที่บัลติมอร์ เหตุเพราะ แม้พล็อตจะเก่าแก่จนน่าชวนหาวหวอดเพราะเดาได้ แต่หนังก็ไม่ถึงกับทำให้อยากจะหน่ายหนี ผู้กำกับในส่วนนี้ (ขอเดาว่าเป็น โอลิเวอร์ ไฮรช์บิเกล )ยังสร้างความกดดันนิ่งๆเงียบๆ สร้างความหวาดหวั่นจากการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มคืบคลานเข้ามา และ กำกับนักแสดงให้เล่นได้ไม่ชืดชาตามมนุษย์ต่างดาว (แต่ก็รู้สึกว่า เรื่องนี้ มีหลายซีนที่นิโคล ให้การแสดงที่ ล้น เกินไปนิด)

ส่วนที่น่าผิดหวังคือฉากช่วงหลังจากซ่อนตัวในซูเปอร์มาเก็ต ที่หนังระดมฉากแอคชั่นมาห่าใหญ่แต่กลับไร้แรงดึงดูดและไม่รู้สึกสนุกชวนติดตามเลย ที่แย่ที่สุดและง่ายดายเกินจะรับได้ คือ ตอนจบที่เข้าข่าย มักง่าย ทื่อๆตรงๆไร้ชั้นเชิง ไม่มีอะไรหลงเหลือให้คนดูเก็บไปขบคิดหรือจดจำ





....ผมชอบ นิโคล คิดแมน เสมอโดยเฉพาะเมื่อเธอรับบท ผู้หญิงฉลาด เนื่องจากมาดและการแสดงของเธอสร้างความเชื่อถือได้เป็นอย่างดี อย่างในเรื่องนี้ก็มีฉากบนโต๊ะอาหารที่เปล่งประกายนิโคลเป็นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่า คาแรคเตอร์ประเภท สามีของฉันไม่ใช่คนเดิม จะเป็นอาถรรพณ์สำหรับเธอ เพราะ บทบาทเช่นนี้เมื่อสองปีก่อนตอนใน Stepford wives ซึ่งเป็นหนังรีเมคเหมือนกัน ก็ทำเธอคว่ำสนิทมาก่อน

ส่วน แดเนียล เคร็ก มาเล่นเรื่องนี้ก่อน เจมส์ บอนด์ ก็ทำให้แฟนๆบอนด์คงแอบหวังจะเห็นฉากเท่ห์ๆไม่แพ้ตอนโดนทรมานบนเก้าอี้ใน Casino royale ซึ่งก็คงต้องทำใจ เพราะในเรื่องนี้ เขามีบทบาทค่อนข้างน้อย ไม่ได้โชว์ความแมนเหมือนเรื่องอื่นๆ ส่วนการแสดงที่เข้าตากรรมการมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ น่าจะเป็นนักแสดงเด็กในเรื่องที่รับบทลูกชาย ที่เล่นได้น่ารักและเนียนไปกับบทจนเชื่อได้ว่า เขาจะต้องเป็นนักแสดงเด็กที่เป็นดาวรุ่งในปีที่จะถึงนี้อย่างแน่นอน

ที่น่าเห็นใจที่สุดคงจะเป็นตัวผู้กำกับ ที่ถูกระบบสตูดิโอมาก้าวก่าย จนเราไม่สามารถรู้ได้ว่า ฝีมือที่แท้จริงของเขาคือ ห่วยเกินจะให้หนังออกฉายได้จริงๆ หรือ เป็นสตูดิโอที่ตาไม่ถึงแต่อยากจะมีส่วนร่วม กันแน่ ที่ทำให้ ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้ จะด้วยสาเหตุใด ก็คงได้บทเรียนเหมือนที่ผู้กำกับหลายๆคนในยุโรปที่เข้ามาสู่วงการฮอลลีวูดแล้วต้องพบเจอกับ ระบบยุ่มย่ามก้าวก่ายของสตูดิโอ จนหลายคนถึงกับเป๋และกลับไปทำหนังดีๆเหมือนที่เคยทำหนังบ้านเกิดไม่ได้อีกเลย

สรุป ... ดูได้เพลินๆไม่ถึงกับห่วยหรือน่าเสียดายตังค์ แต่ มนุษย์ต่างดาวในหนังจะออกในแนวนิ่งๆเงียบๆไม่ใช่ แอคชั่นหรือทริลเลอร์ระทึกขวัญ ชอบนิโคลก็ไปยลเธอได้เพราะเรื่องสุดท้ายที่ได้เจอเธอก็ตั้งแต่ตอน Fur ซึ่งนานหลายเดือนแล้ว




ขอฝาก"หนังสือรัก" พ็อกเก็ตบุ้คที่ไม่ใช่ หนังสือวิจารณ์หนัง แต่เป็นการหยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม




เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิกhtmlentities(' >')> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง




ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป
Create Date :27 สิงหาคม 2550 Last Update :27 สิงหาคม 2550 0:25:33 น. Counter : Pageviews. Comments :14