bloggang.com mainmenu search


... ผมชอบ Night at the Museum มากเป็นพิเศษอยู่สองอย่างคือ

1. หนังชี้ชวนให้เราเห็น คุณค่า ของทุกอาชีพว่าล้วนมีความสำคัญ แต่คนจะรู้สึกดีหรือแย่ ขึ้นกับว่า คนที่มองอาชีพนั้นให้คุณค่าตัวเองตามกระแสหรือมองแค่เปลือกภายนอกที่เงินเดือน ฯลฯ

เช่น เป็น ยามกลางคืน ก็มีความหมาย เป็นคนสำคัญ แต่เมื่อไม่มีโจรบุก ไม่มีเรื่องวุ่นวาย อาชีพนี้ก็อาจถูกมองว่าไม่มีค่า เมื่อเทียบกับ แถวหน้าๆแบบระดับหัวหน้า หรือ หุ้นส่วน ฯลฯ

ทั้งที่จริงแล้ว อาชีพนี้ก็เป็นหนึ่งในอาชีพที่ขาดไม่ได้ เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเรื่องวุ่นวาย ก็มีแต่เขาที่เหมาะสมที่สุด ไม่ใช่ หุ้นส่วน หรือ พนักงานหน้าสวยใสที่ไหน

ประการสำคัญคือ 'คน' ที่ใส่เครื่องแบบ เคารพเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง หรือ คิดดูถูกอาชีพเหมือนที่คนอื่นๆเขามอง



พอมาถึงภาคสอง ก็ชวนให้คนดู สำรวจ จิตวิญญาณในการทำงาน โดยเน้นเปรียบเทียบ การทำงานตาม routine ที่ไร้ชีวิตจิตใจ ถึงจะได้เงินเยอะ แต่ก็ไร้ซึ่งความสุขสนุกสนาน เหมือนที่ นางเอกของภาคนี้และเพื่อนๆหุ่นขี้ผึ้งในพิพิธภัณฑ์พยายามจะเตือนพระเอก

แต่ในความเป็นจริง เราไม่สามารถที่จะเลือก งานที่ทั้งสนุกมีความสุขไปพร้อมๆกับได้เงินเดือนเพียงพอเลี้ยงชีพ หลายครั้งที่เราจำเป็นต้องทนทำงานที่ไม่ได้มีใจรักเพื่อให้อยู่รอด

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่จะช่วยได้คือ ไหนๆก็จำเป็นต้องทำ แต่หากเพียงเราพยายามเปลี่ยนมุมมองหรือเติมความสนุกให้มัน ไม่แน่ว่า เราก็อาจจะพบความสุขใหม่ๆในงานชิ้นเดิม ต่างจากแต่ก่อนที่ก้มหน้าก้มตา ทำไปบ่นไปรอให้ถึงวันหยุดอย่างเดียว



2.Night at the Museum ทั้งสองภาค เป็นหนังที่ส่งเสริมให้คนดูได้ ประโยชน์ต่อยอด สอดแทรกในความบันเทิง เช่น อยากไป search ข้อมูลของคนสำคัญในประวัติศาสตร์ , เด็กๆสนุกกับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ สร้างความอยากรู้อยากเห็นให้เกิดขึ้นเอง โดยไม่ต้องบังคับให้ท่องจำว่า ใครมาจากไหน/เกิดเมื่อไหร่ ฯลฯ ,

อีกทั้ง การทำให้ประวัติศาสตร์มีชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ภาพถ่ายชื่อดัง , รูปปั้น , บุคลลสำคัญ ฯลฯ หนังก็ใช้ CG ได้คุ้มค่า ดูเพลินตา และ น่ารักอีกต่างหาก

นอกจากนี้ หนังยังสามารถ โปรโมทสถานที่ ให้คนอยากไปเที่ยวต่อ (พิพิธภัณฑ์) เหมือน หนังเกาหลี ทิ่ยิงปืนนัดเดียวได้นักท่องเที่ยวเป็นกอบเป็นกำ จาก อุตสาหกรรมภาพยนตร์ หรือ เหมือน Angels and Demons ที่ทำให้ผมเริ่มเก็บเงินเพราะอยากตามรอยแลงดอนไปกรุงโรม , อยากมีบ้านพักตากอากาศในเขตชนบทของอิตาลี เหมือนที่ ไดแอน เลนไปอยู่ใน Under the tuscan sun , อยากมีโอกาสเดินชมพิพิธภัณฑ์กุ๊กเกนไฮม์หลังดู The International , อยากไปโรแมนติกที่เวียนนาเหมือน Before Sunrise & Before Sunset

ซึ่งข้อดีข้อ 2 นี้ อยากให้มีในหนังไทยบ้าง คือ อยากให้มีหนังซักเรื่องที่ไม่ใช่มามอบแค่เสียงหัวเราะ หรือ ความสนุกสนาน แล้วทุกอย่างจบลงเมื่อม่านปิดลง แต่ มีอิทธิพลในเชิงบวกต่อยอดออกมาสู่ชีวิตจริง



... ผมไปดู Night at the Museum 2 เพราะ ภาคแรกเป็นเซอไพรส์ตอนดู เนื่องจากไม่ได้หวังอะไร แต่ดูแล้วเบิกบานหัวใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ พอภาคสองนี้ สนุกน้อยกว่า ภาคแรก เยอะ

