เงินบาทแข็งค่าสูงสุดในรอบ 8 เดือน
...
“เงินบาทแข็งค่าสูงสุดในรอบ 8 เดือน ก่อนลดช่วงบวกลง ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปิดปรับตัวขึ้น ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ”
โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ตลาดเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นทรงตัว ท่ามกลางภาวะสภาพคล่องในตลาดเงินที่ไม่เปลี่ยนแปลงมาก โดยมีการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำงวดสิ้นปี 2551 เข้าบัญชีภาครัฐในช่วงต้นสัปดาห์ นอกจากนี้ก็มีการทยอยไหลกลับของสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินหลังสิ้นเดือน ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์มีการปิดสำรองสภาพคล่องรายปักษ์ในวันอังคารและเข้าสู่ปักษ์ใหม่ในวันพุธ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืน (Overnight) มีระดับหนาแน่นตลอดทั้งสัปดาห์ที่ระดับ 1.15% เช่นเดียวกับสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนอัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยที่ประมูลได้ของธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี (Bilateral Repo) ระยะ 1, 7 และ 14 วัน ปรับตัวอยู่ในกรอบ 1.2457-1.25% เทียบกับ 1.2443-1.25% ในสัปดาห์ก่อนหน้า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยประเภทอายุ 5 ปี (TH5YY) ปิดที่ระดับ 2.85% ในวันศุกร์ ขยับลงเล็กน้อยจาก 2.86% ในวันศุกร์ก่อนหน้า โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะสั้นและระยะกลางส่วนใหญ่ปรับขึ้น ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ (ธนาคารพาณิชย์ไทยเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะยาวไปในช่วงต้นสัปดาห์) แรงกดดันเงินเฟ้อ ตลอดจนแนวโน้มของปริมาณอุปทานพันธบัตรที่อาจสูงขึ้น ขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวขยับลงจากความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย หลังจากที่ตัวเลข GDP หดตัวสูงถึง 7.1% ในไตรมาสแรกของปี 2552 ซึ่งถลำลึกลงจากการหดตัวที่ 4.2% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 ส่งผลให้มีความต้องการลงทุนในตราสารระยะยาว ด้านตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯนั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ประเภทอายุ 10 ปี (US10YY) ปิดที่ระดับ 3.72% ในวันพฤหัสบดี ปรับขึ้นจาก 3.46% เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว โดยในวันจันทร์ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวขึ้น หลังการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สดใส หนุนแรงซื้อในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ลดความต้องการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ยังมีปัจจัยหนุนจากความกังวลต่อแรงกดดันเงินเฟ้ออีกด้วย หลังจากนั้นในวันอังคารและวันพุธ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯขยับลงจากแรงซื้อทางเทคนิคของนักลงทุน ตลอดจนความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ออกมาดีอย่างที่คาด อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับขึ้นอีกในวันพฤหัสบดี จากตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Continued Claims) ที่ปรับลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้ทยอยขึ้นติดต่อกันในช่วงกว่าสี่เดือนที่ผ่านมา เงินบาทในประเทศ (Onshore) แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนก่อนลดช่วงบวกลงในช่วงปลายสัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นตามสกุลเงินในภูมิภาค การทะยานขึ้นของตลาดหุ้นไทยโดยมีนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อสุทธิ และแรงเทขายดอลลาร์ฯ เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ ทั้งนี้ เงินบาทแข็งค่าทะลุแนวต้านสำคัญที่ 34.00 ในช่วงกลางสัปดาห์ ขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทถูกจำกัดโดยแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า เป็นการเข้าดูแลเสถียรภาพเงินบาทของธปท. ตลอดจนแรงขายเงินบาทเพื่อทำกำไรของนักลงทุนในช่วงปลายสัปดาห์ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยจากความกังวลต่อความไม่แน่นอนของสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทอ่อนค่ามาที่ระดับประมาณ 34.18 (ตลาดเอเชีย) เทียบกับระดับ 34.29 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (29 พฤษภาคม) หมายเหตุ เป็นระดับปิดตลาดในประเทศจาก Reuters
