Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
7 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 

. . . .กระแสรักสวย-รักงาม...ยังคงทำให้ธุรกิจขยายตัว . . . .


. . .


ตลาดเครื่องสำอางปี ‘52: กระแสรักสวย-รักงาม...ยังคงทำให้ธุรกิจขยายตัว

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

แม้ว่าในช่วงเวลาปัจจุบัน ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศจะมีแนวโน้มหดตัวลง และมีหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว หากทว่า ยังมีอีกธุรกิจหนึ่งที่ยังคงขยายตัวอยู่ได้ ถึงแม้จะเป็นการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงก็ตามนั่นคือ ธุรกิจเครื่องสำอาง ทั้งนี้ เป็นเพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะผู้หญิงยังให้ความสำคัญกับการดูแลความสวย ความงาม และสุขภาพ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของตนในสังคม แม้ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงซบเซา พฤติกรรมผู้บริโภคยังคงมีการใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องสำอางไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก เพียงแต่จะมีการวางแผนในการเลือกซื้อเครื่องสำอางก่อนทุกครั้ง และบางส่วนหันไปใช้เครื่องสำอางที่มีราคาถูกลง ส่งผลให้ธุรกิจนี้ ยังคงมีแนวโน้มเติบโต ซึ่งในปี 2552 นี้ คาดว่า ตลาดเครื่องสำอางภายในประเทศจะมีอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 4-5 ขณะที่ภาคการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ น่าจะเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาในระดับร้อยละ 4-7 อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงต้องปรับกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อเตรียมรับมือกับปัจจัยเสี่ยงทั้งในเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนปรับพฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้า รวมทั้งการแข่งขันของตลาดเครื่องสำอางทั้งตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศยังคงรุนแรง ดังนั้น การปรับกลยุทธ์การตลาดจึงมีความสำคัญอย่างมากในการประคองตัวเพื่อให้อยู่รอด และสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้


ตลาดเครื่องสำอางในประเทศปี ’52...ตลาดยังโต 4-5%

ปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในประเทศมีความหลากหลาย และแข่งขันกันสูงมากขึ้น เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล โดยผลิตภัณฑ์ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดียังอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทครีมกันแดด ครีมลบเลือนริ้วรอย รวมถึงผลิตภัณฑ์กลุ่มผิวขาว รวมทั้งเป็นที่น่าสังเกตว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำจากส่วนผสมของธรรมชาติก็ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน สำหรับในปี 2552 นี้ คาดว่า ยอดจำหน่ายเครื่องสำอางในประเทศ (รวมเครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศและเครื่องสำอางนำเข้า) มีมูลค่ารวมประมาณ 33,000 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 4-5 จำแนกตามช่องทางการจัดจำหน่ายสามารถแบ่งเป็น จำหน่ายตามช่องทางเคาน์เตอร์แบรนด์ 11,000 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 30 ของยอดจำหน่ายเครื่องสำอาง และร้านค้าทั่วไปและไดเร็กต์เซลมีมูลค่า 22,000 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 70 ของยอดจำหน่ายเครื่องสำอาง จะเห็นได้ว่า ตลาดเครื่องสำอางในประเทศยังขยายตัวสวนกระแสเศรษฐกิจ ทั้งนี้เนื่องจาก พฤติกรรมของผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้หญิงยังให้ความสำคัญกับการดูแลความสวย ความงาม และสุขภาพ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของตนในสังคม แม้ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงซบเซา แต่ผู้บริโภคยังคงมีการใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องสำอางไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เพียงแต่จะมีการวางแผนในการเลือกซื้อเครื่องสำอางก่อนทุกครั้ง

ปัจจุบันเครื่องสำอางเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องทุกปี จากปัจจัยหนุนคือ เกณฑ์อายุของคนไทยที่เริ่มใช้เครื่องสำอางตั้งแต่อายุยังน้อย ส่งผลให้ผู้ประกอบการปรับผลิตภัณฑ์ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าได้รับความคุ้มค่ามากขึ้น กล่าวคือ ผลิตเครื่องสำอางที่ให้ประโยชน์พิเศษหรือผลพิเศษมากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงรักษาผิวสำหรับสร้างความงาม (Beautify) หรือป้องกันรอยเหี่ยวย่น (Prevent wrinkles) รวมทั้งสินค้าเครื่องสำอางกลุ่มผิวขาวที่ระบุ Whitening เช่น facial whitening และ tooth whitening ได้รับความนิยม และสามารถจำหน่ายได้เพิ่มขึ้นตามลำดับ