สเกลหนังที่ใหญ่ขึ้น เพราะ พระเอกต้องออกเดินทางไปช่วยเพื่อนๆที่ถูกย้ายจากพิพิธภัณฑ์เดิมไป ทำให้ เปลี่ยนสถานที่ เพิ่มตัวละคร แต่ จุดอ่อนกลับอยู่ที่บทหนัง

ภาคแรก มีหลายตอน ที่หัวเราะได้เต็มที่ แต่ภาคนี้ ส่วนใหญ่ออกแนว หัวเราะหึๆ ถึงจะรู้เกร็ดประวัติศาสตร์ว่าล้ออะไร ก็ยังรู้สึกว่า มุกไม่เฉียบคม ยิงไม่ตรงเป้าจังๆเหมือนภาคแรก บวกกับ คาแรคเตอร์ใหม่ๆที่ออกมา โดยเฉพาะตัวร้ายหลักๆ ดูแกนๆไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย



... สิ่งเดียวที่ดีกว่า ภาคแรก คือ การมี เอมี่ อดัมส์ อยู่ในหนัง

เธอในบท Amelia Earhart (นักบินคนสำคัญในประวัติศาสตร์ที่กำลังจะมีหนังเกี่ยวกับตัวเธออีกหนึ่งเรื่องที่จะออกฉายในปีนี้ ในชื่อ Amelia และผู้มารับบท คือ ฮิลารี่ สแวงค์) ดูสดใสจี๊ดจ๊าดมีชีวิตชีวา ต่างจากตัวละครรายรอบที่ดูช้ำๆซ้ำซากพิกล

จริงอยู่ว่าเธอเล่นหนังจริงจังเอาเรื่องก็เล่นได้ดี แต่ ผมชอบเธอในบทลักษณะนี้ เพราะ เมื่อไหร่ที่ได้บทที่ใส่คาแรคเตอร์ แอ๊บแบ๊ว เหมือน Enchanted เมื่อไหร่ เธอก็เชื้อชวนให้เราตกหลุมรักเธอจากการแสดงได้อัตโนมัติ

ใจจดใจจ่อรอเห็นเธอประกบป้าเมอรีล ในหนังน่ารักๆแบบ Julie & Julia


สรุป ... ดูเอาเพลินพอได้ แต่ถ้าให้ฟันธง คิดว่า ดูแผ่นก็พอ ไม่ต้องรอดูโรงหนัง เก็บตังค์ไว้เจอ คนเหล็กอาทิตย์หน้าดีกว่า


ป.ล. เห็น โรบิน วิลเลี่ยมส์ แข็งเป็นหุ่นขี้ผึ้งในหนัง อดคิดถึงชีวิตจริงของอดีตครูคีธติ้งไม่ได้ ว่า ทำไมหนอเดี๋ยวนี้ดวงการแสดงของเฮียโรบิ้น ถึงเหมือนถูกแช่แข็ง ได้เงียบเอาๆ เล่นเรื่องไหนเข็นไม่รุ่งซักที



Link บทความที่เกี่ยวข้อง

Night at the Museum , ความบันเทิงสำเร็จรูปที่สนุกเพลินเกินห้ามใจ

Angels and Demons + Let the right one in , แดน บราวน์ ห้าวเป้ง ปะทะ แวมไพร์เจ๋งเป้ง

The International , เที่ยว(ยุโรป)ไป ลุ้นไป กับ เฮ๊ยไคลฟ์และนาโอมิ

Before Sunrise & Before Sunset , เมื่อความรักเธอเข้ามา ทำให้ดวงตาฉันเห็นความสดใส

Enchanted , ในวันที่ไม่รู้จะยิ้มให้กับใคร ในวันที่ไม่มีใครยิ้มให้กับเรา



"ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ขอฝากหนังสือเล่ม 4 ที่ชวนเพื่อนผู้อ่าน ออกเดินทางสำรวจจิตใจมนุษย์ และ ทำความรู้จัก'คน' ให้มากขึ้น ผ่านโลกภาพยนตร์ ในหนังสือชื่อ มากกว่าที่ตาเห็น - LifeScan วางขายในร้านสือทั่วไป พฤษภาคมนี้จ้า






พื้นที่แนะนำผลงาน{ตัวเอง}

(คลิกที่รูปหนังสือ เพื่อ อ่าน หรือ แสดงความเห็น ต่อหนังสือแต่ละเล่มได้เลยครับ)

ปีนี้ “ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ขอฝากผลงานเล่มล่าสุดที่เพิ่งคลอดจ้า อันว่าด้วย 'ความรักและกำลังใจ' ผ่านแรงบันดาลใจจากชีวิตและภาพยนตร์ ในหนังสือที่ชื่อว่า

เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป



และ ผลงานสองเล่มก่อน จากสองปีที่ผ่านมา



"หนังสือรัก" หนังสือที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม กับ องศาที่ 361 หนังสือที่อาสาช่วยคุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยอาศัย'หนัง'เป็นสะพานพาไปเข้าใจตัวเอง


มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป แต่ เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 และ เมื่อฉันลืมตา แล้วโลกเปลี่ยนไป สั่งได้จากในเว็บหรือหน้าร้านซีเอ็ดครับผม






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก

พูดคุยกับเจ้าของ Blog คลิก

เปิดหารายชื่อหนังเก่าๆนอกเหนือจากในหน้าสารบัญ คลิก




ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป
Create Date :24 พฤษภาคม 2552 Last Update :25 พฤษภาคม 2552 15:08:32 น. Counter : Pageviews. Comments :10