ในสัปดาห์นี้ (8-12 มิถุนายน 2552) อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินน่าจะทรงตัวใกล้เคียงระดับ 1.25% อย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการตัดจ่ายเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายผ่านระบบธนาคารในช่วงกลางสัปดาห์ ส่วนเงินบาทในประเทศอาจเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบประมาณ 34.00-34.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ สัญญาณการเข้าดูแลเสถียรภาพค่าเงินของธปท. ทิศทางของตลาดหุ้น และการปรับตัวของสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่ ทิศทางของเงินดอลลาร์ฯ อาจขึ้นอยู่กับการเปิดเผยเงื่อนไขของสถาบันการเงินที่สามารถคืนเงินให้กับโครงการลดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของรัฐบาลสหรัฐฯ (TARP) ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ สต็อกสินค้าภาคค้าส่ง-ภาคธุรกิจเดือนเมษายน ยอดค้าปลีก ดุลการคลัง ดัชนีราคานำเข้า/ส่งออกเดือนพฤษภาคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ จัดทำโดยรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน เดือนมิถุนายน (ขั้นต้น) และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ
การเคลื่อนไหวของเงินเยนและเงินยูโร
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินเยนปรับตัวในทิศทางที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ เงินเยนร่วงลงอย่างหนักในช่วงต้นสัปดาห์ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ (ดัชนี ISM ภาคการผลิตเดือนพ.ค. และรายจ่ายด้านการก่อสร้างเดือนเม.ย.) ที่ออกมาแข็งแกร่งเกินคาด เงินเยนสามารถลดช่วงติดลบลงบางส่วนจากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ในช่วงต่อมา หลังจากประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟของรัสเซียกล่าวว่า โลกต้องการสกุลเงินสำรองที่หลากหลายมากขึ้น เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯ ได้ทำให้มุมมองที่มีต่อเงินดอลลาร์ฯ เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม เงินเยนกลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์ โดยความเห็นจากเจ้าหน้าที่การเงินเอเชียที่สะท้อนว่า ธนาคารกลางในเอเชียจะยังคงซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ ต่อไปแม้อันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จะถูกปรับลดลงนั้น ได้ช่วยหนุนเงินดอลลาร์ฯ ให้แข็งค่าขึ้น ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากรายงานล่าสุดที่ระบุว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับในวันศุกร์ เงินเยนอ่อนค่ามายืนที่ระดับประมาณ 96.76 (ตลาดยุโรป) เทียบกับระดับ 95.29 ในวันศุกร์ก่อนหน้า (29 พฤษภาคม) ตลาดจับตาการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในช่วงตลาดนิวยอร์ก หมายเหตุ เป็นระดับปิดตลาดนิวยอร์กจาก Reuters
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินยูโรขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ เงินยูโรปรับตัวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ ท่ามกลางความต้องการเสี่ยงของนักลงทุนที่ได้รับแรงหนุนอย่างแข็งแกร่งจากความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก (มีสัญญาณเชิงบวกจากภาคการผลิตในสหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และจีน ขณะที่ ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขายของสหรัฐฯ ทะยานขึ้นมากที่สุดในรอบ 7 ปีครึ่ง) นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังถูกกดดันจากความเห็นเกี่ยวกับความหลากหลายของสกุลเงินสำรองของโลกจากประธานาธิบดีรัสเซียอีกด้วย ทั้งนี้ เงินยูโรทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดของปีนี้ที่ระดับ 1.4337 ดอลลาร์ฯ ต่อยูโร อย่างไรก็ตาม เงินยูโรต้องลดช่วงบวกทั้งหมดลงในช่วงกลางสัปดาห์ ภายหลังจากรายงานฉบับหนึ่งระบุว่า การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จะไม่ทำให้จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้เปลี่ยนนโยบายทุนสำรอง นอกจากนี้ เงินดอลาร์ฯ ยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลการปรับลดตำแหน่งงานในภาคเอกชนสหรัฐฯ ที่มากเกินคาดในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับโอกาสของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอีกด้วย กระนั้นก็ดี เงินยูโรดีดตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.00% พร้อมกับระบุว่า อัตราดอกเบี้ยที่ระดับปัจจุบันเป็นระดับที่เหมาะสม ซึ่งทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า ECB จะไม่ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในระยะถัดไป สำหรับในวันศุกร์ เงินยูโรปรับตัวอยู่ที่ระดับ 1.4181 (ตลาดยุโรป) เทียบกับระดับ 1.4151 ดอลลาร์ฯ ต่อยูโร ในวันศุกร์ก่อนหน้า (29 พฤษภาคม) ตลาดรอการรายงานตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ในช่วงตลาดนิวยอร์ก หมายเหตุ เป็นระดับปิดตลาดนิวยอร์กจาก Reuters