ตลาดส่งออกเครื่องสำอางปี ‘52: โตประมาณร้อยละ 4-7

การส่งออกเครื่องสำอางของไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2552 นั้น มีมูลค่าทั้งสิ้น 10,248.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 เนื่องจากผู้หญิงส่วนใหญ่ยังคงรักสวย รักงาม และให้ความสำคัญกับการดูแลตนเอง เพื่อแสดงถึงภาพลักษณ์ที่ดีของตนเอง เพียงแต่อาจมีการปรับเปลี่ยนการใช้เครื่องสำอางที่มีราคาถูกลง ตามกำลังซื้อในปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดี ที่จะช่วยผลักดันให้มูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางที่ผลิตจากประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยแหล่งส่งออกเครื่องสำอางที่สำคัญของไทยยังคงเป็นประเทศญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ถ้าพิจารณาการส่งออกแยกรายประเทศนั้น พบว่า การส่งออกเครื่องสำอางของไทยไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนมีมูลค่ารวมกันมากที่สุดถึง 7,749.8 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.6 ของมูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางทั้งหมด โดยเครื่องสำอางที่ส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนที่น่าสนใจ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้กับผม ส่วนตลาดญี่ปุ่น ครองส่วนแบ่งอันดับสอง (สัดส่วนร้อยละ 14.4) ซึ่งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นมากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้โกนหนวด อาบน้ำ และดับกลิ่นตัว ส่วนเกาหลีใต้ (สัดส่วนร้อยละ 2.8) และอินเดีย (สัดส่วนร้อยละ 1.3) เครื่องสำอางที่ส่งออกไปยังทั้งสองประเทศที่น่าจับตามอง คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้กับผม สำหรับตลาดใหม่ที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง แอฟริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีอัตราการขยายตัวสูงมากกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 ทั้งนี้เนื่องจากกระแสการรักสุขภาพ รวมทั้งความรักสวย รักงามที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ถ้าพิจารณาแยกตามประเภทเครื่องสำอางพบว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2552 กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับใช้กับผมมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดถึง 4,788.4 ล้านบาท สัดส่วนประมาณร้อยละ 46.7 ของมูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางทั้งหมด และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 ซึ่งประเทศที่ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์สำหรับใช้กับผมมากที่สุดได้แก่ อินโดนีเซีย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.8 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด รองลงมาได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้แต่งหน้า หรือบำรุงผิว กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่ออนามัยในช่องปากและฟัน กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้โกนหนวด อาบน้ำ และดับกลิ่นตัว และหัวน้ำหอม-น้ำหอม ตามลำดับ


สำหรับปี 2552 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ภาพรวมการส่งออกอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของประเทศไทยในปี 2552 มีมูลค่าประมาณ 33,000-34,000 ล้านบาท ด้วยอัตราการเติบโตที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ที่ประมาณร้อยละ 4-7 ทั้งนี้เนื่องจาก สภาพเศรษฐกิจที่หดตัวในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยหนุนที่ทำให้ไทยสามารถส่งออกเครื่องสำอางได้ คือ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของประเทศไทยเริ่มมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น รวมทั้งมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมบางรายเป็นผู้รับจ้างผลิตเครื่องสำอางให้กับบางแบรนด์สินค้าที่เป็นที่รู้จักของต่างประเทศ (OEM) นอกจากนี้ ผลจากการเจรจา FTA ไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) และอินโดนีเซียภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ส่งผลให้ภาษีนำเข้าลดลงเหลือร้อยละ 0 ในช่วงต้นปี 2553 ทำให้ยอดการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก ทั้ง 3 ประเทศนี้ ถือได้ว่าเป็นตลาดหลักในการส่งออกเครื่องสำอางของไทย


ตลาดนำเข้าเครื่องสำอางปี ’52…แนวโน้มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ

สินค้าเครื่องสำอางที่วางจำหน่ายภายในประเทศในปัจจุบันพบว่า นอกจากจะเป็นสินค้าที่ผลิตเองภายในประเทศทั้งที่เป็นสินค้าแบรนด์เนมของคนไทยเองที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก และสินค้าภายใต้แบรนด์เนมของบริษัทข้ามชาติที่มีโรงงานผลิตในหลายประเทศในอาเซียนแล้ว ยังมีการนำเข้าจากต่างประเทศด้วย ซึ่งมีทั้งสินค้าระดับล่างราคาถูกจากจีน สินค้าระดับกลางจากมาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย และอินโดนีเซีย และสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2552 นี้ ไทยมีการนำเข้าเครื่องสำอางมูลค่า 4,097.4 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 ทั้งนี้เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะ สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ผู้บริโภคในประเทศมีการใช้จ่ายที่ประหยัดมากขึ้น ส่งผลให้มีการนำเข้าเครื่องสำอางลดลง สำหรับประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้าเครื่องสำอางที่สำคัญของไทยได้แก่ สหรัฐอเมริกา (สัดส่วนร้อยละ 24.2) ฝรั่งเศส (สัดส่วนร้อยละ 18.0) ญี่ปุ่น (สัดส่วนร้อยละ 12.4) อินโดนีเซีย (สัดส่วนร้อยละ 8.7) และจีน (สัดส่วนร้อยละ 5.9) สำหรับตลาดใหม่ที่มีอัตราการขยายตัวที่น่าสนใจได้แก่ เกาหลีใต้ โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2552 มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 ทั้งนี้เนื่องจากกระแส K-POP หรือ เกาหลี Fever ส่งผลให้สินค้าจากประเทศเกาหลีใต้ได้เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากขึ้น นอกจากนี้ เครื่องสำอางเกาหลีใต้มีคุณลักษณะที่เหมาะสมกับผิวคนไทยมากกว่าเครื่องสำอางจากฝั่งอเมริกาและยุโรป เพราะคนไทยกับคนเกาหลีใต้มีสภาพผิวใกล้เคียงกัน อีกทั้งราคาจำหน่ายที่ไม่แพง จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มลูกค้าคนไทย

ทั้งนี้ ถ้าพิจารณาแยกตามประเภทของการนำเข้าเครื่องสำอาง พบว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2552 กลุ่มเครื่องสำอางที่มีมูลค่าการนำเข้ามากที่สุดได้แก่ กลุ่มเครื่องสำอางสำหรับเสริมความงามใบหน้าและบำรุงรักษาผิวซึ่งมีมูลค่า 2,520.6 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 61.5 ของมูลค่าการนำเข้าเครื่องสำอางทั้งหมด รองลงมาได้แก่ กลุ่มเครื่องสำอางสำหรับใช้กับผม (สัดส่วนร้อยละ 11.1) หัวน้ำหอมและน้ำหอม (สัดส่วนร้อยละ 11.0) กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้โกนหนวด อาบน้ำ และดับกลิ่นตัว (สัดส่วนร้อยละ 9.4) และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่ออนามัยในช่องปากและฟัน (สัดส่วนร้อยละ 7.0) ตามลำดับ


แนวทางในการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดของผู้ประกอบการ

ในปี 2552 การแข่งขันของผู้ประกอบการแต่ละรายในตลาดเครื่องสำอาง น่าจะมีความเข้มข้นไม่แพ้ปีก่อนๆ โดยกลยุทธ์การตลาดที่บรรดาผู้ประกอบการนำมาใช้น่าจะประกอบไปด้วยกลยุทธ์ในลักษณะต่างๆ ดังต่อไปนี้

• สร้างภาพลักษณ์ของสินค้าให้มีความโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง เครื่องสำอางที่ผลิตขึ้นมาใหม่จะต้องมีความโด่นเด่น แตกต่างจากสินค้าอื่นๆ ทั้งในส่วนของรูปแบบ สีสัน คุณสมบัติ หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ของผลิตภัณฑ์ (Functional Benefit) และคุณภาพของวัตถุดิบที่นำมาผลิตเครื่องสำอาง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับผู้บริโภคหันมาสนใจในตัวสินค้าเพิ่มมากขึ้น

• ออกผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ๆ ที่มีความแตกต่างจากสินค้าที่วางจำหน่าย ปัจจุบันผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยมีความคาดหวังสูงจากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมากกว่าในอดีต ประกอบกับปัจจัยด้านนวัตกรรมของสินค้า น่าจะเป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ และต้องเป็นนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้โดยตรง และไม่ยุ่งยากในการใช้งาน ขณะเดียวกันแนวคิดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภท Multi Benefit ที่มีคุณสมบัติสามารถป้องกันแสงแดด การบำรุงผิว การทำให้ผิวขาวขึ้น และการลดริ้วรอย ก็น่าจะทวีบทบาทเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น

• สร้างความหลากหลายของสินค้าเพื่อขยายฐานตลาดให้กว้างยิ่งขึ้น เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบางประเภทมาก่อน และกลุ่มที่ใช้เป็นประจำ แต่ต้องการเพิ่มความถี่ในการใช้ให้มากขึ้น โดยคาดว่า จะมีทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางตั้งแต่หัวจรดเท้า เครื่องสำอางสำหรับวัยรุ่น สำหรับผู้หญิง และสำหรับผู้ชาย น้ำหอมสำหรับนักกีฬา เมคอัพสำหรับใช้ในเวลากลางวัน และกลางคืน ผลิตภัณฑ์ตกแต่งผม เป็นต้น

• จัดการวางตำแหน่งสินค้า และกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดผู้ชายและตลาดวัยรุ่นที่แม้ฐานตลาดยังเล็ก แต่ก็มีช่องว่างทางการตลาดอีกมากพอสมควร ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างและขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น ส่วนสินค้าความงามสำหรับผู้หญิงนั้นมีความเป็นไปได้ว่า จะมีการนำเสนอกลยุทธ์ที่โดดเด่นเพื่อพยายามช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดของแต่ละฝ่ายกันอย่างเข้มข้นมากขึ้น ทั้งนี้ เพราะผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยต้องการสินค้าที่มีนวัตกรรมที่สูงขึ้น แต่ต้องสามารถจ่ายได้ตามกำลังซื้อ จึงทำให้สินค้าในราคาระดับกลางถึงล่างน่าจะเป็นที่สนใจของผู้บริโภคในช่วงยุคเศรษฐกิจแบบนี้มากขึ้น

• เร่งขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวด้วยการเร่งขยายช่องทางการหน่ายในวงกว้างมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างทั่วถึง นอกเหนือจากร้านค้าปลีกตามห้างสรรพสินค้า ดิสเคานท์สโตร์ ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านค้าตามแหล่งชุมชน เป็นต้น ไปสู่ทั้งร้านขายยา ที่มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด หรือแม้แต่คลินิกเสริมความงาม เพราะมีการบริการแบบครบวงจรทั้งบริการขัดหน้า นวดหน้า นวดตัว รวมถึงบริการเสริมความงามให้แก่เส้นผม อย่างเช่น การอบไอน้ำ หมักผม และดัดผม เป็นต้น

• การโฆษณาผ่านสื่อใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากสื่อดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็น สื่ออินเทอร์เน็ต สื่อเคเบิ้ล หรือสื่อนอกบ้านอย่างสื่อกลางแจ้ง และสื่อเคลื่อนที่ ซึ่งสื่อต่าง ๆ เหล่านี้ จะมีต้นทุนในการโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์ที่ถูกกว่า และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็ว และเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เป็นต้น

• การลด แลก แจก แถม การนำเสนอสินค้าขนาดเล็กลง หรือการตลาดจับคู่พ่วงแถมสินค้าที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแต่ละประเภทก็อาจจะมีบทบาทมากขึ้นในปีนี้ เนื่องด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังไม่กระเตื้องขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคอาจจะต้องประหยัดมากขึ้น เช่น จัด บู๊ทลดราคาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่าง ๆ เป็นต้น ดังนั้น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายลด แลก แจก แถม จึงยังคงเป็นกลยุทธ์ที่สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้ดีพอสมควร


บทสรุป

ในปี 2552 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ยอดจำหน่ายเครื่องสำอางในประเทศ (รวมเครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศและเครื่องสำอางนำเข้า) มีมูลค่าประมาณ 33,000 ล้านบาท อัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 4-5 จำแนกตามช่องทางการจัดจำหน่ายสามารถแบ่งเป็น จำหน่ายตามช่องทางเคาน์เตอร์แบรนด์ 11,000 ล้านบาท และร้านค้าทั่วไปและไดเร็กต์เซลมีมูลค่า 22,000 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจาก พฤติกรรมของผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้หญิงยังให้ความสำคัญกับการดูแลความสวย ความงาม และสุขภาพ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของตนในสังคม แม้ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงชะลอตัว แต่พฤติกรรมผู้บริโภคยังคงมีการใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องสำอางไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก เพียงแต่จะมีการวางแผนในการเลือกซื้อเครื่องสำอางก่อนทุกครั้ง