ภาวะตลาดทุน
ตลาดหุ้นไทย “ดัชนี SET ปิดปรับตัวขึ้น ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ”
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 604.57 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.88% จาก 560.41 จุดในสัปดาห์ก่อน และพุ่งขึ้น 34.36% จากสิ้นปี 2551 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้น 63.88% จาก 91,018.71 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 149,160.49 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่เพิ่มขึ้นจาก 18,203.74 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 29,832.10 ล้านบาท โดยนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันขายสุทธิที่ 8,020.07 ล้านบาท และ 732.18 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 8,743.26 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 179.31 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.97% จาก 174.13 จุดในสัปดาห์ก่อน และพุ่งขึ้น 10.05% จากสิ้นปีก่อน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แรงซื้อที่มีเข้ามาอย่างหนาแน่นในหุ้นกลุ่มหลักอย่างพลังงานและธนาคาร หนุนให้ดัชนีหุ้นไทยปิดปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นถึง 3.49% ปิดที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 8 เดือนในวันจันทร์ โดยการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบและค่าระวางเรือเป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นเดินเรือ ส่วนในวันอังคาร ดัชนีปิดลบ 0.98% ท่ามกลางแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมามากในช่วงก่อนหน้า ขณะที่มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร และรับเหมาก่อสร้างเข้ามาช่วยพยุงตลาด จึงทำให้ดัชนีปรับตัวลงไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นไทยปิดปรับตัวขึ้นอีกในวันพุธ โดยดัชนีปรับขึ้นกว่า 2% ในช่วงเช้า ก่อนจะมีแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานออกมาในภาคบ่าย แต่แรงซื้อที่มีเข้ามาอย่างหนาแน่นในหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังโบรกเกอร์ต่างชาติหลายแห่งออกมาให้น้ำหนักการลงทุนพร้อมเพรียงกัน ได้ช่วยหนุนให้ดัชนีทำสถิติปิดสูงสุดในรอบ 8 เดือน และปิดปรับตัวขึ้นต่อในวันพฤหัสบดี ขณะที่ในวันศุกร์ ดัชนียังคงปิดบวก ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ดีดตัวขึ้น โดยแรงซื้อที่มีเข้ามาอย่างหนาแน่นในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคาร ช่วยหนุนให้ดัชนีสามารถปิดยืนเหนือระดับ 600 จุดได้เป็นครั้งแรกในปีนี้ ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารยังได้ปัจจัยหนุนจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่า พ.ร.ก.ให้อำนาจคลังกู้เงินเพิ่ม 4 แสนล้านบาท ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ อีกด้วย ขณะที่ การปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันสิ้นปีของโบรกเกอร์ต่างชาติ ได้ช่วยหนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ (8-12 มิ.ย. 52) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีอาจผันผวนขึ้นต่อได้ จากแรงหนุนการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งทำให้นักลงทุนอาจยังมีความสนใจลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยต้องจับตา ได้แก่ การรายงานตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค. ในวันที่ 11 มิ.ย. โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ส่วนปัจจัยในต่างประเทศที่สำคัญ คงจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งการปรับตัวของตลาดหุ้นภูมิภาค ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 585 และ 570 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 620 และ 666 จุด ตามลำดับ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ “ดัชนี DJIA ปิดปรับตัวขึ้นต่อ ”
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2552 ดัชนี DJIA ปิดที่ 8,750.24 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.94% เมื่อเทียบกับ 8,500.33 จุด เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน แต่ขยับลง 0.30% จากสิ้นปี 2551 ขณะที่ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 1,850.02 จุด ขยับขึ้น 4.27% เมื่อเทียบกับ 1,774.33 จุด ปลายสัปดาห์ก่อน และพุ่งขึ้น 17.31% จากสิ้นปีก่อนหน้า โดยในวันจันทร์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดปรับตัวขึ้น นำโดยดัชนี S&P 500 ซึ่งทะยานขึ้นปิดตลาดที่ระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน โดยมีแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่การยื่นล้มละลายของบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ส ได้ยุติความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของทางบริษัท หลังจากนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดปรับตัวขึ้นเป็นวันทำการที่ 4 ติดต่อกันในวันอังคาร โดยตัวเลขยอดบ้านรอปิดการขายที่ดีเกินคาด ได้หนุนความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และส่งผลหนุนหุ้นในกลุ่มบริษัทก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงในวันพุธ โดยราคาน้ำมันที่ร่วงลงได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแย่กว่าคาด ก็ได้ทำให้ตลาดกังวลว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจจะไม่รวดเร็วอย่างที่เคยหวังกันไว้ หลังจากนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอีกในวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงหนุนจากความเห็นในเชิงบวกของโบรกเกอร์เกี่ยวกับธนาคารสหรัฐฯ ซึ่งหนุนหุ้นกลุ่มการเงิน ขณะที่ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นได้หนุนหุ้นกลุ่มทรัพยากร
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น “ดัชนี NIKKEI ปิดพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 8 เดือน”
เมื่อวันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2552 ดัชนี NIKKEI ปิดที่ 9,768.01 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.58% จากปิดตลาดที่ 9,522.50 จุด เมื่อสัปดาห์ก่อน และพุ่งขึ้น 10.25% จากสิ้นปีที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นโตเกียวดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งในวันจันทร์ เนื่องจากความหวังต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์จากจีนได้หนุนหุ้นกลุ่มเดินเรือ ขณะที่ข่าวการยื่นล้มละลายของบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ช่วยขจัดความไม่แน่นอนของตลาดและหนุนหุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่น หลังจากนั้น ดัชนี NIKKEI ปรับตัวขึ้นต่อในวันอังคาร โดยปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่หุ้นกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ปรับตัวขึ้น หลังการยื่นล้มละลายของจีเอ็ม ที่นักลงทุนมองว่า ทำให้ความไม่แน่นอนหมดไป ขณะที่ในช่วงกลางสัปดาห์ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดขยับขึ้นอีก โดยหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรและแผงวงจรไฟฟ้าดีดตัวขึ้น หลังการพุ่งขึ้นเกินคาดของยอดบ้านรอปิดการขาย (Pending Home Sales) ของสหรัฐฯ ได้สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ก่อนที่ดัชนี NIKKEI จะปิดปรับตัวลงในวันพฤหัสบดี โดยหุ้นในกลุ่มเดินเรือร่วงลงหลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาไม่ดีอย่างที่คาด ทั้งภาคบริการที่หดตัวลงเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันในเดือนพ.ค. และการลดการจ้างงานในภาคเอกชนลง 532,000 ตำแหน่งในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งได้ทำให้เกิดความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นในช่วงท้ายสัปดาห์ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มทรัพยากร และกลุ่มพลังงาน ท่ามกลางการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ช่วยหนุนความหวังที่ว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำกำลังบรรเทาลง
-------------------------------
Create Date : 08 มิถุนายน 2552 |
|
2 comments |
Last Update : 8 มิถุนายน 2552 0:37:43 น. |
Counter : 584 Pageviews. |
|
|
|