ส่วนตลาดส่งออก คาดว่า มีมูลค่าประมาณ 33,000-34,000 ล้านบาท ด้วยอัตราการเติบโตที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ที่ประมาณร้อยละ 4-7 เมื่อเทียบกับปี 2551 ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของประเทศไทยเริ่มมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ ผลจากการเจรจา FTA ไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) และอินโดนีเซียภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ส่งผลให้ภาษีนำเข้าลดลงเหลือร้อยละ 0 ในช่วงต้นปี 2553 ทำให้ยอดการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก ทั้ง 3 ประเทศนี้ ถือได้ว่าเป็นตลาดหลักในการส่งออกเครื่องสำอางของไทย สำหรับตลาดใหม่ที่น่าสนใจได้แก่ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง แอฟริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีอัตราการขยายตัวสูงมากกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 ทั้งนี้เนื่องจากกระแสการรักสุขภาพ รวมทั้งความรักสวย รักงามที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ส่วนการนำเข้าเครื่องสำอางของไทยคาดว่า น่าจะชอลอตัวลงตามกำลังซื้อและพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งตลาดนำเข้าเครื่องสำอางส่วนใหญ่จะมีราคาแพง ทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาสนใจเครื่องสำอางที่มีราคาระดับกลางถึงล่างแทน และจะเห็นได้ว่า ตลาดใหม่ที่มีอัตราการขยายตัวที่น่าสนใจได้แก่ เกาหลีใต้ ทั้งนี้เนื่องจากกระแส K-POP หรือ เกาหลี Fever ส่งผลให้สินค้าจากประเทศเกาหลีใต้ได้เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากขึ้น นอกจากนี้ เครื่องสำอางเกาหลีใต้มีคุณลักษณะที่เหมาะสมกับผิวคนไทยมากกว่าเครื่องสำอางจากฝั่งอเมริกาและยุโรป เพราะคนไทยกับคนเกาหลีใต้มีสภาพผิวใกล้เคียงกัน อีกทั้งราคาจำหน่ายที่ไม่แพง จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มลูกค้าคนไทย

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงต้องปรับกลยุทธ์การตลาดในด้านต่างๆ เพื่อเตรียมรับมือกับปัจจัยเสี่ยงทั้งในเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนปรับพฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้า รวมทั้งการแข่งขันของตลาดเครื่องสำอางทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ยังคงรุนแรง ซึ่งกลยุทธ์ที่น่าจะนำมาใช้ในปีนี้ ได้แก่ สร้างภาพลักษณ์ของสินค้าให้มีความโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ออกผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ๆ ที่มีความแตกต่างจากสินค้าที่วางจำหน่าย สร้างความหลากหลายของสินค้าเพื่อขยายฐานตลาดให้กว้างยิ่งขึ้น จัดการวางตำแหน่งสินค้า และกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น เร่งขยายช่องทางการจัดจำหน่าย การโฆษณาผ่านสื่อใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากสื่อดั้งเดิม และการลด แลก แจกแถม แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้เครื่องสำอางของผู้บริโภคนั้น ควรที่จะเลือกเครื่องสำอางด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงสภาพผิวและประสิทธิภาพของตัวผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ควรพิจารณาส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ด้วยว่ามีความปลอดภัย และน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง


. . .




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2552
2 comments
Last Update : 7 มิถุนายน 2552 1:00:56 น.
Counter : 1720 Pageviews.

 

...
ทฤษฎีระบบโลก กับ การเปลี่ยนผ่านประวัติศาสตร์โลก (1)
โดย ยุค ศรีอาริยะ 4 มิถุนายน 2552 15:18 น.

จาก //www.manager.co.th


ไม่นานมานี้ ผมเพิ่งออกผลงานใหม่เรื่อง ฤๅทุนนิยมจะถูกทำลาย : วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งถือว่าเป็นหนังสือที่ขายดีมากเล่มหนึ่ง สาเหตุหนึ่งที่ขายดีก็เนื่องจากเพื่อนๆ จำนวนมากคงกังวลเรื่องผลกระทบจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์กัน

ไม่ว่าผมจะไปพูดที่ไหน จะมีเพื่อนๆ ถามอยู่เสมอว่า

“ทุนนิยมจะถึงคราวล่มสลายจริงหรือ”

คำตอบของผมโดยมากคลุมเนื้อหาในทำนองว่า

ทุนนิยมที่กำลังจะล่มสลาย คือ ‘ทุนนิยมฟองสบู่’ ซึ่ง พัฒนามากับกระแสโลกาภิวัตน์ (เงินไร้พรมแดน และสื่อไร้พรมแดน) และระบอบการเมืองแบบครอบโลก ที่มีประเทศสหรัฐอเมริกาแสดงบทบาทหรือมีฐานะเป็นผู้นำเดียว รวมทั้งมีแบบแผนวัฒนธรรมโลกที่ผมเรียกว่า ‘ทุนนิยมคาวบอย’

ผมจะกล่าวเสมอว่า

การเปลี่ยนผ่านนี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นง่ายๆ ภายในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ ผมคาดว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะใช้ระยะเวลาค่อนข้างยาวอย่างน้อย 10 ถึง 15 ปี และนับจากนี้ไปจะมีวิกฤตอื่นๆ ตามมาอีกหลายลูก จนในที่สุดจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนยุคประวัติศาสตร์โลก

ในวงเสวนาและอภิปรายต่างๆ มีหลายครั้ง ผมได้กล่าวเชิงคาดเดาอนาคตว่า

“ถ้าวิกฤตยาวและหนักจริง ก็มีโอกาสที่เราจะได้เห็นการสิ้นสุดลงของยุคเศรษฐกิจโลก (ทุนนิยม และสังคมนิยม) และการก้าวสู่ยุคโลกสีเขียวบนฐานระบบชุมชนที่ยั่งยืน”

มีการอภิปรายครั้งหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งถามต่อว่า

“ทิศทางการเคลื่อนตัวของระบบโลกจะมีลักษณะการเคลื่อนตัวแบบไหน อย่างไร”

นี่เป็นคำถามที่ตอบยากที่สุด ผมตอบเขาแบบง่ายๆ ว่า

“น่าจะเคลื่อนตัวแบบพลิกผัน หรือสวิงไปมา เหมือนคนไข้ป่วยหนัก บางครั้งดูคล้ายกับจะพลิกฟื้น หรือหายจากโรค แต่ผ่านไปสักพักหนึ่งก็ล้มป่วยหนักอีก”

เพื่อนยังติดใจ ถามว่า

“จะมีหลักคิด หรือทฤษฎีอะไรที่ช่วยอธิบายวิถีการเคลื่อนตัวแบบนี้”

ผมตอบเขา

“ผมเองใช้หลัก ทฤษฎี Chaos ว่าด้วยการพลิกผันที่เกินคาด”

มีเพื่อนอีกคนหนึ่งเสนอแนวคิดเชิงแย้งว่า

“ผมคิดว่า สหรัฐอเมริกามีเงินมหาศาลมาก เขาน่าจะสามารถใช้เงินพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้โดยไม่ยากนัก”

และเขายังกล่าวเสริมอย่างมั่นอกมั่นใจว่า

“อีกไม่นาน สหรัฐฯ จะกลับมาเป็นใหญ่เหนือระบบโลกอีกครั้ง”

ผมตอบเขาว่า

“ก็เป็นไปได้ แต่ไม่น่าจะง่ายอย่างที่คิด เรามักจะเชื่อกันว่า เงิน คือคำตอบของทุกอย่าง แต่...ต้องระวัง วิกฤตครั้งนี้มีรากมาจากเงิน หรือการปั่นเงินที่มีมากมายจนล้นโลก

ถ้าเราแก้วิกฤตโดยการใส่เงินจำนวนมหาศาลเข้าไปอย่างที่ชนชั้นนำ อเมริกันกำลังทำอยู่ การทำเช่นนี้อาจจะก่อเกิด ฟองสบู่ลูกใหม่ ที่ไม่ยั่งยืนอย่างยิ่งขึ้นมาอีก”

และผมก็เล่าเรื่องย้อนประวัติศาสตร์กับวิกฤตการณ์แบบย่อๆ

หลังฟองสบู่แตกปลาย ค.ศ. 1929 (หรือที่เรียกว่า The Great Depression) รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากนั้นประมาณปีหนึ่งผ่านไป มีการประเมินกันว่า “เศรษฐกิจผ่านจุดที่ต่ำที่สุดแล้ว” ตลาดหุ้นก็สวิงกลับไปยืนอยู่ ณ จุดก่อนเกิดวิกฤต จนก่อเกิดฟองสบู่ลูกใหม่ขึ้นอีก แต่ฟองสบู่ลูกนี้ไม่ยั่งยืนอย่างยิ่ง เนื่องจากเศรษฐกิจจริงยังไม่ฟื้นจริง

หลังจากนั้นไม่นานนัก ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1931 มีข่าวร้ายด้านเศรษฐกิจ อย่างเรื่อง กระแสการตกงานที่เพิ่มขึ้น และ วิกฤตธนาคารรอบใหม่ ตลาดหุ้นจึงทรุดใหญ่รอบสอง และทรุดหนักลงกว่าเดิมหนึ่งเท่าตัว

ปัจจุบัน หลังจากเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็ได้ทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปแก้วิกฤตเศรษฐกิจ และมีความพยายามสร้างความคาดหวังอนาคต อย่างเช่น มีการประเมินกันว่า ‘ระบบเศรษฐกิจน่าจะก้าวผ่านจุดต่ำสุดแล้ว’ และมีการสร้างข่าวว่า ‘ธนาคารใหญ่ของสหรัฐอเมริกา 19 แห่ง ที่ดูเหมือนจะมีปัญหารุนแรง ขณะนี้ไม่ได้มีปัญหามากนัก’

ทุนโลกสมัยใหม่ที่เรียกว่า ทุนโลกาภิวัตน์ นั้นสามารถเคลื่อนตัวไป หรือไหลขึ้นอย่างง่ายๆ ได้จากการสร้างคาดหวังที่ดูดีทั้งหลาย รวมทั้งการพยายามปิดข่าวร้าย กระจายเฉพาะข่าวดี

ฟังแล้ว เพื่อนบอกว่า

“ที่คุณยุคกล่าวถึง...น่าสนใจมาก คุณยุคช่วยเขียนเล่าเรื่องวิกฤต ค.ศ. 1929 ถึง 1933 ให้อ่านสักเรื่องหนึ่งด้วยเถอะ ผมว่าน่าจะมีประโยชน์ อย่างน้อยคนไทยจะได้รู้ อะไรเป็นอะไร”

ผมรับปากจะเขียนถึงเรื่องนี้ และบอกย้ำเพื่อนว่า

“ผมไม่เชื่อแนวคิดเรื่อง จุดต่ำสุด มากนัก เพราะหลักคิดนี้ดูจะง่ายๆ ไป ผมเองเชื่อว่าระบบเศรษฐกิจเคลื่อนตัวแบบลูกคลื่น และสวิงไปมา เมื่อลงหนักแล้วก็ต้องไหลขึ้น เมื่อขึ้นแล้วก็มีโอกาสลงอีกได้

ในช่วงวิกฤตใหญ่ สภาวะ Chaos หรือ การพลิกผันแบบสวิงไปมา คือสองด้านของสิ่งเดียวกันนี่คือเรื่องธรรมดา หรือเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง

ดัง นั้น ‘จุดต่ำสุดจริง’ อยู่ตรงไหนแน่ เมื่อไหร่แน่ เป็นเรื่องที่บอกได้ยาก เราต้องตระหนักเสมอว่า “ยิ่งวิกฤตมากเท่าไร โอกาสแห่งความพลิกผันจะมากยิ่งขึ้นเท่านั้น”

เพื่อนผมคนเดิมเล่าเพิ่มว่า

“ผมเพิ่งอ่านเรื่องทฤษฎี Chaos ซึ่งอธิบายความพลิกผันที่เกินคาดจากงานชิ้นเก่าที่คุณยุคเขียนไว้ ดูน่าสนใจมาก แต่ผมเองกลับสนใจเรื่องทฤษฎีระบบโลก อยากให้คุณยุคเขียนถึงบ้าง”

ผมกล่าวกับเขา

“ทฤษฎีระบบโลก ถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์”

หลักพื้นฐานของแนวคิดนี้จะสอนให้เรารู้ “ค่า” เรื่องราวในอดีต เริ่มเรียนรู้จากโลกที่เป็นจริง (ไม่ได้ยึดเอาทฤษฎีเป็นตัวตั้ง)

เราใช้อดีต ช่วยอธิบายปัจจุบันและอนาคต

แต่วิชาประวัติศาสตร์ที่ผมเรียนแตกต่างจากวิชาประวัติศาสตร์ทั่วไปอยู่หลายประการ

ประการแรก ผมเรียนประวัติศาสตร์ในกรอบที่กว้างมาก คือกรอบของระบบโลก ซึ่งจะต่างจากนักประวัติศาสตร์ทั่วไปที่ศึกษากันในกรอบของประเทศเป็นสำคัญ

ประการที่สอง ผมเรียนประวัติศาสตร์แบบบูรณาการ ไม่ใช่เรียนรู้แบบแยกส่วน เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่างเช่น เรียนเรื่องประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ หรือประวัติศาสตร์เทคโนโลยี แต่ผมจะเรียนประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และการเปลี่ยนผันไปของสภาวะแวดล้อม ราวกับหน่วยที่เคลื่อนตัวไปด้วยกัน

ประการที่สาม ผมเรียนประวัติศาสตร์แบบเชื่อมต่อกับปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะแตกต่างจากวิชาประวัติศาสตร์ทั่วไปที่เรียนวิชาประวัติศาสตร์ราวว่า เป็นวิชาที่สามารถแยกอดีตออกจากปัจจุบันและอนาคตได้

หรือกล่าวได้ว่า

ประวัติ ศาสตร์ คือความต่อเนื่องจากอดีตสู่ปัจจุบัน และสู่อนาคต หากเรียนรู้อดีตมากขึ้นเท่าไรก็เท่ากับรู้ความเป็นปัจจุบันมากขึ้นเท่านั้น เมื่อรู้ปัจจุบันมากขึ้นเท่าไรก็เท่ากับรู้อนาคตมากขึ้นเท่านั้น

ผมกล่าวขยายความต่อว่า

เดิมที ทฤษฎีระบบโลก เป็นทฤษฎีเชิงระบบ ที่ถือว่าระบบมีระเบียบที่ค่อนข้างแน่นอน ซึ่งแนวคิดแบบนี้จะใช้อธิบายระบบได้ในช่วงที่ระบบมีการเคลื่อนตัวแบบมี ระเบียบเท่านั้น

ต่อมา ชาวทฤษฎีระบบโลกเริ่มเห็นจุดอ่อน หรือความจำกัดของตัวเอง จึงได้พยายามปรับทฤษฎีใหม่ ด้วยการนำเอาหลักฟิสิกส์สมัยใหม่ว่าด้วยเรื่อง Chaos มาใช้อธิบายการเคลื่อนตัวของระบบโลกในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยทำให้ทฤษฎีระบบโลกมีความสามารถในการอธิบายช่วงประวัติศาสตร์ที่มี จังหวะ หรือการเคลื่อนตัวแบบที่พลิกผันค่อนข้างมากได้ (ยังมีต่อ)

ความคิดเห็นที่ 8 +6 คลิกที่นี่หากท่านสนับสนุนความเห็นนี้ คลิกที่นี่หากท่านไม่สนับสนุนความเห็นนี้ คลิกที่นี่หากท่านต้องการตอบกลับความคิดเห็นนี้ คลิกที่นี่หากท่านเห็นว่าความคิดเห็นนี้ขัดต่อกฎ กติกา มารยาท
ก็ นะ ระบบทุนนิยมจะถึงจุดล่มสลายมั๊ย

จริงๆแล้วระบบทุนนิยมไม่ใช่ว่าไม่มีข้อดี

ระบบทุนนิยมทำให้เกิดวิวัฒนาการในด้านต่างๆ ทั้งในด้านเศรฐกิจ สังคม เทคโลโนยี และ คุณภาพชีวิตของมนุษย์

เป็นกลไกที่ดีที่สุดในการถ่ายเททรัพยากรณ์ที่ประเทศตัวเองไม่มี เข้าไปยังประเทศที่ไม่มีทรัพยากรณ์อะไรเลยด้วยมันสมอง

เป็นกลไกที่ดีที่สุดในการถ่ายเททรัพยากรณ์ที่แต่ละประเทศมีไม่เหมือนกันเข้าหากัน

เช่น การหมุนเวียนของอาหารเช่น ข้าว เข้าไปยังประเทศที่มีแต่ทะเลทราย และ น้ำมัน

ทำให้มนุษย์เกิดวิวัฒนาการทางด้านเทคโลโนยี เกิดการแข่งขัน เกิดการค้นพบ และ เกิดจุดหมายในการดำรงชีวิต

แต่ทุกอย่างมันก็มีจุดอิ่มตัวของมัน

ยก ตัวอย่าง กทม เมื่อก่อน กทม น่าอยู่มาก แต่พอเวลาผ่านไป คนมีจำนวนมากขึ้น รถบนถนนมีมากขึ้น เกิดความแออัด เหนื่อยล้า ความเครียด แทนที่จะสบาย กลับกลายเป็นว่าการเข้ามาทำงานใน กทม เหมือนตกอยู่ในนรกทั้งเป็น

พอเวลาผ่านไป เมื่อการแข่งขันมีมากเกินไป การพยายามหาหนทางทำให้เกิดกำไรให้ได้มากที่สุดจึงเกิด

เมื่อแสวงหาผลกำไรมาก บางครั้งก็กระทบกับคุณภาพชีวิต เช่น นมเมลามีน ไขมันอิ่มตัว สารก่อมะเร็ง

ความแออัดของ กทม ก็เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นด้วยเรื่องเครดิตในสถานที่ และ ต้นทุน

แต่นี่ก็เป็นผลด้านลบอีกอย่างหนึ่งของระบบนี้

อาจจะรวมถึงผลลบด้านอื่นด้วยเช่นการค้าประเวณี แรงงานเด็ก แต่ระบบอื่นก็มีทั้งนั้น

แต่รวมๆมันก็ดีกว่าการใช้กลไกการแลกเปลี่ยนโดยตรงซึ่งหาจุดมาตรฐานได้ยาก และอีกวิธีนึงก็คือ สงครามล่าอาณานิคมซึ่งตายกันเป็นเบือ

กลับมาที่การปกครองโดยการอิงศาสนามากเกินไป มันก็เหมือนการกลับไปสู่ยุค dark age

ยุคที่คนคร่ำครึ เหมือนจะฉลาดแต่ถูกชักจูงได้ง่าย

คัมภีร์ต่างๆถูกเขียนขึ้นมาเพื่อใช้อ้างในการเข้าถึงอำนาจ

และมีบทลงโทษอย่างรุนแรงเมื่อมีใครซักคนสงสัยในตัวคัมภีร์นั้น เช่น เผาทั้งเป็นไม่ก็เอาคีมร้อนๆบีบหัวนมแม่มด

ผลที่ตามมาก็คือ ผู้มีอำนาจจะเขียนคัมภีร์นั้นออกมาให้เข้าทางในการสร้างอำนาจของตัวเองให้ได้มากที่สุด

สร้างศาสนาใหม่ไม่ได้ก็ขอเป็นนิกายไม่ก็ลัทธิ

ไปจนถึงปกครองคนด้วยการลากไปสู่สงครามไม่รู้จบ

เพื่อให้ประชาชนมองข้ามความผิดพลาดในการบริหารประเทศของตัวเอง

ถีบหัวส่งคนระดับล่างไปตาย ออกกฏหมายเคร่งครัดเพื่อปกครอง

ปิดหูปิดตาคนระดับล่างเพื่อป้องกันการกระด้างกระเดื่อง

แต่ตัวเองกลับเสวยสุขในปราสาทไม่ก็ฮาเล็ม

จริงๆแล้วระบบทุกระบบมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

เพียงแต่ว่าเราจะให้มันออกมาสภาพไหนมากกว่า

ไม่รู้นะถ้าให้ผมเดาว่าโลกในอนาคตจะมีหน้าตายังไง

ผมเดาว่าซักพักเมกาจะค่อยๆถูกลดบทบาทลง แต่ไม่น่าจะถึงจุดล่มสลาย

แต่ระบบโดยรวม ผมเชื่อว่าโลกนี้อยู่ในสภาพของทุนนิยมมานานจนไม่อยากจะเปลี่ยนมัน

ซักพัก ผมว่าหลายประเทศบนโลกจะเริ่มคลำหาจุดที่เรียกว่า สมดุลใหม่ของระบบทุนนิยม

หา แกน ที่จะใช้อ้างอิงและหมุนให้ระบบนี้ยังคงหมุนเวียนไปได้ อาจจะยังเป็นกลไกซักตัวของเมกาก็ได้

ผม ว่าจีน รัสเซีย ญี่ปุ่น ไปจนถึงประเทศที่ไม่มีสภาวะหนี้ล้นตัวหลายประเทศจะเริ่มหาจุดสมดุลและกลไก อะไรซักอย่างเพื่อหมุนเวียนทรัพยากรณ์ และ สามารถกระจายทรัพยากรณ์เหล่านั้นไปยังประชาชนได้อย่างมีความสุขและไม่เกิด ความเหลื่อมล้ำ

ส่วนประเทศที่มีค่าเงินแข็งมากๆและมีหนี้มหาศาลอาจจะเริ่มประสบปัญหาหลังจากที่กู้เงินมาละเลงกันได้ซักพัก

เนื่องจากเม็ดเงินมีปริมาณมหาศาล ทำให้หาวิธีการที่จะหมุนเม็ดเงินไปอุดหนี้ไม่ได้ ผมคาดว่าเศรฐกิจฝั่งยุโรปน่าจะถึงจุดตึง

โดย เฉพาะจากฝั่งอังกฤษ ค่าเงินที่แข็งเป๊กทำให้การหาวิธีที่จะหมุนเม็ดเงินจากฝั่งเอเชียเข้าไปพยุง สถานะการร์ทำได้ไม่ง่าย ที่จะคาดหวังได้ก็คือเทคโลโนยีการเงินและการลงทุนของเขาเท่านั้น

ซึ่งมันก็คือ การหมุนเม็ดเงินจากประเทศอื่นเข้าสู่ประเทศตัวเองอยู่ดี

แล้วการที่เศรฐกิจเมกาไม่สามารถฟื้นจนเฟ้อเหมือนเมื่อก่อนได้

ทำให้ตัวเลขพวกนี้เป็นเหมือนตัวเลขที่สูงเวอร์จนหาอะไรมาถมให้เต็มได้ไม่ง่าย

กลับไปดูฝรั่งเศสที่ค่าเงินสูงปรี๊ดแต่ 70 เปอร์เซ็นต์ของ gdp เป็นการท่องเที่ยว

อันนี้ก็น่าหนักใจว่าผลที่ออกมาจะออกมาสภาพไหน

คองคอร์ด โรลรอยส์ มินิ เทสโก้โลตัส คาร์ฟูล คงจะพอเป็นตัวอย่างคร่าวๆได้ถึงระบบการเงินของเขา

สถานะการณ์โดยรวมยังยาวเกินกว่าจะคาดเดา

แต่อีก 3 ปีข้างหน้าเมื่อฝั่งยุโรปเงินหมดและต้องเริ่มหาเงินมาโป๊ะๆหนี้

เมื่อเวลานั้นมาถึงเราจะเริ่มมองอะไรหลายๆอย่างได้ชัดขึ้น

ถ้าประเทศฝั่งยุโรปเกิดแรงตึง แต่ประเทศเขาก็ยังต้องการพลังงานเพื่อสร้างความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว

ก็ น่าจะพอมองออกว่าสภาพโดยรวมจะออกมายังไง

แต่ถ้าให้ผมคาดการณ์ว่าสถานะการณ์จะเลวร้ายสุดๆมั๊ย

ถ้าทุนนิยมถึงจุดล่มสลายจริง จีน และประเทศฝั่งเอเชียหลายประเทศน่าจะเริ่มทนแรงกดดันภายในประเทศไม่ไหวก่อน

ผมเชื่อว่าแรงกดดันเหล่านี้จะเป็นตัวกดดันให้กลุ่มประเทศเหล่านี้คลอดกลไกสมดุลใหม่ขึ้นมา

แต่กว่ามันจะลงตัว

มันก็น่าจะต้องใช้เวลาเม้งๆกันซักพัก

ไม่มีใครยอมใครง่ายๆ

และถ้ามันไม่สำเร็จ

ยุคแห่งมหาสงครามก็จะกลับมา

แต่ผมว่าทุกอย่างน่าจะจบลงบนโต๊ะเจรจา

และถ้าเลวร้ายสุดๆ ระบบทุนนิยมล่มสลาย

โลกน่าจะแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆหลายๆกลุ่ม

แต่ละกลุ่มก็จะใช้เครื่องมือต่างๆมาเป็นพันธะระหว่างกัน

ตามที่แต่ละกลุ่มคิดกลไกกันออกมา

เพ้อมานาน กลับมาที่ประเทศไทย

ปัญหาอีก 3 ปีข้างหน้าจะเป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุด

ที่ผ่านมาการเม้งๆเรื่องการเมืองเปรียบเสมือนวัคซีน

แต่วัคซีนนี้รับมือได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก

รวมๆถ้าการเมืองเราป้อแป้แบบนี้

ไม่รอดแน่ๆ

ผมคาดว่าซักพักพอเมกาอ่อนแรงประเทศเพื่อนบ้านเราน่าจะเริ่มตะคอกใส่เรา

ที่ผ่านมาประเทศเพื่อนบ้านเราไม่ได้กลัวเราเพราะเราเข้มแข็ง องอาจ

แต่เขารู้ว่าถ้ามีเรื่องกับไทย เรือรบเมกาเข้าอ่าวไทยแน่ๆ

จับตาดูมาเลย์ พม่า เขมร ให้ดีๆ

ถ้าประเทศไทยเมร่งไม่มีความเป็นชาตินิยม

แกบกระจายแน่ๆ

ผมคาดว่าในอนาคตถ้าวิกฤตสภาวะอากาศโลกรุนแรง

ประเทศไทยจะเริ่มมีต่างชาติวางแผนเข้่ามาแทรกแซงเพื่อยึดครอง

แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเรามีผู้นำที่ดี สร้างความเป็นชาตินิยม และ สามารถพลิกสถานะการณ์ทุกอย่างได้

ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่รวยติดโผและมีอำนาจต่อรองในเวทีโลก

แต่อะไรหลายๆอย่างมันก็ยังอีกไกล

ที่เขียนมาทั้งหมดคิดว่าอ่านหนังสือไซไฟ

คิดมากไปปวดกาบาลเปล่าๆ

เมกาอาจจะฟื้นได้ก็ได้

แต่ก็ อย่าคาดหวังอะไรที่สูงมาก

มันไม่คืนสู่สามัญ

แต่มันต้องมีหนทางทำให้มันออกมา ดีที่สุด และ สมบูรณ์แบบที่สุด เท่าที่จะมีปัญญา

ถ้าเมกาแป๊ก สังเกตุดูจีนดีๆ

ซักพักแรงกดดันภายในประเทศจะทำให้กลยุทธของเขาจะเริ่มเปลี่ยนไป
zzzzzzzzz
...

 

โดย: มางกองย้าก... IP: 202.5.81.168 7 มิถุนายน 2552 1:56:29 น.  

 

ผู้หญิงกับความสวย ความงามเป็นของคู่กันอยู่แล้วคร๊า เดี๋ยวนี้ผู้ชายก็หันมาดูเลตัวเองมากขึ้น ก็เลยทำให้ธุรกิจพวกนี้ดีๆๆ ค่า ขอให้มีความสุขในวันอาทิตย์นะคะ

 

โดย: บี๋ (Yushi ) 7 มิถุนายน 2552 14:22:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.